เลียดก๊ก/เล่ม ๑/ตอน ๒

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑๒–๔๔ สารบัญ



แล้วยกไทจูจงเลียบขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองโกเก๋ง ทรงพระนาม พระเจ้าอิวอ๋อง ตั้งนางสินฮองฮอ บุตรสินเฮา เจ้าเมืองสิน เป็นพระมเหสี และเมื่อพระเจ้าอิวอ๋องเสวยราชสมบัตินั้น มีเมืองขึ้นเป็นเมืองเอก เมืองจิ้น กิสินเป็นเจ้าเมือง อยู่ทิศเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเชียงโต เมืองจิ๋น จินเองเป็นเจ้าเมือง อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ เอาเอียงอู เป็นเมืองโท เมืองฌ้อ ฌ้อจงเก๋งเป็นเจ้าเมือง อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้เป็นเมืองเอก และหัวเมืองน้อยซึ่งมีชื่อในแผ่นดินขึ้นกับเมืองหลวงบ้าง ขึ้นกับเมืองเอกบ้างตามระยะไกลและใกล้ เป็นหัวเมืองน้อยร้อยสามสิบ ในหนังสือหากำหนดว่า ขึ้นกับเมืองหลวงและเมืองเอกมากน้อยเท่าไรไม่ และเมืองน้อยร้อยสามสิบนั้น เมืองฬ่อ อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้เป็นเมืองเอก หนึ่ง เมืองโอย อยู่ทิศใต้ แผ่นดินพระเจ้าเกียเค่ง ทุกวันนี้เป็นเมืองหลวงชื่อ เมืองปักกิ่ง หนึ่ง เมืองแต้ อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้ชื่อเมืองอันอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองต้น ทุกวันนี้เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองชัว อยู่ริมแม่น้ำโอลำทิศเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ อ๋องเอียงอ เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองโจ๋ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเตงโต เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองฆัว ทุกวันนี้ชื่อ เมืองฆัวจิว เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองปักเอี๋ยง อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองหง่อ อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี่ชื่อ ไซ้จี๋วเชียงไฮ้ หนึ่ง เมืองอวด อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเจ๊ดอุนเลงโผ เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองตีน ทุกวันนี้ชื่อ เมืองชัวตัว เป็นเมืองเอก หนึ่ง เมืองซือ อยู่ทิศใต้ ทุกวันนี้ชื่อเมือง ชีเสียจิว เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองจู อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเจหลำอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองจู๋ ทุกวันนี้เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองจั๋น ทุกวันนี้ชื่อ เมืองชวงจิวอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองปักเอี๋ยง อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเตียบกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองคอกอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองชวงจิวอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองเหมา อยู่ทิศจะวันออก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองห้อกวน เมืองจัตวา หนึ่ง เมืองจู ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเตงโตกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองซุย ทุกวันนี้เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองยิม ทุกวันนี้เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองซี ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเจเหลงจิว อยู่ทิศใต้ เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองซูกี ทุกวันนี้ชื่อ เมืองกุนจิว อยู่ทิศตะวันออก เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองเอียง อยู่ทิศตะวันออก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองตังเปงจิว เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองชอง อยู่ทิศตะวันออก ทุกวันนี้เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองเสง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองบุนเสงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองอู อยู่ทิศเหนือ ทุกวันนี้เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองเอี้ยม ทุกวันนี้เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเหยือ อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองอูอิขู หนึ่ง เมืองเคก หนึ่ง เมืองจวน หนึ่ง สามเมืองทุกวันนี้เป็นเมืองร้าง หาเจ้าเมืองมิได้ เมืองวำ อยู่ทิศตะวันออก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองจีลำอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองบัว อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ ไทฮั้นจิว เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองกี้ อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองสิวกงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองลี้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองลี้จิว เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมือง[1] อยู่ทิศใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเอียงเสียง เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองกิมบัว อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเฉียซิกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเอียง หนึ่ง เมืองไต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองโกแปะกวน อยู่ทิศตะวันตก เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองอี๋ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองจงเปงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองไหล อยู่ทิศตะวันออก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองไลจิวอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองเกียง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอุยกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองออก อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทุกวันนี้เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองหยง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองสิอูกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองหยง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองสิวอูกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองอุ๋น ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอุนกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองหวน อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองจีออนกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองกำ อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองกำเสีย หนึ่ง เมืองคยง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองฉงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองกุด อยู่ทิศใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเอียงซูกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเค็ก อยู่ทิศตะวันออก ทุกวันนี้ชื่อ ไซเค็ก เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเจียว อยู่ทิศใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองโหจิว เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองอี๋น อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอี๋น หนึ่ง เมืองติ อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองกีกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเบียดกวน ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเบียดกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองอาง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองคางเซียกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองตุน อยู่ทิศตะวันตก หนึ่ง เมืองกัด อยู่ทิศเหนือ ชื่อเมืองกัด หนึ่ง เมืองไต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเคาเสียกวน เป็นจัตวา หนึ่ง [เมือง...][2] ทุกวันนี้ชื่อ เมืองไซเปกกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองปั๋ง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองซุยเปกกวน เป็นเมืองจัตวา เมืองอึ่ง อยู่ทิศตะวันตก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอึงเสีย หนึ่ง เมืองชิต ทุกวันนี้ชื่อ เมืองชิตกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเหียน ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเอียนกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเจียว อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองกีชเลียว หนึ่ง เมืองก๋ง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองคัยชัวกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองโต อยู่ทิศเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองลำเอียงอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองหลก อยู่ทิศใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองโหลำกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเต๊ง ทุกวันนี้ชื่อ ลำเอียงอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองเหยียด ทุกวันนี้ชื่อ เมืองไลเลี้ยวเอียวกุย อยู่ทิศตะวันตก เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเอง อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอูเชงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเหล ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเหลเสียกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเอียว ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเปงเอียงอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองอุย อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเปกเอียงอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองเก๊ง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองโหจีนกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองกี้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองกีเหียว เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองสุน ทุกวันนี้ชื่อ เมืองชีกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองคัด ทุกวันนี้ชื่อ เมืองคัดจิว เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองแก อยู่ทิศตะวันตก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองไซเกงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองจอง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองไซอันอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองหวง อยู่ทิศตะวันออก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองงักกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองปิก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอำเอียงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองโยย ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเปกเอียงอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองหัน ทุกวันนี้ชื่อ เมืองทังจิวหันเสียกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเหลียง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอันเสียงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองเตียว ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอองเสียอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองก๊ก ทุกวันนี้ชื่อ เมืองอูเก้องเสียงเอียงอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองตอง ทุกวันนี้ชื่อ เมืองโจเอียงกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองโหล อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองลำเจียวกวน เป็นเมืองจัตวา หนึ่ง เมืองอิว อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเอียงอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองหวง ทุกวันนี้ชื่อ เต๊กอันอู เป็นเมืองโท หนึ่ง เมืองสุย ทุกวันนี้ชื่อ เมืองซุยจิว เป็นเมืองตรี หนึ่ง เมืองซุนเทียนอู ทุกวันนี้ชื่อ เมืองเทียนจิน เป็นเมืองปากนน้ำเมืองซุนเทียนอู หนึ่ง เข้ากันทั้งเมืองเอกและเมืองน้อยขึ้นแก่เมืองหลวงร้อยสามสิบห้าหัวเมือง แต่เมืองเกียงหยง เมืองเขียนหยง จะได้ขึ้นแก่เมืองหลวงนั้นหามิได้

