ข้ามไปเนื้อหา

อรินทมชาดก

จาก วิกิซอร์ซ

พระบรมศาสดาทรงสำราญพระอิริยาบถอยู่ที่พระเชตวัน ทรงปรารภทานบารมีของพระองค์ จงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สุปุณฺณมโนรถฺ เป็นต้น ความว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายได้นั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุน่าอัศจรรย์หนอ สมเด็จพระบรมศาสดาพระองค์ไม่อิ่มด้วยทาน ส่วนในกาลเมื่อพระองค์เป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่ ก็ให้ทานเป็นการใหญ่แล้วมาในกาลเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ยังได้พระราชทานพระอริยมรรคเป็นทานอยู่ในกาลบัดนี้ แล้วพากันนั่งสรรเสริญพระพุทธคุณมีประการต่างๆ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงสดับการสนทนาของพระภิกษุทั้งหลายด้วยทิพพโสตญาณแล้ว จึงเสด็จมาประทับ ณ ธรรมสภา แล้วตรัสถามถึงเรื่องที่พระภิกษุทั้งหลายสนทนากัน ครั้นทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า เราดำรงอยู่ในอัตภาพของพระพุทธเจ้าไม่อิ่มด้วยทานในชาตินี้ ไม่น่าอัศจรรย์ แม้ในชาติที่ผ่านมาเราดำรงอยู่ในอัตภาพของปุถุชนก็ไม่อิ่มด้วยทานเหมือนกัน พระภิกษุทั้งหลายสนใจจะฟังเรื่องนั้นจึงอาราธนาให้ทรงเล่าให้ฟัง จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า ในอดีตกาล มีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าอรินทมราช ครองสมบัติอยู่ในสุจิรวดีมหานคร พระอัครมเหสีของพระเจ้าอรินทมราชนั้นทรงพระนามว่า สุวัณณคัพภา พระนางสุวัณณคัพภานั้นเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอรินทมราชมาก ครั้งนั้นพระเจ้าอรินทมราชโปรดให้สร้างโรงทานไว้ ๖ แห่ง คือ ที่ริมประตูพระนคร ๔ แห่ง ที่ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ที่ริมประตูพระราชนิเวศน์ ๑ แห่ง แล้วพระราชทานมหาทานสิ่้นพระราชทรัพย์วันละ ๖ แสนทุกวัน ทรงให้ฝนคือการบริจาคทางตกลงปกคลุมชมพูทวีปทั้งสิ้น วันหนึ่ง ท้าวเธอตื่นพระบรรทมในเวลาใกล้รุ่งทรงพระจินตนาการถึงทานของพระองค์ก็บังเกิดพระปรีดาปราโมชว่า เราได้ให้ทานภาพนอกอยู่เป็นนิรันดร์ เราปรารถนาจะให้ทานภายในต่อบ้าง ขอยาจกที่มาขออย่าได้ขอทานภายนอกเลย จงขอแต่ท่านภายในเท่านั้นเถิด แล้วทรงดำริต่อไปว่ ถ้ามีใครมาขอหัวใจเรา เราก็จะฉีกอกแล้วหยิบเนื้อหัวใจที่หยาดโลหิตกำลังไหลอยู่ออกให้ และถ้ามีใครมาขอดวงตา เลือด เนื้อ หรือร่างกายทั้งสิ้น เราก็จะให้เหมือนกัน ถ้ามีใครมาขอว่าท่านจงเป็นทาสของเรา เราก็จะยกตนให้เป็นทาน อีกประการหนึ่ง ถ้ามีผู้มาขอราชสมบัติของเรา เราก็จะให้ราชสมบัติแก่ผู้นั้น หรือถ้ามีผู้มาขอสิ่งใดๆ กับเรา เราก็จะให้ทั้งหมด เมื่อพระมหาโพธิสัตว์ทรงพระจินตนาการอยู่อย่างนั้น ภพของท้าวสักกเทวราชก็สำแดงอาการร้อนขึ้น