งานแปล:โฉมงามกับอสูร

จาก วิกิซอร์ซ
โฉมงามกับอสูร (ค.ศ. 1874)
โดย กราบรีแยล-ซูซาน เดอ วีย์เนิฟ, ภาพประกอบ โดย วอลเทอร์ เครน, แปลจากภาษาอังกฤษ โดย วิกิซอร์ซ

โฉมงามกับอสูร
าลครั้งหนึ่ง พ่อค้าผู้มั่งมีต้องหลีกรี้ไปอยู่กระท่อมน้อยกับลูกสาวทั้งสามของตนเพราะผจญความขาดทุนย่อยยับ เรื่องนี้นับเป็นที่โอดครวญของลูกสาวสองคนแรก แต่คนสุดท้อง ผู้ครองนามว่า โฉมงาม พยายามปลอบประโลมบิดาและทำให้บ้านคงเป็นบ้านอันสุขสันต์ ครั้งหนึ่งในคราวที่พ่อค้าออกเดินทางเพื่อหาทางกอบกู้ความมั่งคั่ง บุตรสาวก็พากันมาอำลา ธิดาสองคนแรกขอให้พ่อนำของขวัญชั้นดีกลับมาให้พวกตนด้วย ส่วนโฉมงามขอให้พ่อเพียงนำกุหลาบสักดอกมาให้ ฉะนั้น ในคราขากลับ เมื่อพ่อค้าเห็นกุหลาบงาม ๆ และนึกถึงโฉมงาม จึงดึงดอกที่พริ้งเพราที่สุดที่ตนจะหาได้ออกมา แต่เด็ดกุหลาบได้ไม่นาน เขาก็พานพบอสูรร้าย มีอาวุธอันตรายพร้อมมือ เจ้าสัตว์หน้าตาป่าเถื่อนตนนี้ถามเขาว่า กล้าดีเช่นไรจึงแตะต้องดอกไม้ของมัน และพร่ำรำพันว่า มันจะฆ่าพ่อค้าเสีย พ่อค้าจึงอ้อนวอนว่า ตนเพียงเอากุหลาบไปเพื่อเป็นที่ชื่นชูใจของโฉมงาม บุตรสาวผู้ขอให้นำกลับมาให้สักดอก

ได้ฟังดังนี้ เจ้าปีศาจก็กล่าวด้วยเสียงแหบห้าวว่า "ได้ ข้าจะไม่เอาชีวิตเจ้า หากเจ้าเอาลูกสาวคนหนึ่งมาที่นี่เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนเจ้า นางจักต้องมาด้วยความเต็มใจ หาไม่แล้วข้าก็ไม่เอา เจ้า

จะอยู่และพำนักในตำหนักของข้าได้จนถึงวันรุ่งพรุ่งนี้" แม้พ่อค้าจะพบว่า มีมื้อค่ำอันล้ำเลิศจัดแจงไว้ให้ เขาก็กินไม่ลง และแม้ทุกอย่างจะเตรียมไว้พร้อมสรรพเพื่อรองรับความสะดวกสบายของเขา เขาก็หลับไม่ลง เช้าวันถัดมา เขาออกเดินทางมาบนหลังม้าตัวงามที่อสูรจัดให้

ครั้นพ่อค้ามาจวนถึงบ้าน ลูกหลานก็ออกมารับ แต่เมื่อเห็นใบหน้าสลดของบิดาพร้อมน้ำตาท่วมตา พวกเขาก็ถามถึงสาเหตุแห่งความทุกข์ร้อน พ่อค้ามอบกุหลาบให้โฉมงามแล้วเล่าให้เธอฟังทุกเรื่องราว สองศรีพี่สาวกล่าวโทษโฉมงามในสิ่งทั้งหลาย แต่ลูกชายของพ่อค้า ซึ่งเดินทางจากป่ามาเยี่ยม ออกตัวว่าจะไปหาอสูรแทนเอง อย่างไรก็ตาม โฉมงามกล่าวว่า เพราะเธอเป็นต้นเค้าแห่งคราวเคราะห์ครั้งนี้ เธอผู้เดียวที่จะต้องทนรับมัน ดังนั้น เธอจึงออกจะเต็มใจไป และแม้พี่ชายผู้รักเธอสุดดวงใจจะอ้อนวอนปานใด เธอก็ออกเดินทางไปพร้อมกับบิดา โดยพี่สาวผู้มีจิตริษยาทั้งสองนั้นแอบดีใจกัน

