คัมภีร์โหราศาสตร์ไทยมาตรฐานฉบับสมบูรณ์/ขันธปริตต์ กับ ฉัททันปริตต์
หน้านี้ขาดแหล่งที่มาของเนื้อหา ถ้าเป็นไปได้ ควรเป็นเอกสารต้นฉบับที่สแกนมาอัปโหลดไว้ที่วิกิมีเดียคอมมอนส์แล้วจัดทำแบบพิสูจน์อักษร หรือถ้าไม่สามารถอัปโหลดต้นฉบับเช่นนั้นได้ อย่างน้อยก็ควรระบุแหล่งที่มาที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเนื้อหาได้ |
ขัดตำนาน ขันธปริตต์ กับ ฉัททันปริตต์
๏ สพฺพาสีวิสชาตีนํแม่แบบ:เว้นวรรค-1Gทิพฺพมนฺตาคทํ วิย
ยนฺนาเสติ วิสํ โฆรํแม่แบบ:เว้นวรรค-1Gเสสญฺจาปิ ปริสฺสยํ
อาณกฺเขตฺตมฺหิแม่แบบ:เว้นวรรค-1Gสพฺพทา สพฺพปาณินํ
สพฺพ โสปิ นิวาเรติแม่แบบ:เว้นวรรค-1Gปริตฺตนฺตมฺภณาม เห.
ตำนานที่สี่ ขันธปริตต์
ตำนานที่สี่ ฉัททันปริตต์
พระปริตรบทนี้มีตำนานกล่าวว่า ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร พระภิกษุณีรูปหนึ่งฟังธรรมอยู่ และปรารภว่าตัวเรานี้เคยเป็นบาทบริจาริกาของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาแล้วในอดีตกาลหรือไม่หนอ แล้วก็เกิดญาณอันหนึ่งระลึกชาติได้ว่า เคยเป็นบาทบริจาริกาเมื่อครั้งเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ก็ยินดีหัวเราะขึ้น แล้วพิจารณาต่อไปอีกก็รู้ว่าตนได้ให้นายพรานโสณุดร ไปยิงพระยาช้างฉัททันต์ด้วยลูกศรอาบยาพิษให้ถึงแก่ความตาย ก็กลับเศร้าโศกแล้วร้องไห้ พระศาสดาทรงปรารภ เหตุนี้จึงแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ แล้วนำเรื่องฉัททันตชาดกมาแสดงธรรมเทศนา
ความว่า พระยาช้างอยู่ในป่าหิมพานต์ ชื่อพระยาฉัททันต์ มเหษีของพระยาช้างมีสอง ชื่อจุลสุภัททา ๑ มหาสุภัททา ๑ มีช้าง ๘๐๐๐ เป็นบริวาร วันหนึ่งดอกไม้รัง บานแล้ว พระยาช้างพามเหษีทั้งสองไปชมดอกรัง พระยาช้างชนต้นรังนั้น นางจุลสุภัททายืนอยู่ใกล้ต้นไม้รังนั้น มดดำมดแดงก็ร่วงลงมาต้องสรีระของนาง ส่วนนางมหาสุภัททายืนอยู่ห่างต้นไม้ใต้ลม ลมก็พัดเกสรดอกไม้โปรยไปที่นาง นางจุลสุภัททาคิดว่า พระยาช้างไม่รักนางจึงแกล้งให้มดดำมดแดงมาต้องตัวนาง ส่วนนางมหาสุภัททาภรรยาที่รักแล้วก็ ให้เกสรดอกไม้โปรยไปต้องตัว นางมีความเคียดแค้นผูกเวรแก่พระโพธิสัตว์เป็นปฐมเหตุ
อีกครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์ได้ดอกปทุมดอกใหญ่ดอกหนึ่ง ก็ยื่นดอกปทุมนั้นให้แก่นางมหาสุภัททา นางจุลสุภัททาได้เห็นดังนั้นก็น้อยใจว่าพระยาช้างไม่ให้ดอกปทุมแก่ตน ก็ผูกเวรแด่พระโพธิสัตว์เป็นคำรบสอง
กาลต่อมานางจุลสุภัททาได้ถวายผลไม้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า และนางได้ตั้งความปรารถนาว่า ข้าพเจ้าสิ้นชีพจากชาตินี้แล้วขอให้ไปบังเกิดในมัททราชสกุล มีนามว่าสุภัททา แล้วขอให้ได้เป็นมเหษีพระมหากษัตริย์ และให้ได้โอกาสให้นายพรานผู้หนึ่งออกมาล้างผลาญพระยาฉัททันต์ ตัดเอางาทั้งคู่นี้ไปให้จงได้ ครั้นอธิษฐานดังนี้แล้วนางก็ไม่แสวงหาอาหารมินานก็ล้มลง แล้วก็ได้ไปบังเกิดในมัททราชสกุล ชื่อนางสุภัททาเมื่อมีเจริญวัยแล้วก็ได้เป็นมเหษีของพระเจ้าพาราณสีตามความปรารถนา พระนางระลึกชาติหนหลังได้ เมื่อจะทำความปรารถนานั้นให้สำเร็จ แกล้งทำเป็นประชวรประหนึ่งว่าจะแพ้ท้อง เมื่อพระราชสามีทรงเยี่ยม พระนางก็ทูลว่าแพ้ท้องโดยฝันเห็นของสิ่งหนึ่งยากที่จะหาได้ ขอให้พระราชสามีประชุมนายพรานป่าก่อนแล้วจะแสดงความฝันถวาย พระมหากษัตริย์ก็ให้ประชุมพรานป่า แล้วพระนางจึงตรัสว่า เราฝันเห็นช้างเผือกผู้ งามมีรัศมี ๖ ประการ เราต้องการงาทั้งคู่นั้น เมื่อไม่ได้สมปรารถนาเราก็จะไม่มีชีวิตต่อไปแล้ว พระนางเลือกได้นายพรานโสณุดร จึงสั่งให้นายพรานโสณุดรออกไปยิงพระยาฉัททันต์ และพระนางได้บอกตำแหน่งที่อยู่ของพระยาช้างให้นายพรานโสณุดรทราบโดยตลอด
นายพรานโสณุดรได้พยายามเดินทางไปสิ้นเวลาเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวันจึงถึงที่อยู่แห่งพระโพธิสัตว์ ตรวจดูลาดเลาที่หยุดยืนของพระยาช้างได้แล้ว เวลาพระยาช้างไปจากที่นั้น นายพรานจึงขุดหลุมในที่ตรงนั้นให้ลึกลงไปจนลงไปยืนอยู่ในหลุมได้ ทอดไม้ขวางเบื้องบนและเกลี่ยดินให้เรียบ ไว้ช่องลูกธนูและช่องที่ตนจะลงไปซ่อนตนในหลุม เสร็จแล้วก็เอาผ้ากาสาวพัสตร์คลุมศีรษะและนุ่งห่มลงซ่อนตัวอยู่ในหลุม เมื่อพระยาช้างมายืนอยู่ที่ตรงหลุมนั้น พรานป่าก็ยิงลูกธนูขึ้นไปต้องพระยาช้างแต่นาภีจนทะลุหลัง พระยาช้างก็บันลือโกญจนาทถ้วนวาร ๓ ครั้ง บริวารของพระยาช้างต่างก็แยกย้ายกันไปเที่ยวหาศัตรู เว้นแต่นางมหาสุภัททาหาได้ไปไม่มาเฝ้าอยู่ พระยาช้างรู้ว่าศัตรูซ่อนตัวอยู่ในหลุมและปรารถนาที่จะทราบเหตุโดยฉะเพาะตน จึงขับนางมหาสุภัททาให้ไปค้นหาศัตรูอย่างบริวารทั้งหลาย เมื่อนางไปแล้วพระโพธิสัตว์ก็ทำลายที่กำบังของศัตรูเพื่อจะจับตัวฆ่าเสีย แต่พอได้เห็นผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ให้เกิดรู้สึกขึ้นว่า ผ้ากาสาวพัสตร์นั้นเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ บัณฑิตทั้งหลายไม่ควรทำลาย ควรสักการะเคารพ จึงเอางวงยกนายพรานขึ้นจากหลุม มาวางไว้ข้างหน้า แล้วกล่าวว่า ผู้ที่หมักหมมอยู่ด้วยกิเลส ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผ้ากาสาวพัสตร์ควรแก่ผู้ที่ปราศจากกิเลส ครั้นกล่าวฉะนี้แล้วโทษะจิตต์ก็ระงับไป จึงถามนายพรานว่า เจ้าฆ่าเราเพื่อประสงค์อะไร ต้องการเองหรือผู้อื่นใช้ให้มา
เมื่อได้ทราบว่านางสุภัททาใช้ให้นายพรานมาเอางา ก็ทราบว่านี้เป็นเพราะเวรที่นางอาฆาตไว้ จึงให้นายพรานเลื่อยเอางาทั้งคู่นั้นตามปรารถนา และอธิษฐานว่า ขอเดชะบุญที่บริจาคงาทั้งคู่นี้ ขอให้ได้บรรลุแก่พระสัพพัญญุตญาณ แล้วก็กระทำสัจจกถาเครื่องป้องกันพาลมฤคในไพร ให้แก่พรานโสณุดร สัจจกถานี้มีแจ้งอยู่ในคาถาสวดมนตร์ตั้งแต่ สลฺเลน ฯลฯ อคญฺฉุนฺติ แล้วพระโพธิสัตว์ก็ให้นายพรานกลับ และพระองค์ก็กระทำกาลกริยา
เมื่อนายพรานโสณุดรนำงาพระยาฉัททันต์มาถึงพระนครแล้ว นางสุภัททาได้เห็นงาแห่งพระโพธิสัตว์ก็หวนระลึกถึงความหลังขึ้นมา แล้วก็เกิดความเศร้าโศกอย่างสาหัสจนดวงหฤทัยแตกมลายชีพในวันนั้นเอง
คาถาที่สวดมนตร์บทนี้ ได้สวดกันแต่ฉะเพาะบทที่พระโพธิสัตว์ทรงอธิษฐานเป็นพระปริตรเครื่องป้องกันภัย ให้แก่นายพรานโสณุดรดังต่อไปนี้:-