กฎข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณเจ็ดหัวเมือง ร.ศ. 120

จาก วิกิซอร์ซ

ที่ ๓ แพนกปกครอง

พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย รับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ดำรัสสั่งว่า ด้วยการแบ่งเฃตร์แขวงสำหรับจัดการปกครองแลตำแหน่งน่าที่ข้าราชการในหัวเมืองทั้ง ๗ คือ

เมืองตานี เมืองหนองจิก เมืองยะหริ่ง เมืองสาย เมืองยะลอ เมืองรามัน เมืองระแงะ ในมณฑลนครศรีธรรมราชนั้น ยังเปนการก้ายก่ายอยู่หลายประการ ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า สมควรจะจัดการวางแบบแผนวิธีปกครองแลวางตำแหน่งน่าที่ราชการให้เปนระเบียบเรียบร้อยตามสมควรแก่กาลสมัย เพื่อจะให้ราชการบ้านเมืองในหัวเมืองเหล่านั้นเปนไปโดยสดวกดี แลทั้งจะให้เปนความศุขสำราญแก่พระยาเมืองแลศรีตวันกรมการอาณาประชาราษฎรทั่วไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งข้อบังคับสำหรับปกครองเมืองทั้ง ๗ ไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ  เมือง ๗ เมือง คือ เมืองตานี ๑ เมืองหนองจิก ๑ เมืองยะหริ่ง ๑ เมืองสาย ๑ เมืองยะลอ ๑ เมืองรามัน ๑ เมืองระแงะ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงเปนเมือง ๗ เมืองอยู่ตามเดิม แลให้พระยาเมืองเปนผู้รักษาราชการบ้านเมืองต่างพระเนตร์พระกรรณให้เปนการเรียบร้อยตามระเบียบแบบแผนดังจะกล่าวต่อไปในกฎฉบับนี้

ข้อ  ในการบังคับบัญชาการเมืองนั้น ให้มีกองบัญชาการเมือง คือ

พระยาเมือง เปนหัวน่า ๑ ปลัดเมือง ๑ ยกรบัตร์เมือง ๑ ผู้ช่วยราชการเมือง ๑ รวม ๔ คน เปนกองบัญชาการเมือง การตั้งแลผลัดเปลี่ยนตำแหน่งพระยาเมือง ปลัดเมือง ยกรบัตร์เมือง แลผู้ช่วยราชการเมืองนั้น แล้วแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชดำริห์เห็นสมควรแก่การ

ข้อ  เมือง ๑ ให้มีกรมการชั้นรอง เสีมยนพนักงาน ตามสมควร

ข้อ  เมื่อกองบัญชาการเมืองได้ปฤกษาพร้อมกันเห็นว่า ควรมีกฎหรือข้อบังคับสำหรับการสิ่งใดในเมืองนั้น ให้มีอำนาจตั้งกฎแลข้อบังคับได้ แต่กฎแลข้อบังคับที่จะตั้งนี้ ต้องไม่ฝ่าฝืนพระบรมเดชานุภาพ ประการ ๑ ไม่ฝ่าฝืนพระราชกำหนดกฎหมาย ประการ ๑ ไม่ฝ่าฝืนกับข้อสัญญาทางพระราชไมตรี ประการ ๑ แลข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณได้เห็นชอบด้วยแล้ว ประการ ๑

ข้อ  ในการประชุมกองบัญชาการเมืองบังคับญชาการในพื้นบ้านเมืองทุกอย่างนั้น เมื่อพระยาเมืองได้ปฤกษาหารือตกลงพร้อมกันในกองบัญชาการแล้ว จึงให้พระยาเมืองบังคับบัญชาราชการไปตามสมควร แลบรรดาหนังสือราชการซึ่งเปนหนังสือมีไปนั้น ให้มีไปในนามของพระยาเมืองพร้อมด้วยกองบัญชาการเมือง เซ็นชื่อประทับตราของพระยาเมืองทุกฉบับ แลให้ปลัดเมืองเซ็นอักษรหมายชื่อด้วย จึงใช้ได้ในราชการ