ครั้นพวกเขามาถึงวังอสูร ประตูก็เปิดออกเอง ดนตรีก็บรรเลงหวานละไม พวกเขาจึงเดินเข้าไปในห้องอันมีอาหารค่ำเตรียมไว้รอ พอพวกเขาลงมือรับประทาน อสูรก็เข้ามาและเอ่ยวาจาด้วยเสียงนุ่มนวลว่า "เจ้าโฉมงาม มาตายแทนพ่อที่นี่ด้วยความยินดีหรือไร" นางตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ข้ายินดี" "ได้เจ้ามาย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ" อสูรว่า "บิดาเจ้า

อยู่นี่ได้แต่ในคืนนี้ พอรุ่งพรุ่งนี้จักต้องกลับบ้าน" ยามจากกัน โฉมงามพยายามทำให้บิดาชื่นบานโดยกล่าวว่า จะลองผ่อนคลายความหยาบกระด้างในจิตใจอสูรและให้อสูรปล่อยนางกลับบ้านในไม่ช้า เมื่อบิดาจากไปแล้ว โฉมงามก็เข้าไปในห้องโอ่อ่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอักษรสีทองเขียนไว้บนประตูว่า "ห้องของโฉมงาม" และมีภาพเหมือนของเธอเองตั้งอยู่บนโต๊ะ ใต้ภาพนั้นมีข้อความว่า "โฉมงามเป็นใหญ่ในที่นี้ ทุกชีวีจงเชื่อฟังถ้อยคำนาง" ทุกมื้อของโฉมงามนั้นจัดเข้ามาให้พร้อมเสียงดนตรีคลอ และในมื้อค่ำ อสูรจะเลิกผ้าม่านออกแล้วเดินเข้ามาก่อนเจรจาหวานซึ้ง ไม่ช้าโฉมงามก็หมดสิ้นซึ่งความหวาดกลัวในอสูร จนที่สุดอสูรก็หันเข้าหาโฉมงามแล้วพร่ำถามว่า "ข้าน่าเกลียดนักหรือ" "ใช่ ท่านเป็นเช่นนั้น" โฉมงามตอบ "แต่แล้ว ท่านก็กลับกลายเป็นใจดี จนข้าไม่ไยดีในรูปกายท่านอีก" "แล้วจะแต่งงานกับข้าได้ไหม" อสูรถาม โฉมงามมองไปทางอื่นพลางว่า "โปรดอย่าถามอีก" อสูรจึงบอกลา "ราตรีสวัสดิ์" ด้วยซุ่มเสียงโศกซึม และแล้ว นางก็จากลาไปห้องนิทรา

วังอสูรพร้อมมูลด้วยห้องยาวและห้องแถวซึ่งมีศิลปวัตถุสุดวิจิตร ในห้องหนึ่งมีกรงขังนกหายาก ไม่ไกลจากห้องนี้โฉมงามเห็นลิงฝูงหนึ่งซึ่งมีครบทุกขนาด พวกมันเข้ามาพบเธอพลางโค้งคำนับให้เธอ โฉมงามยินดีที่ได้พบเจอเหล่าลิงยิ่งนัก และออกปาก