ท้าวเธอทรงพิจารณาดูจนรู้เรื่องถ่องแท้แล้ว จึงเสด็จลงมาจากเทวโลกในวันนั้น เนรมิตตนเป็นพราหมณ์ชรามีมือถือไม้เท้า มีกายสั่นยกพระหัตถ์ขวาขึ้น ประกาศความชนะว่า ขอพระมหาราชเจ้าจงชนะ พระมหาโพธิสัตว์ได้เห็นพราหมณ์นั้นแล้วก็มีพระทัยเต็มไปด้วยพระกรุณาจึงตรัสว่า ท่านมหาพราหมณ์มาถึงที่นี้ด้วยมีประสงค์สิ่งใด เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า ข้าพระบาทเป็นผู้ชราทุพลภาพ ขอพรองค์ทรงอนุเคราะห์พระราชทานพระราชทรัพย์แก่ข้าพระบาทสัก ๑,๐๐๐ ตำลึงเถิด จึงตรัสว่า เราจักให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ ตำลึงแก่ท่าน ในขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชรับพระราชทานทรัพย์แล้ว ก็ทำอาการเหมือนออกไปแล้วก็กลับมาอีก แล้วกราบทูลว่า ข้าพระบาทขอถวายทรัพย์นี้คืนไว้แก่พระองค์ พระมหาโพธิสัตว์จึงตรัสว่า เราจะรักษาไว้ให้ เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า เมื่อใดกิจของข้าพระบาทมี ข้าพระบาทจักมารับเอาทรัพย์นั้น แล้วก็คืนทรัพย์ให้พระมหาโพธิสัตว์ไป ก้าวออกจากที่นั้นแล้วก็อันตรธานหายไป ท้าวสักกเทวราชก็เนรมิตตนเป็นพราหมณืหนุ่มเข้ามาหาพระมหาโพธิสัตว์อีก พระมหาโพธิสัตว์เจ้าเห็นพราหมณ์หนุ่มแล้วจึงตรัสถามว่า ท่านมาจากที่ไหน เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า ข้าพระบาทเป็นพรามหมณ์ขัดสน ขอพระองค์จงพระราชทานสมบัติแก่ข้าพระองค์เถิด จึงตรัสว่า เราจะให้ท่านได้ตามความปรารถนา แล้วตรัสว่า ท่านมาขอสิ่งใดกับเรา เราจะให้สิ่งนั้นแก่ท่าน เรามิได้หวั่นไหวเลย ของสิ่งใดของเราที่มีอยู่ เราไม่ปิดบังซ่อนเร้นหวงแหนเลย ใจของเรายินดีอยู่ในการบริจาค ความปรารถนาของเราเต็มบริบูรณ์ดีแล้ว เราคิดไว้ว่า จะให้ดวงตา หัวใจ เนื้อ เลือด ร่างกายกึ่งหนึ่งและร่างกายทั้งหมด จะให้ตนเป็นทาส หรือมีใครมาขอราชสมบัติเราก็จะใช้ราชสมบัติทั้งหมด เราคิดไว้อย่างนี้ จนถึงเวลาใกล้รุ่งวันนี้ เมื่อพระมหาโพธิสัตว์เจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาอำมาตย์ราชเสวกก็มาประชุมกัน จนเกิดเสียงบันลือลั่นทั่วไปทั้งพระนคร เพื่อไม่ให้พระเจ้าอรินทมราชทรงบริจาคราชสมบัติ แต่เมื่อพระเจ้าอรินทมราชทรงบริจาคราชสมบัติอยู่นั้นแก่พราหมณ์ ชาวพระนครก็เกิดความหวาดเสียว สะดุ้งขลาด เกิดขนพองสยองเกล้า พากันแตกตื่นตกใจ เมทนีดลก็กัมปนาทหวาดหวั่นไหวกึกก้องไปทั่วทั้งพระนคร พระเจ้าอรินทมราชพระราชทานราชสมบัติของพระองค์แล้ว ก็บังเกิดพระปรีดาปราโมทย์ทรงยกอัญชลีขึ้นนมัสการทานบริจาคของพระองค์แล้วเปล่งอุทานว่า เราได้ให้ทานนี้ดีแล้วโดยแท้ ดังนี้แล้วจึงโปรดให้นำเอารถเทียมด้วยม้ามาตระเตรียมไว้ ทรงตกแต่งพระวรกายปรารถนาจะออกจากพระนคร จึงลามหาชนแล้วให้พระราชเทวีขึ้นบนรถก่อน ส่วนพระองค์ขึ้นภายหลัง เสด็จออกจากพระนครทางประตู