ข้ามไปเนื้อหา

กฎหมายลักษณผัวเมีย/เรื่อง 10

จาก วิกิซอร์ซ
ตราราชโองการ
ตราราชโองการ
พระราชบัญญัติอธิกรณ์ประถมปาราชิก
พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมว่า คดีประถมปาราชิกเปนลำพังอธิกรณ์ในฝ่ายคณะสงฆ์ แต่ฝ่ายอาณาจักร์ตั้งศาลพิจารณาแลลงโทษผู้มีความผิดโดยฐานนี้เปนอาชญาแผ่นดิน ก็เพื่อสนับสนุนพระพุทธบัญญัติโดยฐานที่พระเจ้าแผ่นดินเปนพุทธศาสนูปถัมภก แต่ไม่เปนการสดวกแก่คณะสงฆ์เลย เพราะวิธีพิจารณาแห่งศาลฝ่ายอาณาจักร์แลทางพระวินัยแผกกัน ศาลฝ่ายอาณาจักร์ลงโทษผู้ต้องหาต่อเมื่อพิจารณาถึงว่าเปนปาราชิก ถ้ามีข้ออันจะพึงสงสัยยกประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องหา ฝ่ายทางพระวินัยพิจารณาได้ไม่ถึงเปนปาราชิก แต่มัวหมองในอย่างอื่น ก็ปรับโทษได้ ผู้ต้องหาเปลื้องตนไม่พ้นจากข้อสงสัย ไม่หลุดพ้น แลในบัดนี้ การปกครองคณะสงฆ์เปนไปรอบคอบพอจะป้องกันแลกำจัดภิกษุอลัชชีผู้ลเมิดพระพุทธบัญญัติข้อนี้ได้แล้ว จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นไว้ มีความดังต่อไปนี้

มาตราพระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติอธิกรณ์ประถมปาราชิก พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

มาตราให้ใช้พระราชบัญญัตินี้เปนกฎหมายตั้งแต่วันที่ ๒๓ เดือนเมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๓ เปนต้นไป

มาตราตั้งแต่วันที่ใช้พระราชบัญญัตินี้สืบไป ให้ยกเลิกโทษอาชญาฐานปาราชิกในกฎหมายลักษณผัวเมีย มาตรา ๔๐ กับ ๔๑ แลประกาศรัชกาลที่ ๔ ว่าด้วยภิกษุสามเณรประพฤติ์อนาจาร ลงวันศุกร์ เดือนเก้า แรมค่ำหนึ่ง ปีวอก โทศัก จุลศักราช ๑๒๒๒ เฉภาะข้อว่าด้วยโทษอาชญาฐานปาราชิกนั้นเสีย

มาตราถ้ามีคดีประถมปาราชิกค้างพิจารณาในศาลยุติธรรมในเวลาที่ใช้พระราชบัญญัตินี้เปนกฎหมาย ให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลนั้นโอนคดีไปยังกรมธรรมการโดยพลัน

มาตราตั้งแต่บัดนี้สืบไป ภิกษุผู้ลเมิดพระพุทธบัญญัติประถมปาราชิกถึงเปนคดีฟ้องร้องแล้วก็ดี ฤๅลเมิดพระพุทธบัญญัติข้อนี้ในกาลข้างน่าก็ดี ให้กล่าวหาเปนลำพังอธิกรณในคณะสงฆ์ แลลงโทษผู้ผิดโดยพระพุทธบัญญัติส่วนเดียว

มาตราเมื่อภิกษุลเมิดพระพุทธบัญญัติประถมปาราชิก ให้เปนน่าที่ของเจ้าพนักงานผู้รักษาท้องถิ่นจับตัวคุมขัง แล้วส่งไปยังกรมธรรมการ เพื่อจะได้ส่งตัวให้คณะสงฆ์พิจารณาต่อไป

มาตราให้คณะสงฆ์ผู้พิจารณาอธิกรณ์ประถมปาราชิกมีอำนาจสั่งกรมธรรมการหมายเรียกพยานฤๅให้ผู้ใดส่งหนังสือฤๅวัดถุมาเปนพยาน กับให้เปนน่าที่ของกรมธรรมการออกหมายเรียกพยานมาเบิกความต่อหน้าคณะสงฆ์ แลออกหมายเรียกสรรพหนังสือฤๅวัดถุอย่างใด ๆ สุดแท้แต่คณะสงฆ์จะปรารถนา

บุคคลผู้ได้รับหมายให้มาเบิกความเปนพยาน (รวมทั้งหญิงคนกลางด้วย) ฤๅผู้ซึ่งกรมธรรมการปรารถนาจะให้ส่งหนังสือฤๅวัดถุมาเปนพยาน ขัดขืนไม่ปฏิบัติการตามหมายฤๅคำสั่งของกรมธรรมการอันชอบด้วยกฎหมาย โดยมิได้มีเหตุฤๅข้อแก้ตัวอันสมควร ให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๑๗

พระราชบัญญัติตราไว้ณวันที่ ๒๓ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๓ เปนปีที่ ๑๑ ในรัชกาลปัตยุบันนี้