อยากได้ลิงบางตัวมาเป็นผู้ติดตามใกล้ชิด ทันใดนั้น วานรหนุ่มรูปร่างสูงสองตัว แต่งชุดราชสำนัก ก็เข้ามาพิทักษ์เคียงข้างอย่างเคร่งขรึมเป็นที่สุด พร้อมลิงน้อยปราดเปรียวอีกสองตัวก็เข้ามาตามประจำเหมือนมหาดเล็ก นับแต่นี้ไป เจ้าลิงก็คอยปรนนิบัติโฉมงามด้วยความเคารพและเอาใจใส่ทุกประการดังที่ข้าราชบริพารพึงมีต่อราชินี

บัดนี้ อันที่จริง โฉมงามเป็นยิ่งราชินีแห่งวังอสูร และเธอประสงค์สิ่งใด ก็จักได้สิ่งนั้นทุกอย่าง ยกเว้นเสียแต่ในมื้อค่ำที่ต้องอยู่ลำพังร่ำไป แต่แล้ว อสูรก็ปรากฏตัวและประพฤติตัวน่ารักใคร่เสียจนเธอมีใจให้มากขึ้น ๆ กระนั้น เมื่ออสูรถาม "โฉมงาม แต่งงานกันได้ไหม" อสูรก็ไม่เคยได้คำตอบอื่นนอกจากการส่ายหัวจากเธอ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว อสูรก็จะขอตัวลาจากไปด้วยหัวใจเศร้าซึมเสมอ

แม้โฉมงามจะมีทุกอย่างที่หวังจะมีได้ แต่เธอก็ไร้ซึ่งความสุข เพราะลืมพ่อ พี่ชาย และพี่สาวไม่ลง ที่สุดแล้ว เย็นวันหนึ่ง เธอจึงวิงวอนอย่างหนักต่ออสูรให้ปล่อยเธอกลับบ้าน จนอสูรอนุญาตตามที่ขอ โดยมีข้อสัญญาว่า เธอจะไม่จากไปไกลเกินกว่าสองเดือน และอสูรมอบแหวนวงหนึ่งให้เธอ บอกเธอว่า ยามใดประสงค์จะจากไปหรือกลับมา จงวางแหวนนี้ไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้น อสูรนำพาเธอไปดูเสื้อผ้าอันสมฐานะ กับทั้งของขวัญสำหรับนำกลับบ้าน สงสารก็แต่อสูรที่มิเคย

อาดูรถึงเพียงนี้ เธอพยายามที่จะทำให้อสูรเบิกบานโดยกล่าวว่า "เดี๋ยวโฉมงามก็กลับมาแล้ว" แต่ดูจะไม่ช่วยประโลมจิตใจอสูรแม้แต่น้อย โฉมงามจึงค่อยกลับคืนไปยังห้อง และก่อนจะล่องลอยเข้าสู่ห้วงนิทรา ก็ไม่ลืมว่าต้องวางแหวนไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อเธอตื่นจากหลับใหลในเช้าวันถัดมา ก็ยินดีปรีดาที่พบว่า ตนอยู่ที่บ้านของบิดาแล้ว ข้างเตียงมีของขวัญของฝากหลากผ้าอาภรณ์จากวังวางอยู่

ทีแรก โฉมงามฉงนใจว่ากำลังอยู่ที่ใด แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อ เธอก็โผเข้ากอดคอทันควัน พ่อลูกต่างมีเรื่องให้พูดคุยกันไม่น้อย โฉมงามเรียงร้อยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่เธอในวังอสูรให้ฟัง ส่วนบิดาซึ่งบัดนี้ร่ำรวยขึ้นด้วยน้ำใจของอสูรก็ลาจากบ้านเก่าเข้าไปอยู่ในนครโอฬาร และบรรดาพี่สาวของโฉมงามก็หมั้นหมายกับชายหนุ่มจากตระกูลผู้ดีแล้ว