ข้อ  ในมีสมุดหมายประกาศคำสั่งสำหรับกองบัญชาการเมือง ๆ ละ ๑ เล่มสำหรับจดหมายประกาศคำสั่งทั้งปวงซึ่งจะออกใช้ในเมืองนั้น ถ้ากองบัญชาการเมืองจะออกหมายประกาศคำสั่งอย่างใด ๆ ก็ดี ให้เขียนลงในสมุดเล่มนี้เปนต้นฉบับลงเลขที่แลลงวันเดือนปีเปนลำดับกันไป แลให้พระยาเมือง ปลัดเมือง เซ็นชื่อประทับตราข้างท้ายหมายประกาศคำสั่งในสมุดนั้น แล้วจึงให้คัดสำเนาสำหรับออกประกาศแลมีไปอีกต่างหาก ถ้าหมายประกาศแลคำสั่งฉบับใดซึ่งกองบัญชาการเมืองไม่ได้เซ็นชื่อประทับตราในสมุดต้นคำสั่งนั้นก่อนแล้ว จะถือว่า หมายประกาศแลคำสั่งฉบับนั้นเปนราชการไม่ได

ข้อ  ให้มีกำหนดเวลากองบัญชาการเมืองพร้อมด้วยข้าราชการชั้นรองประชุมปฤกษาราชการเมืองเนือง ๆ เมื่อมีราชการสิ่งใดปฤกษาหารือเห็นชอบพร้อมกันแล้ว ก็ให้จัดสั่งราชการไป ถ้ากองบัญชาการเมืองมีความเห็นแตกต่างไม่ตกลงกัน ให้หารือไปยังข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณขอคำสั่งเปนเด็ดขาด

ข้อ  ราชการสิ่งใดที่ได้ตกลงกันในที่ประชุมกองบัญชาการเมืองแล้ว ให้จัดทำไปตามน่าที่ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดออกหมายประกาศหรือคำสั่งหรือมีหนังสืออย่างใดไปที่ใดใดก็ดี ซึ่งไม่ใช้เปนข้อความที่กองบัญชาการเมืองตกลงเห็นชอบพร้อมกันซึ่งปรากฎอยู่ในรายงานประชุมแล้ว แลไม่เปนการปัจจุบันทันด่วนดังว่าไว้ในข้อต่อนี้ไปแล้ว จะถือว่า คำสั่งนั้นหรือหนังสือนั้นเปนราชการไม่ได้

ข้อ  ถ้ามีการปัจจุบันทันด่วนเกิดขึ้นในบ้านเมืองซึ่งจำเปนจะต้องจัดต้องสั่งโดยเร็วแล้ว ข้าราชการคนใดในกองบัญชาการเมืองมีอำนาจจัดสั่งไปได้ทันที แล้วจึงให้รีบแจ้งความที่ได้สั่งไปนั้นให้กองบัญชาการเมืองทราบในเวลาที่ประชุมกองบัญชาการคราวแรก แล้วแต่กองบัญชาการเมืองจะปฤกษาเห็นชอบตามลักษณที่ได้สั่งแลจัดการไปแล้วนั้นหรือให้แก้ไขประการใด

ข้อ ๑๐ ด้วยพระยาเมืองมีน่าที่ในการบังคับบัญชาราชการในบ้านเมืองตามที่บังคับบัญชาราชการในบ้านเมืองตามที่ได้ปฤกษาหารือตกลงกันในกองบัญชาการเมืองแล้ว เพราะฉนั้น การที่จะบังคับบัญชาราชการอย่างใดก็ดี หรือจะออกคำสั่งหรือจะมีหนังสือไปแห่งใดในราชการก็ดี ต้องเปนคำสั่งโดยอนุมัติของกองบัญชาการเมือง แลการที่จะมีคำสั่งในราชการไปในเฃตร์แขวงบ้านเมืองนั้น ต้องให้สั่งทางกรมการอำเภอตามระเบียบของการปกครองท้องที่

