ข้ามไปเนื้อหา

ซ้องกั๋ง/เล่ม ๑/ตอน ๒๔

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๔๗–๒๖๑ สารบัญลง



ฝ่ายบู๊ตัวหนึง พี่ชายบู๊สง เดิมอยู่เมืองเซงหัวกุ้ย บู๊สงเสพสุราเมาตีคนสลบไปแล้วบู๊สงก็หนี ผู้รักษาเมืองเอาตัวบู๊ตัวหนึงมาทำโทษ ครั้นชายผู้นั้นไม่ตายฟื้นขึ้นได้ ผู้รักษาเมืองเห็นว่า โทษเบาบาง ก็ปล่อยบู๊ตัวหนึงออกมาทำมาหากิน ยังมีเศรษฐีผู้หนึ่งอยู่ ณ เมืองเซงหัวกุ้ย มีบ่าวหญิงชื่อ นางพัวกิมเหลียน รูปร่างงดงามดี อายุยี่สิบสองปี ยังไม่มีสามี เศรษฐีจะเลี้ยงเป็นภรรยาน้อย นางพัวกิมเหลียนไม่ยอม เศรษฐีโกรธ จึงเอานางพัวกิมเหลียนยกให้เป็นภรรยาบู๊ตัวหนึง และบู๊ตัวหนึงนั้นเป็นคนต่ำเตี้ย รูปร่างไม่ดี นางพัวกิมเหลียนไม่รักใคร่ เที่ยวลักลอบกับชายอื่น ๆ เสมอ บู๊ตัวหนึงพบเข้าจะทุบตีว่ากล่าวก็สู้ฝีมือไม่ได้ จึงพาภรรยาหนีคนเหล่านั้นมาเช่าโรงค้าขายอยู่ ณ เมืองเอียงก๊กกุ้ย ได้ยินข่าวเล่าลือว่า บู๊สง น้องชาย มาเป็นครูทหารอยู่ ณ เมืองเอียงก๊กกุ้ย ก็มีความยินดี แต่ยังไม่ได้พบกัน เวลาวันนั้น บู๊สงเดินออกไปเที่ยวเล่นตามแถวตลาด บู๊ตัวหนึงเห็นก็จำได้จึงร้องว่า บู๊โตวเถาครูทหารมาอยู่เมืองนี้มีความสุขสบายดีหรือ บู๊สงได้ยินมีผู้ร้องเรียกถามก็เหลียวไปดูเห็นบู๊ตัวหนึงพี่ชายยืนอยู่หน้าโรง จำได้ ตรงเข้าไปคุกเข่าคำนับแล้วถามว่า เหตุไฉนพี่ชายจึงมาอยู่ที่เมืองนี้ บู๊ตัวหนึ่งบอกว่า ตั้งแต่เจ้าหนีไปก็ไม่เห็นฝากหนังสือมา พี่ต้องไปทนทุกขเวทนาแทนเจ้าอยู่ช้านาน ชายผู้นั้นไม่ตายจึงพ้นจากโทษ แล้วเศรษฐีที่เมืองเซงหัวกุ้ยยกหญิงสาวใช้ให้เป็นภรรยาคนหนึ่งชื่อ นางพัวกิมเหลียน นางพัวกิมเหลียนเห็นรูปร่างพี่ไม่ดีก็ไม่รักใคร่ เที่ยวคบหากับผู้อื่น พี่จะว่ากล่าวนางพัวกิมเหลียนก็ไม่กลัวเกรงกลับด่าว่า จึงมาอยู่เสียที่เมืองเอียงก๊กกุ๊ย ได้ยินข่าวเล่าลือว่า เจ้าตีเสือตาย ผู้รักษาเมืองตั้งให้เป็นครูทหาร พี่มีความยินดีนัก พูดแล้วก็พาบู๊สงไปในโรง เรียกนางพัวกิมเหลียนออกมาเก็บของที่ขายเข้าไว้เสียก่อน นางพัวกิมเหลียนถามว่า เหตุผลประการใดจึงเลิกค้าขายเสียแต่วัน บู๊ตัวหนึงว่า วันนี้น้องชายเรามา จึงไม่ค้าขาย พามาให้รู้จักกันกับเจ้า ชื่อ บู๊สง ที่ตีเสือตาย ณ ตำบลเก็งเอียงก๋ง ได้เป็นขุนนางนายทหาร นางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็ยินดีจึงพูดว่า เมื่อวันตีเสือตาย ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่า เขาแห่น้องมา ก็ชวนชาวบ้านไปดูไม่ทัน วันนี้ได้มาพบก็ดีแล้ว เชิญเข้าไปข้างในพูดจาสนทนากันให้สบาย บู๊สงเห็นพี่สะใภ้ถาม คำนับแล้วนั่งสนทนากันอยู่ นางพัวกิมเหลียนจึงบอกกับสามีว่า เจ้าจงไปจัดหาสุรากับสิ่งของมาเลี้ยงน้องโดยเร็วเถิด บู๊ตัวหนึงก็รีบไป นางพัวกิมเหลียนเห็นลักษณะรูปร่างบู๊สงดี ก็มีความเสน่หารักใคร่ จึงคิดว่า ถ้าแม้นเราได้บู๊สงเห็นจะดีกว่ามาได้คนเช่นนี้ ก็คิดเสียใจนัก คิดแล้วจึงพูดกับบู๊สงว่า เดิมทีอยู่ ณ เมืองเซงหัวกุ้ย คนข่มเหง จึงได้พากันมาอยู่เมืองนี้ ถ้าแม้นน้องอยู่ ก็เห็นจะไม่มีผู้ใดย่ำยีได้ น้องไปอยู่ที่ไหน มาเมืองนี้ได้กี่วัน บู๊สงบอกว่า เดิมไปอยู่เมืองชองจิวได้ปีเศษ หมายจะไปเยี่ยมเยือนพี่ มาเป็นครูทหารอยู่เมืองนี้ได้ประมาณสิบวัน เดินมาเที่ยวเล่นก็บังเอิญได้พบพี่เข้า มีความยินดีนัก พอบู๊ตัวหนึงจัดหาสุรากับสิ่งของมา ชวนกันตั้งโต๊ะเสพสุราทั้งสามคน นางพัวกิมเหลียนจึงถามบู๊สงว่า เดี๋ยวนี้น้องสำนักอาศัยอยู่ที่ใด จงมาอยู่ด้วยกันเถิด