ด้านทิศตะวันตกแล้ว ชาวพระนครทั้งสิ้นต่างก็พากันร่ำร้อง เหล่านางสนม พระราชกุมาร พ่อค้า พราหมณ์ ชาวชนบท ชาวนิคม พลช้าง พลม้า นายสารถี และพลเดินเท้าทั้งปวงก็มาประชุมกัน ส่วนพระมหาโพธิสัตวืเจ้าเห็นมหาชนติดตามมา จึงเปลื้องเครื่องประดับออกพระราชทาน แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายอย่าเศร้าโศกร่ำไรเลย เพราะการบริจาคเช่นนี้เป็นธรรมดาของเรา แล้วประทานโอวาทว่า สังขารทั้งปวงเป็นสภาวะธรรมไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน ไม่คงทนถาวรเลย แต่ถ้าท่านทั้งหลายยังมีความรักในเราแล้ว ท่านทั้งหลายจงให้ทาน จงรักษาศีล จงเจริญภาวนาเถิด ทรงสั่งสอนมหาชนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทแล้ว ก็ทรงให้มหาชนกลับไป ส่วนพระองค์ได้ขับราชรถไปตลอดทาง เมื่อเสด็จไปในระหว่างทาง ท้าวสักกเทวราชก็ออกจากพระนคร สละเพศเป็นพราหมณ์หนุ่มตามพระมหาโพธิสัตว์ไปทูลขอรถเทียมม้านั้น พระมหาโพธิสัตว์เจ้าก็มีพระทัยยินดีเสด็จลงจากรถ แล้วให้พระราชเทวีลงจากรถม้าแล้วตรัสว่า เราไม่ได้ให้รถนี้เพื่อต้องการยศ เราไม่ได้ปรารถนาจะไปเกิดในตระกูลสูง ไม่ได้ปรารถนาทรัพย์สมบัติ ไม่ได้ปรารถนายศ ความประพฤติในการจำแนกแจกทานนี้เป็นของธรรมดาของสัตบุรุษทั้งหลาย มีมาแต่โบราณ เพราะเหตุนี้แหละใจของเราจึงยินดีในทาน ครั้นตรัสแล้วก็พระราชทานรถเทียมม้าแก่พราหมณ์ ส่วนท้าวสักกเทวราชรับรถเทียมม้าแล้ว ก็อันตรธานหายไป จำเดิมแต่นั้น พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก็ทรงพระดำเนินเสด็จไป พระบาทของบรมกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก็แตก พระราชเทวีทอดพระเนตรเห็นบรมกษัตริย์อ่อนกำลังลงแล้ว ส่วนพระนางเจ้าก็ทรงพระครรภ์หนัก ก็ทรงกันแสงด้วยความที่พระนางเจ้าประกอบไปด้วยจริยาวัตรในพระราชสามี มีความจงรักภักดีในพระราชสามีเป็นกำลัง และมีพระทัยเต็มไปด้วยความกรุณา ในขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชก็ได้สละเพศเป็นพราหมณ์ เนรมิตตนเป็นพราหมณ์ชรา มีมือไม้เท้าทำตัวสั่นดังก่อนแล้วติดตามพระมหาโพธิสัตว์ไป ทูลอ้อนวอนว่า ขอพระมหาราชเจ้าจงหยุดก่อน ขอพระองค์จงพระราชทานกหาปณะแก่ข้าพระบาทเถิด พระมหากษัตริย์เจ้าจำพราหมณ์นั้นได้ จึงตรัสว่าดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงอดโทษอย่าได้โกรธเราเลย ตัวเรากับพระราชเทวีจักเป็นทาสทาสีของท่าน เมื่อพราหมณ์ทูลว่า ข้าพระบาทไม่มีความประสงค์จะให้พระองค์ทั้งสองเป็นทาสาทาสีของข้าพระบาท จึงตรัสว่า มหาพราหมณ์ ถ้าพระนั้น ท่านพาเราไปขายเถิด เมื่อพราหมณ์ทูลว่า ข้าพระบาทไม่สามารถจะขายพระองค์ได้ ขอพระองค์จงพระราชทานกหาปณะ ๑,๐๐๐ แก่ข้าพระบาทโดยเร็วเถิด จึงตรัสว่า ดีแล้วมหาพราหมณ์ เราจะขายตัวเราเองกับพระราชเทวีได้แล้ว จะให้กหาปณะ ๑,๐๐๐ แก่ท่าน ดังนี้แล้ว