ซ้องกั๋ง/เล่ม ๑/ตอน ๓
หน้า ๒๙–๓๙ สารบัญ
ฝ่ายซือจินกับนายโจรทั้งสามนั่งกินโต๊ะเสพสุราสนทนากันอยู่ ได้ยินเสียงคนอื้ออึงและเห็บไฟคบสว่าง นายโจรทั้งสามตกใจว่า เหตุการณ์สิ่งใดเกิดขึ้น จะลุกออกมาดู ซือจินห้ามว่า ท่านอย่าอื้ออึง เราจะไปถามให้ได้ความก่อน พูดแล้วก็ออกมาปีนหลังคาตึกขึ้นไป เห็นทหารล้อมอยู่เป็นอันมาก ซือจินก็ร้องว่า ท่านทั้งสองคุมไพร่พลทหารมาล้อมบ้านข้าพเจ้าในเวลากลางคืนด้วยเหตุผลอันใด นายทหารทั้งสองตอบว่า ท่านอย่าทำเป็นไม่รู้ตัว ลีกิดไปบอกความแล้วก็นำพวกเรามาล้อมบ้านท่าน ซือจินได้ฟังก็ถามลีกิดว่า เราผิดชอบประการใด เจ้าจึงไปฟ้องให้มาล้อมบ้านเรา ลีกิดตอบว่า การอันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ แต่ข้าพเจ้าไปยิงเนื้อ เก็บได้หนังสือตกอยู่ตามทาง เอากลับมาบ้านแก้ดู ท่านผู้รักษาเมืองรู้ความ จึงให้นำมาล้อมบ้านท่าน ซือจินได้ฟังก็เรียกเฮงสีที่ใช้ให้ถือหนังสือไปเชิญนายโจรทั้งสามมาถามว่า เจ้ามาบอกกับเราว่า ไม่มีหนังสือตอบมา เหตุไฉนลีกิดจึงเก็บหนังสือได้ เกิดความโตใหญ่ถึงเพียงนี้ เฮงสีว่า ข้าพเจ้าเสพสุราเมาลืมไปจึงได้ปดกับท่านว่า ไม่มีหนังสือตอบ ซือจินก็ยิ่งโกรธหนัก ด่าว่าเป็นอันมาก นายโจรทั้งสามได้ฟังก็แจ้งว่า ลีกิดไปบอกความ จึงพูดกับซือจินว่า ท่านจงพูดจาให้นายทหารถอยห่างออกไปเสียก่อน เราจึงค่อยคิดอ่านแก้ไขกัน ซือจินก็ร้องบอกนายทหารทั้งสองว่า นายโจรทั้งสามนั้นอยู่ในบ้านข้าพเจ้าแล้ว ท่านจงถอยทหารห่างออกไปอย่าล้อมประชิดไว้เลย ข้าพเจ้าจะจับตัวไปส่งให้ นายทหารจึงตอบว่า ถ้าท่านจะจับส่ง เราก็จะยอมตามใจท่าน พูดแล้วก็ให้ทหารถอยห่างออกไปคอยท่าอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่อาจบุกรุกเข้าไป ด้วยเกรงฝีมือซือจินทุกคน ซือจินเห็นทหารถอยห่างออกไปก็ลงจากหลังคา นายโจรทั้งสามจึงพูดกับซือจินว่า เฮงสีทำไม่ดี การอันนี้เกิดโตใหญ่ ท่านจงเอาตัวข้าพเจ้าสามคนไปส่งให้เขาเถิดจึงจะพ้นตัว ซือจินว่า จะให้ทำเช่นนั้น ใจเราทำไม่ได้ เรามาไปด้วยกัน พูดแล้วซือจินก็เรียกบ่าวไพร่ที่ใช้สอยสนิทมาให้เก็บรวบรวมทรัพย์สิ่งของไว้พรักพร้อมแล้ว ซือจินก็เอาตัวเฮงสีไปฆ่าเสียที่สวนดอกไม้ ให้บ่าวเอาไฟจุดสวนดอกไม้ขึ้น