และพระเจ้าอิวอ๋องครองราชสมบัติ คิดแต่จะหาความสบาย มิได้เอาพระทัยใส่ในราชการบ้านเมือง ครั้นอืนเกียดอู เตียวเอา ตายแล้ว หาผู้จะเพ็ดทูลทัดทานมิได้ จึงมีพระทัยกำเริบ ตั้งเค็ดก๋ง เซ็กอู อินกี๋ว ขึ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ขุนนางสามคนนี้ พระเจ้าอิวอ๋องจะคิดทำการสิ่งใด มิได้ขัด พลอยเพ็ดทูลให้พระเจ้าอิวอ๋องทำการผิดประเวณีกษัตริย์ต่าง ๆ พระเจ้าอิวอ๋องจึงให้ขุนนางทั้งสามคนสืบหาอิสตรีที่รูปงาม ข้าราชการผู้ใดมีลูกหลานเป็นหญิง ปิดบังไว้ไม่ถวาย ก็ให้ลงโทษผู้นั้นถึงตาย สินเฮาเห็นผิด ทูลทัดทานเป็นหลายครั้ง เห็นว่า พระเจ้าอิวอ๋องไม่ฟังคำแล้ว ก็ทูลลากลับไปเมือง

วันหนึ่ง พระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออก ไตหูซินสินกราบทูลว่า ยอดเขาไซกีพัง เสียงแผ่นดินร้องเป็นหลายครั้ง ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นลางประหลาดอยู่ พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังจึงตรัสว่า แต่ภูเขาพังแผ่นดินร้องก็เอามาบอก เราหาต้องการฟังไม่ พระเจ้าอิวอ๋องตรัสแล้วก็เสด็จขึ้น เปกเอียงอูฟังซินสินทูลเป็นเหตุลางการแผ่นดิน พระเจ้าอิวอ๋องตรัสว่า เป็นการเล็กน้อย ไม่นำพา ครั้นจะซ้ำทูลพระเจ้าอิวอ๋องอีก กลัวจะไม่เชื่อฟัง เปกเอียงอูจึงจับมือเตียวซกตายเข้าไว้ แลดูตากันแล้วทอดใจใหญ่บอกว่า เหตุลางบังเกิดดังนี้ ในสิบปีแผ่นดินจะวุ่นวาย

เตียวซกตายจึงว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ รู้ว่า จะเกิดจลาจลแก่บ้านเมือง เหตุใดจึงมิกราบทูลให้ทราบเล่า เปกเอียงอูจึงว่า ความทั้งนี้ถึงจะทูลขึ้นก็ดี เห็นพระเจ้าอิวอ๋องจะมิเชื่อฟัง ขณะเมื่อเปกเอียงอูกับเตียวซกตายพูดกันดังนั้น เค็ดก๋งกับเซ็กอูนั่งอยู่ด้วย วันหนึ่ง พระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออก เค็ดก๋งกับเซ็กอูจึงนำเนื้อความซึ่งเปกเอียงอูกับเตียวซกตายพูดกันนั้นกราบทูลพระเจ้าอิวอ๋องทุกประการ พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า เปกเอียงอูเป็นคนถือตัวว่า รู้การแผ่นดิน บัดนี้ ก็แก่ชรา จะว่าไรก็ฟั่นเฟือนหลงลืม จะเชื่อถ้อยคำเป็นแน่นั้นไม่ได้

พอเตียวซกตายเข้าไปเฝ้า กราบทูลพระเจ้าอิวอ๋องว่า เขาไซกีพังลงอีกเป็นสองครั้งแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่า จะเป็นเหตุแก่บ้านเมือง ถ้าพระองค์มิให้ทำพลีกรรมบวงสรวงระงับเหตุลางเสีย นานไปบ้านเมืองจะเกิดอันตราย พระเจ้าอิวอ๋องยังมิทันตรัสประการใด เค็ดก๋งกับเซ็กอูจึงทูลขี้นว่า เขาไซกีพัง ซินสินก็ได้กราบทูลทราบแล้ว เตียวซกตายกลับนำเนื้อความข้อเขาไซกีพังมาทูลอีกเล่า บัดนี้ บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข หาอันตรายสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ และเตียวซกตายว่า เกิดเหตุลางร้ายนั้น เหมือนจะแช่งบ้านเมืองให้เกิดอันตรายวิบัติต่าง ๆ หาควรแก่ตัวเป็นขุนนางผู้ใหญ่จะกราบทูลไม่

พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังก็โกรธ จึงให้ถอดเตียวซกตายเสียจากที่ขุนนาง เตียวซกตายก็พาบุตรภรรยาไปเข้าทำราชการอยู่กับเจ้าเมืองจิ๋น โปหยงรู้ว่า พระเจ้าอิวอ๋องขับเตียวซกตายเสีย จึงเข้าไปกราบทูลว่า เตียวซกตายเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เห็นว่า เหตุร้ายจะบังเกิดแก่บ้านเมือง จึงกราบทูลหวังจะเตือนสติ ซึ่งพระองค์เชื่อเค็ดก๋งกับเซ็กอูให้ขับเตียวซกตายเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า หาชอบไม่

พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตรัสว่า แต่ก่อนเราเห็นว่า ตัวมีสติปัญญา จึงให้เป็นขุนนางกินเบี้ยหวัด เตียวซกตายเป็นคนหยาบช้า เอาความร้ายมาแช่งบ้านเมืองให้อาณาประราษฎรกำเริบร้อน เราเห็นว่า ชั่ว จึงขับเสีย ตัวขืนว่า เตียวซกตายเป็นคนสัตย์ซื่ออีกเล่า พระเจ้าอิวอ๋องจึงสั่งให้เอาโปหยงไปใส่คุกไว้

ฝ่ายซูตายซึ่งได้หญิงทาริกามาเลี้ยงไว้นั้น ครั้นนางเติบใหญ่ขึ้นมา จึงให้ชื่อ นางโปซู แต่นางโปซูคนนี้ไม่หัวเราะแต่น้อยคุ้มใหญ่ อายุได้สิบสองปี รูปงามนัก เสียงก็เพราะ ฉลาดในการร้องรำ

ฝ่ายโปอ๋องเต๊กเป็นบุตรโปหยงซึ่งต้องโทษจำอยู่ในคุก วันหนึ่ง โปอ๋องเต๊กไปเที่ยวเล่นป่า เดินผ่านมาหลังบ้านโปเสีย ไปเห็นหญิงคนหนึ่งถือถังออกไปตักน้ำที่บ่อ โปอ๋องเต๊กพิศดูรูปร่างงามหาหญิงผู้ใดจะเปรียบเสมอมิได้ ครั้นนางเดินกลับเข้าไปในบ้าน โปอ๋องเต๊กก็ตามไปถามชาวบ้านว่า นางคนนี้ชื่อไร เป็นบุตรผู้ใด ชาวบ้านจึงบอกว่า นางโปซู เป็นบุตรเลี้ยงซูตาย โปอ๋องเต๊กแจ้งดังนั้นจึงคิดว่า ทุกวันนี้ พระเจ้าอิวอ๋องต้องประสงค์อิสตรีรูปงาม แต่โปหยง บิดาเรา เป็นโทษอยู่ในคุกสามปีมาแล้ว ยังมิได้พ้นโทษ ซูตาย บิดานางโปซู ก็เป็นคนยากจนอยู่ จำจะหาเงินทองมาซื้อนางโปซูไปถวายให้มีความชอบไว้ จะได้ทูลขอโทษบิดาให้พ้นจากเวรจำ โปอ๋องเต๊กคิดแล้วก็กลับมาปรึกษามารดาตามที่คิดไว้นั้น มารดาโปอ๋องเต๊กเห็นชอบด้วย จึงให้คนใช้ไปเชิญซูตายมา ณ บ้าน แล้วว่า นางโปซู บุตรีท่าน รูปงามนัก ควรจะถวายพระเจ้าอิวอ๋อง ถ้าชอบพระอัธยาศัยโปรดปราน นางโปซูก็จะได้เป็นดี เรากับท่านก็คงจะได้พึ่งบุญนางโปซูไปจนตาย ถ้าท่านปิดบังไว้ไม่ถวาย มีผู้เพ็ดทูลเสียดส่อขึ้น เห็นว่า ท่านจะได้ความผิดเป็นมั่นคง

