คำพิพากษาฯ คดีประทุษฐร้ายต่อพระองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8/ส่วนที่ 1

จาก วิกิซอร์ซ

บันทึกการสอบสวน
ในคดีเกี่ยวแก่กรณีสวรรคตของ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘


ในเวลาที่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๘ สวรรคตโดยถูกกระสุนปืนในขณะที่ทรงพระบรรทมบนพระที่ในพระบรมมหาราชวังนั้น ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการบำนาญ

ในฐานที่ข้าพเจ้าเป็นประชาชนชาวไทย แม้จะเป็นข้าราชการบำนาญ แต่ได้สำนึกว่า ชาวไทยเราได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณธรรมอันประเสริฐแต่ยังพระเยาว์ไปพระองค์หนึ่ง ซึ่งเราท่านต่างก็ได้รับความเศร้าสลดอยู่มิวาย ข้าพเจ้าเคยเฝ้าใกล้ชิดพระยุคลบาทครั้งหนึ่งในคราวที่ทรงให้ข้าราชการชั้นอธิบดีขึ้นไปเข้าเฝ้า และได้ฟังพระราชดำรัสแก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในที่นั้นแล้วก็เป็นที่ซาบซึ้งกันทั่วไปว่า พระราชดำรัสที่รับสั่งแก่ข้าราชการนั้น ทรงตั้งพระทัยแต่จะแผ่พระเมตตาและให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนเป็นที่ตั้ง

ข้าพเจ้าจำได้ว่า ก่อนทราบข่าวอันน่าเศร้านั้น กำลังรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านพร้อมด้วยภริยา, ม.ร.ว.เสนีย์ และภริยา, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์. นายนาวาตรี หลวงนิเทศกลกิจ เพื่อนข้าพเจ้าโทรศัพท์ถามข้าพเจ้าว่า ทราบข่าวว่า ในหลวงสวรรคต จริงหรือ ข้าพเจ้าถามว่า ทราบจากทางใด รับตอบว่า เขาพูดกัน ข่าวนี้แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัด ก็ทำให้พวกเราต่างตกตลึงมือเท้าเย็นไปตาม ๆ กัน ม.ร.ว.เสนีย์ จึงโทรศัพท์ไปบ้านคุณพระสุทธิอรรถฯ ขอพูดโทรศัพท์ด้วย ได้รับตอบจากทางบ้านคุณพระสุทธิอรรถฯ ว่า เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ในไม่ช้านัก นายเลียงไชยกาลมาบอก ม.ร.ว.เสนีย์ ว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๘ สวรรคตแน่ เราต่างก็รำพึงรำพรรณกันว่า สวรรคตอย่างใด ข่าวคราวการประชวรหนักก็ไม่มี

เมื่อข่าวสวรรคตแพร่ชัดขึ้น ใจข้าพเจ้าคิดทบทวนเหตุผลตลอดวัน แต่ในค่ำวันนั้น คำแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังปรากฏใจความว่า ในหลวงทรงพระประชวรพระนาภีมาหลายเวลา มีพระอาการอ่อนเพลีย ได้ทรงเล่นพระแสงปืน ทำให้ปืนลั่นถูกพระองค์ การสวรรคตจึงเกิดจากอุบัติเหตุ และเจ้าหน้าที่ยังแถลงต่อสภาผู้แทนดังนั้นเช่นกัน ทั้งยังยืนยันว่า กระสุนปืนขนาด ๑๑ ม.ม. นั้นไม่ทะลุพระเศียรด้วย ในวันรุ่งขึ้น อีกข่าวหนึ่งซึ่งปรากฏจากนายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งมีหน้าที่ไปจัดทำความสะดอาดพระบรมศพปรากฏว่า กระสุนนั้นทะลุ เพราะปรากฏบาดแผลทางเบื้องหลัง

เมื่อวัตถุพยานกับคำแถลงการณ์ของทางราชการขัดแย้งกัน โดยปรกติ วิญญูชนทั่วไป รวมทั้งข้าพเจ้า เกิดตั้งปัญหาถามตัวเองว่า การสูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่สักการะของปวงชนชาวไทย ทำไมจึงเป็นเหตุให้ข้อเท็จจริงผิดพลาดถึงเพียงนี้ เท่าที่ฟังว่า ทางการจะทำอะไรแก่พระบรมศพไม่ได้ เพราะขัดต่อระเบียบประเพณี ก็เหตุไฉนเพียงแต่จะตรวจดูพระเขนยหรือพระที่อย่างใดอย่างหนึ่งก็จะเห็นรอยแสดงว่า กระสุนปืนทะลุหรือไม่ แต่ข้อสงสัยทั้งมวลเป็นอันระงับใจชั่วคราว เพราะเราท่านต่างไม่มีอำนาจและหน้าที่ ได้แต่รอฟังรอแล้วรอเล่า เสียงประชาชนตลอดจนหนังสือพิมพ์พากันวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ว่า พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ แม้ทางราชการสมัยนั้นจะประกาศแก้ไขด้วยประการต่าง ๆ ก็หามีอำนาจเหนือเสียงมติมหาชนไม่ จนกระทั่งทางรัฐบาลดำเนินการตั้งท่านที่ทรงคุณวุฒิและทรงเกียรติขึ้นเป็นกรรมการสอบสวน ที่เราท่านเรียกกันว่า ศาลกลางเมือง ทั้ง ๆ ที่เกิดศาลกลางเมืองขึ้น และทางการตำรวจก็นำพยานเข้าสืบต่อหน้าศาลกลางเมือง และคำวินิจฉัยของศาลกลางเมืองได้วินิจฉัยว่า ข้อที่สวรรคตโดยอุบัติเหตุนั้นเป็นไปไม่ได้ ยิ่งแสดงชัดว่า ขัดกับคำแถลงการณ์ของรัฐบาลอย่างขาวกับดำ และยังให้ความเห็นว่า ควรจะมอบเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนตามประมวลวิธีพิจารณาต่อไปด้วย

หลังจากสวรรคตแล้วราว ๒๐ วัน ข้าพเจ้าพบกับเพื่อนหลายคนที่กระทรวงเศรษฐการ มีเพื่อนกระซิบบอกข้าพเจ้าว่า ทางการส่งปืนของกลางไปกรมวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ความว่า ปืนของกลางไม่ใช่กระบอกที่ยิงล้นเกล้าล้นกระหม่อม เป็นปืนที่ใช้ยิงมาครั้งสุดท้ายก่อนวันสวรรคตไม่น้อยกว่า ๘ วัน ในเวลาที่รับข่าวนี้ ถ้าเป็นจริง ก็แสดงแน่ชัดว่า มีคนลอบปลงพระชนม์แน่ แต่นั้นมา ความข้องใจของข้าพเจ้าในเรื่องนี้มีอยู่ตลอดมาเช่นเดียวกับเพื่อนชาวไทย

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ หลังจากเกิดรัฐบาล รัฐบาลรัฐประหารสมัยนั้นได้ทำการจับกุมนายชิต นายบุศย์ นายเฉลียว กับพวก หาว่า สมคบกับพวกลอบปลงพระชนม์ในพระบรมโกศ ข้าพเจ้าถูกแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการสอบสวนคดีนี้ด้วยผู้หนึ่ง เหตุที่ข้าพเจ้ารับเป็นประธานกรรมการ ก็เพราะเหตุผลต่าง ๆ เป็นที่ข้องใจดังกล่าวมาโดยย่อข้างต้น ความข้องใจนั้น เราไม่มีหน้าที่ ก็ต้องข้องใจตลอดไปจนกว่าจะมีเหตุผลแสดงออกให้หายความข้องใจ ก็เมื่อเขาจะให้เรามีหน้าที่ เราก็ต้องรับ จริงอยู่ ถ้าคิดดูแล้ว ไม่น่าจะรับ เพราะเป็นการฝ่าอันตราย แม้แต่เพื่อน ๆ ข้าพเจ้ายังได้เตือนต่าง ๆ นา ๆ ว่า ไม่ควรจะฝ่าอันตราย เขายังชักตัวอย่างให้ฟังว่า เมื่อก่อนรัชกาลที่ ๘ สวรรคต ในพระนครและที่ชุมนุมชนแท้ ๆ คนร้ายยังอุกอาจใช้ระเบิดขว้างนายไถง ใช้ปืนกลยืงนายสุวิทย์ ใช้ปืนยิงนายชื้น จับคนร้ายก็ไม่ได้ ทำให้คนหวาดกลัวกันทั่วไป ข้าพเจ้าได้แต่ขอบพระคุณเพื่อนฝูงที่ตักเตือนด้วยเจตนาดี แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถจะรับคำเตือน เพราะเป็นกรณีเกี่ยวแก่พระประมุขของชาติที่ประชาชนทั่วไปได้รับความเสียหาย ถ้าข้าพเจ้าละเลยไม่ยอมรับ ดูประหนึ่งข้าพเจ้าเป็นคนเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าส่วนรวม

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะจับบทกล่าวถึงการสอบสวนในคดีนี้ทำอย่างใดนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเขียนโดยละเอียด เพราะหาเวลาได้น้อย และการเขียนขึ้นนี้มิใช่ข้าพเจ้าจะหาญเป็นตำหรับตำรา นอกจากจะถือว่า เป็นเรื่องสำคัญในชีวิต เมื่อได้กระทำอะไรลงไป ก็ควรจะจดบันทึกไว้พอควร ข้าพเจ้าจึงขออภัยแก่ท่านผู้อ่านในที่นี้ด้วย

ข้าพเจ้าเข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ และได้รับสำนวนชั้นตำรวจสอบสวนและสำนวนศาลกลางเมืองทั้งหมด ข้าพเจ้าเริ่มอ่านตรวจสำนวน ด้วยสมองของข้าพเจ้าหยุดชงักในกิจการของตำรวจมา ๒ ปี ข้าพเจ้าเกิดงงงวยไปพักหนึ่ง ทำให้การอ่านตรวจช้าไปกว่าที่ควร แต่เพื่อมิให้เสียเวลา อ่านพลางกำหนดประเด็นย่อย ๆ ดำเนินการสอบสวนไปพลาง จนเวลาราว ๑ เดือนเศษ พอที่จะจับมูลเค้าเรื่อง ข้าพเจ้าจึงเชิญประชุมปฤกษากับเพื่อนข้าราชการที่ถูกทางราชการแต่งตั้งเป็นพนักงานสอบสวนร่วมในชุดเดียวกัน