เราจะอุปถัมภ์ปฏิบัติเอง บู๊สงว่า อยู่ที่หน้าบ้านผู้รักษาเมือง จะใช้สอยสิ่งใดพวกทหารมาคอยปฏิบัติอยู่คนหนึ่ง พี่จะให้มาอยู่ที่นี่ก็ดีดอก น้องจะมาอยู่ด้วย บู๊ตัวหนึงกับนางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็ยินดี ครั้นกินโต๊ะเสพสุราแล้ว บู๊สงจึงบอกว่า จะไปเก็บรวบรวมสิ่งของ ก็ออกจากโรงตรงมายังที่พัก แล้วเข้าไปแจ้งกับผู้รักษาเมืองว่า ข้าพเจ้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่งร่วมบิดามารดาเดียวกัน ค้าขายอยู่ที่ตลาด ข้าพเจ้าจะลาท่านไปอยู่กับพี่ชาย ถ้าเวลาเช้าเย็นจะมารับราชการในท่านมิได้ขาดได้ ผู้รักษาเมืองก็ยอมให้ไป บู๊ตัวหนึงกับนางพัวกิมเหลียนเห็นบู๊สงขนของมาก็ยินดี ช่วยกันจัดที่ให้อยู่ตามสบาย บู๊สงเอาเงินให้บู๊ตัวหนึงไปค้าขาย ถึงเวลาเช้าเย็นก็เข้าไปรับราชการอยู่ที่บ้านผู้รักษาเมืองเป็นนิตย์มิได้ขาด ครั้นรุ่งขึ้น บู๊ตัวหนึงก็ไปขายของ นางพัวกิมเหลียนมีใจรักใคร่บู๊สงยิ่งนัก แต่พูดจาเลียบเคียงหลายครั้ง บู๊สงเป็นคนซื่อมิได้ระแวงความโต้ตอบตามตรง เวลานั้น บู๊สงไปรับราชการแต่เช้า จะกลับมารับประทานอาหารที่บ้าน นางพัวกิมเหลียนจัดซื้อสิ่งของ วานชาวบ้านมาต้มแกงไว้คอยท่า พอบู๊สงกลับมา นางพัวกิมเหลียนก็ออกไปต้อนรับเป็นอันดี แล้วเรียกให้บู๊สงกินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน บู๊สงเห็นพี่สะใภ้ต้อนรับตามธรรมเนียมก็กินโต๊ะเสพสุราด้วย นางพัวกิมเหลียนริมสุราส่งให้แล้วพูดเป็นกลมารยาต่าง ๆ บู๊สงก็นิ่งเสีย นางพัวกิมเหลียนมีความวิตกไม่แจ้งว่าบู๊สงจะคิดประการใด ความที่เสน่หารักใคร่ยิ่งทวีมากขึ้น จับปั้นสุรามารินใส่ถ้วย แล้วดื่มเสียครึ่งหนึ่ง จึงส่งถ้วยสุรามาบอกว่า วันสำคัญ ถ้ารักกันจริง จงดื่มสุราในถ้วยนี้เถิด บู๊สงก็โกรธ เทสุราเสีย แล้วพูดว่า คนอะไรเช่นนี้ไม่มีความอาย เราเป็นชายชาติทหารสัตย์ซื่อต่อฟ้าและดิน ปรารถนาจะตั้งตัวให้ชื่อเสียงปรากฏต่อไป มิใช่สัตว์เดรัจฉาน จะมาทำการดั่งนี้หาควรไม่ เรานับถือว่าเป็นพี่สะใภ้ อย่ามารบกวนเลย นางพัวกิมเหลียนเห็นบู๊สงโกรธก็เสียใจหน้าผิดปกตินั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า เรามีความรักใครเหมือนกับน้องร่วมไส้ จึงได้ปฏิบัติพูดหยอกล้อ ก็สำคัญว่าจริง เรามิใช่คนเช่นนั้นดอก แล้วเอาสิ่งของที่รับประทานมาเก็บไว้ บู๊สงก็ไม่ตอบประการใด เข้าไปนอนอยู่ในห้องของตัวประมาณครู่หนึ่ง บู๊ตัวหนึงไปค้าขายกลับมา เรียกให้ภรรยาเปิดประตูรับ นางพัวกิมเหลียนนั้นเสียใจนั่งร้องไห้อยู่ ครั้นได้ยินเสียงเรียกก็ออกไปเปิดประตู บู๊ตัวหนึงเข้ามาเห็นภรรยาร้องไห้ ไม่แจ้งว่าเหตุผลประการใด จึงถามว่า เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุไร ผู้ใดมาข่มเหงหรือ นางพัวกิมเหลียนแกล้งใส่ความว่า จะมีผู้ใดมาข่มเหงได้ มีแต่บู๊สงน้องชายมาพูดจาแทะโลมเกี้ยวพี่สะใภ้ มีธรรมเนียมอันใด บู๊ตัวหนึงได้ฟังก็ไม่ได้ตอบประการใด แต่ใจนั้นไม่เชื่อ เดินมาดูเห็นบู๊สงนอนนิ่งอยู่ จึงถามว่า น้องกลับมา รับประทานอาหารแล้วหรือ ถ้ายัง จะได้รับประทานด้วยกัน บู๊สงนอนตรึกตรองไม่สบายใจ ได้ยินพี่ชายถามก็นิ่งเสีย แล้วลุกขึ้นเดินออกจากโรงไป บู๊ตัวหนึงร้องเรียกก็ไม่มา จึงถามภรรยาว่า เหตุผลประการใด นางพัวกิมเหลียนว่า จะกลับมาอีกทำไมเล่า เรารักใคร่ว่าเป็นน้องชายของสามี จัดโต๊ะและสุรามาให้ อุตส่าห์ปฏิบัติทุกอย่าง ยังพูดจาแทะโลมให้มีความอายมาก เจ้าเรียกจึงไม่กลับมา บู๊ตัวหนึงก็ไม่ว่าประการใด นั่งนิ่งอยู่

