เห็นจริง
"น้าอย่าไปช้านะ"
"เออน่ะ ข้าจะวิ่งไป"
เป็นอันว่าผมรับเอาเด็กนั้นไว้ โดยคิดแล้วว่าแม้จะเป็นเด็กเล็ก ๆ ก็ยังดีกว่าจะอยู่คนเดียว ไม่พูดอะไรอีก ตรงเข้ารับเด็กเลย
"ไปเร็ว ๆ นะ ถ้ามันร้องขึ้นฉันแย่เลย"
"เออ" เขาตอบคำแล้วรีบวิ่งไปตามที่เขาบอกว่าจะรีบ
ผมรับเด็กแล้วก็กลับมาที่เนินหญ้า วางเบาะเด็กลงเพราะรู้สึกตัวว่ามันอ้วนตัวหนัก พอนั่งพักหายใจเต้นยังไม่ได้สติดี เจ้าของฝากของผมก็เริ่มสำแดงเดชคือร้องแงขึ้น ผมต้องอุ้มและหลอกล้อปลอบโยนตามแกน แต่มันไม่ยอม จะอือจะเออะไรมันไม่ฟังทั้งนั้น มันร้องดังจนแสบหู เจ้าเวรเจ้ากรรม ผมแลบลิ้นปลิ้นตาเล่นกับมันจะให้มันถูกอารมณ์ มันก็ไม่หยุดผมวางมันลงกับดิน แล้วขึ้นเต้นโขนอย่างกระฉับกระเฉง ความกลัวหายไปแล้วเวลานั้น หลวงพ่อเจ้าประคุณแผลงฤทธิ์เสียเสียงก้องไปหมด จะโอ๋จะเอ๋ฉันไม่เอา อ่อนบัดซบ ถ้าไม่อ้อนก็น่าชมมันอ้วนท้วนดี แต่อ้อนเสียจนน่าโยนทิ้ง ลงท้ายผมชักฮึด มึงร้องได้ร้องไป ปล่อยมันนอนร้องไห้สบาย
ในครู่นั้นเองเด็กเจ้ากรรมก็หยุดร้องไปเฉย ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะกิ๊ก ๆ ผมฉงนใจจึงก้มดู อากาศมันมืดลงจนมองแทบไม่เห็น จึงก้มลงใกล้มัน มันก็ชูมือไขว่คว้าหน้าผมในความมืดสลัว ทันใดนั้นผมก็ร้องขึ้นสุดเสียง อ้ายเด็กแดง ๆ นั้น หน้าตามันเป็นผู้ใหญ่แก่ ๆ หัวเราะฟันเต็มปาก แต่ฟันดำอย่างคนกินหมาก แล้วเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ นั้น กลายเป็นเสียงหญิงแก่หัวเราะ ผมกลัวจนสุดขีด กุ้งหัวเข้าพงหญ้าเอาหน้าซ่อน แล้วเลยหมดสติไปเลย
ผมมารู้ตัวต่อเมื่อรู้สึกว่าหัวผมหนุนตักใครอยู่ ผมลืมตาก็รู้ว่าตักของยายนั่นเอง แกกำลังบี้พิมเสนใส่จมูกผม ไฟดวงไต้สว่างจ้า คนทั่วไปตามถามผมว่าเป็นอะไร แต่ผมตอบไม่ออก ครั้นมาถึงบ้านแล้ว ผมล้มเจ็บเสียหลายวัน เผ้าผมร่วงจนหัวโกร๋น แล้วก็พอดีกับกาฬโรคได้ยุติลง เหลือไว้แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ใครจำได้ก็เล่าสู่กันฟังต่าง ๆ รายไป