ซูตายได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่านี้ชอบ ข้าพเจ้าคิดจะใคร่เอาไปถวาย แต่ข้าพเจ้าเป็นคนจนขัดสนด้วยเงินทอง และสิ่งของเครื่องจะตกแต่งบุตรีหามีไม่ มารดาโปอ๋องเต๊กจึงว่า ข้อนั้นไว้เป็นธุระเราจะช่วยทำนุบำรุง อย่าวิตกเลย มารดาโปอ๋องเต๊กจึงจัดแพรสีต่างกันสามร้อยม้วน กับผ้าขาวเนื้อดีสามร้อยพับ ให้คนใช้ไปส่งซูตายถึงบ้าน ซูตายได้แพรและผ้า ดีใจนัก จึงพานางโปซู บุตรี มามอบให้มารดาโปอ๋องเต๊กถึงบ้าน มารดาโปอ๋องเต๊กเห็นนางโปซูรูปงาม ดีใจนัก ด้วยจะได้ความชอบในพระเจ้าอิวอ๋อง จึงสั่งสอนโปซูให้รู้ขนบธรรมเนียมในพระมหากษัตริย์สิ้นทุกประการ แล้วจึงจัดแจงเงินทองสิ่งละถาดเข้าไปหาเค็ดก๋งกับเซ็กอู ณ บ้าน บอกว่า ข้าพเจ้าได้นางรูปงามคนหนึ่งจะถวายไถ่โทษโปหยง ท่านทั้งสองจงช่วยทำนุบำรุงข้าพเจ้าด้วย

เค็ดก๋งกับเซ็กอูได้ของกำนัลก็ดีใจ จึงว่า อย่าวิตกเลย เราจะช่วยธุระท่านให้สำเร็จ มารดาโปอ๋องเต๊กก็คำนับลามาบ้าน ครั้นเวลารุ่งเช้า เค็ดก๋งกับเซ็กอูจึงเข้าไปเฝ้า พระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออกตรัสด้วยราชการบ้านเมืองเสร็จแล้ว ขุนนางทั้งสองจึงกราบทูลว่า ภรรยาโปหยงมาหาข้าพเจ้า จะถวายบุตรีคนหนึ่งชื่อ โปซู รูปงามหาผู้เสมอมิได้ จะขอไถ่โทษโปหยง พระเจ้าอิวอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านจงไปพานางโปซูมาให้เราดูก่อน ถ้าแม้นรูปงามเหมือนท่านว่า จึงจะให้โปหยงพ้นโทษ เค็ดก๋งก็รีบกลับออกจากที่เฝ้าตรงไปบ้าน จึงใช้ให้คนไปบอกภรรยาโปหยง ภรรยาโปหยงก็แต่งตัวนางโปซูด้วยเสื้อผ้าอย่างดี แล้วภรรยาโปหยงก็ให้นางโปซูขึ้นขี่เกวียนพาไปบ้านเค็ดก๋ง เค็ดก๋งก็ออกมาต้อนรับนำนางทั้งสองเข้าไปในราชวัง พระเจ้าอิวอ๋องยังเสด็จคอยท่าอยู่ เค็ดก๋งก็พาภรรยาโปหยงกับนางโปซูเข้าไปเฝ้าทูลถวายตัวนางโปซู พระเจ้าอิวอ๋องทอดพระเนตรเห็นนางโปซูงาม ชอบพระทัยนัก จึงตรัสแก่เค็ดก๋งว่า แต่เราหาอิสตรีรูปงามได้ไว้แต่ก่อนเป็นอันมาก ยังหามีผู้ใดงามเหมือนนางโปซูไม่ อันนางโปซูคนนี้งามพร้อม ทั้งจริตกิริยาละม่อมละไม สมเป็นนางสนมกำนัล และภรรยาโปหยงมีความชอบมากนัก จงให้โปหยงพ้นจากเวรจำ ให้คงเป็นขุนนางดังเก่าเถิด

แล้วพระเจ้าอิวอ๋องตรัสสั่งนางเถ้าแก่ให้รับนางโปซูเข้าไปในวัง พระราชทานเงินทองเครื่องใช้สอยเป็นอันมาก ทั้งให้เค้งไต้[3] แก่นางโปซูเป็นที่อยู่ แล้วพระเจ้าอิวอ๋องก็เสด็จไปอยู่กับนางโปซูทั้งกลางวันกลางคืนเป็นนิตย์ มิได้เสด็จไปหานางสินฮองฮอและพระสนมทั้งปวงเหมือนแต่ก่อน จนนางโปซูมีครรภ์ได้สองเดือนเศษ

ฝ่ายนางสินฮองฮอ มเหสี แจ้งว่า พระเจ้าอิวอ๋องได้นางโปซูมาเลี้ยงเป็นสนมเอก โปรดปรานนัก มิได้เสด็จมาช้านาน ก็มีจิตริษยา จะใคร่ไปดูนางโปซูว่า จะงามสักเพียงไร จึงลงจากตึกไปเค้งโต้คอยมองดู เห็นพระเจ้าอิวอ๋องนั่งเคียงกับนางโปซูอยู่บนเตียง นางโปซูถือจอกสุราคอยถวายให้เสวย นางสินฮองฮอมีความแค้นจนเหงื่อออก อดใจมิได้ จึงเดินตรงเข้าไปหน้าที่นั่ง พระเจ้าอิวอ๋องเห็นก็อายพระทัย จึงให้นางโปซูลงจากเตียงคำนับนางสินฮองฮอ นางสินฮองฮอมิได้รับคำนับนางโปซู จึงเดินเข้าไปใกล้พระเจ้าอิวอ๋อง คำนับ แล้วแกล้งทูลถามว่า นางรูปงามคนนี้ผู้ใดเอามาถวายพระองค์

พระเจ้าอิวอ๋องยิ้มแล้วจึงตรัสบอกว่า นางโปซูคนนี้ ภรรยาโปหยงให้ เราพึ่งได้มาใหม่ คิดจะให้ไปคำนับวันนี้ พอเจ้ามา อย่าน้อยใจเลย จงรับคำนับนางโปซูเถิด นางสินฮองฮอได้ฟังก็โกรธ จึงทูลว่า พระองค์ชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นที่ฮองฮอ นางโปซูเป็นผู้น้อย เห็นข้าพเจ้ามา แกล้งทำเฉยเสีย หานับถือยำเกรงไม่ ต่อมีรับสั่งให้คำนับ ขัดมิได้ จึงคำนับนั้น ข้าพเจ้าเจ็บใจนัก จะขอทำให้รู้จักสำนึกเสียหน่อยหนึ่ง ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปจะตีนางโปซู พระเจ้าอิวอ๋องก็เสด็จยืนขึ้นป้องกันนางสินฮองฮอไว้ นางสินฮองฮอยิ่งมีความแค้นนัก ครั้นจะรุกรานเข้าไป ก็เกรงพระราชอาญา จึงชี้หน้าด่าตัดพ้อว่า อีโปซู กูฝากมึงไว้ด้วยเถิด ว่าแล้วก็ลงจากเค้งไต้ตรงไปที่อยู่