การประชุมได้พูดกันถึงเหตุต่าง ๆ และได้พิจารณาถึงความเห็นของศาลกลางเมืองในข้อที่ตัดกรณีสวรรคตโดยอุบัติเหตุออกเสียได้นั้นด้วย ซึ่งพวกเราได้แยกว่า ศาลกลางเมืองนั้นไม่ใช่พนักงานสอบสวนตามประมวลฯ และส่วนมากที่ปรากฏในสำนวนศาลกลางเมือง ทางการตำรวจสมัยนั้นเป็นผู้นำมาแสดง ส่วนพวกเราเป็นพนักงานสอบสวน ดำเนินการตามประมวลฯ ซึ่งมีหน้าที่สืบเสาะสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงรวบรวมไว้ ดังนั้น จึงตกลงกันว่า ในหน้าที่ พวกเราชอบที่จะต้องดำเนินการสอบสวนค้นคว้าด้วยว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๘ สวรรคตด้วยอุบัติเหตุ หรือทรงยิงพระองค์ หรือถูกลอบปลงพระชนม์ เมื่อเป็นที่ตกลงเช่นนี้ จึงกำหนดประเด็นใหญ่ ๆ ที่จะต้องดำเนินการสอบสวนค้นคว้าในเบื้องต้นไว้ ดังนี้

๑. ปัญหาเรื่องปืนของกลางที่จะต้องค้นคว้าให้แน่ชัดปราศจากข้อสงสัยว่า เป็นปืนที่ทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ชีพหรือมิใช่

๒. ปัญหาเรื่องกระสุนปืนของกลางที่ได้ใช้ในพระที่ ซึ่งจะต้องค้นคว้าหาเหตุผลว่า เป็นมาประการใด

๓. ท่าทางพระบรมศพที่ปรากฏแรกพบ

๔. ทางเข้าออกในห้องพระบรรทมวันเวลาเกิดเหตุ

ปัญหาเรื่องปืนของกลางนั้น เบื้องต้นได้ความจากการตรวจพิสูจน์ปืนของกรมวิทยาศาสตร์ว่า เป็นปืนที่ใช้ยิงก่อนวันสวรรคตครั้งสุดท้ายไม่น้อยกว่า ๘ วัน ในหน้าที่ พนักงานสอบสวนก็จะต้องสอบสวนเหตุผลและหลักฐานต่าง ๆ ในการตรวจพิสูจน์ของกรมวิทยาศาสตร์ ตลอดจนความประสงค์ของเจ้าหน้าที่ผู้ส่งปืนไปตรวจ และคำตอบชี้แจงในการตรวจ

พนักงานสอบสวนได้เริ่มสอบสวนด๊อกเตอร์จ่าง อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ และนายแพทย์ศิริ เจ้าหน้าที่กรมวิทยาศาสตร์ ท่านทั้งสองเป็นผู้ที่ตรวจปืนของกลางตลอดจนการแจ้งผลในการตรวจครั้งนั้น

ท่านทั้งสองได้ชี้แจงถึงการตรวจตามหลักวิชาการ และเมื่อตรวจแล้ว ได้บันทึกผลการตรวจไว้เป็นหลักฐานในวันเวลาตรวจนั้นเอง ท่านได้แสดงบันทึกการตรวจ พนักงานสอบสวนได้ตรวจดูรายการบันทึกซึ่งบันทึกไว้ในสมุดเย็บเป็นเล่ม สมุดนี้มีเลขเรียงลำดับตามหน้าของสมุด นอกจากบันทึกรายการตรวจปืนของกลางนี้แล้ว ยังปรากฏว่า มีบันทึกรายการตรวจของคดีอื่น ๆ ไว้ทั้งหน้าหลังด้วย เป็นที่ประจักษ์แก่พนักงานสอบสวนว่า สมุดบันทึกนี้แสดงความบริสุทธิ์ในข้อความบันทึกอยู่ในตัวที่ไม่อาจสามารถจะแซกแซงในภายหลังได้ ทั้งแสดงให้เห็นชัดว่า ได้บันทึกในเวลาตรวจพิสูจน์ เพราะมีวันเวลากำกับรายการตรวจอยู่ด้วย แต่ตามสำนวนไม่มีปรากฏว่า ผู้ตรวจพิสูจน์ปืนของกลางทั้ง ๒ ท่านนี้ได้เคยถูกเจ้าหน้าที่เรียกตัวไปชี้แจงเหตุผลในการตรวจแต่ประการใดเลย จึงต้นต่อไปว่า มีประเด็นอันควรที่จะเรียกท่านทั้งสองนี้ไปชี้แจงมีบ้างไหม ปรากฏจากหนังสือพอย่อได้ว่า การส่งปืนของกลางให้ตรวจพิสูจน์ ต้องการทราบว่า ปืนของกลางที่ใช้ยิงไหม และยิงมาได้นานเท่าใด ส่วนหนังสือตอบของกองวิทยาศาสตร์ได้ความโดยย่อว่า ปืนของกลางใช้ยิงแล้ว แต่จะช้านานเท่าใดยังไม่สามารถตอบได้ เพราะขัดวัตถุเคมีบางอย่าง พนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือตอบของกรมวิทยาศาสตร์ไม่ได้ปิดทางว่า ไม่สามารถจะตรวจได้ เพียงแต่บอกว่า ขาดวัตถุเคมีบางอย่าง เกิดมีประเด็นอันควรที่เจ้าหน้าที่จะเรียกตัวหรือสอบถามกรมวิทยาศาสตร์ต่อไปว่า วัตถุเคมีที่ขาดนั้นได้แก่อะไรบ้าง เมื่อได้รับบอกกล่าวแล้ว ก็อาจจะช่วยหาให้แก่กรมวิทยาศาสตร์ดำเนินการตรวจสอบให้แน่ แม้ภายในประเทศจะไม่มี ก็อาจสั่งซื้อจากต่างประเทศส่งทางเครื่องบินได้โดยสะดวก จึงตกเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนชุดนี้จะต้องหยิบยกมาพิจารณาสอบสวนเหตุผลต่อไป เราจึงสอบสวนต่อไปถึงวิธีการตรวจพิสูจน์ปืนของกลางด้วยเครื่องยาเคมีตามหลักวิชาโดยละเอียด ได้ความว่า สถานที่ ๆ ตรวจภายนอกห้องมีคนพลุกพล่านใคร่ทราบผลกันมาก การพูดจาในเวลาตรวจปรากฏผลตามบันทึกในสมุดนั้น มีการพูดจาด้วยน้ำเสียงขนาดไหน พอที่คนเดินผ่านไปมาหรืออยู่นอกห้องจะได้ยินไหม คงได้คามว่า การพูดถึงผลการตรวจนี้ คนภายนอกห้องอาจได้ยินแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงได้ว่า ผลการตรวจพิสูจน์ปืนคงแพร่สพัดลับ ๆ ออกเป็นแถว ๆ หลังจากตรวจพิสูจน์ยังได้ความจากการสอบสวนต่อไปว่า มีเพื่อนของอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ได้ตักเตือนบอกแก่ท่านว่า ขอให้ระมัดระวังตัว ภัยจะมีถึง และชี้แจงเหตุผลด้วยว่า การตอบหนังสือในข้อที่ว่า ยังขาดวัตถุเคมีบางอย่างก็เพื่อลองดูว่า ข่าวที่เพื่อนบอกว่า จะมีภัย และหยังดูว่า ทางการจะหยิบยกคดีนี้ เป็นจริงเป็นจังเพียงไหน ถ้าต้องการทำการจริงจัง ทางการคงสอบถามว่า วัตถุเคมีที่ขาดนั้นคืออะไร แต่รอคยแล้วรอคอยเล่าก็ไม่เห็นมีใครต้องการ ซ้ำข่าวแพร่สพัดจากเพื่อนฝูงถึงหูกลับทวีความกดดันตัวอธิบดีอยู่ตลอดเวลา เหตุผลนี้พนักงานสวบสวนเห็นว่า เป็นเหตุผลที่น่าฟังอยู่มาก เพราะเหตุการในระยะนั้น แม้แต่ยิงกราดด้วยปืนกลกลางวันแสก ๆ ยังทำได้ แต่ต่อมาก็ปรากฏว่า นายพันเอก พระยาวิชิตสรศาสตร์ร้องเรียนว่า เป็นกรณีถูกลอบปลงพระชนม์โดยหลงเชื่อตามประกาศของรัฐบาล แต่กลับถูกจับกุมฟ้องร้องยังศาลในข้อหาทำนองขบถเสียด้วยซ้ำไป ก็ไฉนเล่าอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์จะไม่ระวัง

เหตุที่มีการขว้างลูกระเบิดและยิงกันในที่ชุมนุมชนอย่างอุกอาจ ตลอดจนเหตุผลที่จับนายพันเอก พระยาวิชิตสรศาสตร์ พนักงานสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ประกอบในสำนวน ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนเห็นว่า เป็นประเด็นส่วนหนึ่งเพื่อแสดงถึงวิธีดำเนินงานและวิธีที่บุคคลธรรมดารำลึกเหตุการณ์ในยุคที่ใกล้กับล้นเกล้าล้นกระหม่อมถูกปืนสวรรคตนี้ ซึ่งสามัญชนสำนึกกันทั่ว ๆ ไปว่า น่าเกรงอันตรายแก่ผู้ที่แม้จะทราบโดยตระหนักว่า เป็นการลอบปลงพระชนม์ จะพูดไปก็เท่ากับหาภัยใส่ตัว ทั้งยังเป็นทางที่จะแสดงให้ศาลใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยทางหนึ่งด้วย

กาลต่อมา หลังจากที่รัฐประหารตั้งรัฐบาลใหม่ และคณะรัฐประหารแถลงมูลที่ทำการรัฐประหารก็มุ่งจะคลี่คลายกรณีสวรรคตของล้นเกล้าล้นกระหม่อมอยู่ด้วย และได้จับผู้อยู่ในข่ายสงสัย และตั้งกรรมการดำเนินการสอบสวนอย่างเอาจริงเอาจังกันขึ้น ตอนนี้แหละที่อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์จึงเผยเรื่องการตรวจพิสูจน์ปืนขึ้นแสดง นับว่า อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ปฏิบัติด้วยเหตุผลอื่นเหมาะสมแก่กาลเวลา ถ้าขืนแสดงบทบาทผิดจังหวะเวลา หากบันทึกการตรวจพิสูน์จปืนของกลางอันตรธานสูญหายไปด้วยประการใด ๆ แล้ว เราท่านลองนึกดูทีหรือว่า ผลร้ายจะบังเกิดในหลักฐานแขนงนี้เพียงใด

พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนตามหลักวิชาและวิธีการตลอดจนความชำนาญ โดยให้ผู้ตรวจพิสูจน์อาวุธปืนของกลางอย่างยืดยาว และยังจัดหาปืนและกระสุนปืนชนิดเดียวกับปืนของกลาง ตลอดจนสถานที่ให้ใช้ยิง เพื่อตรวจทดสอบเป็นระยะ ๆ ด้วยปืนหลายกระบอก แล้วตรวจพิสูจน์ตามหลักวิชาทุก ๆ ระยะ ทุก ๆ กระบอก เทียบเคียงกับหลักการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนของกลาง จนปราศจากความสงสัยใด ๆ ว่า การพิสูจน์ปืนของกลางตามหลักวิชานั้นไม่ผิดพลาดอะไร แม้การพิสูจน์ปืนของกรมวิทยาศาสตร์จะได้ผลเช่นนั้นก็ตาม พนักงานสอบสวนยังหาได้หยุดยั้งเพียงเท่านี้ไม่ ยังได้เชิญท่านที่คงแก่การศึกษาทางวิทยาการ และท่านที่คงแก่การศึกษาประกอบด้วยความชำนาญเรื่องอาวุธปืนจากกองทัพบก กองทัพเรือ มาทำการสอบสวนค้นคว้าหาหลักและเหตุผลทั่ว ๆ ไปอีกส่วนหนึ่ง แล้วมาทดสอบกับการตรวจพิสูจน์ของกรมวิทยาศาสตร์อีก ก็คงได้ความว่า ปืนของกลางไม่ใช่กระบอกที่ทำให้ในพระบรมโกศสวรรคตแน่ และยังได้สอบสวนต่อไปว่า ปืนของกลางมีน้ำหนัก เมื่อยิงแล้วกำลังแรงดันจะผิดแผกต่างกับในที่ ๆ ได้ปืนของกลางหรือหาไม่ กลับได้ความว่า ต้องต่างกัน ซ้ำปืนของกลางเป็นปืนชนิดที่ต้องเหนี่ยวไกข้างหลังจึงจะลั่นออกได้

ยังมีปัญหาที่พนักงานสอบสวนจะต้องกระทำเกี่ยวแก่เรื่องปืนของกลางนี้จนกระจ่างแจ้งอีก ก็คือ ในสำนวนเดิม ปรากฏว่า หลังจากสวรรคตไม่กี่ชั่วโมง นายชิตนำปืนของกลางมาแสดงต่อหน้าท่านนายกรัฐมนตรีและข้าราชการผู้ใหญ่หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้าราชการผู้ใหญ่ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมตำรวจ และผู้บังคับการตำรวจ ต่างได้ให้การรับรองไว้ว่า ปืนนั้นแสดงว่า เพิ่งยิ่งมาใหม่ ๆ โดยอธิบายเหตุผลเพียงพอควร และมีข้าราชการตำรวจผู้น้อย ๑ นายให้การไว้ว่า ได้ดูปืน แต่เห็นว่า ไม่ใช่ปืนยิงใหม่ ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ความเป็นฉันใด เพราะตามธรรมดา ถ้อยคำของข้าราชการผู้ใหญ่ย่อมมีน้ำหนัก และความนั้นก็ไปขัดกับการทดสอบเรื่องปืนตามที่กล่าวมาแต่หนหลัง

พนักงานสอบสวนจำต้องตัดสินใจเชิญข้าราชการผู้ใหญ่ทั้ง ๒ ท่าน และข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ๑ นาย มาสอบสวนไล่เลียงเหตุผลและหลักการตามที่แสดงความเห็นไว้ว่า เหตุผลทางใดพอที่จะยึดถือเป็นหลักสนับสนุนความคิดเห็นของแต่ละท่าน คงได้ความว่า ที่ท่านผู้ใหญ่มีความคิดเห็นไว้นั้น บางท่านก็ดูปืนของกลางเพียงผิวเผิน ไม่ได้ตรวจพินิจพิเคราะห์ ซ้ำนัยน์ตาของท่านปรกติต้องเข้าแว่นจึงจะเห็นได้ดี แต่การดูปืนของกลาง ท่านดูในระยะห่าง และไม่ได้ใส่แว่นตา ประกอบทั้งมิได้หันลำกล้องปืนหรือดมกันอย่างจริงจัง ท่านเข้าใจว่า เป็นปืนที่ทำให้สวรรคต อุปทานท่านก็คิดเห็นว่า เป็นปืนที่ยิงใหม่ ๆ ส่วนนายตำรวจผู้น้อยได้หยิบคลำตรวจส่องพิสูจน์ดูละเอียดกว่ามาก เห็นว่า ปืนของกลางเป็นสนิม กลิ่นดินปืนก็ไม่ปรากฏ จึงเห็นว่า ไม่ใช่ลักษณะของปืนที่ยิงใหม่ ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องเห็นได้ว่า เหตุผลทางนายตำรวจผู้น้อยดีกว่ามาก ข้อให้ความคิดเห็นของท่านข้าราชการผู้ใหญ่เหมือนหนึ่งให้ความเห็นโดยปราศจากการตรวจพิจารณา เท่ากับความเห็นนั้นไม่มีการตรวจพิจารณากันเลยก็ว่าได้ เรื่องปืนเป็นอันยุติได้

ปัญหาประเด็นในเรื่องหัวกระสุนที่แสดงว่า ได้จากในพระที่ มูลที่ทำให้ได้หัวกระสุนจากในพระที่นั้น เนื่องมาจากนายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งมีหน้าที่ทำความสะอาดและฉีดยาพระบรมศพ จึงปรากฏความจริงว่า กระสุนปืนทะลุพระเศียร หาใช่ไม่ทะลุดังที่ทางการแถลงแก่ประชาชนไม่ จึงเป็นเหตุทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งปากประชาชนและหนังสือพิมพ์เกี่ยวแก่กรณีสวรรคตนี้ไปต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งมีใจความว่า ถูกลอบปลงพระชนม์

พนักงานสอบสวนได้ตรวจดูในสำนวนที่มีอยู่ ได้ความว่า เจ้าหน้าที่ได้จัดการเอาหัวกระสุนจากในพระที่หลังจากทราบว่า กระสุนทะลุนั้น ๒ วัน เมื่อได้มาก็เอาเก็บรักษาไว้ยังมิได้จัดการอย่างใด นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่น่าคิดว่า ทำไมจึงปล่อยปละไม่สนใจเกี่ยวแก่หัวกระสุนนี้ ซึ่งนับว่า เป็นวัตถุพยานสำคัญมิใช่น้อย ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น คือ ในเบื้องต้น พระเขนยที่กระสุนปืนผ่านทะลุเข้าในพระที่ นับได้ว่า เป็นวัตถุพยานเช่นกัน ก็ถูกฝังเสีย ภายหลัง จึงติดตามเอาพระเขนยขึ้นมา

พนักงานสอบสวนพิจารณาเหตุผลในการปฏิบัติเกี่ยวแก่หัวกระสุนและพระเขนยดังกล่าวนี้ รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่มืดมน พนักงานสอบจึงสอบสวนเหตุผลในการฝังพระเขนยและเหตุผลเกี่ยวแก่หัวกระสุนของกลาง ก็ได้ความเพียงเลา ๆ ว่า เห็นไม่สำคัญ หามีใครมีเจตนาที่จะทำลายพยานหลักฐานอะไรไม่ เมื่อมาพิจารณาดูเหตุต่าง ๆ ประกอบกัน เท่าที่ทางการปฏิบัติเกี่ยวแก่กรณีนี้ตลอดมา ก็น่าจะให้คิดว่า ไม่สำคัญ เพราะจุดมุ่งอยู่ที่ว่า เป็นกรณีอุบัติเหตุหรือยิงพระองค์เอง หาเกี่ยวแก่การที่จะพิสูจน์ก้าวไปถึงว่าอาจมีผู้ลอบปลงพระชนม์ไม่ หากมาชั้นพนักงานสอบสวนนี้ต่างหากที่มีการสอบสวนค้นคว้ารวมถึงกรณีที่อาจถูกลอบปลงพระชนม์ขึ้น หัวกระสุนและพระเขนยดังกล่าวจึงตกเป็นวัตถุพยานชนิดหนึ่งที่จะเป็นทางพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไป ในเรื่องหัวกระสุนของกลางนี้ แม้กรรมการศาลกลางเมืองและท่านนายแพทย์บางท่านที่ได้พบเห็น ทำให้ท่านปลาดใจตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่า หัวกระสุนของกลางนั้นมีรอยบุบน้อย ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

ที่จริง กรณียุ่งยากทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นนี้ ถ้าการชันสูตรพระบรมศพในเบื้องต้นได้กระทำกันให้ละเอียดสักเล็กน้อย คือ เพียงแต่ให้ตรวจดูพระเขนยที่นำไปฝังว่า มีรอยกระสุน แล้วรีบจัดการหากระสุนนั้นในพระที่นำมาพิสูจน์กับปืนของกลาง ก็จะปรากฏว่า เป็นหัวกระสุนที่ยิงจากปืนของกลางใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ก็พอเข้าใจใกล้ในทางลอบปลงพระชนม์ แต่หากระทำกันให้ปรากฏชัดในเวลาอันควรไม่ เรื่องจึงกลับมาสู่หน้าที่ของพนักงานสอบสวนนี้ที่จะต้องหาเหตุผลมาพิจารณา

พนักงานสอบสวนจึงสอบสวนเจ้าหน้าที่ผู้ที่ใช้อาวุธและกระสุนปืนชนิดเดียวกันยิงหัวกระโหลกศพที่โรงพยาบาลศิริราชหลาย ๆ ศพ และนำเอาหัวกระสุนที่ใช้ยิงหัวกระโหลกนั้นหลาย ๆ หัวมาดูเทียบเคียงกับหัวกระสุนปืนของกลางด้วยตาเปล่า ยังปรากฏชัดว่า รอยบุบหัวกระสุนแตกต่างกันมาก กล่าวคือ หัวกระสุนปืนที่ใช้ยิงผ่านกระโหลกศพนั้นมีรอยบุบมาก และความบุบใกล้เคียงกันทุกนัด ส่วนรอยบุบกระสุนปืนของกลางนั้นมีรอยบุบน้อยมาก ถ้าดูต้องใช้ความสังเกตพิจารณาจึงจะเห็น นอกจากนี้ ยังสอบสวนต่อไปถึงกรณีที่ก่อนล้นเกล้าล้นกระหม่อมสวรรคต ได้ถูกนายเรือเอก วัชรชัย ฝึกสอนยิงเป้าด้วยอาวุธและกระสุนปืนชิดเดียวกับของกลางนั้น ใครเป็นคนเก็บหัวกระสุนและปลอกกระสุนไว้บ่อยครั้ง ก็ได้ความต้องกันว่า นายชิตเป็นผู้เก็บมาก พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการต่อไปโดยจัดเป้าและอาวุธกระสุนปืนชนิดเดียวกับของกลางมายิง แล้วเก็บหัวกระสุนนั้นไว้ และหัวกระสุนของกลางที่ได้จากในพระที่ และหัวกระสุนปืนที่ได้จากนายชิดซึ่งรับกันว่า เป็นหัวกระสุนที่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทรงยิงเป้านั้น มาเทียบเคียงดู เห็นมีรอยบุบใกล้เคียงและละม้ายคล้ายคลึงกันมาก

ในเรื่องหัวกระสุน ตามที่พนักงานสอบสวนดูด้วยตาเปล่า เห็นผิดแผกแตกต่างกันดังกล่าวแล้ว ยังจัดส่งกองวิทยาการพิสูจน์ตามหลักวิชา ก็ปรากฏว่า รอยบุบแตกต่างกันดังว่า

