คัมภีร์โหราศาสตร์ไทยมาตรฐานฉบับสมบูรณ์/การเจริญธรรมภาวนาให้บรรลุรูปฌานและอรูปฌาน

จาก วิกิซอร์ซ


บทที่ ๑๒ การปลุกเสกและการพยากรณ์ทางจิตตภาวนา

 เมื่อบุคคลเจริญฌานได้สมความปรารถนาแล้ว ถ้าจะกระทำฤทธิ์ทั้งปวง ก็พึง
เรียนเอากสิณเป็นที่ตั้ง เจริญให้ถึงจตุตถฌาน แล้วเข้าจตุตถฌานครั้งหนึ่ง ออกจาก
จตุตถฌานแล้ว อย่าให้ทันนิวรณ์เข้ามาข่มอารมณ์เสีย พึงอธิษฐานความปรารถนานั้น
แล้วเข้าสู่จตุตถฌานอีกเล่า ความปรารถนั้นก็จะเป็นไปตามประสงค์ ถ้าจะเรียนในทาง
พยากรณ์ พึงอธิษฐานนิมิตในองค์ฌานนั้นให้เป็นไปตามความปรารถนา ก็จะรู้เนื้อความ
นั้นได้ เช่นเราอธิษฐานว่าถ้าบุคคลผู้นี้จะตายภายในอีกกี่วัน เราก็จะตั้งรูปนิมิตนั้นไว้ให้
ยืนอยู่หรือนั่งอยู่ และอธิษฐานว่านับแต่นี้ไปโดยลำดับวัน ถ้าวันไหนเป็นวันตายของบุคคล
ผู้นั้น ให้รูปนิมิตนั้นเอาศรีษะลง เมื่อรูปนิมิตนั้นเอาศรีษะกลับลง ในเวลาที่กำหนดจิตต์ไว้
เป็นวันที่เท่าใด ก็ตายวันนั้นแล ถ้าว่าเราเห็นกระดูกอันหนึ่งเราจะรู้ว่ากระดูกหญิงหรือ
กระดูกชาย ก็ให้เอากระดูกนั้นวางให้ตรงหน้าเจริญอสุภห้อง อัฏฐิวา อัฏฐิกํ ปฏิกุลํ
ไปเนืองๆ เมื่อนิมิตเกิดขึ้น เป็นอุคคหนิมิต และเมื่อปฏิภาคนิมิตแล้วอธิษฐานปฏิภาคนิมิตนั้น
ให้เกิดเป็นรูปเจ้าของกระดูกนั้นขึ้นกำหนด ลำดับว่า ขวบหนึ่ง ๒ ขวบเป็นต้นไป
จนกว่าจะถึงปีที่เขาตาย เมื่อแรกเห็นเป็นอายุ ๑ ขวบนั้น เราก็รู้แล้วว่าเป็นรูปหญิง
หรือรูปชาย และพิจารณาไปโดยลำดับปี ถ้าเป็นรูปสตรี ภาพเมื่ออายุได้ ๑๕-๑๖ ปี
ก็จะเห็นรูปนิมตนั้นสวยงามมาก และถ้าว่าผู้เจริญนั้นเป็นชาย ความสำรวมในจิตต์
ไม่พอ เกิดตัณหาคือความรักใคร่ในรูปนิมิตนั้นขึ้นแล้ว รูปนิมิตนั้นก็จะลุกแล่นเข้ามากอด
เอาผู้เจริญภาวนานั้น ทำให้เสียสติอารมณ์ได้ เหตุฉะนี้ท่านจึงห้ามไม่ให้เจริญอสุภในเพศที่
ตรงกันข้าม เพราะจะเกิดตัณหาขึ้นดังกล่าวนี้ ถ้าผู้นั้นสงบอารมณ์ได้ไม่ทำตัณหาให้เกิด
ขึ้น โดยมีอสุภสัญญากำกับจิตไว้ดีแล้ว ก็จะรู้ไปถึงปีที่รูปนิมิตนั้นดับสูญคือถึงความตาย
ดังนี้แล้วกระดูกนั้นจะเป็นมาอย่างไรจนมาตั้งอยู่ในที่ฉะเพาะหน้าบัดนี้ ก็อาจทราบได้ทุก
ประการ ถ้าว่าจะรู้ว่าคนตายแล้วไปเกิดอยู่ที่ไหนก็ดี ก็พึงเจริญเมตตาไปยังทิพยสถานแห่ง
เวสสุวรรณ และไปขอดูบัญชีผู้ที่ถึงตายนั้นว่าบัดนี้ได้ไปเกิดอยู่ ณ ที่ใด เทพยดาผู้รักษา
บัญชีในที่นั้นก็จะแจ้งให้ทราบทุกประการ ถ้าจะดูสิ่งของในที่กำบัง ก็พึงอธิญฐานในดวงกสิ
ณส่องเข้าไปในที่นั้น ก็จะเห็นสิ่งของในที่กำบังนั้นได้ ถ้าจะดูร่างกายของเราเอง เพ่งดูแต่
หัวอกลงไปจนถึงปลายเท้า เราก็จะแลเห็นอวัยวะในร่างกายนั้นโดยตลอด ถ้ายังมองไม่เห็น
ทางเบื้องบนศรีษะ ก็พึงกลับเอาจิตมาตั้งไว้นาภี เพ่งดูทางเบื้องบนศรีษะก็จะเห็นได้
ตลอดแล อันผู้เจริญสมถะเป็นอันดีแล้ว เมื่อนิมิตไม่ดับเสีย เมื่อเวลาฟังพระธรรมเทศนา
อยู่ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่มีจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องผูกขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหน่วงน้อมไปในกระแส
ธรรมเท่านั้น ภาพนิมิตในเรื่องธรรมเทศนานั้น ก็จะปรากฏชัดเจนแก่ผู้ฟังทุกประการ
บุคคลผู้มีจิตต์สงบเป็นอันดีด้วยสมถนิมตนี้ เมื่อบุคคลอื่นกล่าวถึงที่ที่ใด ที่นั้นก็จะมา