ฝ่ายงีเป๊กเห็นมารดากลับมาดูกิริยาไม่สบาย จึงเข้าไปคำนับแล้วถามว่า วันนี้ มารดามีทุกข์ร้อนประการใดหรือ นางสินฮองฮอจึงเล่าความให้บุตรฟังทุกประการ แล้วว่า นางโปซูมันถือตัวว่า บิดาเจ้ารัก จึงมิได้ยำเกรงมารดา นานไปเบื้องหน้า เห็นเราจะได้ความเดือดร้อนเพราะนางโปซูเป็นมั่นคง งีเป๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธนางโปซูนัก จึงว่า ข้าพเจ้าจะคิดอ่านเอาความผิดอีโปซู จะตบตีเสียให้ยับเยินจงได้ นางสินฮองฮอก็ห้ามงีเป๊กว่า เจ้าเป็นเด็ก จะไปล่วงเกินดังนั้นจะได้ความผิด งีเป๊กจึงว่า ตามบุญตามกรรมเถิด ครั้นเวลารุ่งเช้า งีเป๊กถือกระบองพาคนใช้ไปเข้าสวนดอกไม้หลังตีกนางโปซู งีเป๊กจึงให้คนใช้ขึ้นไปหักดอกไม้และกิ่งไม้เสียเป็นหลายกิ่งทิ้งเรี่ยรายอยู่ ฝ่ายคนใช้นางโปซูเห็นดังนั้นก็เข้ามาห้าม พวกงีเป๊กมิฟัง คนใช้ทั้งสองฝ่ายวิวาทกันอื้ออึงขึ้น นางโปซูอยู่ในตึก เดินลงไปถามคนใช้ว่า ใครมาหักต้นไม้เรา งีเป๊กเห็นนางโปซูก็โกรธ จึงวิ่งเข้าไปจิกผมนางโปซู แล้วก็ตีด้วยกระบอง

ขณะนั้น ขันทีทั้งปวงเห็นงีเป๊กตีนางโปซู ต่างคนตกใจ วิ่งมาห้ามงีเป๊กไว้ งีเป๊กชี้หน้านางโปซูแล้วว่า เราทำครั้งนี้พอให้รู้จักฝีมือไว้ ว่าแล้วงีเป๊กก็พาพวกกลับไปที่อยู่ นางโปซูได้ควารมเจ็บอายนัก เดินร้องไห้ขึ้นไปบนตึกคอยเสด็จพระเจ้าอิวอ๋องอยู่ ขณะเมื่องีเป๊กตีนางโปซูนั้น พระเจ้าอิวอ๋องเสด็จอยู่ข้างหน้า ครั้นเสด็จขึ้น ก็ไปหานางโปซู เห็นนางโปซูสยายผมก้มหน้าร้องไห้อยู่ริมเตียง ก็ตกพระทัย จึงตรัสถามว่า เจ้าเจ็บปวดสิ่งไรหรือ จึงร้องไห้ นางโปซูเห็นได้ท่วงที จึงกราบทูลทั้งน้ำตาว่า งีเป๊ก ราชบุตรของพระองค์ พาคนใช้เข้ามาหักดอกไม้ในสวนหลังตึก ข้าพเจ้าลงไปห้ามโดยดี งีเป๊กจิกศีรษะข้าพเจ้า แล้วตีข้าพเจ้าด้วยกระบอง หากพวกขันทีวิ่งมาช่วยห้ามปรามทันที ข้าพเจ้าจึงรอดจากความตาย แต่ยังเจ็บระบมอยู่ทั้งตัวทนมิได้จึงร้องไห้ ถึงมาตรว่าข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต สงสารแต่บุตรในครรภ์ได้สองเดือนเศษจะพลอยตายด้วย ทูลพลางร้องไห้พลางซบหน้าลงกับพระบาท

พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า เกิดความทั้งนี้ก็เพราะมารดางีเป๊กโกรธว่า เจ้าไม่ไปคำนับ เห็นจะไปเล่าความให้บุตรฟัง งีเป๊กจึงบังอาจมาโบยตีเจ้า ไม่เกรงใจเราผู้เป็นบิดา จะเลี้ยงไว้ไม่ได้ จะให้ขับเสียจากเมือง พระเจ้าอิวอ๋องจึงสั่งขันทีให้ออกไปสั่งขุนนางกรมวังว่า ขุนนางสี่คนซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสืองีเป๊กนั้นให้ถอดเสียจากที่ขุนนางทั้งสี่ แล้วขับงีเป๊กเสียจากเมืองตามรับสั่ง งีเป๊กกลัวอาญาพระบิดานัก มิทันจะลามารดา งีเป๊กก็พาอาจารย์ทั้งสี่คนขึ้นขี่เกวียนออกจากเมืองหลวง จะไปอยู่กับสินเฮาผู้เป็นตา ณ เมืองสิน

ฝ่ายนางสินฮองฮอครั้นแจ้งความว่า งีเป๊กผู้เป็นบุตรไปตีนางโปซู พระเจ้าอิวอ๋องทรงพระโกรธ สั่งให้ขัยเสียจากเมือง นางสินฮองฮอก็ร้องไห้ว่า เหตุทั้งนี้เพราะงีเป๊กไม่ฟังคำ จึงพลัดพรากจากกัน นางสินฮองฮอมิรู้ที่จะเพ็ดทูลประการใด แต่ทุกข์ตรมใจอยู่ทุกเวลามิได้ขาด

ฝ่ายนางโปซูทรงครรภ์ ครั้นถ้วนสิบเดือน ก็ประสูติบุตรเป็นชายรูปร่างเหมือนพระเจ้าอิวอ๋อง พระเจ้าอิวอ๋องมีพระทัยรักใคร่ในทารกนั้น แล้วจึงจัดพี่เลี้ยงนางนมให้บำรุงเลี้ยงพระราชบุตรจนค่อยจำเริญขึ้นตามเสด็จออกไปข้างหน้าได้ พระเจ้าอิวอ๋องจึงประทานนามพระราชบุตรให้ชื่อ เป๊กฮก

อยู่มา เค็ดก๋ง เซ็กอู อินกี๋ว ขุนนางทั้งสาม จึงปรึกษากันว่า บัดนี้ เป๊กฮกก็จำเริญขึ้นมาแล้ว ควรจะกราบทูลให้พระเจ้าอิวอ๋องยกขึ้นเป็นที่ไทจู๊ แปลเป็นคำไทยว่า ลูกหลวงเอก ครั้นปรึกษาเสร็จเห็นพร้อมกันทั้งสาม จึงเข้าไปบอกนางโปซูตามที่ได้ปรึกษาเห็นพร้อมกันนั้น

นางโปซูแจ้งดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงให้คนใช้กลับไปบอกแก่ขุนนางทั้งสามว่า ข้าพเจ้าหาญาติพี่น้องจะช่วยทำนุบำรุงมิได้ เห็นแต่ท่านทั้งสามเหมือนญาติจะช่วยอุปถัมภ์ ถ้าและเป๊กฮกได้เป็นที่ไทจู๊ขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลให้ท่านทั้งสามได้เลื่อนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ยิ่งขึ้นไป เค็ดก๋ง เซ็กอู และอินกี๋ว แจ้งดังนั้นก็ดีใจ จึงสั่งกำชับพรรคพวกให้คอยสอดแนมดูอย่าให้ผู้ใดไปหานางสินฮองฮอ ฝ่ายนางสินฮองฮอ ตั้งแต่งีเป๊กถูกเนรเทศไปจากเมือง ก็ร้องไห้หางีเป๊กผู้บุตรทุกเวลามิได้ขาด

คนสนิทเห็นดังนั้นก็มีความสงสารนางสินฮองฮอนัก จึงเข้าไปคำนับแล้วว่า พระเจ้าอิวอ๋องทรงพระโกรธ ให้ขับงีเป๊กไทจู๊ไปอยู่เมืองสินนั้นก็นานแล้ว บัดนี้ เห็นพระเจ้าอิวอ๋องคงจะค่อยคลายที่ขัดเคือง ขอท่านจงมีหนังสือลับไปถึงงีเป๊ก ณ เมืองสิน ให้งีเป๊กทำเรื่องราวเข้ามาขอโทษ ข้าพเจ้าเห็นว่า พระเจ้าอิวอ๋องจะเกิดความเมตตาโปรดให้เข้ามาเมือง ท่านก็จะได้สิ้นความทุกข์ นางสินฮองฮอจึงตอบว่า ทุกวันนี้ เค็ดก๋งก็ให้ห้ามปรามมิให้ผู้ใดเข้ามาหาเรา และจะได้คนซึ่งจะถือหนังสือไปนั้น เราไม่เห็นผู้ใดเลย