ต่อไป พนักงานสอบสวนจึงตรวจสอบรอยกระสุนปืนที่ทะลุพระเขนยและพระที่ ตลอดจนวิธีการที่นำเอากระสุนของกลางออกจากในพระที่มาเทียบเคียงด้วยตาเปล่าและด้วยวิชา ปรากฏว่า รอยทะลุที่พระเขนยนั้นเล็กใกล้กับส่วนโตของหัวกระสุน ส่วนรอยทะลุในพระที่นั้นเป็นปากฉลาม กว้างมากตั้ง ๒๒ เซ็นต์ พอดีกับนิ้วมือล้วงได้ถนัด เมื่อปรากฏว่า กระสุนนัดเดียวกันทะลุในเวลาเดียวกัน รูผ้าที่กระสุนผ่านผิดแผกแตกต่างกันมากเช่นนี้ และประมวลเข้ากับเหตุผลต่าง ๆ เกี่ยวแก่หัวกระสุนของกลาง ตลอดจนเหตุที่ไม่สนใจว่า กระสุนทะลุหรือไม่ อย่างหนึ่ง และไม่กระตือลือล้นเอากระสุนออกจากในพระที่ในทันทีทันใดเมื่อทราบว่า กระสุนทะลุ อย่างหนึ่ง เป็นข้อที่แสดงว่า หัวกระสุนของกลางนั้นไม่ควรยึดถือโดยเด็ดขาดว่า เป็นหัวกระสุนทำให้ล้นเกล้าล้นกระหม่อมสวรรคต เพราะเหตุผลต่าง ๆ แสดงให้สงสัยเป็นอย่างมากว่า หัวกระสุนนัดที่ทำให้ล้นเกล้าล้นกระหม่อมสวรรคตนั้นคงถูกเปลี่ยนเอานัดของกลางเข้าแทน รอยบุบและเหตุผลจึงปรากฏดังกล่าว

ปัญหาเกิดแก่พนักงานสอบสวนต้องค้นหาต่อไปว่า ถ้าเปลี่ยน ใครเล่าเป็นผู้เปลี่ยน ผลการสอบสวนพยานและประกอบด้วยเหตุต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น ได้ความชัดปราศจากข้อสงสัยว่า นายชิตมีบทบาทเกี่ยวแก่หัวกระสุนปืนของกลางมาแต่ผู้เดียว โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่า ถ้าเปลี่ยนกระสุน ผู้ที่เปลี่ยนก็ตัวนายชิตแต่ผู้เดียว

เกี่ยวแก่ท่าทางพระบรมศพนั้น ตามทางสอบสวนทุก ๆ ระยะมา คงได้หลักฐานเป็นที่แน่นอนว่า บรรทมหงายพระเศียรหนุนพระเขนยอย่างปรกติประดุจบรรทมหลับ มีผ้าคลุมพระองค์ปูเลียบจากพระอุระถึงพระบาท ผ้าลาดพระยี่ภู่ปูอยู่เรียบร้อย พระเขนยคงอยู่ในที่ตามปรกติ มีพระโลหิตไหลโทรมพระพักตร์เปรอะเปื้อนพระเขนยและผ้าลาดพระยี่ภู่ พระเศียรตะแคงไปด้านขวาเล็กน้อย เหนือพระโขนงซ้ายมีแผลกระสุนปืนหนังฉีกเป็นแฉก พระเนตรทั้ง ๒ หลับสนิท ไม่ได้ทรงฉลองพระเนตร ฉลองพระเนตรวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างพระแท่น พระกรทั้ง ๒ ข้างเหยียดทอดทับนอกผ้าคลุมพระองค์แนบพระวรกายเป็นปรกติ และพระหัตถ์ทั้ง ๒ รวมอยู่ในท่าธรรมดา มีปืนของกลางขนาด ๑๑ ม.ม. วางอยู่ข้างพระกรซ้าย ลำกล้องขนานห่างพระกร ๑ นิ้ว ปากกระบอกปืนหันไปทางพระบาท ศูนย์ท้ายของปืนอยู่ตรงระดับข้อพระกร

ยังปรากฏว่า พระองค์ท่านออกจากห้องสรงเข้าพระที่บรรทมก่อนได้ยืนเสียงปืนราว ๓๐ นาฑี ระยะเวลาราว ๆ ๓๐ นาฑีนี้ จะทันทรงหลับหรือไม่ หน้าที่พนักงานสอบสวนที่จะต้องสอบหาเหตุผลมาประกอบ ก็ได้ความว่า พระองค์ท่านได้ทรงประชวรพระนาภีมาก่อน ๒–๓ เวลา มีพระอาการอ่อนเพลีย และได้ทรงเสวยยานอนหลับตามคำสั่งนายแพทย์ตอนหัวค่ำ ทั้งพระราชชนนีทรงเห็นว่า พระองค์ท่านยังต้องการบรรทมอีก จึงเสด็จกลับ ประทานโอกาสให้ทรงบรรทมต่อไป ด้วยเหตุผลนี้ พอแสดงได้ว่า ระยะเวลานั้น พอที่พระองค์ท่านจะทรงบรรทมหลับสนิทได้เป็นอย่างดี

ปัญหาทางเข้าในห้องพระบรรทมในวันสวรรคต ข้อนี้ พนักงานสอบสวนได้กำหนดการสอบสวนว่า มีทางเข้าได้กี่ทาง การสอบสวนคงได้ความจากหลักฐานว่า นับแต่ก่อนจนถึงวันสวรรคตนี้ ในเวลาที่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทรงบรรทมนั้น คงมีทางเข้าห้องพระบรรทมแต่ทางเดียว คือ ทางที่ผ่านประตูห้องแต่งพระองค์ และประตูที่จะเข้าห้องแต่งพระองค์นี้มีมหาดเล็กเป็นยาม วันเวลาเกิดเหตุ เป็นยามของนายบุศย์เฝ้ารักษาอยู่ และใกล้เวลาเกิดเหตุ ก็มีนายชิตมานั่งอยู่ด้วย เป็นอันว่า เวลาเกิดเหตุ มีนายบุศยช์ นายชิต อยู่ทั้ง ๒ คน พนักงานสอบสวนได้ก้าวต่อไปว่า ทำไมนายชิตซึ่งไม่มีหน้าที่จึงมาปรากฏตัวพอดีพอเหมาะกับเวลานั้น นายชิตเองชี้แจงว่า เหตุที่มานั้น เพราะต้องการวัดดวงพระตราเพื่อให้ช่างทำหีบใส่บรรจุ จะหยิบดวงพระตราจากตู้ เกรงว่า เสียงของตู้จะดัง เพราะกำลังทรงพระบรรทมอยู่ จึงนั่งรอ พนักงานสอบสวนจึงสอบพยานที่เคยเปิดปิดตู้ และทดลองเปิดตู้ปิดตู้ที่ใส่พรตรา ไม่ปรากฏมีเสียงดังอะไรแม้แต่น้อยเลย

พนักงานสอบสวนได้ตรวจพิจารณาสถานที่ตลอดจนบริเวณ แล้วจัดการทำแผนที่บนพระที่นั่งบรมพิมานตลอดจนบริเวณ และยังได้จัดการทำรูปจำลองไว้เพื่อสะดวกแก่การสอบสวนพยานที่จะได้เห็นของจริง ทำให้เกิดความแน่นอน มีปัญหาต่อไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตในห้องพระบรรทมในพระที่นั่งบรมพิมานเป็นที่ระโหฐานในพระบรมมหาราชวังห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่มหาดเล็กและทหารยาม จะมีการลอบปลงพระชนม์ได้ฉันใด

พนักงานสอบสวนอาศัยเหตุผลธรรมดาเป็นหลัก โดยเริ่มต้นสอบสวนถ้อยคำเจ้าหน้าที่ตลอดจนผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่แต่ละแผนก แต่การสอบสวน เราสอบกันโดยละเอียดทุกแง่ทุกมุม เพื่อให้ปรากฏว่า ถ้ามีคนเดินผ่านทางใด เจ้าหน้าที่ใดจะสามารถมองเห็นไหม และปรกติ อาหารเช้า เจ้าหน้าที่แต่ละหน้าที่รับประทานกันที่ใดอย่างใด จากข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนดำเนินในประเด็นข้อนี้ ตามวันก่อน ๆ จนถึงวันเกิดเหตุ พอสรุปได้ว่า แม้บางแห่งจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ แต่ก็หาใช่อยู่กันอย่างตุ๊กตาหรืออย่างทหารอยู่ยามไม่ บางทีก็เดินไปตรงนั้นตรงนี้พูดคุยกับคนนั้นคนนี้ อาหารเช้าก็รับประทารกันในห้อง ๆ หนึ่ง เวลารับประทานก็ใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุ และยังปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ก็มีไม่กี่คน แต่สถานที่พระบรมพิมานกว้างใหญ่ ในเมื่อเจ้าหน้าที่น้อย ทั้งเจ้าหน้าที่ก็มีการละเลยหน้าที่ซึ่งอย่างปรกติคนที่คิดว่า ในที่ระโหฐานชนิดนี้ไม่น่าจะมีเหตุการณ์ใด ๆ ก็ยิ่งละเฉยเมยต่อหน้าที่มากขึ้น เจ้าหน้าที่แต่ละคนจึงไม่กล้ายืนยันโดยเด็ดขาดว่า ระหว่างที่อยู่ในหน้าที่นั้น ๆ จะมีใครเข้าออกทางไหนหรือขึ้นลงบนพระที่นั่งบ้างหรือไม่ เพราะแต่ละหน้าที่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยทั้งนั้น เมื่อปรากฏผลการสอบสวนเช่นนี้ จึงมาพิจารณาว่า ถ้าหากเวลานั้น ๆ มีใครเดินจากห้องพระบรรทม จะเดินลงไปชั้นล่างของพระที่นั่งบรมพิมาน จะรอดพ้นสายตาของเจ้าหน้าที่แต่ละคนได้หรือไม่ จากการทดลอง สถานที่นั้นมีหักมุมกันหลายมุม ระยะทาง คือ บันไดที่จะลงชั้นล่างนั้น พอออกจากห้องพระบรรทมเพียงเล็กน้อยก็ถึงบันไดสู่ชั้นล่าง ถึงชั้นล่างก็ใกล้บันไดออกจากพระที่นั่งนั้นได้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่แต่ละคนจึงไม่กล้าที่จะให้การยืนยันโดยเด็ดขาดว่า ระหว่างที่ตนมีหน้าที่จนถึงหลังจากเกิดเหตุเล็กน้อย จะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้าออกทางใดทางหนึ่งชั้นบนหรือชั้นล่างพระที่นั่งบ้างหรือหาไม่ เมื่อปรากฏเช่นนี้ ก็เป็นอันได้ความว่า อาจจะมีหรือไม่มีใครก็ได้ และพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนต่อไปว่า ถ้าหากมีใครคนใดขึ้นลงหรือออกจากห้องพระบรรทมบนพระที่นั่งแล้ว นายชิต นายบุศย์ ต้องรู้เห็นโดยแน่นอน เพราะคนทั้ง ๒ นั่งประจำอยู่ใกล้ชิดกับประตูที่จะเข้าออกสู่ห้องพระบรรทมแต่ทางเดียว