ข้อ ๑๑ ให้กองบัญชาการเมืองมีใบบอกแลรายงานข้อราชการในบ้านเมืองไปยังข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณตามปรกติ เว้นแต่การต่าง ๆ ดังจะกล่าวต่อไปนี้ กองบัญชาการเมืองจะมีใบบอกตรงไปยังที่ว่าการมณฑลก็ได้ แต่ต้องส่งสำเนาให้ที่ว่าการบริเวณทราบในคราวเดียวกัน คือ

(๑) รายงานข้อราชการอย่างใดที่ไม่ต้องขอคำสั่ง

(๒) การด่วนที่จะต้องทำ แต่เหนืออำนาจข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณ

(๓) การที่ได้มีหนังสือมณฑลหรือท้องตราถึงฉเพาะเมืองนั้น

(๔) การปัจจุบันทันด่วน คือ

รายงานเหตุการแปลกประหลาดเกิดขึ้น เช่น เหตุโจรผู้ร้าย เปนต้น

(๕) ในการอย่างใด ๆ ซึ่งกองบัญชาการเมืองเห็นว่า จะมีใบบอกไปยังข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณไม่ทันท่วงทีราชการ หรือจะเสื่อมเสียประโยชน์ของราชการ จะมีใบบอกตรงไปยังมณฑลก็ได้ แต่ต้องส่งสำเนาแจ้งไปให้ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณทราบด้วยโดยเร็ว

(๖) บรรดาการที่เกี่ยวข้องกับหัวเมืองในบริเวณเดียวกัน กองบัญชาการเมืองจะมีหนังสือไปมาตรงถึงกันก็ได้ แต่ต้องส่งสำเนาไปให้ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณทราบโดยเร็วทุกฉบับเหมือนกัน

ข้อ ๑๒ ถ้ากองบัญชาการเมืองเห็นเปนการจำเปนแล้ว จะมีใบบอกตรงมายังกรุงเทพฯ ก็ได้ ไม่ห้ามปราม

ข้อ ๑๓ การที่ห้ามต่อไปในข้อนี้ ตามพระราชกำหนดกฎหมายแลตามประเพณีแต่เดิมมา เปนการที่ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณ พระยาเมือง แลข้าราชการทำไม่ได้มาแต่ก่อนแล้ว แต่เห็นว่า ควรจะกล่าวไว้ในที่นี้เพื่อให้ทราบชัดเจน คือ ห้ามไม่ให้ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณ พระยาเมือง หรือปลัดเมือง หรือข้าราชการที่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร์ แลศรีตวันกรมการ ทำการต่อไปนี้ นอกจากได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ห้าม

(๑) ตั้งกฎหมายอย่างใดโดยพลการ

(๒) ตั้งภาษีอากรหรือเก็บเงินจากราษฎรโดยวิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง

(๓) อนุญาตภาษีผูกขาด ทำสัญญาบ่อแร่ แลสัญญาป่าไม้

(๔) ห้ามไม่ให้ทำสัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวในราชการหรือในพื้นบ้านเมืองกับคนในบังคับต่างประเทศ

(๕) การประหารชีวิตร์ หรือจำตลอดชีวิตร์ หรือริบทรัพย์สมบัติ หรือปรับไหมลงโทษแก่ราษฎรในทางที่ผิดด้วยพระราชกำหนดกฎหมาย

(๖) การตั้งแลฝึกหัดพลทหาร มีอาวุธประจำตน หรือสะสมเครื่องสาตราวุธ กระสุนดินดำ อย่างใดอย่างหนึ่ง

ข้อ ๑๔ เพื่อจะรักษาผลประโยชน์ของพระยาเมืองมิให้ตกขาด แลเพื่อจะจัดการผลประโยชน์ให้เปนระเบียบเรียบร้อย แลมให้เปนการลำบากเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎร เพราะฉนั้น การเก็บผลประโยชน์ในเมืองใด จะเปนภาษีอากรอย่างใด ๆ เปนต้นว่า ค่าธรรมเนียมก็ดี เงินส่วยอาเสต้นไม้เงินทอง หรือส่วยอย่างใดก็ดี หรือเก็บค่าหางเข้า น้ำมันดิน หรือค่าที่ดินอย่างใดก็ดี หรือภาษีเกลือก็ดี ให้เก็บณที่ทำราชการซึ่งเปนที่เปิดเผย แลให้เก็บตามระเบียบแบบแผนอัตราข้อบังคับของกรมสรรพากรซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นไว้ตามสมควรแก่การ ที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะตั้งเก็บภาษีอากรอย่างใดในบ้านเรือนของตน หรือให้ผู้ใดซึ่งไม่เจ้าพนักงานของรัฐบาลเปนผู้เก็บนั้น ไม่ได้