ปรากฏแก่ใจของเขาเองและความคิดความนึกของผูอื่นก็มาปรากฏแก่ใจเขาด้วยเหมือน
กัน และเมื่อเสียงจะมาปรากฏนั้นก็มาปรากฏขึ้นที่ปลายหทัยวัตถุก่อน แล้วก็แล่นมายังโสต
วัตถุ ปรากฏในโสตวิญญาณหยั่งรู้เนื้อความนั้นได้ บุคคลที่เจริญเมตตาภาวนาไปในในทิศ
เบื้องสูง เบื้องต่ำ และเบื้องขวางก็ดี เมื่อประกอบเป็นองค์ฌานแล้ว ก็ย่อมจะได้เห็นหมู่
สัตว์โดยชัดเจน สามารถจะเข้าใจความปรารถนาของกันและกันได้ ด้วยอำนาจองค์ฌาน
นั้น บุคคลที่เจริญภาวนาหาที่นั่งตรงๆ ปลุกตัวให้ตัวหมุนเต้นไปตามวงกลมนั้น จนจิตต์
นั้นลืมตัว สำคัญว่าได้เดินทางไปยังที่นั้นๆ แล้ว และมีโอภาสและรูปารมณ์เกิดขึ้น
ถ้ารูปารมณ์นั้นเป็นของจริง ไม่ใช่รูปนิมิตที่เกิดจากจิตตภาวนาแล้ว อาจจะพูดจารู้เนื้อ
ความกันได้ แต่วิธีนี้เป็นการเหน็ดเหนื่อยมาก และผู้ที่จะไปเห็นและพูดกันได้นั้น
ก็เป็นภิกษุและสามเณรเสียโดยมาก ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ชายหญิงเป็นส่วนน้อย ข้าพเจ้าได้พบ
อาจารย์ผู้หนึ่ง ชื่ออาจารย์กลิ่น เป็นผู้รักษาอุโบสถศีลตลอดชีพ อยู่ทางจังหวัดลพบุรี
บริกรรมเรียกให้ผีและเทวดามาพูดด้วยได้ ข้าพเจ้าลองให้เรียกคนที่ข้าพเจ้ารู้จักมาพูดดู ๒
คน ก็เห็นว่ากล่าวลักษณะถูกต้อง จึงได้ถามว่าท่านทำจิตต์อย่างไรจึงทำให้สำร็จความ
ปรารถนาได้ดังนี้ ท่านว่าให้ตั้งจิตต์ไว้ในที่เป็นอุเบกขาให้แน่วแน่ แล้วบริกรรมอธิษฐานชื่อ
ของผู้ที่ต้องการปรารถนาที่จะพบนั้น เขาก็มาให้เห็นแล ข้าพเจ้าจึงถามต่อไปว่าท่านอาจจะรู้
ได้หรือไม่ว่า ผู้ใดได้ฌานหรือไม่ได้ฌาน ท่านตอบว่าอาจสามารถรู้ได้ ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า
ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่ได้ฌานจึงสามารถพูดกับผีปีศาจได้ และ ข้าพเจ้าได้พบกับพระครูพิทย
ประสาท (พริ้ง) วัดบางปะกอก จังหวัดธนบุรี ท่านว่าท่านเลี้ยงยักษ์สองตนอาศัย
ใช้งานได้บ้าง เพราะพูดจารู้เรื่องกัน อีกองค์หนึ่งชื่อพระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน)
วัดนมโค จังหวัดอยุธยา ท่านว่าท่านเลี้ยงผีไว้ ใช้ทำการงานบางอย่างที่ผีควรจะทำได้ก็ได้
เรื่องที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่า ท่านผู้ที่ออกนามมาแล้วนั้น ล้วนแต่มีสมาธิเป็นอันดี มีคน
นับถือมาก จึงสามารถในกิจที่กล่าวแล้ว การทั้งนี้ย่อมเป็นไปได้โดยไม่ต้องมีความสงสัย
เพราะเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อยังทรงพระชนม์
อยู่นั้น ก็ทรงตรัสเทศนาแก้ปัญหากับเทวดา ดังคาถากล่าวว่า อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหณํ
เวลากลางคืนแก้ปัญหาแก่เทวดา ดังนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า ผู้ที่ประกอบด้วยสมาธิจิตต์อัน
ดีแล้วสามารถจะรู้เหตุการณ์ที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบันได้และรู้ความตรึกขึ้นในใจของผู้
อื่นได้ดังที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้แล ดังนี้วิชชาสมาธิจึงเป็นวิชชาที่รวบยอดในทางความรู้
ที่จะหาความรู้เป็นวิเศษกว่าวิชาทั้งหลาย บรรดาตำราหมอดูก็ดี ตำราก็ดี ตำราลัทธิ
วิธีที่ว่าด้วยวิชาต่างๆ อันสืบเนื่องมาจากโยคีนั้น ก็ล้วนแต่ได้ความรู้จากสมาธิทั้งนั้น.