นายทหารทั้งสองเห็นไฟติดสวนดอกไม้ข้างหลังบ้าน ไม่แจ้งว่าซือจินจะคิดประการใด จึงชวนกันไปดู ซือจินกับนายโจรสามคนก็แต่งตัวถือกระบี่นำหน้าพวกบ่าวไพร่ที่เอาทรัพย์สิ่งของออกมาจากบ้าน แล้วเอาไฟจุดเผาบ้านเสีย ซือจินถือกระบี่ตีหักออกมา นายทหารทั้งสองกับไพร่พลที่ล้อมไว้ต้านทานซือจินกับนายโจรไม่ได้ ต่างแตกกระจายไป ซือจินกับนายโจรแลบ่าวไพร่ออกจากที่ล้อมได้ ซือจินก็เข้าไปไล่ฆ่าลีกิดตาย จูบู๊กับตันตัดก็ไล่ฆ่าฟันนายทหารทั้งสอง นายทหารทั้งสองสู้ฝีมือนายโจรไม่ได้ นายโจรฆ่าตายทั้งสองคน ทหารเหล่านั้นเห็นนายตายก็แตกกระจัดกระจายหนีกลับไปเมืองฮันอิมกุ้ย ซือจินกับบ่าวไพร่ก็ตรงไปเขาเซียวฮัวซัวกับนายโจร ครั้นไปถึง นายโจรเชิญซือจินเข้าไปข้างใน จัดที่ให้อยู่ แล้วก็จัดโต๊ะแลสุรามาเลี้ยงซือจิน ซือจินอยู่กับนายโจรที่เขาเซียวฮัวซัวประมาณสิบวัน
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ซือจินจึงคิดว่า เดิมเราได้ปล่อยตันตัดไป แต่ได้คบกันเป็นเพื่อนทั้งสามนาย กลับมาเกิดภัยขึ้นจนต้องเผาบ้านเรือนของเราเสียเอง เงินทองทรัพย์สินสิ่งของที่ดีเก็บมาได้ แต่ของที่จะใช้สอยนั้นไฟก็ไหม้เสียสิ้น ซึ่งตัวเรานี้จะอยู่กับนายโจรไม่ได้ จะพลอยเสียชื่อเสียงว่า เป็นพวกโจรผู้ร้ายไป จะไม่เสียชื่อเสียงแต่ตัว จะพลอยเสียชื่อถึงบิดาปู่ย่าตายายที่ตายไปนั้นด้วย จำจะไปหาเฮงจินครูที่เมืองเอียนอันฮู้จึงจะควร คิดแล้วจึงพูดกับนายโจรทั้งสามว่า เรามีครูคนหนึ่งชื่อ เฮงจิน ไปอยู่กับเกงเลียดเชียงก๋งผู้รักษาเมืองเอียนอันฮู้ เดิมเราว่า จะไปตาม บิดาเราไม่ให้ไป บัดนี้ บ้านช่องก็ไม่มีแล้ว เราจะลาท่านทั้งสามไปตามครูของเรา นายโจรทั้งสามว่า ท่านอย่าไปเลย จงอยู่ด้วยกันก่อนเถิด ถ้าท่านไม่ยอมอยู่กับข้าพเจ้าที่เขานี้แล้ว ก็ต้องรอฟังข่าวดูผู้รักษาเมืองฮัวอิมกุ้ยเงียบสงบแล้ว ข้าพเจ้าจะปลูกสร้างบ้านให้ท่าน ไว้ให้นาน ๆ จึงค่อยไปเถิด ซือจินว่า เราจะไปหาครูนั้นปรารถนาจะทำราชการ สืบไปภายหน้าจะได้มีความสุขบ้าง นายโจรทั้งสามว่า ถ้าท่านจะหาความสุข ข้าพเจ้าทั้งสามจะยกท่านขึ้นเป็นใหญ่ให้สิทธิ์ขาดอยู่กับท่านทั้งสิ้น ถ้าท่านเห็นว่า ที่เขานี้คับแคบผู้คนน้อย ข้าพเจ้าจะไปหาที่กว้างใหญ่เกลี้ยกล่อมซ่องสุมไพร่พลมากขึ้น