ในสำนวนที่พนักงานสอบสวนรับช่วงมานั้น ยังมีทหารยามเฝ้าบันได้ชั้นล่างพระที่นั่งบรมพิมานในเวลาเกิดเหตุนั้นให้การชั้นตำรวจสมัยนั้นสอบสวนไว้ ตลอดจนให้การที่ศาลกลางเมือง มีใจความสำคัญว่า หลังจากได้ยินเสียงปืนแล้ว ไม่มีใครอื่นลงจากพระที่นั่งไปสู่นอกพระที่นั่งเลย เว้นแต่มีมหาดเล็กคนหนึ่งหรือสองคนคงไปเท่านั้น แต่ก็ไม่ทราบชื่อของมหาดเล็ก พวกเราพนักงานสอบสวนได้หยิบยกถ้อยคำทหารทั้ง ๒ นี้มาพิจารณาเทียบเคียงกับการปฏิบัติเกี่ยวแก่กรณีนี้ ในสมัยนั้น ทำไมจึงสอบสวนข้อความชนิดนี้กับทหารยาม การที่ต้องสอบสวนทหารยามด้วยถ้อยคำชนิดนี้ แสดงว่า พนักงานสอบสวนสมัยนั้นจะพยายามคาดคั้นในวงแคบให้ได้มูลกรณีสวรรคตนี้ แต่เมื่อไปเทียบกับการปฏิบัติอื่น ๆ แล้ว ดูเป็นการปฏิบัติขัดกันอยู่ และก็นับว่า เป็นข้อสำคัญที่เจ้าพนักงานสอบสวนจะต้องพิจารณา มิฉะนั้น ถ้าการสอบสวนปรากฏว่า มีคนเข้าไปลอบปลงพระชนม์แล้ว คำทหารยามนี้ก็จะขัดกันขึ้น จึงต้องพยายามติดตามทหารทั้ง ๒ ที่ปลดเป็นกองหนุนแล้วมาทำการสอบสวนให้กระจ่างชัด เดชะบุญก็ได้ตัวมาสมประสงค์ พนักงานสอบสวนจึงสอบถามถึงเริ่มแรกการรับราชการทหารจนมีโอกาสมาอยู่ยามที่พระที่นั่งบรมพิมาน คงได้ความว่า คนทั้ง ๒ เพิ่งมาอยู่ยามในหน้าที่ ๆ พระที่นั่งบรมพิมานเพียง ๒–๓ ครั้ง ๆ ละ ๒ ชั่วโมง รวมทั้งครั้งที่เกิดเหตุด้วย จึงสอบถามต่อไป ได้ความว่า ก่อนเข้ารับราชการทหาร ตลอดจนกระทั่งถึงวันเวลาเกิดเหตุนี้ ไม่เคยรู้จักชื่อมหาดเล็ก แม้แต่หน้าก็จำไม่ได้ว่า คนใดเป็นมหาดเล้ก คนใดไม่ใช่ ตามที่ให้การไว้ต่อศาลกลางเมืองว่า หลังเสียงปืนดังบนพระที่นั่งแล้ว ไม่มีคนอื่นลงบันไดจากพระที่นั่งสู่ถนนนอก นอกจากมหาดเล็กนั้น ก็ได้โดยความเข้าใจของเขา เพราะปรกติ คนลงจากบนพระที่นั่ง มีแต่มหาดเล็ก โดยเป็นผู้รับใช้พระเจ้าแผ่นดิน เขาจึงให้การว่า คนอื่นไม่มีลง มีแต่มหาดเล็ก พนักงานสอบสวนยังได้สอบหลักฐานบัญชีการอยู่ยามและผู้บังคับบัญชา ก็คงได้ความว่า ทหารทั้ง ๒ นี้พึ่งมาอยู่ยามในพระบรมมหาราชวังจริง เมื่อปรากฏดังนี้ พนักงานสอบสวนก็หายข้องใจในถ้อยคำของคนทั้ง ๒ ที่ให้การไว้ยังศาลกลางเมือง

ได้กล่าวมาแล้วว่า พนักงานสอบสวนกำหนดการสอบสวนทั้ง ๓ กรณี คือ อุบัติเหตุ ปลงพระชนม์พระองค์เอง ลอบปลงพระชนม์ เมื่อดังนี้ พนักงานสอบสวนย่อมต้องใช้เวลานาน เพราะคดีนี้นับว่า เป็นยอดคดีสำคัญ และสลับซับซ้อนกันมากมาย ซ้ำเวลาก็ล่วงเลยมานาน ตกเป็นหน้าที่พวกเราพนักงานสอบสวนที่จะต้องพยายามสอบและสืบสาวเรื่องราวให้กระจ่างเสียทางใดทางหนึ่ง จึงต้องคลำประเด็นทั่ว ๆ ไปยิ่งเสียกว่าที่จะสอบสวนในคดีที่กล่าวหากันโดยตรงหลาย ๆ ราย และการสอบสวนพยานแต่ละท่าน ต้องเสียเวลาสอบกันอย่างยืดยาว เพื่อหาเหตุผลต่าง ๆ มาประกอบ จึงต้องเสียเวลานานกว่าธรรมดาไปบ้าง

พนักงานสอบสวนได้สอบสวนพฤติการณ์ความเป็นไปในพระราชสำนัก ขอย่อความสำคัญ ดังนี้ คือ ปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาราชการในราชสำนัก การบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่อยู่ในอำนาจนายกรัฐมนตรี นับแต่เสด็จพระราชดำเนินนิวัตรมาสู่ประเทศไทยครั้งหลังนี้ ได้ทรงบรรลุนิติภาวะ ทรงปฏิบัติพระราชกิจได้ หาจำเป็นต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไม่

พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เล่า ได้ความชัดว่า มีน้ำพระทัยเยือกเย็น สุขุม รอบคอบ ซ้ำยังตักเตือนผู้อื่นให้ระมัดระวังเรื่องปืน อย่าเลินเล่อ ต้องตรวจตราให้รอบคอบละเอียดทุกครั้ง ยังปรากฏว่า พระองค์ทรงพระราชอุสาหะเสด็จไปในที่ต่าง ๆ ทั้งในพระนครและต่างจังหวัด เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้จงรักภักดีเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในขณะใดโอกาสอำนวย ก็ทรงพระราชปฏิสันถารซักถามประชาชนผู้มาเฝ้าถึงการทำมาหากิน ถามถึงความทุกข์สุข ประชาชนถวายสิ่งของด้วยความจงรักภักดีแม้แต่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทรงรับ แล้วพระราชทานเงิน (เรียกกันว่า เงินก้นถุง) เป็นที่ประจักษ์ว่า พระองค์ท่านทรงเป็นห่วงทุกข์สุขของประชาชน ถึงกับบางโอกาสได้กำชับข้าหลวงประจำจังหวัดให้เอาใจใส่ทุกข์สุขของประชาชน

การเสด็จพระราชดำเนินตามหัวเมืองนั้น มีข้อที่พนักงานสอบสวนสะดุดใจ นั้นได้แก่ การเสด็จจังหวัดชลบุรีพร้อมด้วยนายปรีดี พลโท พระศราภัยสฤษดิการ สมุหราชองครักษ์ นายเฉลียว นายชิต ผู้ต้องหาในคดีนี้ ทางการนำเสด็จให้ทอดพระเนตรการแสดงอาวุธของคณะพลพรรคเสรีไทย และทรงหัดยิงปืนชะนิดใหม่ ๆ ที่มีผู้ทูลเกล้าถวาย (ในขบวนการเสด็จพระราชดำเนินคราวนี้ พลโท พระศราภัยฯ สมุหราชองครักษ์ นั่งรถจิ๊ป รถคว่ำถึงแก่กรรม เดชะบุญที่พระองค์มิได้ประทับบนรถจิ๊ป เพราะปรกติทรงโปรดรถจิ๊ปอยู่ด้วย ข้อสดุดใจข้อนี้ขอพักไว้ จะได้หยิบยกพิจารณาต่อไปข้างหน้า)

ในเรื่องเกี่ยวกับการบริหารงานประเทศนั้น ปรากฏเช่นกันว่า พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยที่จะทรงทราบและศึกษาในการบริหารงานประเทศโดยทั่ว ๆ ไป ได้โปรดเกล้าฯ เชิญข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งทหารและพลเรือนผลัดเปลี่ยนกันเข้าเฝ้า และพวกหัวหน้าพรรคการเมือง ตลอดจนมีพระราชประสงค์จะให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าเฝ้าก่อนที่จะเสด็จไปยุโรป ทั้งนี้ ก็เพื่อหาโอกาสทรงศึกษาทั่ว ๆ ไปและซักถามกิจการในหน้าที่ ส่วนทางพระพุทธศาสนานั้นก็ทรงศึกษาเช่นกันและยังตั้งพระทัยจะทรงผนวชด้วย แม้แต่ศาสนาอื่นอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ก็ทรงใส่พระทัยถึงกับทรงหาโอกาสเดส็จพระราชดำเนินไปในสถานที่ของศาสนานั้น ๆ

นอกจากนี้ ยังปรากฏอีกว่า ในพระราชสำนักนั้น มีคุณท้าวสัตยาฯ ประจำอยู่บนพระที่นั่ง และมักจะแอบฟังข้อความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ และพระราชชนนี รับสั่งกับใครด้วย คุณท้าวสัตยาฯ นี้เป็นญาติกับนายเฉลียว

เท่าที่พนักงานสอบสวนต้องสวบสวนความสำคัญส่วนหนึ่งดังกล่าวโดยย่อมานี้ เพื่อแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ไว้ว่า พระองค์ท่านเสด็จนิวัติสู่ประเทศในระยะเวลาไม่นาน ยังทรงเอาพระทัยใส่ความทุกข์สุขของประชาชน ตลอดจนการบริหารประเทศชาติและศาสนา ทั้งทรงมีพระจริยาวัตรอันสุขุมรอบคอบถึงปานนี้แล้ว ถ้าเมื่อพระองค์สำเร็จการศึกษากลับมาสู่ประเทศไทยตลอดไปดังตั้งพระทัยไว้ ก็จะมีโอกาสทรงกรณียกิจนานาประการ เมื่อเช่นนี้ นานวันเข้า เชื่อว่า พระองค์ยิ่งทรงได้รับความนิยมเป็นมิ่งขวัญที่เคารพสักการะแก่บรรดาข้าทูลละอองธุลีพระบาทและประชาชนทวียิ่งขึ้น คงจะเกิดประโยชน์แก่ประเทศอย่างกว้างขวาง