จึงพากันไปหาพราหมณ์ผู้มีทรัพย์ในนครอินทปัตถ์ ขายพระราชเทวีแล้วตรัสว่า เจ้ามีพักตร์อันเจริญ เจ้าจงทำงานในบ้านนี้เถิด พราหมณ์นั้นก็ให้ทรัพย์แก่พระมหาสัตว์ห้าร้อยกหาปณะ พระโพธิสัตว์เจ้าทรงรวบรวมทรัพย์ซึ่งเป็นค่าตัวของพระองค์ห้าร้อยกหาปณะ และค่าตัวของพระราชเทวีห้าร้อยกหาปณะได้แล้ว จึงกล่าวว่า ดูก่อนมหาพรหมณ์ผู้เจริญ ด้วยผลทานอันนี้ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้นอย่าได้วิปโยคพลัดพราคจากกันและกันเลย แล้วก็ให้กหาปณะพันหนึ่งแก่พราหมณ์ พราหมณ์ท้าวสักกะรับเอากหาปณะทั้งสิ้นแล้วก็อันตรธานหายไป จำเดิมแต่นั้น พระมหาโพธิสัตว์ก็ทรงรักษาประตูอยู่ที่บ้านของพราหมณ์นั้น ต่อมา พระเทวีก็ได้คลอดพระโอรสที่บ้านของนางพราหมณี แต่พระโอรสได้เสียชีวิจลง นางพราหมณีได้ยินเสียงกันแสงของพระเทวีแล้ว จึงขับไล่ให้ออกจากบ้านนั้นในกลางดึก พระเทวีจึงไปหาพระมหาโพธิสัตว์แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พระมหาโพธิสัตว์เมื่อพาพระโอรสไปยังป่าช้าเพื่อจะฝัง ก็มีบุญมาเตือนสติให้คิดช่วยพระโอรส จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอหมู่เทพทั้งหลายจงมาประชุมกัน ข้าพเจ้าปรารถนาจะช่วยลูก ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยฆ่าสัตว์ ไม่เคยลักทรัพย์ ไม่เคยล่วงเกินภรรยาคนอื่น ไม่เคยพูดโป้ปดหลอกลวง ไม่เคยดื่มสุราเมรัยเลย ข้าพเจ้าให้ทานยอมขายตนและภรรยาเพื่อเป็นทาสคนอื่นด้วยจิตบริสุทธิ์ ด้วยการกล่าวคำสัตว์นี้ ขอให้บุตรของข้าพเจ้าจงฟื้นคืนชีพในวันนี้เถิด ในทันใดนั้นเอง พระโอรสก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ พระเทวีจึงให้พระโอรสดื่มน้ำนมจากถัน ในขณะนั้น ก็เกิดเหตุน่าอัศจรรย์ ท้าวสักกะเทวราชมีจิตเลื่อมใส เสด็จลงมาประดิษฐานอยู่ในอากาศ ทรงรุ่งเรืองอยู่ด้วยพระสรีระอันเป็นทิพย์ จึงทำให้ป่าช้าสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน แล้วทรงประกาศให้พระอรินทมราชและพระราชเทวีรู้ว่าตนเป็นท้าวสักกะ ทรงพากษัตริย์ทั้งสองพร้อมทั้งพระราชโอรสกลับมายังสุจิรวดีมหานครในวันนั้น พอราตรีสว่าง จึงทรงคืนราชสมบัติให้พระอรินทมราชและพระราชเทวีแล้วก็อันตรธานหายไป จำเดิมแต่กาลนั้นมา พระมหาโพธิสัตว์เจ้ากับพระราชเทวีก็ทรงบำเพ็ญบุญกุศลมีทานเป็นต้น ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้วก็ไปบังเกิดในเทวโลก สมเด็จพระบรมศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อน เราก็ได้ให้มหาทานอย่างนี้ ดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ทัาวสักกเทวราชในกาลนั้นเป็นพระอนุรุทธะในกาลนี้ นางสุวัณณคัพภาในกาลนั้นเป็นนางยโสธราในกาลนี้ ราชบุตรในกาลนั้นเป็นพระราหุลในกาลนี้ พระเจ้าอมรินทมราชในกาลนั้น เป็นเราซึ่งเป็นสัมมาสัมพุทธโลกนาถในกาลนี้ ดังนี้แล