ท่านก็คงมีความสุขสบาย ซือจินว่า ตัวเรานี้ฝีมือเข้มแข็งไม่มีราคีสิ่งใด ซึ่งท่านทั้งสามจะยกให้เป็นใหญ่ ชื่อเสียงก็จะปรากฏไปทั้งแผ่นดินว่า เป็นพวกโจร มิเสียชื่อเสียงของบิดาแลตัวเราไปหรือ เรายอมไม่ได้ จะขอไปหาครูก่อน และผู้คนที่ตามมานั้นเขาสมัครอยู่ด้วย ท่านก็ตามใจเขา คนทั้งนั้นก็ยอมเป็นโจรทั้งสิ้น ซือจินพูดกับนายโจรว่า เราจะลาท่านไปก่อนแล้ว นายโจรทั้งสามอ้อนวอนเท่าไรซือจินก็ไม่ยอมอยู่ จัดแจงแต่งตัวรวบรวมเงินทองของตัว พร้อมแล้วก็ลานายโจรทั้งสามออกจากเขาเซียวฮัวซัวไปแต่ผู้เดียว นายโจรทั้งสามตามมาส่งจนพ้นเขตแดนแล้วก็กลับไป
ฝ่ายซือจินครั้นเดินทางไปได้สิบห้าวันถึงเมืองอุยจิว ซือจินจึงคิดว่า เฮงจินครูของเราจะมาอยู่เมืองนี้บ้างดอกกระมัง จำจะเข้าไปในเมืองสืบข่าวดูให้รู้เหตุผลจึงค่อยเดินต่อไป คิดแล้วก็เดินเข้าไปในเมืองอุยจิว เห็นมีการละเล่นสนุกสนานที่ถนน ตลาดผู้คนขายของมาก ซือจินก็เข้าไปในโรงขายน้ำชา เจ้าของโรงถามว่า ท่านจะกินน้ำชาชนิดใด ซือจินว่า เราจะกินชาที่อย่างดี เจ้าของโรงก็จัดน้ำชามาให้ที่หนึ่ง ซือจินกินน้ำชาแล้วถามเจ้าของโรงว่า เมืองอุยจิวนี้เขาว่ามีผู้หนึ่งชื่อ เกงเลียดฮู้ นั้นอยู่ตรงไหน เจ้าของโรงบอกว่า บ้านเกงเลียดฮู้อยู่ตรงนี้ไป ซือจินถามอีกว่า ท่านรู้จักเฮงจินครูทหารบ้างหรือไม่ เจ้าของโรงว่า ที่บ้านเกงเลียดฮู้นั้นมีแซ่เฮงอยู่สามสี่คน แต่ไม่รู้ว่า คนไหนชื่อเฮงจิน พูดยังไม่ทันจะขาดคำ มีชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปในโรงน้ำชา เจ้าของโรงเห็นก็บอกกับซือจินว่า ท่านจะถามถึงเฮงจินก็ถามท่านคนนี้เถิด ท่านเป็นขุนนางอยู่ที่บ้านเกงเลียดฮู้ ซือจินเห็นรูปร่างลักษณะชายผู้นั้นก็ดีใจ เข้าไปคำนับแล้วพูดว่า ท่านอย่าถือข้าพเจ้าเลย ท่านแซ่ไร ชื่อใด ชายนั้นเห็นรูปร่างลักษณะซือจินดี จึงรับคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ ลูตัด เป็นขุนนางอยู่ในเกงเลียดฮู้ ก็ตัวท่านนี้ชาวเมืองไหน แซ่ใด ชื่อไรเล่า ซือจินบอกว่า ข้าพเจ้าแซ่ซือ ชื่อจิน อยู่ตำบลบ้านซือเกชึง แขวงเมืองฮัวอิมกุ้ย ท่านรู้จักเฮงจินเป็นครูพวกทหารแปดสิบหมื่นที่ตังเกียเมืองหลวงมาอยู่นี่บ้างหรือไม่