ฝ่ายบู๊สงครั้นออกจากโรงตรงมาเรียกทหารที่สำหรับใช้ไปเก็บสิ่งของของตน บู๊ตัวหนึงเห็นก็ห้ามไว้ว่า จะไปไหนเล่า บู๊สงได้ฟังพี่ชายถามดังนั้น ด้วยเป็นการไม่ดี จะบอกให้รู้ก็ไม่ควร จึงบอกว่า พี่อย่าห้ามเลย แล้วให้ทหารขนของกลับไปที่สำนักตามเดิม บู๊ตัวหนึงไม่รู้ว่าเหตุการณ์อย่างไร ก็มีความวิตกยืนดูอยู่ นางพัวกัมเหลียนเห็นบู๊สงขนของไป ก็ทำเป็นบ่นว่า เรามีความยินดีว่า พี่น้องมีวาสนาเป็นขุนนาง จะได้พึ่งบ้าง กลับมาคิดประทุษร้าย ไปเสียก็ดีดอก ถ้าอยู่ก็คงจะวุ่นวายกัน บู๊ตัวหนึงจึงตอบว่า เดิมเจ้าให้มาอยู่ด้วย ยังมินานเท่าใดก็ไปเสียดังนี้ คนทั้งหลายจะมิหัวเราะหรือ ให้กลับมาอยู่ตามเดิมดีกว่า นางพัวกิมเหลียนว่า ถ้าจะให้บู๊สงมาอยู่อีก ก็ทำหนังสือหย่าให้เราก่อน จึงมาอยู่ด้วยกันเถิด บู๊ตัวหนึงได้ฟังภรรยาพูดดังนั้นก็นิ่งเสีย แต่ในใจไม่สบาย คิดจะไปถามให้รู้ความ แต่นางพัวกิมเหลียนห้ามไว้ บู๊ตัวหนึงไม่อาจจะไป ก็อุตส่าห์ทำของขายอยู่ทุกวัน

ฝ่ายผู้รักษาเมืองเอียงก๊กกุ้ยมาว่าราชการได้อยู่ประมาณสองปีเศษ คิดถึงญาติอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวง จะให้เอาเงินทองสิ่งของไปให้ ก็กลัวโจรผู้ร้ายตามทางจะแย่งชิง จึงรำลึกขึ้นได้ว่า บู๊สงที่เป็นครูทหารใจสัตย์ซื่อ ฝีมือเข้มแข็ง ควรจะคุมสิ่งของไปได้ จึงให้หาบู๊สงมาแล้วพูดว่า เรามีพี่น้องอยู่ ณ เมืองตังเกียคนหนึ่ง จะให้คุมสิ่งของไปให้ ก็ไม่เห็นมีผู้ใดเลย และหนทางที่จะไปนั้นโจรผู้ร้ายชุกชุมนัก เห็นอยู่แต่เจ้าคนเดียว จงช่วยสงเคราะห์ไปสักครั้งหนึ่งเถิด กลับมาจะบำเหน็จรางวัลให้ตามสมควร บู๊สงว่า พระคุณท่านชุบเลี้ยงเป็นที่สุดอยู่แล้ว อย่าว่าแต่การเท่านี้เลย ถึงยิ่งกว่านี้ก็จะรับอาสาไป ซึ่งตังเกียเมืองหลวงนั้น ข้าพเจ้าอยากจะใคร่เที่ยวชมเล่นสักครั้งหนึ่งอยู่แล้ว ท่านจงจัดเตรียมไว้ให้พร้อมเถิด แล้วบู๊สงคำนัลลากลับมาที่อยู่ เอาเงินให้คนใช้ไปซื้อสิ่งของกับสุรา แล้วกลับไปหาบู๊ตัวหนึง

ขณะนั้น พอบู๊ตัวหนึงไปขายของกลับมาโรง เห็นบู๊สงมาก็ยินดี เรียกเข้าไปข้างใน บู๊สงให้ทหารจัดสิ่งของจะกินโต๊ะเสพสุรากับพี่ชาย

