เจ้าเรียมฟังเพลิน เธอมองดูความครึ้มของร่มเงาบนหลังคาศาลรู้สึกเยือกเย็นเงียบเหงาจนพูดไม่ถูก เหลียวเห็นแผลเจ้าขวัญต้องสดุ้งใจเยือก เปนแผลเก่านานปีซึ่งสลักใจเธอให้ลืมเจ้าขวัญเสียมิได้ตลอดชาติ
"คงเปนแน่ละพี่ขวัญ ที่เจ้าพ่อของเราต้องศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ สมคำกล่าว คืนที่ฉันกลับกรุงเทพฯ คืนนั้นนอนไม่หลับเลย มันหวาด ๆ อยู่ตลอดคืน จิตต์ใจคิดแต่จะกลับบางกะปิท่าเดียว แต่พี่ขวัญจ๊ะความคิดของฉันเวลานี้เหมือนพายเรือในอ่าง มันวนเวียนไปหมดไม่รู้จะทำยังไงได้"
"บอกพี่มั่งเถิด เผื่อว่าจะช่วยเจ้าได้มั่ง เจ้าบอกพี่ซีว่าเจ้าคับใจเรื่องอะไร"
เรียมทำตาปรอยแทบไม่อยากจะกล่าวคำต่อไป
"ก็เรื่องไรเสียอีกเล่า ทุกวันนี้พี่ขวัญเปนศุขใจนักหรือ ฉันเองไม่กลัวอะไรมากไปกว่าที่ว่าฉันไม่ใช่ลูกพ่อแล้ว พ่อแกไม่มีสิทธิ์อย่างไร ๆ ในตัวฉันทั้งสิ้น นอกจากแม่นายที่ฉันอยู่กับเขาในกรุงเทพฯ เท่านั้น"
"เจ้าจะต้องกลับไปอยู่บางกอกอีกงั้นหรือที่พูดน่ะ"
"ก็เช่นนั้นซีพี่ขวัญ เพราะพ่อได้ทำหนังสือยกให้เขาขาด เอาเงินขึ้นมาใช้ไปจนหมดแล้วอีกเกือบ ๒๐๐ บาท"
เจ้าขวัญนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง
"ว่าแต่ใจสมัคของเจ้าเถิด หากเจ้าสมัคจะอยู่นี่ พี่ก็รับรองว่าใครจะมาขืนใจเจ้าไปจากที่นี่ไม่ได้เปนแท้ มันจะเอาเจ้าไปได้ก็เมื่อพี่เปนผีไปก่อนนั่นและ เจ้าเรียมเอ๋ย ถึงแม้พี่จะตัวคนเดียวก็ตามเถอะ ลงขึ้นชื่อว่าบางกะปิแล้วพี่จะไม่ให้ใครมาลบหน้าพี่ไปได้ พี่ยอมขาดใจคาน้ำ ขาดใจคาทุ่งเพราะเจ้าได้จริง ๆ"
เรียมส่ายหน้า "ไม่งั้นหรอกพี่ขวัญ เขาจะเอาโทษกับพ่อน่ะซี อีกประการพ่อแกก็ต้องเต็มใจให้เปนเช่นนั้นด้วยเพราะแกจะได้พึ่ง"
เจ้าขวัญกลับกลุ้มขึ้นมาอีก เพราะคำที่เจ้าเรียมพูด มันก็มองเห็นความจำเปนของเจ้าเรียม
"เจ้าจะคิดเปนอื่นอย่างไรได้อีกมั่งเล่า"