ในสำนวนศาลกลางเมือง ปรากฏความอยู่ว่า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้นัดหมายพระราชกิจและให้เข้าเฝ้าไว้ในวันรุ่งขึ้นจากวันสวรรคต พนักงานสอบสวนชุดนี้จึงสอบหลักฐานพยานบุคคลและเอกสารมาประกอบให้แน่ชัดยิ่งขึ้นโดยปราศจากข้อสงสัย และยังได้สอบสวนพยานในประเด็นกว้างขวางออกไปว่า พระองค์ท่านทรงกริ้วหรือมีเหตุอะไรที่จะทำให้พระองค์เสียพระทัยมากมายบ้างหรือหาไม่ ก็ไม่ปรากฏว่า มีเหตุอะไรเลยแม้แต่น้อย เป็นแต่ปรากฏความว่า ใกล้ ๆ วันที่ถูกปืนสวรรคตนั้น นายปรีดี พนมยงค์ เข้าเฝ้า และมีความเห็นขัดแย้งกับพระองค์เกี่ยวแก่การแต่งตั้งบุคคลที่จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เหตุขัดแย้งไม่เป็นที่ตกลงกันได้ เมื่อนายปรีดีกลับจากเข้าเฝ้าแล้ว พระองค์รับสั่งกับพระราชชนนีว่า เรื่องตั้งผู้สำเร็จราชการไม่ตกลง ดูนายปรีดีเขาโกรธมาก และรับสั่งต่อไปว่า เอาไว้วันจันทร์ (คือ รุ่งขึ้นจากวันสวรรคต) จะเชิญประธานสภาทั้ง ๒ มาปฤกษา (เวลานี้มี ๒ สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และสภาสูง) นายปรีดียังพูดกับมหาวงศ์ว่า ต่อไปนี้ จะไม่สนับสนุนราชบรรลังก์ เมื่อเป็นดังนี้ นับว่า เป็นกรณีหนึ่งที่พนักงานสอบสวนจะต้องพิจารณาต่อไป

ได้กล่าวมาแล้วว่า เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ สวรรคตด้วยปืนนั้น นายปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักพระราชวัง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอแก่สถานที่และความปลอดภัยในองค์พระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในหน้าที่และความรับผิดชอบของนายปรีดี

เมื่อประมวลเหตุผลดังที่กล่าวมาแต่หนหลัง ท่านผู้อ่านพอจะวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า การสวรรคตนี้เกิดจากอะไร กล่าวคือ จะว่าเกิดจากอุบัติเหตุทรงเล่นพระแสงปืนลั่นถูกพระองค์ เหตุผลที่กล่าวมาไม่มีทางอำนวยให้มองเห็นลู่ทางว่า จะเป็นไปได้ เพราะลักษณะและตำแหน่งแห่งบาดแผลและรอยกระสุนที่จะทะลุในเบื้องต่ำกว่าบาดแผลที่เหนือพระนลาตอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง ปืนของกลางที่เซฟหลังในตัว ปืนสามารถลั่นต่อเมื่อเหนี่ยวไกและกดเซฟหลังพร้อมกัน และปรากฏจากพยานผู้ทรงคุณวุฒิทั้งทางวิชาการพร้อมด้วยความชำนาญตลอดจนการทดสอบว่า ปืนของกลางได้ใช้ยิงมาก่อนเกิดเหตุไม่น้อยกว่า ๘ วัน ประกอบด้วยเหตุผลอื่น ๆ

ส่วนข้อที่อาจเป็นด้วยทรงยิงพระองค์เอง ก็เป็นการเหลือวิสัยที่วิญญูชนจะมองเห็นได้ เพราะกฎธรรมดาของบุคคล แม้จะได้รับความลำบากแสนสาหัส การที่ทำลายตัวนั้นมีไม่กี่เปอร์เซนต์เลย และก่อนจะทำลายตัว ต้องคิดแล้วคิดเล่ากว่าจะตัดสินใจได้ สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ นั้นเล่า ปรากฏจากหลักฐานแสดงทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารว่า พระองค์ท่านมีพระราชประสงค์อันแรงกล้าที่จะบริหารพระราชกิจในหน้าที่ของพระองค์ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนเป็นส่วนรวม จึงพยายามที่จะทรงแสดงทางพราชไมตรีกับนานาประเทศ และทรงศึกษาความรู้ให้เต็มที่เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ดังกล่าว แม้แต่พระราชกิจภายในก็ทรงเอาพระทัยใส่ ตลอดจนการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงนัดปฏิบัติพระราชกิจล่วงหน้าวันที่สวรรคต ๑ และ ๒ วัน ทั้งกอปร์ด้วยพระองค์ท่านทรงมีน้ำพระทัยเยือกเย็นสุขุม แม้แต่ทรงพระประชวรก็พยายามรักษาพระองค์เพื่อให้หาย ทรงเร่งเตรียมการที่จะได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษา และทรงเป็นแขกของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ เหตุผลทั้งนี้ ย่อมเป็นที่แสดงว่า ไม่มีเหตุผลใดแม้แต่น้อยที่จะเกิดแง่คิดว่า ปลงพระชนม์ชีพของพระองค์เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงเหลืออยู่ประเด็นเดียวว่า มีคนร้ายลอบปลงพระชนมชีพของพระองค์ ข้อนี้มีเหตุผลมากกว่าข้อใด ๆ ซึ่งท่านได้อ่านผ่านมาแล้วนั้นคงจะมีความเห็นเช่นกัน

ปัญหาต้องพิจารณาต่อไป ก็คือ ใครเล่าจะเป็นคนร้ายปลงพระชนม์พระองค์ท่าน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยปรากฏเลยว่า พระองค์ท่านทรงกระทำการใด ๆ อันไม่ดีงามเลย ยิ่งกว่านั้น กลับปรากฏว่า พระองค์ท่านเป็นผ็ที่ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ เหตุไฉนจะมีมนุษย์ใดที่มีจิตต์ใจเลวทรามจนถึงกับปลงพระชนม์ได้ นี่แหละ พนักงานสอบสวนจะต้องค้นคว้ามูล

เมื่อเหตุผลแสดงในทางมีผู้ลอบปลงพระชนม์ เบื้องแรกที่พนักงานสอบสวนงง คิดว่า ใครที่หาญสามารถถึงเพียงนี้ และการกระทำจะถือเป็นลับไม่ได้ โดยสถานที่ ๆ จะลอบปลงพระชนม์ประกอบด้วยผู้ถูกเป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นประมุขของชาติ การกระทำย่อมมีผู้สมคบร่วมคิด ลำพังแต่คนเดียวหาอาจสามารถจะกระทำได้โดยความปลอดภัยไม่ ดังนั้น ด้วยเหตุผลและหลักฐานที่ปรากฏมาแต่หนหลัง ได้ความว่า ทางที่จะเข้าหรือออกจากห้องพระบรรทมคงมีแต่งทางเดียว คือ ทางประตูที่นายบุศย์ นายชิต ประจำรักษาอยู่นั่นเอง

ปัญหาที่พนักงานสอบสวนจะต้องคำนึงมีต่อไปว่า ลำพังแต่นายบุศย์ นายชิต จะกล้าหาญชาญชัยลอบปลงพระชนม์ได้อย่างใด มีเหตุหนึ่งที่เป็นกฎธรรมดาอยู่ว่า คดีฆาตกรรมนั้น พนักงานสอบสวนควรจะเพ่งเล็งฐานะคนร้ายและฐานะผู้ถูกฆ่า ดังเช่น นาย ก. เป็นผู้มีฐานะดี ไม่เคยประพฤติตนเป็นที่เดือดร้อนหรือก่อกรรมทำเข็ญแก่ใครเลย มาถูกฆ่าตาย ถ้าจับนาย ข. เป็นผู้ฆ่าได้ ซึ่งปรากฏอีกว่า นาย ข. กับ นาย ก. ไม่เคยมีสาเหตุอะไรกันเลย ตรงข้าม กลับได้ความว่า นาย ข. เป็นผู้ที่ได้รับอุปการะจากนาย ก. และนาย ข. ก็เคารพนาย ก. ด้วยซ้ำไป หากการสืบสวนได้หลักฐานว่า นาย ข. เป็นผู้ฆ่านาย ก. ผู้ได้ยินได้ฟังอาจสงสัยว่า คนชอบ ๆ กัน ทำไมจึงฆ่า แต่มูลเหตุที่ทำให้นาย ข. กระทำ ก็เพราะมีคู่แข่งขันของนาย ก. เป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้ทำ ดังนี้ พอเป็นอุทาหรณ์ที่แสดงว่า คดีฆาตกรรมนั้น บางคดีจับคนร้ายที่ฆ่าโดยตรงได้ อย่าพึ่งดีใจว่า ได้ตัวคนร้ายในคดีนั้น ถ้าพนักงานสอบสวนได้พิจารณาเหตุผลฐานะของผู้ตายและคนทำร้ายโดยถ่องแท้ ท่านอาจจะมองในแง่หนึ่งว่า ในพรรคพวกของคนร้ายมีผู้แอบแฝงอยู่อีก ยิ่งกรณีเกี่ยวแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ นี้แล้ว วิญญูชนที่มีจิตใจเป็นกลางจะต้องมองเห็นว่า พระองค์ท่านถูกลอบปลงพระชนม์ ดังนั้น คนร้ายที่จะคิดการปลงพระชนม์นั้นจะต้องได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจว่า เมื่อพวกผู้สมรู้ร่วมคิดกระทำลงไปแล้ว ย่อมมีอำนาจบรรดาลให้พ้นภัยหรือหาทางทำลายหลักฐานในคดีนั้นด้วยอำนาจได้ และเพื่อความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้สมรู้ในคดีนี้ จำเป็นอยู่เองผู้ต้นคิดและผู้มีอำนาจต้องพบปะพรรคพวก เพื่อให้พรรคพวกแน่ใจในความปลอดภัย นี่แหละเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนต้องสืบสวนสอบสวนในด้านพรรคการเมืองและอำนาจควบคุมในพระราชฐานให้ประจักษ์ว่า ใครเล่าจะเป็นผู้เมามัวอำนาจถึงกับลุแก่โทษะอุกอาจคิดการถึงเช่นนี้ ก็ได้ความดังได้ปรากฏอำนาจของการเมืองและผู้ครอบครองอำนาจในพระราชฐานดังกล่าวมาแล้วแต่หนหลัง

อนึ่ง เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจพยานชุดต้น พลเรือตรี กระแสฯ ในที่นี้เสียด้วย มีว่า การคบคิดปลงพระชนมชีพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ มิใช่เหตุการณ์ทำได้ง่าย แต่เมื่อปรากฏบรรดาอำนาจทั้งหลาย การที่จะเข้าปลงพระชนม์ก็ไม่เป็นการยากเย็นนัก จริงอยู่ การได้ยินเสียงปืนดังบนพระที่นั่ง เราท่านไม่ทราบอะไร อาจจะมองเห็นว่า หลังเสียงปืนแล้ว ผู้คนคงแตกตื่น ไหนเลยคนร้ายจะหลบหนีได้ แต่ท่านต้องไม่ลืมว่า เสียงปืนดังบนพระที่นั่งมีบ่อยจนทำให้มหาดเล็กที่ไม่มีส่วนรู้เห็นการกระทำไม่เห็นเป็นของแปลก เพราะนายเรือเอก วัชรชัย ได้ฝึกฝนพระองค์ท่านทรงยินปืนตอนเช้าบ่ายบ่อย ๆ มาก่อนเกิดเหตุนี้