คนสนิทจึงว่า พี่สาวข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่งชื่อ นางอุนอี๋น เป็นหมอเคยรักษาอยู่ในวังเนือง ๆ ท่านจงทำเป็นป่วย ให้เข้ามารักษา ท่านจึงลอบว่ากล่าวให้นางอุนอี๋นถือหนังสือลับไปเมืองสิน ข้าพเจ้าเห็นว่า ผู้คนจะไม่มีความสงสัย นางสินฮองฮอเห็นชอบด้วย จึงแกล้งทำเป็นป่วย คนสนิทก็แสร้งพูดให้อื้ออึงว่า นางสินฮองฮอป่วย แล้วออกไปพานางอุนอี๋นเข้ามารักษานางสินฮองฮอ ณ ตึก นางสินฮองฮอจึงร้องไห้เล่าความให้ฟัง แล้วว่า ท่านกรุณาช่วยถือหนังสือลับนี้ไปให้งีเป๊กซึ่งอยู่ ณ เมืองสินให้กลับมา จะได้หรือมิได้

นางอุนอี๋นรับว่า ท่านจะใช้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ขัด จะสนองคุณท่านสักครั้งหนึ่ง ท่านอย่าวิตกเลย นางสินฮองฮอได้ฟังดังนั้นก็ยินดีนัก ครั้นเพลาค่ำ นางสินฮองฮอตามตะเกียงเขียนหนังสือลับซึ่งจะให้นางอุนอี๋นถือหนังสือไปถึงงีเป๊กผู้บุตรนั้น นางอุนอี๋นก็นอนค้างอยู่ในวัง

ขณะเมื่อนางสินฮองฮอกับนางอุนอี๋นพูดกันอยู่นั้น คนใช้นางสินฮองฮอซึ่งใช้สอยอยู่ในตึกได้ยิน คิดจะโจทนาย จึงเอาความไปบอกนางโปซูว่า บัดนี้ นางสินฮองฮอคิดกันกับนางอุนอี๋น เพลาพรุ่งนี้ จะให้นางอุนอี๋นถือหนังสือลับไปถึงงีเป๊ก ในหนังสือนั้นจะเป็นถ้อยความประการใดข้าพเจ้าไม่แจ้ง นางโปซูได้ฟังดังนั้น ก็ให้คนไปกำกับนายประตูอยู่ในเพลากลางคืน

ฝ่ายนางสินฮองฮอ ครั้นรุ่งเช้า จึงส่งหนังสือ กับแพรสี่ม้วน ทั้งเงินทองสำหรับจ่ายเป็นเสบียงเดินทาง ให้นางอุนอี๋น นางอุนอี๋นก็คำนับลาออกจากตึกไปถึงประตูวัง

ขณะนั้น คนใช้ของนางโปซูซึ่งไปกำกับนายประตูอยู่นั้นก็ให้จับตัวนางอุนอี๋นไว้ แล้วถามว่า ท่านได้แพรมาแต่ไหน นางอุนอี๋นก็บอกว่า นางสินฮองฮอป่วย หาเราเข้าไปรักษาโรค โรคนั้นค่อยบรรเทาลง นางสินฮองฮอจึงให้แพรมาเป็นค่ายา

คนใช้ของนางโปซูก็ให้นายประตูค้นได้หนังสือในกลีบเสื้อนางอุนอี๋น จึงให้นายประตูคุมตัวนางอุนอี๋นไว้ แล้วเอาแพรกับหนังสือไปคำนับแจ้งความแก่นางโปซู นางโปซูรับหนังสือ ฉีกผนึกออกอ่านดู รู้ความในหนังสือนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้จำนางอุนอี๋นไว้ มิให้ผู้ใดไปมาหากันได้ แล้วนางโปซูขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าอิวอ๋อง จึงฉีกแพรสี่ม้วนนั้นเป็นท่อน ๆ ทิ้งลงตรงหน้าพระที่นั่ง พลางร้องไห้ทูลความว่า พระมเหสีของพระองค์ให้หนังสือลับไปถึงงีเป๊ก จะให้คิดอ่านพาลฆ่าข้าพเจ้าเสีย แล้วนางโปซูก็ถวายหนังสือต่อพระหัตถ์

พระเจ้าอิวอ๋องคลี่หนังสือออกทอดพระเนตร ก็จำได้ว่า เป็นลายมือนางสินฮองฮอ จึงทรงอ่านใจความในหนังสือนั้นว่า งีเป๊กก็จำเริญใหญ่กล้าขึ้นมาแล้ว ให้งีเป๊กกลับเข้ามาคิดอ่านการแก้แค้นนางโปซูเสียให้จงได้ พระเจ้าอิวอ๋องตรองงความเห็นว่า งีเป๊กโกรธว่า เราขับเสีย จะนำกองทัพเมืองสินมากระทำแก่เมืองหลวงเป็นมั่นคง พระเจ้าอิวอ๋องจึงให้เอาตัวนางอุนอี๋นเข้ามาหน้าที่นั่ง มิได้ไต่ถามประการใด ชักพระแสงกระบี่ออกฟัน นางอุนอี๋นตัวขาดสองท่อน ก็ถึงแก่ความตาย ให้เอาศพไปทิ้งเสียนอกวัง

ขณะนั้น นางโปซูครั้นเห็นพระเจ้าอิวอ๋องทรงพระโกรธได้ท่วงทีแล้ว ก็แกล้งทำเป็นร้องไห้ แล้วกราบทูลว่า งีเป๊กมีความพยาบาทข้าพเจ้า แต่พระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ งีเป๊กยังไม่กลัวเกรง แกล้งทำโทษโบยตีข้าพเจ้าถึงสาหัส ถ้าพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ราชสมบัติได้แก่งีเป๊ก ข้าพเจ้ากับบุตรก็จะตายอยู่ในเงื้อมมืองีเป๊กเป็นมั่นคง

พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังดังนั้น จึงตรัสปลอบนางโปซูว่า เจ้ากริ่งเกรงอยู่ฉะนั้นก็ชอบ แต่อย่าวิตกเลย เราจะให้เป๊กฮก บุตรของเจ้า เป็นที่ไทจู๊ จะให้ถอดนางสินฮองฮอ จะตั้งเจ้าเป็นฮองฮอ มเหสี แต่จะต้องปรึกษาขุนนางก่อน แม้นเข้ามิยอม ก็เป็นความจนใจ

นางโปซูทูลว่า ประเวณีข้ากับเจ้าจะคิดทำสิ่งไร ผู้ซึ่งเป็นข้าไม่ตามบังคับเจ้าก็มีโทษ ซึ่งพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ จะเกรงใจขุนนางอยู่ ตรัสสิ่งใดมิได้มีสิทธิ์ขาด มิเสียพระเกียรติยศไปหรือ พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า เป็นธรรมเนียมกษัตริย์ จะทำสิ่งใดเป็นการแผ่นดิน ย่อมปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ให้เห็นชอบพร้อมมูลแล้วทำการ จึงจะเป็นมงคล พรุ่งนี้ เราจะปรึกษาเค็ดก๋ง เซ็กอู อินกี๋ว ก่อน ถ้าเขาเห็นชอบด้วยแล้ว จึงจะให้บุตรเจ้าเป็นที่ไทจู๊

