ชุมนุมพระนิพนธ์ (บางเรื่อง)/๗๘
ประเพณีที่เรียกกันว่า "ให้พร" หรือ "อำนวยพร" นี้ ตามความที่ปรากฏในมัชฌิมประเทศแต่โบราณต่อมา เป็นการยอมให้พรมีรูปมีร่าง หรือที่ให้กันได้จริง ๆ จึงเป็นให้พร เหมือนหนึ่งเราชอบใจใคร เราบอกแก่เขาว่า เราจะให้พรแก่เขา ดังนี้ สิ่งของบรรดาที่เรามี หรือการสิ่งใดบรรดาที่เราจะทำให้แก่เขาได้ ถ้าเขาจะชอบสิ่งใดหรือต้องการอย่างใด เราก็เป็นต้องให้สิ่งนั้นแก่เขาตามขอ จึงเป็นให้พร มีตัวอย่างที่ปรากฏมาในพระเวสสันดรชาดก พระอินท์ยอมให้พรแก่นางผุสดีซึ่งจะต้องจุติมาเกิดในมนุษยโลก นางก็ขอพรสิบประการ คือ ให้คิ้วดำ ตาดำ เป็นต้น พระอินทร์ก็ต้องเป็นธุระให้สมประสงค์ อนึ่ง เมื่อพระอินทร์จำแลงเป็นพราหมณ์มาขอนางมัทรีต่อพระเวสสันดรในกัณฑ์สักบรรพ ก็ย่อมให้พระเวสสันดรขอพร และต้องจัดให้ได้ตามประสงค์ทุกประการ ยังตัวอย่างที่มาในเรื่องนารายณ์สิบปางและเรื่องรามเกียรติ์ก็มีหลายแห่ง คือ ที่ยักษ์อะไรต่ออะไรไปเผาตัวย่างกายให้พระอิศวรชอบพระทัยจนยอมประทาน "พร" ยักษ์เหล่านั้นก็เลือกขอฤทธิ์ขอเดชต่าง ๆ แล้วไปเที่ยวเกะกะ จนพระผู้เป็นเจ้าต้องโกลาหลกันทุกคราว จนที่สุดเมื่อครั้งทศกัณฐ์ยกเขาพระสุเมรุให้ตรงขึ้น ได้ประทานพรคราวนั้น ทศกัณฐ์ขอพระอุมา ก็ต้องประทาน หากพระนารายณ์ลงมาแก้ไข จึงได้พระอุมาคืนขึ้นไป การที่ให้พรตามประเพณีในมัชฌิมประเทศแต่โบราณเป็นดังนี้ การให้พรก็ย่อมเป็นการสำคัญและเป็นรางวัลอันวิเศษที่ผู้หนึ่งจะให้แก่ผู้ใดได้ เพราะเสมอตีแผ่บัญชีทุนทรัพย์ให้เขาเลือกทีเดียว ถ้าผู้รับพร เช่น ทศกัณฐ์ ไม่มีกัลยาณธรรม ก็อาจจะเรียกพรอย่างเจ็บแสบได้ ประเพณีให้พรกันเช่นนั้น เมื่อคนทั้งหลายมีความรู้ความคิดมากขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องเสื่อมและน้อยลงมาทุกที จนถึงเป็นให้พรกันตามธรรมดาใช้อยู่เดี๋ยวนี้ คือ ให้ด้วยวาจาว่า "ขอให้มีความสุขและมีความเจริญเถิด" ดังนี้เป็นต้น
ก็และประเพณีที่บุคคลฝ่ายหนึ่งกล่าวด้วยวาจาว่า ขอให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งมีความสุขมีความเจริญ ที่เรียกกันว่า "ให้พร" นี้ มีเป็นประเพณีแทบทุกชาติทุกภาษา ต่างกันแต่โดยลัทธิศาสนาต่าง ๆ ในพวกที่นับถือว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก คอยประทานคุณและโทษแก่มนุษย์อยู่ตามพอพระทัยของพระองค์ เมื่อประสงค์จะให้พรแก่กันก็ย่อมกล่าวว่า "ขอให้พระเจ้าประทานสุขเถิด" เช่นนี้เป็นใจความ ฝ่ายพวกที่เชื่อถือเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ว่า เทพดาทั้งหลายองค์เดียวหรือหลายองค์อาจจะให้ความสุขความทุกข์แก่มนุษย์คนใดได้ตามปรารถนา ก็ใช้ถ้อยคำว่า "ขอให้เทวาอารักษ์คุ้มครองรักษา" เช่นนี้เป็นพรบ้างก็มี บางคนไม่กล่าววิงวอนพระเป็นเจ้าหรือเทวดา เป็นแต่อำนวยพรโดยวาจาเป็นกลาง ๆ ว่า "อยู่ดีกินดีเถิด" บ้าง "ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด" ดังนี้เป็นต้น เป็นคำพรก็มีมาก