ส่วนอีกข้อ ๑ ที่พนักงานสอบสวนคิดอยู่ว่า การพบปะตกลงระหว่างผู้กระทำก่อนการลงมือกระทำ ทำไมจึงมาที่บ้านพลเรือตรี กระแสฯ ซึ่งในสำนวนได้ความว่า นายปรีดีร่วมอยู่ด้วย ทำเนียบนายปรีดีใหญ่โต พบปะพูดจากันไม่ได้หรือ คงได้ความว่า ที่ทำเนียบนายปรีดีผู้คนพลุกพ่าน มีทั้งยามตำรวจทหาร และยังมีมหาดเล็กอีก ผู้คนจำนวนตั้งร้อย ถ้าหากให้โอกาสการพบปะในทำเนียบสำหรับนายเฉลียว และเรือเอก วัชรชัย ไม่แปลก เพราะไปมาอยู่เสมอ ๆ แต่หากนายชิต นายบุศย์ ๒ คนนี้ เข้าไปหาด้วย ซึ่งคนทั้ง ๒ นี้ไม่มีหน้าที่ ทั้งไม่เคยไปในทำเนียบ ก็จะเป็นการแปลกประหลาด ทำให้คนที่อยู่ในทำเนียบเห็นก็สะดุดใจ และยิ่งปรากฏว่า วันสวรรคตเป็นเวรของนายบุศย์ นายชิตซึ่งไม่มีหน้าที่ก็ไปนั่งรวมอยู่กับนายบุศย์ด้วย เช่นนี้ แม้จะมีอำนาจใด ๆ ก็ไม่อาจสามารถที่จะปกปิดเป็นความลับได้

อนึ่ง ผู้สอบสวนคดีนี้รับราชการตำรวจมาช้านานก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง และการพบปะระหว่างพวกที่คิดจะเปลี่ยนการปกครองนั้นได้ตกลงกันในที่สาธารณสถานเป็นส่วนมาก แม้ที่สุด รถจอดอยู่บนถนนแถวราชวงษ์ และได้เชิญนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นสมาชิกเปลี่ยนแปลงการปกครองคนหนึ่ง มาสอบถาม ก็รับว่า การคบคิดพบปะพูดจาตกลงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ใช้ที่สาธารณะเป็นส่วนมาก ทั้งนี้ เพื่อเตรียม ถ้าถูกจับ พยานเบิกความถึงสถานที่คิดการร้ายในที่สาธารณะแล้ว ใครเลยจะเชื่อถือและมองเห็น นี่จะเห็นว่า เป็นแนวทาง

พนักงานสอบสวนถือหลักการในคดีฆาตกรรมทั่ว ๆ ไปมาเป็นหลัก คือ ตามปกติ จะต้องมีมูลแห่งสาเหตุเป็นการก่อ ส่วนสาเหตุเพียงใดจะทำความโกรธแค้นถึงกับฆ่าฟันกันนั้น ไม่เป็นของแน่ว่า สาเหตุนั้นหนักเบาแค่ไหนจึงฆ่าฟันกัน โทษข้อนี้เกี่ยวแก่สติ จิตร์ใจ ของผู้ทำเป็นประมาณ บางคนอาจคิดว่า มูลแห่งสาเหตุไม่น่าจะถึงกับฆ่าฟันก็ได้ ในขณะเดียวกัน บางคนเห็นว่า มูลเหตุนั้นสมควรจะฆ่าฟันกันได้แล้ว ก็ได้เช่นกัน

สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ทรงเพียบพร้อมไปด้วยคุณงามความดีดังกล่าวมา ดังนั้น การจะมีสัตรูคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ในมูลเหตุอื่นนั้น ถือได้โดยเด็ดขาดว่า ไม่มีแน่ นอกจากถูกลอบปลงพระชนม์เกี่ยวแก่ในด้านการเมือง พนักงานสอบสวนจึงสอบเหตุผลในด้านการเมือง ได้ความว่า ในระยะนั้น การเมืองในประเทศไทยถึงขั้นยุ่ง มีการตั้งพรรคการเมืองหลายพรรค แต่พรรคการเมืองแม้จะมีหลายพรรค ก็ได้ความว่า เนื้อแท้นั้นมีเพียง ๒ พรรค คือ พรรคประชาธิปตัย และพรรคสหชีพ เพราะพรรคอื่น ๆ อยู่ใครของพรรคสหชีพทั้งนั้น พนักงานสอบสวรความเป็นอยู่ของหัวหน้าพรรคการเมืองแต่ละพรรค คงได้ความว่า นายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปตัย และไม่มีใครมีอำนาจเหนือหัวหน้าพรรค ส่วนพรรคต่าง ๆ ที่อยู่ในเครือของพรรคสหชีพนั้น มีหัวหน้าพรรคก็จริง พนักงานสอบสวนใคร่ทราบแน่ว่า พรรคสหชีพนี้มีใครที่มีอำนาจเหนือหัวหนาพรรคบ้างหรือหาไม่ ได้จับประเด็นเอาจากตอนที่แต่งตั้งนายถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายปรีดี พนมยงค์ ได้สอบสวนนายถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ถึงตอนที่จะเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ความว่า นายปรีดีเรียกไปพบก่อนขอให้เป็นนายกรัฐมนตรี นายถวัลย์ฯ ตอบว่า ถ้าสมาชิกสนับสนุน ก็ไม่ขัดข้อง นายปรีดีว่า ไม่เป็นไร ในที่สุด สมาชิกก็สนับสนุน ทั้งนี้ พอจะทราบได้ว่า หัวหน้าสนับสนุนพรรคสหชีพนั้นคือใคร

ความเป็นไประหว่างพรรคการเมืองที่กล่าวนี้ ถ้าจะถือแบบธรรมเนียมที่แสดงแล้ว จะเรียกว่า พวกการเมืองเป็นพรรคพวก คงไม่ไกลจากความจริง และปรากฏว่า นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปตัย ได้เคยเข้าเฝ้าพระยุคลบาทด้วย ทั้งยังได้นำเสด็จพระราชดำเนินถนนสำเพ็งให้ชาวจีนได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในฐานะเป็นผู้แทนราษฎรในจังหวัดพระนคร

พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ทรงประทับอยู่ในประเทศ มีผู้ใดกระทำอะไรที่ให้เรา ๆ ท่าน ๆ มองเห็นว่า เป็นเชิงดูหมิ่นในพระองค์บ้างหรือไม่ คงได้ความจากหลักฐานว่า มีหลายคราว เช่น ก่อนจะถึงกำหนดจะเสด็จไปยุโรป ได้เสด็จพระราชดำเนินประทับแรมยังพระราชวังไกลกังวลที่หัวหิน ได้เชิญนายปรีดีฐานะเป็นแขกของพระองค์อยู่ในบริเวณที่ประทับ นายปรีดีได้ใช้รถจี๊ปของพระองค์ซึ่งเป็นรถที่พระองค์ทรงใช้อยู่เสมอโดยลำพัง และยังมีการเชิญแขกที่เคยเป็นเสรีไทยมาเลี้ยงดูส่งเสียงเอะอะกันในบริเวณที่ประทับอีกด้วย ทั้งนี้ มิได้กราบทูลขอพระบรมราชานุญาตแต่ประการใด ใช่แต่เท่านั้น รถยนต์ที่จัดไว้สำหรับเป็นรถพระที่นั่งก็ได้สั่งไปใช้ส่วนตัวกัน ตลอดจนมีการลักขโมยรถยนต์ที่พระองค์ทรงใช้จากในพระราชฐาน

ในด้านในพระที่นั่งบรมพิมานซึ่งนายเฉลียวควบคุมอยู่ ก็กระทำตนปราศจากความยำเยงเกรงกลัว ซ้ำยังกระทำประการต่าง ๆ เป็นเชิงดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ข้าพเจ้าเสียใจที่ไม่สามารถจะบรรยายเรื่องนี้โดยละเอียดถี่ถ้วนให้ท่านผู้อ่านได้ทราบและวินิจฉัยการสอบสวน เพราะคดีนี้ ยังได้ตัวผู้ต้องหามาสู่ศาลไม่หมดสิ้น เป็นธรรมดาที่พนักงานสอบสวนจะเปิดเผยอะไรที่ยังไม่บังควรจะเปิดเผยย่อมไม่ได้ บางอย่างต้องสงวนไว้เป็นความลับ แต่อย่างไรก็ตาม น่าขอบคุณศาลผู้พิจารณาคดีที่ได้บรรยายไว้ในคำพิพากษาที่ท่านได้เห็นอยู่นี้ นับว่า ได้วินิจฉัยไว้ละเอียด แต่ละประเด็นที่ศาลหยิบยกขึ้นอ้างนั้น มาจากสำนวนการสอบสวนที่พนักงานสอบสวนรวบรวมขึ้นไว้

ส่วนพนักงานอัยยการผู้ว่าคดีนี้ท่านได้พยายามนำสืบแสดงต่อศาลด้วยความรอบคอบเป็นตอน ๆ ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังมองเห็นแง่ในคดีนี้ ทั้งการเตรียมการกระทำจนการกระทำสำเร็จ ตลอดจนแสดงถึงกิริยาอาการของผู้ร่วมคิดเริ่มดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตลอดจนจิตใจของผู้มีอำนาจทางการเมือง จึงขอท่านผู้อ่านช่วยพิจารณาเหตุและผลจากคำวินิจฉัยของศาล ท่านก็จะทราบ

อนึ่ง คดีนี้เกิดขึ้นในที่ลับและยุ่งยากก็จริง เดชะบุญเหตุผลที่กระจ่างขึ้น ข้าพเจ้าใคร่ให้ชื่อว่า เป็นคดีที่ดลบรรดาลให้ผีพูดได้มาแสดงหลักฐาน ซึ่งจวนเจียนจะหมดเวลาควบคุมผู้ต้องหาอยู่แล้ว ก็บังเกิดได้พยานขึ้น เช่น พยานชุดที่บ้านพลเรือตรี กระแสฯ พยานชุดนี้ พนักงานสอบสวนไม่ทราบมาก่อน อยู่ ๆ มาตรงกับวันอาทิตย์ นายพลตำรวจตรี แผ้วพาลชน พร้อมด้วยบุตรภริยาไปเที่ยวตลาดนัด แม้ฝ่ายภริยาจะรบเร้ากลับบ้าน แต่ฝ่ายบุตรจะเที่ยว ที่สุด บิดากับบุตรไปเที่ยวต่อไป ปล่อยให้ภริยาคอยอยู่ ก็บังเอิญพบท่านขุนเทพประสิทธิ์ คนรู้จักกัน ถามถึงข้าพเจ้ากลับจากนอกแล้วหรือ (ตอนเดินทางไปสอบสวนพระราชนนีที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์) ได้รับตอบว่า กลับแล้ว ขุนเทพประสิทธิ์ถามถึงว่า ทางการจับพระยาศรยุทธฯ หรือเปล่า? (พลเรือตรี กระแส) จึงเป็นมูลเหตุที่ได้พยานชุดนนี้มา