ลูตัดได้ฟังจึงพูดว่า ท่านชื่อ ซือจิน อยู่ตำบลบ้านซือเกชึงหรือ ข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงปรากฏอยู่ แต่ไม่รู้จักตัว ซึ่งครูของท่านนั้นที่กอไทอวยมาดหมายจะทำร้ายจึงได้หนีมา แต่หาได้อยู่ที่เมืองนี้ไม่ ได้ยินข่าวว่า ไปอยู่กับเกงเลียดเชียงก๋งที่เมืองเอียนอันฮู้ วันนี้ ข้าพเจ้าได้มาพบท่านก็ดีแล้ว เชิญไปกินโต๊ะเสพสุราด้วยกันก่อนเถิด พูดแล้วเข้าจูงมือซือจิน ซือจินขัดไม่ได้ก็เดินตามมาด้วย เห็นผู้คนยืนดูเป็นหมู่ ไม่แจ้งว่า ดูสิ่งใด ลูตัดกับซือจินก็เข้าไปใกล้ ซือจินเห็นธงยี่ห้อก็จำได้ว่า ลี้ตงผู้เป็นครูเดิม บัดนี้ มาเที่ยวฝึกศิษย์กับขายยาขี้ผึ้งดำ ซือจินก็ตรงเข้าไปเรียกว่า ท่านอาจารย์ไปไหน ข้าพเจ้าไม่ได้พบท่านนานแล้ว ลี้ตงเหลียวมาดูก็จำได้ว่า ซือจินศิษย์ของตัว จึงถามว่า เจ้าไปไหนจึงได้มาถึงเมืองนี้ ลูตัดบอกว่า ท่านเป็นครูของซือจิน มาไปกินโต๊ะเสพสุราด้วยกันให้สบายสักเวลาหนึ่งเถิด ลี้ตงเก็บสิ่งของไว้ แล้วสามนายก็พากันไปที่โรงสุราแห่งหนึ่ง เจ้าของสุราแซ่ล่อ มีสุราดีสารพัด สิ่งของดี ๆ มีขายทุกอย่าง ลูตัดสั่งให้จัดโต๊ะและสุรามาแล้ว สามนายก็ชวนกันกินโต๊ะเสพสุราสนทนากันถึงเพลงอาวุธต่าง ๆ ลูตัดได้ยินเสียงคนที่ริมโรงขายสุราร้องร่ำไร จึงหยิบถ้วยสุราขว้างไป เจ้าของโรงเห็นก็ตกใจเข้าไปถามลูตัดว่า ท่านจะเอาของสิ่งใดก็บอกข้าพเจ้าโดยดี อย่าโกรธขึ้งเลย ลูตัดว่า ไม่รู้หรือ เราพาพวกพ้องมาเสพสุราเป็นการสนุกสบาย ทำไมจึงให้คนมาร้องไห้อื้ออึงอยู่ที่นี่ เจ้าของโรงว่า ไม่ใช่คนในโรงข้าพเจ้าดอก โรงใกล้เคียงกัน พ่อลูกสองคนนั้นไม่แจ้งว่า ท่านมาเสพสุรา จึงได้ร้องไห้ ลูตัดว่า ผู้ใดช่างไม่กลัวเกรงเราบ้างเลย เจ้าจงไปเอาตัวสองคนพ่อลูกมาหาเรา เจ้าของสุราก็ไปเรียกสองคนพ่อลูกมา แล้วลูตัดก็ถามว่า เจ้ามาแต่ข้างไหน จึงได้ร้องไห้อื้ออึงด้วยเหตุอันใด หญิงบุตรผู้เฒ่านั้นบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวตังเกียเมืองหลวง บิดา มารดา กับข้าพเจ้ามาหาพี่น้องที่เมืองอุยจิวก็ไม่พบ เขาพากันไปอยู่เมืองนำเกียเสียแล้ว บิดา มารดา กับข้าพเจ้าก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม มารดาข้าพเจ้าป่วยตาย ข้าพเจ้ากับบิดาจึงได้เที่ยวมาพบท่านผู้หนึ่งแซ่แต้ ชื่อโต๋ว