ประเพณีให้พร ถึงว่าต่างกันโดยวิธีดังกล่าวมานี้ ก็นับได้ว่า เป็นประเพณีที่ชอบใช้กัน คือ มีผู้ชอบอำนวยและมีผู้รับด้วยความนิยมยินดีอยู่ทั่วทั้งโลก
แต่เมื่อลองคิดดูตามที่ได้ที่เสียกันเป็นเนื้อเป็นหนัง ในการให้พรอย่างทุกวันนี้ ถ้าจะตั้งคำถามว่า "การที่ให้พรนั้น ผู้ให้ให้อะไร? ผู้รับพรได้รับอะไร?" ดังนี้ ก็ยากที่จะตอบให้หมดทางสงสัยได้ เพราะถึงจะไม่ต้องกล่าวคัดค้านถึงศาสนาลัทธิอันใด ก็พอจะเห็นได้ว่า "พร" ตามอย่างที่ให้กันนี้ ผู้ใดจะให้ใครก็ได้ ใครเคยให้ทานยายแก่ ก็ย่อมได้พรของยายตั้งกระบุง จะให้เท่าใดพรก็ไม่รู้จักหมด ไม่ต้องลงทุนลงรอนก็มีพรให้เขาได้ถมไป เพราะพรเป็นสักแต่วาจาที่กล่าว ไม่มีรูปมีร่าง ผู้รับพรนั้นก็ได้รับแต่ลม ยินดีด้วยลมเท่านั้น ถ้าเช่นนี้ จะควรว่า "พร" ไม่มีในการให้ และการให้พรไม่มีคุณอันใดหรือ? ข้าพเจ้าได้ดำริในเรื่องนี้เห็นว่า "พร" เหมือนกับ "บุญ" มีอย่าง มีชนิด คนชนิดหนึ่งก็ให้พรได้แต่ชนิดอันสมควรแก่ตน และต้องให้ให้ถูกต้อง จึงจะเป็นพร และถ้าให้ให้ถูกต้องแล้ว ผู้รับก็ได้รับพรตามที่ให้ด้วย
ความที่ว่านี้จะต้องอธิบายให้ชัดเจนสักหน่อย ลักษณะการให้พรนั้น ผู้ใดให้แก่ผู้ใดก็ตาม นับแต่ยายแก่ขอทานให้เมื่อได้ข้าวสารขึ้นไป ก็ย่อมให้ด้วยความยินดี ข้างผู้รับพรก็รับด้วยความยินดี พอจัดว่า ให้พรและรับพรโดย "มีความยินดีต่อกัน" ข้อนี้ไม่ต้องคัดค้าน ก็ความยินดีที่เกิดต่อกันในเวลาเมื่อให้พรและรับพรนี้ จะว่า ควรยินดีต่อกันด้วยความเข้าใจอย่างไร? ว่าแต่ตามที่ควรจะเป็น ผู้ให้พรย่อมมีความยินดี เพราะผู้อีกฝ่ายหนึ่งได้กระทำความดีต่อตน เช่น ยายแก่ได้รับทานของทายก จึงให้พร หรืออีกอย่างหนึ่ง ผู้ให้พรมีความรักใคร่หมายจะให้อีกฝ่ายหนึ่งได้สุข เช่น บิดามารดาให้พรบุตร นี่จัดเป็นความยินดีของฝ่ายให้พร ข้างฝ่ายผู้รับพรนั้นก็ยินดีที่ได้กระทำคุณแก่เขา และรู้ว่า เขายอมรับว่า เป็นคุณแก่เขาจริง ประการหนึ่ง หรือมิฉะนั้น ยินดีด้วยรู้ว่า ผู้นั้นเขามีไมตรีจิตต่อตน ประการหนึ่ง ความยินดีควรมีต่อกันด้วยความเข้าใจอย่างว่ามานี้ ที่จะเข้าใจว่า คำให้พรจะได้จริงดังปากกว่า เป็นต้นว่า พระเป็นเจ้าจะประทานความสุขให้ดังเขาขอ หรือเทวดาอารักษ์จะคุ้มครองตามถ้อยคำเขา หรืออายุจะยืนอยู่ถึงหนึ่งหมื่นปีอย่างเขาว่า เป็นการยินดีเหลิงไปทั้งสิ้น เพราะใครบังคับพระเจ้าได้? ใครเป็นที่ปรึกษาของเทวดา? อายุใครถึงหมื่นปี? ถึงคำให้พรอย่างอื่น ๆ ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่มีได้เองแล้ว จะไปเป่าไปเสกให้อย่างไร
เพราะอย่างนี้ เมื่อว่าแต่โดยย่อ การให้พอต่อกันต้องประกอบพร้อมด้วยความยินดีต่อกัน คือ ให้เมื่อมีไมตรีจิตต่อกันทั้งสองฝ่าย จึงเป็นพร เป็นองค์ของพรโดยสาธารณะทั่วไป