เมื่อเธอใช้เวลากับครอบครัวไปได้หลายสัปดาห์ โฉมงามก็พบว่า พี่สาวผู้แอบเป็นเดือดเป็นร้อนในความวาสนาดีของเธอ ยังคงมองเธอดั่งศัตรูคู่อาฆาต และปฏิบัติต่อเธอด้วยความเย็นชา นอกจากนี้ เธอจำได้ว่า สัญญาอะไรกับอสูรไว้ และตัดสินใจจะกลับไปหาอสูร แต่พ่อกับพี่ชายรั้งไว้ให้อยู่ด้วยกันอีกสักวันสองวัน และเธอก็ขัดคำอ้อนวอนของเขาเหล่านั้นมิได้ อย่างไรก็ดี ในราตรีหนึ่ง เธอฝันถึงอสูรผู้น่าสงสารว่า มันกำลังนอนตายอยู่ในอุทยานของวัง เธอสะดุ้งตื่นขึ้น 

มองหาแหวน แล้ววางแหวนไว้บนโต๊ะ ครั้นรุ่งเช้า เธอก็กลับเข้ามาอยู่ในวังอีกครั้ง แต่เจ้าอสูรจะอยู่หนใดก็ไม่พบ จนที่สุดเธอวิ่งตลบเข้าไปในอุทยานตรงจุดที่เธอฝันถึง ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ที่ตรงนั้นมีอสูรผู้น่าเห็นใจนอนหงายไร้สติสมประดีอยู่

เห็นเช่นนี้แล้ว โฉมงามก็คร่ำครวญและโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุให้อสูรตาย เธอวิ่งไปยังน้ำพุแล้วนำน้ำมาพรมใบหน้าอสูร อสูรลืมตาขึ้น และทันทีที่พูดออก ก็บอกกล่าวอย่างเศร้าตรมว่า "เพราะข้าได้เห็นเจ้าอีก ข้าตายก็ไม่เสียดายแล้ว" "ไม่ ๆ" โฉมงามร้อง "ท่านต้องไม่ตาย โอ้ โปรดอยู่เป็นคู่เคียงข้า และข้า โฉมงาม จะเป็นภริยาที่ซื่อตรงต่อท่าน" วินาทีที่เธอกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ มีแสงสกาวพราวฉายไปทั้งบริเวณ หน้าต่างวังก็สว่างวับไปกับแสงตะเกียง และดุริยสำเนียงก็ได้ยินทั่วกัน พลันก็นำความประหลาดใจใหญ่หลวงมาให้เธอ เมื่อได้เห็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามองค์หนึ่งประทับยืนอยู่เบื้องหน้า เอื้อนเอ่ยวาจาว่า ถ้อยคำของเธอนั้นลบล้างมนต์สะกดของผู้วิเศษที่สาปพระองค์ไว้ให้อยู่ในร่างอสูร จนกว่าสาวงามจะรักพระองค์แม้จะทรงอัปลักษณ์สักเพียงใด บัดนี้ เจ้าชายผู้มีความซาบซึ้งใจก็ได้โฉมงามมาครองเป็นชายา ไม่ช้าพ่อค้าได้รับแจ้งข่าวคราวความวาสนาดีของบุตรีแห่งตน และเจ้าชายก็เสกสมรสกับโฉมงามในวันถัดมา

บรรณานุกรม[แก้ไข]

  • Villeneuve, Gabrielle-Suzanne de (1874). Beauty and the Beast. London: George Routledge and Sons. OCLC 1008425137. 
  งานนี้เป็นงานแปล ซึ่งมีสถานะทางลิขสิทธิ์แยกต่างหากจากงานต้นฉบับ
งานต้นฉบับ:

งานนี้เป็นสาธารณสมบัติทั่วโลก เนื่องจากเผยแพร่ก่อนวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1929 หรือผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตายมาแล้วอย่างน้อย 100 ปี

 
งานแปล:

ข้าพเจ้า ผู้ถือลิขสิทธิ์ในงานนี้ ให้งานนี้เป็นสาธารณสมบัติ คำประกาศนี้ให้มีผลทั่วโลก
ถ้าคำประกาศดังกล่าวไม่อาจเป็นไปได้ในทางกฎหมาย ข้าพเจ้าก็ให้ทุกคนมีสิทธิใช้งานนี้ได้ในทุกกรณี โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนด