ข้างหลังภาพ/บทนำ

จาก วิกิซอร์ซ


จน กระทั่ง ๓ วันล่วงไปแล้ว นับแต่ข้าพเจ้าได้นำภาพนั้นมาแขวนไว้ในห้องทำงาน ปรีดิ์จึงได้สังเกตเห็น. หล่อนไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก นอกจากจะมาหยุดยืนพินิจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันมาทางข้าพเจ้า ถามว่า นี่ภาพที่ไหนคะ – มิตาเกะ?"

ข้าพเจ้าสะดุ้งนิดหน่อย แต่ปรีดิ์ไม่ทันสังเกต.

"เป็นที่ซึ่งมีภูมิประเทศงดงามแห่งหนึ่งนอกนครโตเกียว. ชาวนครโตเกียวมักเดินทางไปใช้เวลาในวันอาทิตย์ที่นั่น."

"อ้อ, เธอซื้อมาจากโตเกียวหรือคะ?"

ข้าพเจ้าก้มหน้า มองดูหนังสือในมือซึ่งกำลังอ่านอยู่ก่อนที่ปรีดิ์จะเข้ามาในห้อง.

"เปล่า, เพื่อนของฉันคนหนึ่งเขาเขียนให้."

ข้าพเจ้าไม่สู้จะพอใจในซุ่มเสียงที่ได้เปล่งออกไปในตอนนี้ เพราะฟังดูคล้ายเสียงของตัวละครที่พูดด้วยความระมัดระวังอยู่บนเวที.

"ฉันก็นึกอย่างนั้นแหละ ถ้าเธอถึงต้องซื้อมา ก็แปลกอยู่หน่อย เพราะดูเป็นภาพธรรมดาอย่างที่สุด และทั้งฉันก็บังเอิญมองไม่เห็นความงามอะไรในฝีมือที่วาดภาพนี้นัก. แต่ว่านัยน์ตาของฉันอาจอยู่ต่ำกว่าความงามของภาพนี้ก็ได้."

"การดูภาพที่วาดด้วยสีน้ำเช่นนี้ ถ้าดูใกล้นัก อาจไม่เห็นความงามได้ แต่ถ้าดูไกลออกไปอีกหน่อย เธออาจจะมีความเห็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้."

ปรีดิ์ไม่ติดใจที่จะทำตามดังที่ข้าพเจ้าแนะ และทั้งไม่ติดใจที่จะถามเอาความต่อไป ข้าพเจ้าก็มีความพอใจแล้ว.

ภาพนั้นประดับไว้ในกรอบซึ่งมีขอบสีดำสนิท แขวนไว้ที่ผนังด้านตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน. เมื่อนั่งลงทำงาน ภาพนั้นอยู่ข้างหลังข้าพเจ้า. เดิมทีข้าพเจ้าคิดจะทำมาประดับไว้ตรงหน้า คือว่า อาจจะแลเห็นได้ทุกขณะที่ชำเลืองไป. แต่ภายหลังข้าพเจ้าจึงได้เปลี่ยนความคิดใหม่ ด้วยเชื่อแน่ว่า ถ้าจะทำตามความคิดเดิมแล้วนั้น ภาพนั้นจะรบกวนประสาทของข้าพเจ้ามาก.

อันที่จริง ที่ปรีดิ์พูดก็มีส่วนถูกอยู่ไม่น้อย. ภาพนั้นเป็นภาพอย่างธรรมดาสามัญ ไม่มีสิ่งที่น่าสะดุดตาสะดุดใจอะไรนัก และเมื่อเทียบกับภาพบางภาพที่ข้าพเจ้าประดับไว้ในห้องรับแขกและในห้องนอน ซึ่งบางอันมีค่าตั้ง ๔๐–๕๐ เยนแล้ว ก็อาจจะเห็นว่าต่างกันไกล. ภาพนั้นวาดด้วยสีน้ำ แสดงถึงภาพลำธารที่ไหลผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาทึบตามลาดเขา. อีกด้านหนึ่งของลำธารเป็นทางเดินเล็ก ๆ ผ่านไปบนชะง่อนหิน บางตอนก็สูง บางตอนก็ต่ำตะปุ่มตะป่ำไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อย มีพรรณไม้เลื้อยและดอกไม้ป่าสีต่าง ๆ บนต้นเล็ก ๆ ขึ้นเรียงรายอยู่ตามหินผานั้น. ไกลออกไปบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ต่ำลงไปจนเกือบติดลำธาร แสดงภาพของคนสองคนนั่งอยู่ ภาพนั้นเป็นภาพที่วาดให้เห็นในระยะไกล และไม่แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นบุรุษคนหนึ่งกับสตรีคนหนึ่ง หรือว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน แต่ว่าเป็นบุรุษคนหนึ่งนั้นแน่. บนภาพมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า "ริมลำธาร" ผู้เขียนคนตั้งใจจะให้เป็นชื่อของภาพนั้น. ตอนล่างของมุมหนึ่งเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ ว่า "มิตาเกะ" และลงวันเดือนปีไว้ข้างใต้ แสดงว่าเป็นเวลา ๖ ปีมาแล้ว.

ภาพนั้นก็เป็นภาพธรรมดาสามัญ และไม่มีสิ่งที่น่าสะดุดตาสะดุดใจอะไร ฝีมือที่วาดก็ปานกลาง จะว่างามก็งามพอใช้ ไม่ถึงกับจะเรียกคำอุทานจากผู้ชมได้. ผู้ที่รักความงามของธรรมชาติน่าจะสนใจและให้คำชมเชยบ้าง แต่ปรีดิ์ไม่มีนิสัยเช่นนั้น ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะว่าเป็นนิสัยที่ตรงข้ามกับของข้าพเจ้า.

อย่างไรก็ตาม การที่ปรีดิ์ และรวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วย จะไม่สนใจในภาพนั้นเลย ก็เป็นการสมควรแล้ว เพราะว่าตามที่ปรีดิ์พูด "ภาพนั้นดูเป็นภาพธรรมดาอย่างที่สุด." แต่สำหรับข้าพเจ้า — และข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น — ที่จะมีความเห็นตรงกันข้ามกับคนเหล่านั้น ข้าพเจ้าผู้รู้ดีว่า ข้างหลังภาพนั้นมีชีวิต และเป็นชีวิตที่ตรึงตราอยู่บนดวงใจของข้าพเจ้า. สำหรับคนอื่น ข้างหลังภาพนั้นก็คือกระดาษแข็งแผ่นหนึ่ง และต่อไปก็คือผนัง ฉะนั้น เขาจะมองเห็นภาพนั้นเป็นอย่างอื่นนอกจากที่เป็นแต่เพียงภาพธรรมดาสามัญภาพหนึ่งอย่างไรได้.

มองดูภาพนั้นเมื่ออยู่แต่ลำพัง ข้าพเจ้าแลเห็นน้ำในลำธารไหลเอื่อย ๆ และไหลแรงบางตอนเมื่อผ่านจากที่สูงไปสู่ที่ลาดต่ำ. เห็นจนกระทั่งแสงแดดอ่อน ๆ ของฤดูออทัมน์. คนสองคนที่นั่งอยู่บนชะง่อนหินซึ่งผู้เขียนได้ใช้สีป้าย ๆ ไว้เหมือนอย่างไม่เอาใจใส่เลยนั้น ข้าพเจ้าสามารถแลเห็นได้แม้จนกระทั่งขนตาอันยาวงอนของคน ๆ หนึ่งในภาพนั้น และจนกระทั่งรูปสามเหลี่ยมสีแดงสดใส ๓ รูปที่ได้วาดไว้บนริมฝีปากบาง จนทำให้ความบางของริมฝีปากนั้นมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ข้าพเจ้าย่อมทราบดีว่า ผู้เขียนได้เขียนภาพนั้นด้วยชีวิต มิใช่โดยไม่เอาใจใส่เลย. ข้าพเจ้าแลเห็นความเคลื่อนไหวทุกสิ่งทุกอย่างในภาพอันสงบและดูเป็นธรรมดาที่สุดนั้น ทุกฉากทุกตอนตั้งแต่บทต้นจนกระทั่งบทสุดท้ายซึ่งได้ปิดฉากลงอย่างแสนเศร้าเมื่อเร็ว ๆ นี่เอง- - -