เป็นคนขายหมูมั่งมีเงินทองมาก เห็นข้าพเจ้าก็จะเอาไปเป็นภรรยาน้อย แต้โต๋วก็มาว่ากับบิดาข้าพเจ้าว่า จะให้เงินสามพันตำลึง บิดาข้าพเจ้าก็ยอม แต้โต๋วเขียนตั๋วมาให้บิดาข้าพเจ้าแล้วพูดว่า เงินสามพันตำลึงนั้นอยู่กินด้วยกันก่อนจึงจะให้ บิดาก็ยอมให้ตัวข้าพเจ้าไปอยู่กินเป็นสามีภรรยากันกับแต้โต๋วได้สองเดือนเศษ แต่ทว่าเงินสามพันตำลึงนั้นแต้โต๋วก็ไม่ให้ ภรรยาหลวงของแต้โต๋วเฆี่ยนตีข้าพเจ้าจนยับเยิน แล้วเอาตัวข้าพเจ้ากับบิดามาฝากเจ้าของโรงเตี๊ยมเร่งเงินสามพันตำลึงคืน ถ้าได้เงินจึงจะปล่อยข้าพเจ้าไป ซึ่งเงินสามพันตำลึงนั้นบิดาข้าพเจ้าก็ไม่ได้เอามา แต่จะซื้อกินเลี้ยงชีวิตให้ตลอดเช้าเย็นก็ไม่มี นี่หากแต่เดิมข้าพเจ้าได้หัดร้องเพลงอยู่บ้าง จึงได้มาร้องเพลงขอทานท่านทั้งหลาย ปรารถนาว่า จะเอาไว้ซื้อสู่กันกินสองคนพ่อลูก เจ้าของโรงก็เร่งจะเอาค่าเช่าโรงของเขา ข้าพเจ้าเอาเงินที่ขอทานได้ให้ค่าเช่าไป ในสองเวลานี้ ไม่มีท่านผู้ใดมาให้ร้องเพลง เงินทองก็ไม่ได้ ท่านเจ้าของโรงเร่งเอาค่าเช่า ข้าพเจ้าไม่มีให้ แต่จะซื้อกินก็ไม่มี นั่งอดหิวอยู่ จึงได้ร้องไห้ด้วยเหตุดังนี้ ลูตัดจึงถามผู้เฒ่าบิดานางนั้นแซ่ไร ชื่อใด พากันไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมผู้ใด เดี๋ยวนี้แต้โต๋วอยู่ที่ไหน บิดานางจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อกิม แซ่โล้ บุตรสาวข้าพเจ้าชื่อ ชุยเหลียน พากันมาสำนักอยู่ที่โลวเกเตี๊ยม แต้โต๋วนั้นอยู่ที่สะพานจอหงวนเกี๋ย ลูตัดแจ้งความดังนั้นก็โกรธจึงพูดว่า แต้โต๋วนี้เป็นคนขายหมูสำหรับเอาหมูไปส่งที่เก๋งเลียดฮู้อยู่ทุกวัน บัดนี้ มากดขี่ข่มเหงคนจนให้ได้ความเดือดร้อน เราไปทุบตีเสียให้แทบตาย พูดแล้วก็บอกกับซือจิน ลี้ตง ว่า ท่านทั้งสองคอยข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปตีแต้โต๋วเสียให้เข็ดหลาบ แล้วจึงจะกลับมา ซือจิน ลี้ตง ห้ามไว้เป็นหลายครั้งว่า ท่านอย่าโกรธเขานักเลย เวลาพรุ่งนี้จึงค่อยไปว่ากล่าวกัน ลูตัดค่อยคลายความโกรธลง จึงถามกิมโล้ บิดานางชุยเหลียน ว่า เราจะให้เงินไปซื้อกินตามทาง สองคนพ่อลูกจงกลับไปบ้านเสียเถิด จะไปได้หรือไม่ กิมโล้ว่า ท่านเมตตาข้าพเจ้านั้นพระคุณหนักหนา