ฝ่ายนางพัวกิมเหลียนเห็นบู๊สงมาจึงคิดว่า เหตุผลประการใดจึงกลับมาอีก หรือรำลึกถึงเราดอกกระมัง คิดดังนั้นก็เข้าไปในห้องแต่งตัวออกมาพูดกับบู๊สงว่า ตั้งแต่น้องไปไม่เห็นมาเที่ยวบ้างเลย ให้พี่ชายของเจ้าไปเที่ยวตามหาก็ไม่พบ บู๊สงเห็นพี่สะใภ้มาพูดด้วยก็คลายโกรธ จึงว่า น้องมีธุระสิ่งหนึ่งจะมาบอกให้รู้ นางพัวกิมเหลียนก็เรียกบู๊สงกับบู๊ตัวหนึงเข้าไปข้างใน ทหารจัดโต๊ะและสุราไว้พร้อม บู๊สงเรียกให้พี่ทั้งสองกินโต๊ะเสพสุราแล้วจึงพูดว่า เวลาพรุ่งนี้ ผู้รักษาเมืองจะให้คุมทรัพย์สิ่งของเข้าไปในเมืองหลวง ประมาณห้าสิบวันจะกลับมา ถ้าพี่จะไปค้าขาย จงกลับมาแต่วัน แล้วอย่าได้คบเพื่อนฝูงเที่ยวเสพสุรา เวลาเย็นก็ปิดประตูบ้านเสีย ถ้ามีผู้ใดมาว่ากล่าวข่มเหงก็อดโทโสไว้คอยน้องกลับมาก่อน พูดดังนั้นแล้วก็รินสุราส่งให้บู๊ตัวหนึงแล้วพูดว่า ถ้าพี่เชื่อ จงเสพสุราถ้วยนี้เสียเถิด บู๊ตัวหนึงรับถ้วยสุรามาดื่มจนสิ้นแล้วพูดว่า พี่จะเชื่อฟังทุกอย่าง บู๊สงเอาถ้วยมารินสุราส่งให้นางพัวกิมเหลียนแล้วว่า บัดนี้ มีราชการ จะลาพี่ทั้งสองไป ซึ่งพี่ชายของน้องเป็นคนโง่เขลาไม่รู้จักการอันควรมิควร พี่เป็นคนเฉลียวฉลาดรู้การงานทุกอย่าง น้องขอฝากพี่ชายด้วยเถิด ทุกวันนี้ ถ้าในบ้านเรือนปกติเรียบร้อยดี คนนอกก็ไม่มีผู้ใดดูหมิ่นข่มเหงได้ พี่เป็นคนเข้าใจจัดการให้ดี เชิญเสพสุราด้วยนี้เสียเถิด นางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็โกรธนัก ไม่รับถ้วยสุรา กลับด่าบู๊ตัวหนึ่งว่า คงจะเอาความเท็จไปเที่ยวนินทาบอกแก่ผู้ใดเป็นมั่นคง บู๊สงจึงได้มาว่าดังนี้ ตัวเราไม่มีราคีสิ่งใดเลย ช่างมาพูดเปรียบเทียบเอาได้ เรารู้อยู่ดอก บู๊สงได้ฟังก็หัวเราะแล้วบอกว่า กลัวแต่ปากกับใจจะไม่ตรงกัน นางพัวกิมเหลียนยิ่งโกรธมากขึ้น ลุกขึ้นกระทบเท้าเดินออกมาบ่นว่า เดิมเมื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากันก็ไม่ได้ยินว่า มีญาติพี่น้อง เดี๋ยวนี้ มีพี่น้องมาตั้งแต่เป็นใหญ่ จะเท็จจริงหรืออย่างไรก็ไม่รู้ มาว่ากล่าวดังนี้เราแค้นนัก เดินร้องไห้ออกมานั่งอยู่หน้าโรง บู๊สงกับบู๊ตัวหนึงได้ยินนางพัวกิมเหลียนเดินบ่นออกมาก็ไม่พูดประการใด ชวนกินโต๊ะเสพสุรา แล้วบู๊สงก็ลาพี่ชายจะกลับมา บู๊ตัวหนึงเห็นน้องจะจากไปก็ร้องไห้แล้วสั่งว่า เจ้าจงรีบกลับมาโดยเร็ว อย่าได้นอนใจ บู๊สงเห็นพี่ชายร้องไห้ก็มีความสงสาร กลัวผู้คนจะข่มเหง จึงพูดว่า ถ้าน้องไปแล้ว พี่อย่าได้ค้าขายเลย เงินทองจะใช้สอยมากน้อยเท่าไรจะส่งมาให้ซื้อรับประทาน จงอยู่รักษาบ้านเรือนเถิด พูดแล้วก็ออกจากโรงไปที่สำนัก ครั้นรุ่งขึ้นเช้า ผู้รักษาเมืองจัดเงินทองทรัพย์สิ่งของบรรทุกเกวียน จัดคนใช้ที่สนิทสี่คน กับหนังสือฉบับหนึ่งมอบให้ บู๊สงรับหนังสือ คำนับลา ชวนคนทั้งสี่คุมเกวียนออกจากเมืองเอียนก๊กกุ้ยตรงไปตังเกียเมืองหลวง

ฝ่ายบู๊ตัวหนึง ตั้งแต่บู๊สงจากไป ภรรยาด่าอยู่หลายวัน บู๊ตัวหนึงก็นิ่งเฉยเสีย อุตส่าห์ทำของขายได้เล็กน้อยก็กลับมาแต่วัน ปิดประตูลั่นดาลตามคำบู๊สงสั่ง นางพัวกิมเหลียนเฝ้าแต่บ่านด่าว่า ปิดประตูเสียดังนี้กลัวผีหรือกลัวสิ่งใด บู๊สงว่าอย่างไรก็เชื่อทุกสิ่ง บู๊ตัวหนึงจึงตอบว่า น้องเราสั่งสอนนั้นเปรียบเหมือนทองคำ ควรจะต้องจำไว้ นางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็โกรธ บ่นด่าอยู่ทุกวันทุกเวลา บู๊ตัวหนึงก็นิ่งเสียสู้อดใจไม่ได้ตอบประการใด อุตส่าห์ทำของขาย ได้เวลาก็กลับมาบ้าน อยู่นานมา นางพัวกิมเหลียนก็คลายด่าค่อยปกติดีขึ้น

อยู่มาวันหนึ่ง บู๊ตัวหนึงหาบสิ่งของไปขาย ครั้นได้เวลา นางพัวกิมเหลียนเปิดประตูออกมาคอยท่า มือถือราวผ้าจะเอาไปตากที่ถนน พอผู้ชายเดินมา ราวผ้าที่นางพัวกิมเหลียนถือหลุดจากมือถูกศีรษะชายผู้นั้น ชายผู้นั้นก็โกรธ ครั้นเหลียวมาดูเห็นนางมีรูปร่างงดงามก็ยืนคลำศีรษะหัวเราะอยู่ นางพัวกิมเหลียนเห็นดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าถือไม้ราวหลุดมือไปถูกท่าน เจ็บหรือเปล่า ขอโทษเสียเถิด ชายผู้นั้นว่า ถูกเล็กน้อย ไม่เป็นไรดอก แล้วยืนพิเคราะห์ดูอยู่ นางพัวกิมเหลียนเห็นชายผู้นั้นรูปร่างดี นุ่งห่มเป็นคนมีสกุล ก็ยืนให้หางตาดู