นางโปซูได้ยินพระเจ้าอิวอ๋องตรัสออกชื่อขุนนางทั้งสามก็ดีใจ ด้วยรู้อยู่ว่า เขาจะช่วยทำนุบำรุง จึงทูลว่า พระองค์กลัวความนินทา จะปรึกษาขุนนางให้พร้อมกันตามประเวณีกษัตริย์นั้น ก็ควรแล้ว ครั้นเวลารุ่งเช้า พระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออกขุนนาง จึงตรัสแก่เค็ดก๋ง เซ็กอู อินกี๋ว ว่า อันนางสินฮองฮอเราตั้งแต่งให้เป็นมเหสีได้ว่ากล่าวบังคับฝ่ายใน นางสินฮองฮอมีใจหึงสานางโปซู นางโปซูหาความผิดมิได้ นางสินฮองฮอทำบังอาจหยาบช้าด่าทอนางโปซูต่อหน้าเรา แล้วมิหนำซ้ำ ให้งีเป๊กผู้บุตรมาโบยตีนางโปซูอีเกเล่า เราเห็นว่า งีเป๊กผิด จึงให้ขับเสีย บัดนี้ นางสิงฮองฮอคิดทำหนังสือลับจะให้ไปถึงงีเป๊ก ให้งีเป๊กนำกองทัพเมืองสินมาทำร้ายเรา นี่หากว่า นางโปซูจับหนังสือลับได้ เราจึงรู้ตัว นางสินฮองฮอมิได้ตรงต่อเราแล้ว เราจะให้ถอดเสียจากที่ อันนางโปซูมีใจจงรักภักดีต่อเรา คิดอ่านจับหนังสือลับได้ เราเห็นว่า นางโปซูมีความชอบต่อเรามากอยู่ ควรจะให้เป็นที่ฮองฮอ จะให้เป๊กฮกเป็นไทจู๊ ท่านจะเห็นประการใด ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามได้ฟังดังนั้น จึงกราบทูลว่า ความทั้งนี้ข้าพเจ้าได้ปรึกษากันว่า จะกราบทูล ซึ่งพระองค์จะตั้งนางโปซูเป็นมเหสี และจะให้เป๊กฮกที่ไทจู๊นั้นควรแล้ว จะได้สืบเชื้อวงศ์ บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขไปกว่าพันปี พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังขุนนางทั้งสามพร้อมกันยอมใจให้นางโปซูเป็นมเหสีสมดังพระทัยคิด ก็ยินดี จึงสั่งให้ริบราชบาตรนางสินฮองฮอ ตัวนั้นให้จำขังไว้ที่เหลียงเก๋ง คำไทยว่า ตึกเย็น เป็นที่จำสงัด

ครั้งนั้น พระเจ้าอิวอ๋องเสวยราชสมบัติได้เก้าปี ณ เดือนเจ็ด ตั้งนางโปซูให้เป็นที่ฮองฮอ มเหสี ได้บังคับฝ่ายในสิทธิ์ขาด ให้เป๊กฮกเป็นที่ไทจู๊ ลูกหลวงเอก แล้วให้มีกฎหมายห้ามขุนนางมิให้ผู้ใดนำเอาความนางสินฮองฮอกับงีเป๊กมากราบทูล ถ้าผู้ใดมิฟัง ให้ลงอาญาเอาเป็นพวกงีเป๊กเสมอโทษกบฏ

ฝ่ายเปกเอียงอูกับขุนนางทั้งปวงเห็นว่า พระเจ้าอิวอ๋องให้ลงโทษนางสินฮองฮอ ให้เป๊กฮกเป็นที่ไทจู๊ ลูกหลวง บรรดาขุนนางซึ่งมีความคิดคาดการณ์เห็นว่า เมืองจะเกิดจลาจล เพราะพระเจ้าอิวอ๋องหลงรักนางโปซู ต่างคนเสียน้ำใจ ก็ทูลลาออกจากที่ขุนนางไปอยู่เมืองอื่นเป็นหลายคน

แต่เปกเอียงอู ขุนนางผู้เฒ่านั้น เห็นว่า พระเจ้าอิวอ๋องจวนจะสิ้นบุญอยู่แล้ว ถึงจะเพ็ดทูลทัดทาน ก็เห็นหาฟังไม่ เปกเอียงอูทอดใจใหญ่ คิดจะเอาตัวรอด จึงเข้าไปเฝ้าทูลว่า ข้าพเจ้าก็แก่ชรา จะคิดอ่านสิ่งใดก็ได้หน้าลืมหลัง จะรับราชการไป เห็นจะไม่พ้นอาญา ข้าพเจ้าขอออกนอกราชการไปควบคุมลูกหลานหาเลี้ยงชีวิตจนกว่าจะตาย พระเจ้าอิวอ๋องก็โปรดให้ไป เปกเอียงอูก็คำนับลาไปอยู่บ้านเก่า

วันหนึ่ง พระเจ้าอิวอ๋องเสวยสุรากับนางโปซูเป็นที่สบาย ให้พนักงานขับบำเรอ พระเจ้าอิวอ๋องตรัสสัพยอกนางโปซูต่าง ๆ เห็นนางโปซูมิได้ยิ้ม จึงตรัสถามว่า สินฮองฮอซึ่งเป็นที่ขัดเคืองเจ้า เราก็ถอดนางเสียแล้ว เจ้าก็ได้เป็นที่มเหสีเอกแล้ว เหตุใดจึงมิได้ยิ้มแย้มเลย ดูใจเจ้าเหมือนไม่สบาย มีความขัดเคืองผู้ใดอยู่อีกหรือ

นางโปซูได้ฟังรับสั่ง เห็นได้ที ด้วยคิดพยาบาท จะใคร่ให้พระเจ้าอิวอ๋องยกทัพไปตีเอาเมืองสิน จับตีงีเป๊กมาฆ่าเสียให้สิ้นเสี้ยนหนาม จึงทูลว่า พระองค์โปรดเลี้ยงข้าพเจ้ากับบุตรให้มียศศักดิ์ทั้งนั้น ข้าพเจ้ายินดีหาที่สุดมิได้ แต่การที่ไม่ยิ้มแย้มนั้น ยังไม่มีสิ่งจะชอบใจ ข้าพเจ้าจึงมิได้หัวเราะ อันเสียงกระจับปี่และสีซอซึ่งพนักงานทำบำเรอข้าพเจ้าทั้งนี้ ข้าพเจ้าฟังเสียงหาเพราะเหมือนเสียงฉีกแพรเมื่อจับหนังสือลับได้ไม่

พระเจ้าอิวอ๋องกำลังเสพสุราเมา มิได้เห็นความในถ้อยคำซึ่งนางว่านั้น คิดแต่จะใคร่ให้นางโปซูยิ้มแย้มยินดี จึงขนแพรมาเป็นอันมาก ให้นางนักสนมทั้งปวงฉีกแพรให้นางโปซูฟังเสียง นางโปซูก็มิได้หัวเราะ พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า ผู้ใดจะกระทำให้นางโปซูหัวเราะได้ เราจะให้ทองพันตำลึงเป็นรางวัล นางสนมทั้งปวงได้ฟังรับสั่งดังนั้น ต่างคนจะใคร่ได้ทองพันตำลึง จึงร้องรำทำเพลงต่าง ๆ นางโปซูก็มิได้หัวเราะ พระเจ้าอิวอ๋องก็ยิ่งรำคาญพระทัย คิดจะทำอุบายให้นางโปซูหัวเราะให้จงได้ ครั้นเวลาสาย เสด็จออกขุนนางข้างหน้า ในพระทัยนั้นผูกพันคิดถึงแต่นางโปซู อดกลั้นอยู่มิได้ ตรัสเล่าเนื้อความให้เซ็กอูฟัง แล้วว่า ผู้ใดจะทำอุบายให้นางโปซูหัวเราะได้ เราจะให้รางวัลทองพันตำลึง เซ็กอูเป็นคนช่างพูดประจบประแจง จึงทูลว่า อันร้องรำทำเพลงต่าง ๆ โปซูฮองฮอก็ไม่หัวเราะ เพราะไม่ชอบใจ ถ้าชอบใจแล้ว ไหนจะกลั้นหัวเราะได้ ข้าพเจ้าเห็นอุบายอยู่สิ่งหนึ่ง ขอเสด็จพระองค์พานางโปซูขึ้นพลับพลาสูงซึ่งปลูกไว้บนเขาลิสาน ข้าพเจ้าจะขึ้นไปจุดไฟบนเอียนตุนซึ่งทำไว้นัดกองทัพหัวเมือง และเอียนตุนนี้ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเซ้งอ๋องให้ทำไว้ยี่สิบสี่แห่ง ระยะห่างกันสองร้อยหกสิบเส้น เอียนตุนหนึ่ง เอียนตุนนั้นแปลภาษาไทยว่า ร้านไฟ มีกลองสำหรับไว้ใบหนึ่ง เจ้าพนักงานอยู่รักษา แม้นเมืองหลวงเกิดศึกเมื่อใด ก็จุดเพลิงบนเอียนตุนและตีกลองเป็นสำคัญ หัวเมืองทั้งปวงเห็นแสงเพลิงและได้ยินกลองสัญญา ก็จะยกกองทัพมาช่วยเมืองหลวงพร้อมกัน และจะจุดเพลิงบนเอียนตุนขึ้นครั้งนี้ ทัพหัวเมืองทั้งปวงก็จะยกมา แม้นไม่เห็นข้าศึก ก็จะไต่ถามกันเอิกเกริก ข้าพเจ้าเห็นว่า นางโปซูจะหัวเราะ ด้วยกองทัพมาเก้อกลับไปเปล่า พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้เซ็กอูไปจัดแจงพลับพลาสูงที่จะทอดพระเนตรกองทัพ แล้วเสด็จเข้าพระราชวัง ตรัสชวนนางโปซูมาทรงรถเทียมด้วยม้าพร้อมด้วยขุนนางและพระสนมฝ่ายในตามเสด็จไปเขาลิสาน เขาลิสานนั้นอยู่ในกำแพงเมืองชั้นนอก ครั้นถึงเชิงบันได พระเจ้าอิวอ๋องก็ชวนนางโปซูกับนางสนมทั้งปวงขึ้นบนพลับพลาที่สูง พระเจ้าอิวอ๋องชี้พระหัตถ์ตรัสบอกให้นางโปซูชมภูเขาและต้นไม้อันทรงดอกผลต่าง ๆ

ขณะนั้น เตงเป๊กอิว เจ้าเมืองเตง ซึ่งเข้ามารับราชการเป็นขุนนางตำแหน่งกรมแสง ตามเสด็จขึ้นไปด้วย แจ้งความว่า พระเจ้าอิวอ๋องจะให้จุดเอียนตุนเล่น ก็ตกใจ จึงร้องกราบทูลขึ้นไปว่า บ้านเมืองของพระองค์มิได้มีข้าศึกศัตรูมาย่ำยี ซึ่งจะให้จุดเอียนตุนขึ้นนั้น หัวเมืองทั้งปวงจะสำคัญว่า เมืองหลวงเกิดศึก จะยกกองทัพมาตามสัญญาเมืองแต่ก่อน ถ้าไม่เห็นข้าศึกก็จะกลับไป เบื้องหน้า ถ้าแม้นเมืองหลวงเกิดศึก จะจุดเอียนตุนให้กองทัพยกมาช่วย ข้าพเจ้าเห็นว่า ทัพหัวเมืองทั้งปวงจะหายกมาช่วยตามสัญญาไม่ ขออย่าให้จุดเอียนตุนเลย พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังก็โกรธ จึงตรัสว่า บ้านเมืองเราเป็นสุขอยู่แล้ว เราจะให้จุดเอียนตุนเล่นเป็นการให้สบายใจ มิควรจะทัดทาน ว่าแล้วก็ตรัสพูดเล่นอยู่กับนางโปซู ครั้นเวลาค่ำ พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสสั่งเซ็กอูให้เจ้าพนักงานตีกลองและจุดเพลิงทุกเอียนตุน

ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลวง ครั้นเห็นแสงเพลิงบนเอียนตุน ก็ตกใจ สำคัญว่า เมืองหลวงเกิดศึก ต่างเมืองกะเกณฑ์ทหารเข้ากระบวนทัพในเวลากลางคืน พอรุ่งเช้า ก็รีบไปเมืองหลวงตามระยะทางใกล้และไกล

ฝ่ายพระเจ้าอิวอ๋องเสด็จประทับแรมอยู่บนพลับพลาสูง เสวยสุรากับนางโปซู คอยกองทัพหัวเมืองอยู่ถึงเจ็ดวัน ครั้นกองทัพหัวเมืองมาพร้อมกันแล้ว พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า เราให้จุดเอียนตุนดูเล่นดอก บ้านเมืองหามีศึกศัตรูไม่ ท่านพากันมาไยให้ลำบากแก่ทแกล้วทหาร จงกลับไปเมืองเถิด นายทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็เสียใจ จึงคิดว่า พระเจ้าอิวอ๋องเมืองหลวงแต่จะเล่นไยจึงให้ร้อนถึงหัวเมืองมาลำบากด้วยเล่า ต่างคนก็นึกน้อยใจ จึงให้ทหารม้วนธงสำหรับทัพเสีย ต่างยกกลับไปบ้านเมืองของตัว

ขณะนั้น นางโปซูนั่งอยู่กับพระเจ้าอิวอ๋อง ดูกองทัพหัวเมืองทั้งปวงเมื่อแรกยกมาเห็นผู้คนโห่ร้องคึกคักจะเอาความชอบ ครั้นต้องกลับไปเปล่า ก็ทำหน้าเก้อ ก้าวมิใคร่ออก นางโปซูคิดขันขึ้นในใจ จึงว่า ช่างกระไรเลย แต่ล้วนคนเก้อเป็นหมื่นเป็นแสนทีเดียว ว่าแล้วก็หัวเราะขึ้นต่อหน้าที่นั่ง พระเจ้าอิวอ๋องเห็นนางโปซูหัวเราะเสียงเพราะนัก ดูจริตกิริยาก็งามขึ้นกว่าเก่าสักสามสี่ส่วน พระเจ้าอิวอ๋องยิ่งมีพระทัยรักนางโปซูมากขึ้น แกล้งตรัสสัพยอกให้นางโปซูยิ้มบ่อย ๆ สบายพระทัย จนทัพหัวเมืองทั้งปวงกลับสิ้นแล้ว จึงให้หาเซ็กอูเข้ามา ตรัสว่า ท่านคิดกลอุบายให้นางโปซูหัวเราะได้ครั้งนี้ ท่านมีความชอบมากนัก จึงพระราชทานทองพันตำลึงให้เซ็กอู แล้วตรัสชวนนางโปซูกับนางพนักงานบำเรอทั้งปวงเสด็จเข้าพระราชวัง

ฝ่ายสินเฮา เจ้าเมืองสิน ตั้งแต่งีเป๊กผู้หลานมาถึงเมือง เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง สินเฮาแจ้งความนั้นแล้ว จึงคิดว่า พระเจ้าอิวอ๋องหลงรักนางโปซูนัก ขับงีเป๊ก พระราชบุตร เสียครั้งนี้ ทำผิดประเวณีกษัตริย์ ครั้นเราจะมีหนังสือไปกราบทูลเตือนสติเล่า ก็จะเห็นว่า เราเข้าด้วยหลาน จำจะนิ่งไว้ฟังดูก่อน สินเฮาก็จัดแจงที่อยู่ให้งีเป๊กโดยสมควร ทำนุบำรุงมิให้อนาทร

ครั้นอยู่มานานหลายปี สินเฮาจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นเรื่องราวกราบทูล สั่งให้ขุนนางผู้หนึ่งถือไปเมืองโกเก๋ง พอพระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออก ผู้ถือหนังสือจึงเข้าไปหากรมวังให้พาเข้าไปเฝ้าถวายเรื่องราวเจ้าเมืองสิน พระเจ้าอิวอ๋องจึงให้อาลักษณ์อ่าน ใจความในเรื่องราวนั้นว่า ประเวณีแผ่นดินจะอยู่เย็นเป็นสุขและจะได้ความเดือดร้อนมีสองประการ คือ พระมหากษัตริย์เชื่อฟังขุนนางผู้สัตย์ซื่อ และมิได้หลงด้วยอิสตรี แผ่นดินก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าพระมหากษัตริย์มีพระทัยลุ่มหลงไปด้วยอิสตรี เหมือนครั้งแผ่นดินพระเจ้าเคียดอ๋องลุอำนาจนางอิวบอย แผ่นดินจึงเกิดจลาจล ครั้งพระเจ้าติวอ๋องเล่าก็หลงรักนางขันกี บ้านเมืองจึงเกิดวิบัติ ครั้งนี้ พระองค์มาหลงรักนางโปซูมากกว่าพระราชบุตร แล้วให้ขับงีเป๊ก ราชบุตร เสียฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า จะมีผู้นินทา ขอพระองค์จงตรึกตรองดูให้ต้องตามประเวณีกษัตริย์ อาณาประชาราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข

พระเจ้าอิวอ๋องได้ทรงฟังเรื่องราวสินเฮาดังนั้น ก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า สินเฮาทำเรื่องราวมาว่ากล่าวหยาบช้าเปรียบเทียบเราว่า เหมือนเคียดอ๋องและติวอ๋อง เพราะโกรธว่า เราขับงีเป๊กผู้หลานเสีย พระเจ้าอิวอ๋องจึงสั่งให้มีตราออกไปถอดสินเฮาเสียจากที่เจ้าเมืองสิน แล้วให้เกณฑ์กองทัพ จะให้เซ็กอูเป็นแม่ทัพยกไปจับสินเฮาฆ่าเสีย

ฝ่ายเปกเอียงอูซึ่งออกจากที่ขุนนางไปอยู่บ้านนอก ครั้นรู้ว่า พระเจ้าอิวอ๋องให้เตรียมทัพจะยกไปตีเมืองสิน เปกเอียงอูเห็นว่า เมืองจะเสียแก่ข้าศึก เปกเอียงอูจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้คนใช้ไปปิดไว้ที่ประตูเมือง ในหนังสือนั้นว่า ห้ามมิให้ทหารเมืองหลวงยกไปตีเมืองสิน ถ้ามิฟัง จะขืนยกไป เมืองหลวงจะเสียแก่ข้าศึก

ฝ่ายนายประตูเห็นหนังสือปิดไว้ ก็นำเอาหนังสือนั้นไปให้แก่ขุนนางผู้ใหญ่ให้กราบทูล พระเจ้าอิวอ๋องทรงอ่านแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงปรึกษาชัวเอียวซึ่งเป็นแฮไต้หูว่า มีผู้มาปิดหนังสือดังนี้ ท่านจะเห็นประการใด ชัวเอียวจึงทูลว่า ชะรอยผู้มีสติปัญญาซึ่งสัตย์ซื่อต่อพระองค์เห็นว่า บ้านเมืองของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว และจะให้เกณฑ์กองทัพยกไปตีเมืองสินครั้งนี้ เหมือนจะก่อศึกให้เกิดรบพุ่งกันวุ่นวายไปทั้งแผ่นดิน ขอพระองค์จงงดกองทัพไว้ก่อน ทรงตรึกตรองดู เซ็กอูได้ฟังชัวเอียวกราบทูลดังนั้นก็โกรธ จึงทูลขึ้นว่า ซึ่งชัวเอียวกราบทูลห้ามกองทัพมิให้ยกไปทั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ชัวเอียวเป็นพรรคพวกงีเป๊ก แกล้งทำหนังสือมาปิดไว้ หวังมิให้ยกทัพไปตีเมืองสิน พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังก็เห็นด้วย ทรงพระโกรธ จึงสั่งให้ทหารจับตัวชัวเอียวไปฆ่าเสียทั้งโคตร แล้วให้ตัดศีรษะเสียบไว้ที่ประตูเมือง มิให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง ครั้งนั้น พระเจ้าอิวอ๋องให้ฆ่าพวกชัวเอียวเสียทั้งชายหญิงใหญ่น้อยเป็นคนถึงหกสิบเศษ

ขณะเมื่อทหารจับพวกชัวเอียวนั้น ชัวจก ผู้น้องชัวเอียว มีที่ไป มิได้อยู่บ้าน ครั้นรู้ว่า พระเจ้าอิวอ๋องให้จับชัวเอียวผู้พี่ฆ่าเสียแล้ว ชัวจกก็หนีไปอยู่เมืองเตง

ฝ่ายผู้ถือหนังสือสินเฮา ครั้นเห็นพระเจ้าอิวอ๋องทรงพระโกรธ ให้ตรวจเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองสินดังนั้น ผู้ถือหนังสือก็ออกจากเมืองหลวง รีบกลับไปทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นถึงเมืองสิน จึงเข้าไปคำนับแจ้งความแก่สินเฮาทุกประการ สินเฮาครั้นแจ้งว่า กองทัพเมืองหลวงจะยกมา ก็ตกใจ จึงปรึกษาลีเจียง ขุนนาง ว่า เมืองเราเป็นเมืองน้อย ทแกล้วทหารก็เบาบาง เห็นจะสู้กองทัพหลวงมิได้ ท่านจะคิดประการใดดี ลีเจียงจึงว่า ทุกวันนี้ พระเจ้าอิวอ๋องหลงรักนางโปซู ให้ขับพระราชบุตรเสีย ขุนนางผู้สัตย์ซื่อก็เอาใจออกหาก กิตติศัพท์ที่ชั่วก็ลือไปแก่หัวเมืองทั้งปวง เกียรติยศพระเจ้าอิวอ๋องก็เสื่อมลงเหมือนพระจันทร์วันแรม และชาเลเท เจ้าเมืองเกียงหยง ทุกวันนี้มีทหารเป็นอันมาก มีเมืองขึ้นก็หลายหัวเมือง แล้วมิได้ขึ้นแก่เมืองหลวง ชาเลเทเป็นคนโลภ เห็นแต่จะได้ทรัพย์สิ่งสิน ขอท่านจงจัดแจงเครื่องบรรณาการ มีหนังสือไปขอกองทัพมาช่วยกำจัดพระเจ้าอิวอ๋องเสีย ได้แล้วเราจึงยกงีเป๊กขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองหลวงต่อไป สินเฮาได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทองคำกับแพรบรรทุกเกวียนเป็นของคำนับ แล้วแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ขุนนางผู้มีสติปัญญาเป็นทูตถือหนังสือและคุมเครื่องบรรณาการไปเมืองเกียงหยง จึงบอกนายด่านให้เข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเกียงหยง


เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ[แก้ไข]

  1. ชื่อเมืองไม่ปรากฏในต้นฉบับไทย ค้นฉบับจีนก็ไม่มี เพราะฉบับจีนไม่มีเนื้อหาตอนเมืองขึ้นทั้งหลายเหล่านี้เลย เข้าใจว่า เจ้าพนักงานไทยหามาใส่เอง
  2. ดูเหมือนต้นฉบับไทยตกข้อความบางส่วนตรงนี้ไป ข้อความในวงเล็บเหลี่ยมนั้นวิกิซอร์ซเพิ่มเอง
  3. "เค้งไต้" หรือสำเนียงกลางว่า "ฉฺยงไถ" (瓊臺) เป็นชื่อผีเสื้อตระกูล Thiallela signifera Walker, 1863 (ชื่ออื่นว่า Luconia Ragonot, 1888) ในวงศ์ผีเสื้อหนอนกอ (Pyralidae) มีหลายชนิด พบมากในจีน ไม่ปรากฏชื่อเฉพาะในภาษาไทย


ตอน ๑ ขึ้น ตอน ๓