แต่ภรรยาแต้โต๋วจะเอาเงินสามพันตำลึงที่บุตรสาว ข้าพเจ้าไม่มีเงินให้ ที่ไหนเขาจะยอมให้ไปล่ะ ลูตัดว่า ข้อนั้นไม่เป็นไรอยู่ พนักงานเราเอง ลูตัดหยิบเอาเงินออกมาห้าตำลึงเห็นน้อยนักจึงถามซือจินว่า ท่านมีเงินมาให้ข้าพเจ้ายืมก่อน พรุ่งนี้จะใช้ให้ ซือจินก็หยิบเงินออกส่งให้สิบตำลึง ลูตัดก็เอาเงินสิบห้าตำลึงส่งให้กิมโล้ บิดานางชุยเหลียน กำชับสั่งว่า จงจัดแจงหาเสบียงไปกินตามทางให้พอเถิด เวลาพรุ่งนี้เช้า เราจะมาคอยป้องกันอันตรายให้เจ้าไปได้โดยสะดวก กิมโล้กับบุตรสาวรับเงินสิบห้าตำลึง มีความยินดี คุกเข่าคำนับลูตัด แล้วก็ลามาที่โรงเตี๊ยมตามเดิม ลูตัด กับซือจิน ลี้ตง ก็กินโต๊ะเสพสุรากัน เสร็จแล้วลูตัดบอกกับเจ้าของโรงสุราว่า เวลาพรุ่งนี้จะเอาเงินมาคิดให้ เจ้าของสุราว่า ไม่เป็นไรดอก เชิญท่านมากินเถิด สามนายก็ออกจากโรงมา ซือจิน ลี้ตง ก็ลาลูตัดไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ลูตัดกลับมาถึงบ้านมีความแค้นแต้โต๋วยิ่งนัก
ฝ่ายกิมโล้กับบุตรสาวไปถึงโรงเตี๊ยมก็คิดเงินค่าเช่า ค่าข้าว ให้แก่เจ้าของ เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวจ้างเกวียนกับซื้อเสบียงไว้พร้อม
ฝ่ายลูตัดครั้นรุ่งเช้าก็ตรงมาเรียกหากิมโล้ที่โรงเตี๊ยม กินโล้ออกมาคำนับ ลูตัดถามว่า จัดแจงเสร็จแล้วก็ไปเถิด กิมโล้กับนางชุยเหลียนก็ยินดีคำนับลูตัด แล้วกิมโล้หาบสิ่งของพาบุตรออกจากโรงเตี๊ยม เจ้าของโรงเตี๊ยมเห็นกิมโล้หาบสิ่งของพาบุตรสาวไปก็ออกมาจับตัวไว้ ลูตัดเห็นดังนั้นจึงถามเจ้าของเตี๊ยมว่า กิมโล้เป็นหนี้ค่าเช่าโรงและค่าข้าวของกินว่าให้เสร็จแล้ว ลูตัดว่า เขาไม่ได้เกี่ยวข้องสิ่งใดแล้ว ก็จะขัดขวางไว้ทำไมเล่า เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่า แต้โต๋วเอาตัวมาฝากข้าพเจ้าเร่งเงินสามพันตำลึงค่าสินสอด ลูตัดว่า จะเอาเงินค่าสินสอดนั้นก็เอากับเราเถิด เราจะรับให้ เจ้าของโรงเตี๊ยมก็ไม่ปล่อยให้ไป ลูตัดโกรธเคือง เอามือตบปากเจ้าของโรงเตี๊ยมล้มลง เจ้าของโรงเตี๊ยม ก็ลุกวิ่งหนีเข้าไปในโรง ลูตัดก็ให้กิมโล้กับบุตรสาวเดินออกจากเมืองอุยจิวไป ลูตัดนั้นกลัวว่า เจ้าของโรงเตี๊ยมจะติดตามไปทำให้กิมโล้ได้ความลำบาก ก็ยินดูอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมช้านาน ไม่เห็นผู้ใดตามไป เห็นกิมโล้ บุตรสาว เดินพ้นไปไกลแล้ว ลูตัดก็เดินตรงไปบ้านแต้โต๋วที่สะพานจอหงวนเกี๋ย