ฝ่ายยายเห็งโผตั้งโรงอยู่ใกล้กัน ครั้นเห็นนางพัวกิมเหลียนทำราวผ้าไปถูกชายผู้นั้น แล้วยืนใช้หางตาอยู่กับนางพัวกิมเหลียน ยายเห็งโผก็พูดสัพยอกหยอกล้อเล่นว่า ใครให้ท่านเดินมาทางนี้ น่าที่จะต้องตีเสียให้เข็ด ชายผู้นั้นกับนางพัวกิมเหลียนเหลียวไปดูเห็นยายเห็งโผก็หัวเราะ นางพัวกิมเหลียนอายกลับเข้าไปในโรง ชายผู้นั้นแซ่ ไซบุน ชื่อ เข่ง เดิมปู่และบิดามั่งมีทรัพย์สิน ครั้นปู่และบิดาตายก็ยากจน ไซบุนเข่งอุตส่าห์ตั้งตัวมั่งมีทรัพย์ขึ้นแล้ว ก็เที่ยวคบหาตามบรรดาขุนนางกรมการ ราษฎรชาวบ้านต่างมีความเกรงกลัวไซบุนเข่งทุกคน ไซบุนเข่งอยากจะใคร่ฝึกหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ ครั้นเวลาว่างก็ซักซ้อมฝีมืออยู่เป็นนิตย์มิได้ขาด เวลาวันนั้น ไซบุนเข่งเดินมาเที่ยวเล่น นางพัวกิมเหลียนทำราวผ้าถูก ไซบุนเข่งเห็นนางพัวกิมเหลียนรูปร่างงามดีก็มีใจรักใคร่ ครั้นนางพัวกิมเหลียนเข้าไปในโรงแล้ว ไซบุนเข่งเดินเข้าไปในโรงยายเห็งโผด้วยชอบพอรู้จักคุ้นเคยมาแต่ก่อน ยายเห็งโผเชิญเข้าไปนั่งสนทนากันแล้วจัดน้ำชามาให้รับประทาน ไซบุนเข่งจึงถามว่า ตั้งแต่เรามารับประทานน้ำชา เป็นหนี้อยู่มากน้อยเท่าไร ยายเห็งโผว่า ซึ่งท่านมารับประทานน้ำชาบ้างเล็กน้อย หาเป็นไรไม่ เชิญท่านรับประทานให้สบายเถิด ไซบุนเข่งก็ยินดี ถามยายเห็งโผว่า หญิงที่ทำราวผ้าถูกเราอยู่ที่โรงใกล้กันนี้ภรรยาของผู้ใดหรือ ยายเห็งโผตอบว่า หญิงนั้นเป็นภรรยาคนที่หาบของขายอยู่ตามตลาด ไซบุนเข่งว่า ชายที่หาบของขายเที่ยวขายรูปร่างก็ดี ช่างสมที่เป็นสามีภรรยากัน ยายเห็งโผว่า ไม่ใช่คนนั้นดอก คนที่หาบขนมเปียขายนั้นต่างหาก ไซบุนเข่งว่า น่าเสียดายนักหนา รูปร่างงดงาม มาเป็นภรรยาคนต่ำเตี้ยดังนี้ เปรียบเหมือนเนื้อแพะอย่างดีมาตกอยู่ในปากสุนัข ไม่ควรเลย ยายเห็งโผตอบว่า การอันนี้สุดแต่วาสนาแต่งให้จึงได้เป็นคู่กัน ไซบุนเข่งได้ฟังยังไม่พูดเรื่องนั้น แกล้งถามว่า บุตรของยายไปข้างไหน ยายเห็งโผว่า บุตรข้าพเจ้าเที่ยวคบเพื่อน ทำให้เกิดความอยู่เนือง ๆ ห้ามปรามเท่าใดก็ไม่เชื่อฟัง บัดนี้ ตามพวกเพื่อนไปเที่ยวยังไม่กลับมา ไซบุนเข่งว่า บุตรของยายนั้นให้มาอยู่กับเราเถิด จะสั่งสอนอุปถัมภ์ให้ดี ยายเห็งโผว่า ขอบใจท่านนักหนา ถ้ากลับมาแล้วจะให้ไปอยู่กับท่าน ไซบุนเข่งลาออกจากโรงเดินไปได้ครู่หนึ่งก็กลับมานั่งอยู่หน้าโรงยายเห็งโผเฝ้าแต่มองดูโรงนางพัวกิมเหลียนมิได้ขาด ยายเห็งโผเห็นไซบุนเข่งกลับมาจึงถามว่า ท่านกลับมาอีก จะรับประทานน้ำลูกผลไม้ให้ชื่นใจหรือ ไซบุนเข่งว่า เราอยากจะรับประทานอยู่หลายวันแล้ว ยายเห็งโผก็จัดหาน้ำผลไม้มาให้ไซบุนเข่ง ไซบุนเข่งรับน้ำผลไม้แล้วสรรเสริญว่า ยายเห็งโผช่างทำผลไม้บ๊วยดีนัก ในโรงยังมีบ๊วยอยู่บ้างหรือไม่ บ๊วยนั้นแปลว่า เป็นผู้ชักสื่อ ยายเห็งโผหูตึง ได้ยินเป็นไซบุนเข่งถามว่า ผู้ชักสื่อดีในโรงมีอยู่บ้างหรือไม่ จึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นเถ้าแก่ชักสื่อจริง แต่จะเอามาเก็บไว้ในโรงทำไม ไซบุนเข่งเห็นได้ช่องจึงพูดว่า ยายช่วยเป็นเถ้าแก่ว่ากล่าวหญิงให้เราสักคนหนึ่งจะได้หรือไม่ ยายเห็งโผว่า บุตรภรรยาท่านมีถมไป ข้าพเจ้ารับธุระไม่ได้ ไซบุนเข่งว่า บุตรภรรยามีมากก็จริง แต่หาชอบใจไม่ ยายช่วยชักสื่อให้ได้ เราจะสมนาคุณ ยายเห็งโผได้ฟังและดูกิริยาก็รู้ชัด ไซบุนเข่งรักนางพัวกิมเหลียน พูดจาเลียบเคียงจะให้ชักสื่อ จำจะทรมานให้เวียนเดินไปมาจนอ่อนใจ จึงจะคิดอ่านพูดจาให้ ไซบุนเข่งเวียนเดินมองดูอยู่ที่หน้าบ้านนางพัวกิมเหลียนจนเวลาเย็นไม่เห็นเปิดประตูก็กลับไป แต่ใจนั้นผูกพันอยู่ด้วยความรัก ครั้นรุ่งขึ้นเช้า ก็ออกจากบ้านมายืนคอยดูอยู่อีกที่หน้าโรงยายเห็งโผ ยายเห็งโผก็จัดน้ำชามาให้ ไซบุนเข่งรับประทานแล้วหยิบเงินให้ยายเห็งโผตำลึงหนึ่งเป็นค่าน้ำชา ยายเห็งโผก็มีความยินดีรับไว้แล้วพูดว่า ค่าน้ำชาเล็กน้อย ท่านให้เป็นเงินนักหนา มิเหลือเกินไปหรือ ไซบุนเข่งว่า ไม่เป็นไร เราให้แก่ยายดอก ยายเห็งโผเป็นคนโลภ ครั้นได้เงินก็ยินดี พูดว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านเวียนเดินเวียนไปมาคงจะมีความสิ่งใดอยู่ในใจสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ ไซบุนเข่งว่า เหตุไฉนจึงรู้ว่า เราไม่สบาย ถ้าทายถูกจะให้เงินห้าตำลึง ยายเห็งโผว่า ข้าพเจ้าดูก็รู้แยบคาย เปรียบเหมือนคนที่ค้าขายจะขาดทุนมีกำไร ถ้าไปถึงเห็นหน้าผู้ซื้อก็แจ้งว่ามีกำไรและขาดทุน ซึ่งความของท่านเรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ต้องทายหลายคำ ท่านรักใคร่นางคนนั้นมิใช่หรือ ไซบุนเข่งว่า ยายช่างดูแม่นยำนัก เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะสมความปรารถนา ยายเห็งโผว่า ข้าพเจ้าขายน้ำชามาเป็นปีเศษ เงินทองก็ไม่พอใช้สอยซื้อหารับประทาน ข้าพเจ้าจึงเป็นเถ้าแก่ชักสื่อพอได้สินจ้างเลี้ยงชีวิตมา หาไม่ก็อดตายเสียนานแล้ว ไซบุนเข่งจึงพูดว่า ถ้าชักสื่อรายนี้ให้ได้สมความปรารถนา จะให้เงินสิบตำลึง ยายเห็งโผก็ยินดี ตอบว่า การนี้ก็ยากอยู่ ด้วยมีสามีแล้ว ถ้าแม้นท่านรักจริงจะให้ได้ดังปรารถนา แต่ต้องประพฤติการห้าอย่างตามคำข้าพเจ้า ไซบุนเข่งถามว่า การห้าอย่างนั้นคืออะไรบ้าง ยายเห็งโผว่า ที่หนึ่ง ต้องแต่งตัวนุ่งห่มให้งดงามเหมือนกับพัวอาน ที่สอง ถ้าถึงที่คับแค้นสำคัญ ก็ต้องมุดต้องคลาน อย่าถือว่าเป็นผู้ดีมั่งมีทรัพย์สินนั้นไม่ได้ ที่สาม จะใช้เงินทองมากน้อยเท่าไรอย่าได้เสียดาย ที่สี่ ถึงเขาจะด่าว่าเจ็บปวดประการใดก็อย่าโกรธ ที่ห้า ให้หมั่นเพียรไปมา อย่าเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ถ้าประพฤติการห้าอย่างนี้ได้ จึงจะสมความปรารถนา ไซบุนเข่งว่า เราไม่งามเหมือนพัวอานก็จริง แต่คล้ายคลึงกัน ที่สองว่าเข้าที่อับจนให้มุดคลานนั้นก็ได้ ที่สาม เงินทองสิ่งของก็มีใช้ มิได้ขัดสน ที่สี่นั้น ถึงจะทุบตีสักเท่าใดก็ไม่โกรธ ที่ห้า เราก็อุตส่าห์เพียรมา ก็เห็นอยู่ด้วยกัน ซึ่งการห้าอย่างนั้นเราประพฤติตามได้ทั้งสิ้น จงช่วยให้สมปรารถนาเถิด ยายเห็งโผก็ยินดีจึงว่า เมื่อท่านเชื่อฟังข้าพเจ้า คงสมคิด แต่เวลาวันนี้จวนเย็นแล้ว เชิญท่านกลับไปบ้านก่อนเถิด ไซบุนเข่งจึงอ้อนวอนว่า เมตตาแล้วจงอย่าให้เนิ่นช้า แม้นจะต้องการเงินทองมากน้อยสักเท่าไรจะเอามาให้ ยายเห็งโผว่า ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ได้ทดลองมาหลายครั้งก็สมความคิด ด้วยหญิงนั้นเป็นช่างเย็บปักฝีมือดี ท่านจงไปจัดซื้อแพรและสำลีมาให้ ข้าพเจ้าจะไปนั่งเล่นที่บ้านหญิงนั้น ทำเป็นพูดจาว่า ท่านให้แพรกับสำลีมาไว้ ข้าพเจ้าจะไปจ้างหาช่างตัดเสื่อใส่กันหนาว แม้นนิ่งเสียก็เห็นจะไม่ได้การ ถ้าหญิงนั้นว่า อย่าต้องจ้างช่างอื่นเลย จะรับทำให้ การที่คิดไว้ก็เห็นจะสำเร็จ ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวให้ทำที่นี่ก็คงสมความคิด ข้าพเจ้าจะพูดจาเลียบเคียงไว้ วันรุ่งขึ้นที่สาม ท่านแต่งตัวมาให้งดงาม มาที่โรงทำเป็นร้องถาม ข้าพเจ้าจะออกไปเชิญเข้ามา ถ้าหญิงนั้นทำงาน ไม่กลับไปบ้าน ท่านจงหยิบเงินให้ข้าพเจ้าไปซื้อสิ่งของกับสุรา ท่านอยู่ข้างในพูดงาเกลี้ยกล่อมให้ดี คงสำเร็จความปรารถนา ไซบุนเข่งได้ฟังก็ดีใจ ถามว่า เมื่อไรจะจัดการ ยายเห็งโผว่า เวลาวันนี้ ข้าพเจ้าจะไปพูดจาถามไถ่ดู เห็นสามีเขายังไม่กลับมา ท่านจงไปจัดหาสิ่งของมาให้โดยเร็วเถิด ไซบุนเข่งก็กลับไปเอาเงินให้คนใช้จัดซื้อแพรกับสำลีมาให้ยายเห็งโผตามคำสั่งทุกประการ ยายเห็งโผรับแพรและสำลีไว้แล้วก็ตรงไปที่โรงร้องเรียก นางพัวกิมเหลียนเปิดประตูรับเข้าไป นางถามว่า มีธุระสิ่งใด ยายเห็งโผว่า ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ด้วยท่านผู้มีคุณของข้าพเจ้าให้แพรกับสำลีมาตัดเสื้อจะได้ใส่กันหนาว หาช่างมาตัดก็พูดเนิ่นช้าไป จะหาช่างใหม่ ไม่แจ้งว่าวันใดดี จึงมาถามดู เจ้ารู้อยู่บ้างหรือไม่ นางพัวกิมเหลียนว่า วันคืนไม่สำคัญ ถ้าหาช่างไม่ได้ ข้าพเจ้าจะตัดเย็บให้เอง แต่จะให้ฝีมือประณีตเรียบร้อยนั้นมิอาจทำได้ ยายเห็งว่า ไม่ติเตียนดอก ถ้าเมตตาจะทำให้แล้ว เชิญไปที่บ้านข้าพเจ้าในเวลาพรุ่งนี้เถิด นางพัวกิมเหลียนว่า ที่บ้านยายผู้คนไปมามาก เห็นท่าจะมิดีงาม ยายเห็งโผว่า ไม่เป็นไร เข้าไปทำเสียข้างในก็ไม่มีผู้ใดเห็น พูดกันแน่นอนแล้ว ยายเห็งโผก็กลับมา ครั้นเวลาเช้า บู๊ตัวหนึงไปค้าขาย ยายเห็งโผก็ให้นางพัวกิมเหลียนมาตัดเย็บเสื้อที่โรงของนาง ถึงเวลากลางวันก็จัดหาสิ่งของกับสุรามาเลี้ยงเป็นอันดี พอได้เวลา นางพัวกิมเหลียนก็กลับมาโรงตน บู๊ตัวหนึงไปขายของกลับมาเห็นภรรยาหน้าแดงจึงถามว่า ไปไหนมา นางพัวกิมเหลียนบอกว่า ยายเห็งโผวานไปตัดเย็บเสื้อที่โรงของนาง เวลากลางวันจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยง บู๊ตัวหนึงจึงพูดว่า อย่าไปรับประทานของผู้อื่นแต่ข้างเดียว วันพรุ่งนี้เจ้าคิดเอาเงินไปซื้อเลี้ยงเขาบ้าง ครั้นรุ่งขึ้นเช้า บู๊ตัวหนึ่งก็ไปค้าขาย นางพัวกิมเหลียนไปเย็บเสื้อที่โรงยายเห็งโผ พอเวลากลางวัน นางจึงเอาเงินให้ยายเห็งโผไปซื้อสุรากับสิ่งของมาเลี้ยงกัน เสร็จแล้วพอได้เวลาก็กลับ ครั้นรุ่งขึ้นวันที่สาม บู๊ตัวหนึงก็ไปค้าขายตามเคย ยายเห็งโผก็ไปเรียกนางพัวกิมเหลียนมาเย็บเสื้อที่โรงของนางเหมือนกับทุกวัน

ฝ่ายไซบุนเข่งครั้นถึงวันที่สามถ้วนคำรบก็ยินดี พอได้เวลาก็แต่งตัวใหม่งดงาม เอาเงินติดมาบ้างเล็กน้อย ตรงมาถึงหน้าโรงร้องถามว่า ยายเห็งโผอยู่หรือไปไหน ไม่เห็นหน้าเลย ยายเห็งโผจำได้ว่าเสียงไซบุนเข่ง แต่ทำเป็นพูดว่า ผู้ใดหนอมาถามหา ครั้นเห็นไซบุนเข่งจึงเชิญเข้าไปข้างในแล้วพูดว่า ท่านมาวันนี้ดีทีเดียว จำเพาะพบกับกัน ซึ่งท่านเป็นผู้ออกเงินซื้อแพรให้ข้าพเจ้าตัดเสื้อ ข้างภรรยาบู๊ตัวหนึงออกแรงตัดเย็บให้ เป็นบุญของข้าพเจ้านักหนาชักนำให้ท่านทั้งสองมาอุปถัมภ์ พูดดังนั้นแล้วก็บอกกับนางพัวกิมเหลียนว่า ท่านผู้นี้เป็นเจ้าบุญนายคุณของเรา ใจโอบอ้อมอารี มั่งมีทรัพย์สิน เจ้าจงรู้จักไว้เถิด นานไปข้างหน้าจะได้พึ่งท่าน นางพัวกิมเหลียนได้ฟังดังนั้นยังไม่ทันโต้ตอบ ไซบุนเข่งก็ตรงเข้าไปคำนับแล้วชมว่า ฝีมือดีนักหนา นางพัวกิมเหลียนก็คำนับตามธรรมเนียมแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะฝึกหัดยังไม่ชำนิชำนาญ ท่านอย่าได้ติเตียนเลย ยายเห็งโผเห็นนางพัวกิมเหลียนพูดจากับไซบุนเข่งก็มีความยินดี นึกว่า การอันนี้คงสมปรารถนา แล้วจัดน้ำชามาให้ไซบุนเข่งกับนางพัวกิมเหลียนรับประทาน ไซบุนเข่งทำเป็นถามยายเห็งโผว่า หญิงคนนี้เป็นภรรยาของผู้ใด ไม่เคยเห็นเลย ยายเห็งโผว่า จำไม่ได้หรือ ที่ถือราวผ้าถูกศีรษะท่าน ไซบุนเข่งแกล้งพูดว่า ข้าพเจ้าจำไม่ได้ นางพัวกิมเหลียนก็หัวเราะแล้วว่า ข้าพเจ้าถือราวผ้าหลุดมือไปมิได้แกล้ง ท่านอย่าถือโทษเลย ไซบุนเข่งว่า ถูกนิดหน่อยไม่เป็นไร ถึงจะเจ็บปวดประการใดก็ไม่ถือโทษโกรธดอก พูดแล้วก็ชำเลืองดู นางพัวกิมเหลียนเห็นรูปร่างลักษณะไซบุนเข่งงดงาม นุ่งห่มล้วนแต่ของดี ก็มีใจรักใคร่ ชายหางตาดูแล้วก้มหน้าเย็บเสื้อไป ยายเห็งโผเห็นนางพัวกิมเหลียนทำท่วงทีชอบกลก็รู้ว่า มีใจรักไซบุนเข่ง จึงชักนำให้คนทั้งสองพูดจากันอยู่ จวนเวลากลางวัน ไซบุนเข่งหยิบเงินส่งให้ยายเห็งโผไปจัดซื้อสิ่งของ แล้วไซบุนเข่งพูดจาสรรเสริญต่าง ๆ แล้วถามว่า อายุได้เท่าไร นางพัวกิมเหลียนบอกว่า อายุยี่สิบสามปี ไซบุนเข่งว่า เราแก่กว่าห้าปี แต่ท่านนี้รู้ขนบธรรมเนียมการงานทั้งปวงทุกอย่าง นางพัวกิมเหลียนว่า ตัวท่านเปรียบเหมือนฟ้า ข้าพเจ้าเหมือนดิน จะมาเปรียบเทียบกันไม่ควรเลย พอพูดดังนั้นยายเห็งโผก็กลับมาจัดสิ่งของพร้อมเชิญให้ไซบุนเข่งกับนางพัวกิมเหลียนกินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน ไซบุนเข่งก็รินสุราส่งให้แล้วพูดว่า อย่าอับอายเลย นางพัวกิมเหลียนรับถ้วยสุรามารับประทานด้วยมีใจรักใคร่แล้วก้มหน้านิ่งอยู่ ยายเห็งโผเห็นได้ทีก็ทำเป็นว่า ยังไม่ทันอะไร สุราก็หมด ข้าพเจ้าจะไปซื้ออีก พูดแล้วก็เดินออกมาจากโรง เห็นนางพัวกิมเหลียนยังนั่งอยู่ก็ยินดี ปิดประตูเสียแล้วก็เดินไป ไซบุนเข่งพูดจากับนางพัวกิมเหลียน แกล้งทำให้ตะเกียบตก ก้มลงหยิบจับเอาเท้านางพัวกิมเหลียน แล้วพูดจาแทะโลมด้วยความเสน่หารักใคร่ เมื่อทั้งสองคนมีใจปรารถนาตรงกัน ก็ได้เสียกันในเวลาวันนั้นเอง

ฝ่ายยายเห็งโผแสร้งไปซื้อสุราเสียช้านาน กลับมาเปิดประตูเข้าไป เห็นไซบุนเข่งกับนางพัวกิมเหลียนออกมาจากห้องข้างใน ก็ทำเป็นโกรธพูดว่า เหตุไฉนทั้งสองคนจึงมากระทำการไม่ดี จะไปบอกกับบู๊ตัวหนึงให้รู้ แล้วก็เดินไป นางพัวกิมเหลียนยุดมือไว้แล้วอ้อนวอนว่า อย่าวุ่นวายไปเลย ไซบุนเข่งช่วยกันอ้อนวอนว่า อย่าให้อื้ออึงไป ยายเห็งโผจึงพูดกับนางพัวกิมเหลียนว่า ถ้าไม่ให้บอก ก็ต้องเชื่อฟังคำข้าพเจ้า นางพัวกิมเหลียนว่า ยายว่ากล่าวสิ่งใด จะทำตามคำทุกอย่าง ยายเห็งโผว่า ตั้งแต่วันนี้ไป จงมาที่โรงข้าพเจ้าให้ทุกวัน ถ้าไม่มาวันใดก็จะบอกบู๊ตัวหนึ่งรู้ นางพัวกิมเหลียนก็รับคำตามสัญญา พอจวนเวลา นางพัวกิมเหลียนก็กลับไปบ้าน ยายเห็งโผจึงพูดกับไซบุนเข่งว่า อุบายข้าพเจ้านี้ดีนักหนาอยู่มิใช่หรือ ไซบุนเข่งว่า ดีจริงหาที่เปรียบมิได้ จะรางวัลให้สมควร พูดแล้วก็กลับไปจัดสิ่งของเงินทองมาให้ยายเห็งโผตามสัญญา นางพัวกิมเหลียนกับไซบุนเข่งก็มาที่โรงยายเห็งโผทุกวันมิได้ขาด ครั้นอยู่มาประมาณสิบห้าวัน ความนั้นก็แพร่งพรายไป ชาวบ้านใกล้เคียงก็รู้ทั้งสิ้น แต่บู๊ตัวหนึงผู้สามีหารู้ไม่ว่า ภรรยาตนบังอาจกระทำความชั่ว ยังมีชายผู้หนึ่งชื่อ ฮุนกอ อายุได้สิบหกปี เดิมบิดาเป็นทหารทำราชการ ณ เมืองหุนจิว ครั้นบิดาชราออกราชการแล้ว พากันมาตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เมืองก๊กอุ้ย ฮุนกออุตส่าห์ขายผลไม้ต่าง ๆ มาเลี้ยงบิดาอยู่ทุกวัน ไซบุนเข่งเห็นฮุนกอเฉลียวฉลาด กตัญญูต่อบิดา ก็ให้เงินทำทุนค้าขาย ฮุนกอซื้อผลไม้สิ่งใดก็เอามาขายให้ไซบุนเข่งทุกคราวไป



ภาพ[1] สารบัญขึ้น




ภาพสมัยราชวงศ์หมิง
ไซบุนเข่งโลมพัวกิมเหลียน ยายเห็งนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้อง



เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ

[แก้ไข]
  1. ภาพเพิ่มโดยวิกิซอร์ซ




ตอน ๒๓ ขึ้น ตอน ๒๕