ส่วนพยานชุดพระยาเทพหัสดินทร์ก็เช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์ที่ท่านทราบมาจากร้อยตรี กรี นั้น ท่านเข้าใจว่า ไม่เป็นข้อสำคัญอะไร อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปงานเผาศพที่เมรุวัดมงกุฎฯ พวกเจ้าภาพเชิญไปนั่งที่ศาลาทางทิศตะวันออกซึ่งจัดไว้สำหรับข้าราชการผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าพบเพื่อน ๆ นั่งอยู่ทางอีกด้านหนึ่ง ประเดี๋ยว เจ้าคุณเทพหัสดินทร์ท่านก็มา พวกเจ้าภาพก็รีบเชิญท่านไปนั่งยังที่ ๆ จัดให้ชั้นผู้ใหญ่ ท่านเหลียวมาอีกทางหนึ่ง พบข้าพเจ้า ท่านก็มานั่งข้างข้าพเจ้า ท่านรำพึงแก่ข้าพเจ้าว่า ใคร่พบข้าพเจ้า จะเล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวแก่กรณีสวรรคต แต่ก็เห็นจะไม่สู้เป็นประโยชน์อะไร ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า ท่านอาจเห็นไม่มีประโยชน์นักก็ได้ แต่ผมอาจเห็นประโยชน์ จึงขอความกรุณาให้ท่านเล่า ท่านก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเกี่ยวแก่นายร้อยตรี กรี เล่าเรื่องนายสี่ หรือชูรัตน์ ซึ่งเคยมีผู้จ้างให้ปลงพระชนม์ ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านว่า ท่านไม่บอกแต่แรก ถ้าข้าพเจ้าไม่พบท่าน มิได้ทราบเรื่องหรือ ท่านว่า ท่านคิดว่า อาจไม่ต้องการ เมื่อข้าพเจ้าทราบความ เห็นว่า เป็นประโยชน์แก่คดี จึงทำการสอบสวนพยานชุดนี้

มีอีกบางอย่างที่ควรจะเล่าสู่กันฟัง คือ ตอนที่จะตัดสินเชิญพลเรือตรี กระแสฯ มาสอบสวนเพื่อพิสูจน์ สังเกตดูกิริยาอาการความเป็นไปของพยานระหว่างนายตี๋ นางทองใบ และพลเรือตรี กระแสฯ ในเมื่อแรกที่คนทั้ง ๓ พบกัน ดูท่าที่ว่ะจแสดงต่อกันฉันใด จึงให้นายตี๋นั่งอยู่ที่ม้านั่งตรงข้างบันไดขึ้นบนที่ทำการ นางทองใบนั่งในห้องสอบสวน โดยที่พนักงานสอบสวนไม่บอกความประสงค์แก่นายตี๋และนางทองใบ เมื่อพลเรือตรี กระแสฯ ขึ้นมา พอเห็นนายตี๋ สังเกตสีหน้าไม่ดี ถามนายตี๋ว่า ตี๋มาด้วยหรือ นายตี๋ตอบทันทีเป็นเชิงต่อว่าว่า ต้องลำบากเพราะเรื่องที่บ้านเจ้าคุณ ผมเคยเตือนเจ้าคุณ เจ้าหน้าที่เขาทราบ ผมก็ถูกเรียกมาให้การ พลเรือตรี กระแสฯ หาได้พูดจาโต้ตอบนายตี๋ประการใดไม่ ข้าพเจ้าเชิญไปนั่งห้องสอบสวน ก็พบนางทองใบนั่งอยู่ มิได้ทักทายประการใด สังเกตได้ว่า พลเรือตรี กระแสฯ มีอาการร้อนจัด เมล็ดเหงื่อไหลมากผิดปกติ พอนั่งก็รับประทานกาแฟเย็น นัดยานัดถ์ตลอดเวลา ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า อย่าตกใจเลย ไม่ได้เอาท่านมาเป็นผู้ต้องหา นอกจากจะต้องการทราบความจริงบางอย่าง ท่านก็ไม่ระงับประสาทท่านได้ รอให้ท่านพักเหนื่อยอยู่นาน ก็เริ่มสนทนากัน และท่านขอให้เชิญคุณหญิงของท่านมาพบ แล้วก็ให้เชิญบุตรเขยท่านซึ่งเป็นทนายความมาพบอีก ขออนุญาตสนทนากันตามลำพัง พนักงานสอบสวนก็อนุญาตตอนที่ท่านให้การถึงผู้ต้องหาและผู้ที่หลบหนีในคดีนี้มาที่บ้าน พอเอ่ยชื่อนายปรีดี เป็นเหตุบังเอิญให้สุนัขหลาย ๆ ตัวอยู่ในบริเวณนั้นหอนขึ้นพร้อม ๆ กันไปทั่ว และสุนัขที่ห่างไกลออกไปก็รับช่วงหอน เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนทุกคนต้องระลึกเป็นเหตุแปลกปลาดไม่น้อย

พยานชุดชาวที่ซึ่งไม่มีปรากฏในสำนวนศาลกลางเมืองนั้นมาแต่เดิม เหตุที่พนักงานสอบสวนได้มานั้น ก็โดยพนักงานสอบสวนสืบถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ในพระราชสำนักต่าง ๆ มีกี่แผนก แต่ละแผนกทำอะไรกันบ้าง ก็ปรากฏขึ้นว่า ยังมีพนักงานชาวที่อีกแผนกหนึ่งซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดบริเวณรอบนอกพระที่นั่งบรมพิมาน สอบไปถึงตำแหน่งแห่งหนที่แต่ละหน้าที่ ก็ได้ความว่า พวกนี้ต่างเข้าทำงานตามหน้าที่ก่อนได้ยินเสียงปืนตลอดจนหลังเสียงปืนมีหลายคน ซึ่งพวกนี้น่าจะรู้เห็นสิ่งใดที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ แต่พวกชาวที่นี้ หัวหน้าบังคับบัญชาโดยใกล้ชิด ได้แก่ นายพินิจ น้องชายนายเฉลียว และได้รับการแต่งตั้งมาเป็นหัวหน้าแผนกนี้ก่อนสวรรคตไม่นานนัก

มีเหตุหนึ่งที่น่าคิดว่า กรณีสวรรคตนี้ทำไมจึงไม่มีข่าวคราวการพูดจาเปิดเผยอะไรบ้างเลย พนักงานสอบสวนได้สืบสวนเหตุผลนี้ ได้ความจากหลักฐานว่า ทางการกวดขันไม่ให้มีการพูดจาเกี่ยวแก่กรณีสวรรคต และหลังจากสวรรคต อำนาจการบังคับบัญชาก็ยังคงเป็นอยู่อย่างเดิม ทั้งการบอกกล่าวเรื่องราวสวรรคต มีตัวอย่างรายนายพันเอก พระยาวิชิตสรศาสตร์ ถูกฟ้อง ห้ามประกัน เป็นการทารุณไม่น้อย ทั้งยังมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ตั้งกรรมการตรวจข่าวหนังสือพิมพ์ ซึ่งย่อมเป็นที่เข้าใจว่า บรรยากาศในเวลานั้นย่อมประจักษ์ว่า ใครขืนพูดเกี่ยวแก่กรณีสวรรคต ก็มีแต่จะแพ้ภัยตัว

มีอีกตอนหนึ่งที่ท่านผู้อ่านควรทราบ คำให้การเกี่ยวแก่นายบุศย์ จำเลย พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบในหน้าที่ ของนายบุศย์ในเวลาเกิดเหตุ ซึ่งนายบุศย์บรรยายหน้าที่ว่า ถ้ามีเหตุการณ์หรือเหตุแปลกประหลาดบนพระที่นั่งในหน้าที่ เป็นหน้าที่ของเขาจะต้องตรวจสอบให้ทราบเรื่อง จึงถามนายบุศย์ต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น ตามที่ให้การไว้ยังศาลกลางเมืองว่า หลังจากได้ยินเสียงปืนในห้องพระบรรทม เห็นนายชิตเข้าไปดู นายชิตกลับออกมา นายบุศย์ถามนายชิตว่า เรื่องอะไร นายชิตไม่ตอบ จึงวิ่งตามนายชิตไปนั้น นายบุศย์ยังไม่ทราบว่า มีเรื่องอะไร ทำไมจึงไม่เข้าไปดูในห้องพระบรรทมเสียเอง เพื่อจะได้ทราบว่า เรื่องอะไร ซึ่งถูกกับหน้าที่ นายบุศย์ตอบว่า ไม่กล้าเข้าไป ถ้าเข้าไปจะถูกหาว่า ฆ่าในหลวง พนักงานสอบสวนจึงสอบถามต่อไปว่า มีอะไรจึงทำให้กลัว เพราะเรายังไม่ทราบว่า ในหลวงถูกปืน ทำไมจะเดาว่า กลัวเขาจะหาว่า ฆ่า ทำไมไม่เดาว่า พระองค์ท่านทรงยิงปืนเล่นบ้าง นายบุศย์ไม่ตอบ มีอาการวิปลาสแสดงออก เหงื่อไหล สะทกสะท้าน ถามเท่าไรก็ยืนคำอยู่เช่นเดิม ชั่วโมงแล้วชั่วโมงอีกก็ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ ถึงกับอธิบายเหตุผลให้ตรึกตรองเอาไว้ วันรุ่งขึ้นจึงมาพูดกันใหม่ แต่ในวันรุ่งขึ้น มาสอบถาม ก็ไม่ตอบอยู่นั่นเอง พนักงานสอบสวนก็ต้องลงเอยตามคำของเขาเท่าที่ยอมให้การทิ้งความไว้เพียงเท่านั้น นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ท่านผู้อ่านจะได้พิจารณาว่า เหตุไฉนจะทำให้นายบุศย์หวาดกลัวว่า จะถูกหาว่าฆ่าในหลวง ทั้ง ๆ ที่พระองค์เคยทรงยิงพระแสงปืน ทำไมไม่หวาดคิดนึกไปว่า พระองค์ทรงยิงปืนเล่นเล่า ทั้งนี้ ย่อมแสดงอยู่ว่า เสียงปืนนัดนั้น นายบุศย์ทราบว่า เป็นเสียงปืนที่พระองค์ถูกยิง เมื่อไม่มีทางตอบคำถาม จึงตอบไปตามที่ตนทราบโดยปัจจุบันทันด่วนในคำถามซึ่งเกี่ยวแก่หน้าที่ของตน

ที่ข้าพเจ้าบันทึกเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ท่านผู้อ่านได้ประมวลกับคำพิพากษาซึ่งวินิจฉัยไว้โดยสมบูรณ์ในหนังสือเล่มนี้.