ข้อ ๑๕ อนึ่ง ในชั่วเวลาที่พระยาเมืองรับราชการดี จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผลประโยชน์ให้พอเลี้ยงชีพแลรักษาบรรดาศักดิ์ตามตำแหน่ง ผลประโยชน์ที่จะพระราชทานนี้ คือ แบ่งส่วนผลประโยชน์บ้านเมืองที่เก็บได้ตามจำนวนเงินที่พระยาเมืองทั้งหลายได้ทำบาญชียื่นไว้เปนหลักถานแต่ก่อนแล้วนั้น แลจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เพิ่มเปนครั้งคราวตามส่วนผลประโยชน์ซึ่งเก็บได้มากขึ้นในพื้นบ้านเมืองที่จะทรงพระราชดำริห์เห็นสมควร

ข้อ ๑๖ โดยมีพระบรมราชประสงค์จะทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองเหล่านั้นให้รุ่งเรืองเจริญขึ้นตามสมควรแก่กาลสมัย เพราะฉนั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินผลประโยชน์ที่เก็บได้ ซึ่งได้หักค่าใช้สอยแล้วนั้น ไว้เปนเงินสำหรับจัดการทำนุบำรุงบ้านเมืองเปนปี ๆ ตามสมควรแก่การที่จะทำได้

ข้อ ๑๗ พระยาเมืองแลศรีตวันกรมการซึ่งเปนคนในพื้นบ้านเมือง ถ้าได้รับราชการดีตลอดชั่วเวลารับราชการ หรือโดยทุพลภาพประการใดก็ดี จะได้รับพระราชทานเบี้ยบำนาญตามพระราชบัญญัติเบี้ยบำนาญนั้น

ข้อ ๑๘ อนึ่ง ศรีตวันกรมการแลวงษ์ตระกูลของพระยาเมืองซึ่งเคยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินเลี้ยงชีพมีอัตราอยู่แล้วนั้น ถ้ายังประพฤติดี ยังจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานต่อไปตามอัตรานั้น หรือเพิ่มขึ้นตามที่จะทรงพระราชดำริห์เห็นสมควร

ข้อ ๑๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณคน ๑ สำหรับตรวจตราแนะนำราชการทั้งปวงทั่วบริเวณทั้ง ๗ หัวเมืองต่างพระเนตร์พระกรรณในราชการทุก ๆ เมืองหรือที่เกี่ยวข้องกันในระหว่างบางเมือง หรือราชการที่เกี่ยวข้องกับเมืองต่างประเทศ เปนไปโดยเรียบร้อยดังพระบรมราชประสงค์ และให้มีข้าราชการรองสำหรับช่วยราชการในน่าที่ของข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณอีกตามสมควรแก่ราชการ

ข้อ ๒๐ ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณก็ดี แลข้าราชการสำหรับช่วยราชการข้าหลวงบริเวณที่เปนตำแหน่งราชการรับพระราชทานสัญญาบัตร์ก็ดี การเลือกสรรผลัดเปลี่ยนข้าราชการตำแหน่งเหล่านี้แล้วแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชดำริห์เห็นสมควร

ข้อ ๒๑ ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณมีน่าที่จัดราชการในบริเวณให้เปนไปตามกฎข้อบังคับนี้ แลปฏิบัติราชการตามท้องตรากรุงเทพฯ แลคำสั่งของข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช แต่การที่จะขอคำสั่งทางใดนั้น แล้วแต่ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณจะเห็นสมควรแก่ประโยชน์ของราชการ