ถึงการที่ให้พรโดยมีไมตรีจิตเป็นพรดังว่านี้ ก็ให้ได้เป็นชนิด เป็นชั้น เป็นลำดับกันอีกหลายอย่าง ต่างกันด้วยใจที่เจตนาจะให้พรเป็นต้น วาจาที่กล่าวพร และประพฤติตัวตามพรเป็นที่สุด จะยกตัวอย่างเหมือนเช่นเราไปรดน้ำทำขวัญเด็กโกนจุก เด็กนั้นก็ไม่ได้ทำบุญคุณแก่เราอย่างใด เด็กนั้นจะดีชั่วอย่างใดเราก็ไม่รู้ ใจเราตั้งเป็นกลาง ๆ ไปโดยคำเชื้อเชิญตามญาติเขา ให้พรก็กล่าวแต่ตามที่จะนึกได้ ตามแบบที่เขาให้พรกันเช่นนี้ก็เป็นไมตรีจิต แต่เป็นพรอย่างต่ำ
อีกอย่างหนึ่ง เหมือนหนึ่งนายมีบ่าวมาก แผ่เผื่อเจือจานเลี้ยงดูอยู่เสมอ ถ้าบ่าวคนใดซื่อตรงจงรักรับใช้ได้การงาน นายก็ให้รางวัลตามสมควรโดยความยินดี บ่าวเมื่อได้รับรางวัลแล้ว ถ้ายิ่งจงรักภักดีต่อนาย และรับใช้การงานของนายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ฉะนี้ ถึงบ่าวนั้นจะไม่ได้ปริปากอำนวยพรให้พระผู้เป็นเจ้าประทานสุขแก่นาย หรือขอให้เทวดาคุ้มครองนาย หรือขออะไรต่ออะไรให้ได้แก่นายเลย ก็เป็นอันให้พรนายดีกว่าอย่างที่เราให้พรเด็กที่ไปรดน้ำทำขวัญ และนายย่อมได้รับผลดีกว่าเด็กนั้นได้รับพรของเรามาก
เพราะฉะนั้น การที่จะให้พร ถ้าจะให้เป็นอย่างสามัญ ให้อย่างเมื่อรดน้ำทำขวัญเด็กก็ได้ หรือให้อย่างยายแก่แกให้ก็ได้ แต่ถ้าจะให้เป็นพรอย่างวิเศษ คือ ถ้าผู้ซึ่งจะรับพรเป็นผู้ปกครองเรา ก็ต้องตั้งใจจงรักภักดีซื่อตรงต่อท่านผู้นั้น ถ้าผู้จะรับพรเป็นผู้เสมอด้วยเรา ก็ต้องรักใคร่ผูกพันด้วยความดี ถ้าหากเป็นผู้ต่ำกว่าเรา ก็ต้องเมตตากรุณาไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ส่วนวาจานั้นไม่ต้องกล่าวให้ยืดยาว ความจริงย่อมเป็นของประเสริฐ ไม่มีลำดับขั้นว่า จริงมาก จริงน้อย และวาจาที่ดีทั้งปวงก็เหมือนกัน ไม่ต้องกล่าว ถ้ากล่าวคำดีแล้วก็เป็นพรทั้งสิ้น ส่วนความประพฤตินั้นเล่า ก็ต้องอุตส่าห์รับใช้สอยและทำกิจการที่จะเป็นความดีแก่ท่านโดยมิได้คิดย่อหย่อน หรือสงเคราะห์กิจธุระและช่วยป้องกันความทุกข์ หรือแม้แต่สงเคราะห์ไม่มีทุกข์เท่านั้นก็เป็นลำดับชั้นลงมาตามควร พรถ้าจะให้โดยอย่างวิเศษ ต้องให้โดยประกอบกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมดังว่ามานี้ พรอย่างอธิบายมานี้ที่ข้าพเจ้าว่า "พรมี" และ "ให้พรย่อมมีคุณ"
เรื่องการอำนวยพรนี้ ได้ดำริเห็นมานานแล้ว ยังหาได้เรียบเรียงลงเป็นหนังสือไม่ สมัยนี้เป็นมงคลฤกษ์เฉลิมพระชนมพรรษาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นคราวชาวเราเคยถวายชัยมงคลมาทุกปี และกรรมสัมปาทิกสภาได้จัดให้มีหนังสือวชิรญาณวิเศษลงพิมพ์เฉพาะเพื่อนักษัตรฤกษ์นี้ด้วยฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสเรียบเรียงส่งลงพิมพ์ตามความซึ่งคิดเห็นมาดังนี้