ข้อ ๒๒ ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณมีอำนาจ คือ

(๑) ทำและจัดราชการในบริเวณซึ่งไม่ฝ่าฝืนท้องตรา กฎข้อบังคับ แลพระราชกำหนดกฎหมายได้ทุกอย่าง

(๒) ปฏิบัติราชการซึ่งเกี่ยวกับต่างประเทศซึ่งไม่ฝ่าฝืนหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีได้ทุกอย่าง

(๓) มีอำนาจจะตั้งแต่งยกถอนข้าราชการในบริเวณซึ่งเปนผู้ไม่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร์หรือไม่ได้รับประทวนตราเสนาบดี

(๔) มีอำนาจที่จะยกข้าราชการที่มีตำแหน่งรับพระราชทานสัญญาบัตร์หรือรับประทวนตราเสนาบดีคนใดคนหนึ่งในบริเวณออกจากตำแหน่งแลน่าที่ได้ในคราวหนึ่ง แต่อำนาจในส่วนนี้ให้ใช้แต่ในการปัจจุบันทันด่วนซึ่งจะขออนุญาตต่อข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชหรือกรุงเทพฯ ก่อนไม่ทันประโยชน์ราชการ แต่เมื่อเอาตัวออกแล้ว ต้องบอกมายังที่ว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยเร็ว

(๕) สั่งให้หยุดยั้งหรือถอนคำสั่งของกองบัญชาการเมืองหรือข้าราชการคนใดคนหนึ่งในเฃตร์บริเวณที่บังคับ ซึ่งเห็นว่า เปนคำสั่งซึ่งไม่ชอบด้วยราชการหรือไม่ชอบด้วยพระราชกำหนดกฎหมาย ในระหว่างมีใบบอกมายังข้าหลวงเทศาภิบาลฤๅกรุงเทพฯ ได้ทุกอย่าง

ข้อ ๒๓ บรรดาใบบอกแลรายงานราชการทั้งปวงนั้น ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณจะมีใบบอกมาหารือขอคำสั่งแก่ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช หรือจะมีบอกมายังกรุงเทพฯ ก็ได้ แล้วแต่ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณจะเห็นสมควรแก่ราชการ แต่ถ้ามีบอกตรงมายังกรุงเทพฯ ต้องส่งสำเนาไปให้ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชทราบด้วยจงทุกฉบับ

ข้อ ๒๔ ให้ใช้พระราชบัญญัติลักษณปกครองท้องที่ รัตนโกสินทรศก ๑๑๖ ทุกมาตรา แลให้ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณกำหนดเฃตร์เมืองแลจัดตั้งอำเภอตามสมควรแก่ท้องที่ และให้กองบัญชาการเมืองกำหนดแบ่งอำเภอเปนตำบลแลหมู่บ้านเพื่อจัดการตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่

ข้อ ๒๕ ให้จัดการเรือนจำเมืองแลบริเวณตามข้อบังคับเรือนจำ รัตนโกสินทรศก ๑๑๖ ทุกประการ แต่การกำหนดตั้งเรือนจำที่ใด แลการตั้งพธำมรงนั้น แล้วแต่ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณจะจัดสั่งแลตั้งแต่งตามที่เห็นสมควร

ข้อ ๒๖ ให้ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณแลพระยาเมือง ๆ ในบริเวณพบปะประชุมปฤกษาหารือเพื่อจัดราชการบ้านเมืองในบริเวณนั้นมีกำหนดปี ๑ ไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง จะพบปะประชุมที่ใดเวลาใด ให้ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณนัดหมายตามสมควร และให้ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชจัดการประชุมพร้อมด้วยข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณแลพระยาเมืองทั้งหลายมีกำหนดไม่น้อยกว่าปีละ ๑ ครั้ง

ข้อ ๒๗ บรรดาข้าราชการทั้งปวงซึ่งรับราชการในบริเวณนี้ ควรหัดพูดภาษาแลเขียนหนังสือมลายูทุกคน เพราะฉนั้น ควรมีกำหนดว่า ถ้าไปรับราชการภายใน ๑ ปี ควรพูดภาษาได้ แลถ้าได้รับราชการอยู่ถึง ๓ ปีแล้ว ควรอ่านหนังสือมลายูได้ ถ้ามิฉนั้น ยังมิควรจะได้รับพระราชทานเงินเดือนเพิ่มเติมอัตราจนกว่าจะพูดภาษาแลอ่านหนังสือได้ภายในกำหนดเวลาดังว่ามาแล้วนี้

ข้อ ๒๘ ถ้าข้าหลวงเทศาภิบาลได้พร้อมด้วยพระยาเมืองและโต๊ะกาลีเมืองใดได้สอบแล้วเห็นว่า ข้าราชการคนใดพูดภาษามลายูได้ ให้พร้อมกันเซ็นชื่อออกปกาศนียบัตร์ให้ข้าราชการผู้นั้น แลข้าหลวงเทศาภิบาลมีอำนาจจะให้เงินหลวงเปนรางวัลเปนเงินไม่เกิน ๑๐๐ บาท หรือถ้าสอบอย่างเดียวกันเห็นว่า เปนผู้อ่านเขียนหนังสือมลายูได้ ก็ให้ ๆ ปกาศนียบัตร์ แลข้าหลวงเทศาภิบาลมีอำนาจจะให้เงินหลวงเปนรางวัลได้ไม่เกิน ๔๐๐ บาท

ข้อ ๒๙ ให้ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชจัดวางแบบแผนสอบไล่วิชาพูดแลหนังสือมลายู แลอัตราชั้นรางวัลภายในกำหนดวงเงินดังว่ามาแล้วในข้อก่อน

ข้อ ๓๐ ให้ใช้พระธรรมนูญศาลหัวเมือง รัตนโกสินทรศก ๑๑๔ ในบริเวณนี้ เว้นแต่คำว่า “ศาลมณฑล” ให้เข้าใจว่า “ศาลบริเวณ” แลคำ “ข้าหลวงเทศาภิบาล ให้เข้าใจว่า ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณ” แลการที่จะตั้ง หรือจะเลื่อน หรือจะเปลี่ยนผู้พิพากษาในบริเวณ ๗ หัวเมืองตามความที่ว่าไว้ในมาตรา ๑๐ ของพระธรรมนูญศาลหัวเมือง ร,ศ, ๑๑๔ นั้น ให้ถือว่า เปนน่าที่ของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจะนำความกราบบังคมทูล และให้ข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณมีใบบอกในการที่เกี่ยวแก่ตั้ง หรือเลื่อน หรือเปลี่ยนผู้พิพากษาในบริเวณมายังเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย

ข้อ ๓๑ ให้มีศาลเปน ๓ ชั้น คือ

 ศาลบริเวณ

 ศาลเมือง

 ศาลแขวง

และให้มีผู้พิพากษาสำหรับศาลเหล่านี้เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีตามพระราชกำหนดกฎหมาย

ข้อ ๓๒ ให้ใช้พระราชกำหนดกฎหมายทั้งปวงในความอาญาแลความแพ่ง แต่ความแพ่งซึ่งเกี่ยวด้วยสาสนาอิสลามเรื่องผัวเมียก็ดี แลเรื่องมรฎกก็ดี ซึ่งคนนับถือสาสนาอิสลามเปนทั้งโจทย์จำเลย หรือเปนจำเลย ให้ใช้กฎหมายอิสลามในการพิจารณาแลพิพากษา แลให้โต๊ะกาลีซึ่งเปนผู้รู้แลเปนที่นับถือในสาสนาอิสลามเปนผู้พิพากษาตามกฎหมายอิสลามนั้น

ประกาศมาณวันที่ ๑๐ ธันวาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๐
(ลงพระนาม) ดำรงราชานุภาพ

บรรณานุกรม[แก้ไข]

งานนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นงานตามมาตรา 7 (2) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของประเทศไทย ซึ่งบัญญัติว่า

"มาตรา 7 สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
(1) ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
(2) รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
(3) ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
(4) คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
(5) คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตาม (1) ถึง (4) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น จัดทำขึ้น"