ฝ่ายแต้โต๋วนั้นตั้งร้านขายหมูอยู่หน้าบ้านเป็นหลายร้าน เวลาวันนั้น แต้โต๋วนั่งดูลูกจ้างตัดหมูขาย พอลูจัดไปถึงบ้านก็เรียกแต้โต๋ว แต้โต๋วเหลียวไปเห็นลูตัดมาก็เชิญให้นั่งแล้วถามว่า ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยธุระสิ่งใด ลูตัดแกล้งบอกแต้โต๋วด้วยความโกรธจะหาเหตุพาลวิวาท จึงว่า นายทหารใหญ่ที่เกงเลียดฮู้ให้มาเอาเนื้อหมูสิบชั่ง ไม่ให้ติดมันจนสักนิดหนึ่ง แล้วให้เชือดชิ้นเล็ก ๆ แต้โต๋วได้ฟังก็สั่งให้ลูกจ้างทำ ลูตัดว่า ไม่เอา จะให้ตัวเจ้าเชือดเอง แต้โต๋วก็เข้าเชือดเนื้อหมูอยู่
ฝ่ายเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ภรรยาแต้โต๋วเอานางชุยเหลียนกับบิดาไปให้เร่งเงินนั้น ครั้นลูตัดตบตียับเยินโลหิตไหล ก็เอาผ้าคลุมศีรษะเดินมาหมายว่าจะบอกกับแต้โต๋ว เห็นลูตัดนั่งอยู่ที่นั่นก็ไม่อาจจะเข้ามา ยืนดูอยู่แต่ไกล แต้โต๋วเชือดหมูได้สิบชั่ง แล้วก็หั่นเป็นชิ้น เอาใบไม้ห่อจะให้คนถือไปส่ง ลูตัดว่า อย่าเพ่อก่อน นายทหารใหญ่สั่งมาว่า จะเอามันหมูอีกสิบชั่ง ไม่ให้เนื้อติด แล้วเชือดชิ้นเล็กเหมือนกัน แต้โต๋วได้ฟังก็โกรธ แต่ไม่รู้ว่าจะทำประการใด จึงสั่งให้ลูกจ้างทำ ลูตัดว่า ไม่ได้ เจ้าต้องทำเอง แต้โต๋วก็เข้าเชือดมันหมูอยู่ประมาณครู่หนึ่ง เสร็จแล้วก็เอาใบไม้ห่อจะให้เอามาส่ง ลูตัดว่า อย่าเพ่อก่อน ยังอีกสิ่งหนึ่ง จะเอาแต่กระดูกอ่อนไม่ให้เนื้อและมันติดอีกสิบชั่ง แต้โต๋วโกรธมากขึ้น พูดว่า ท่านมาแกล้งเราหรือ ลูตัดได้ฟังก็โกรธนัก จึงเอาศีรษะสุกรนั้นขว้างไปที่หน้าแต้โต๋ว แต้โต๋วก็เอามีดจะเข้าฟันลูตัด ลูตัดจับมือแต้โต๋วฉุดออกมานอกโรง เอาเท้าถีบแต้โต๋วล้มลง แล้วพูดว่า เจ้าฆ่าหมูขายมั่งมีเงินก็ยกย่องตัวให้เรียกเป็นคุณเป็นท่าน เที่ยวข่มเหงกดขี่เอาบุตรสาวกิมโล้มาเป็นภรรยาน้อย เงินทองก็ไม่ให้เขา ภรรยาใหญ่ของเจ้าเฆี่ยนตีจนยับเยิน แล้วยังจะเอาตัวไปเร่งเงินอีก นางชุยเหลียนกับบิดาเขาเป็นหนี้เงินทองสิ่งใดของเจ้า เห็นว่า เขาพลัดบ้านเมืองมา ญาติพี่น้องไม่มี ข่มเหงเอาตามอำเภอใจ พูดแล้วลูตัดก็เอาเท้าถีบแต้โต๋วอีก ลูกจ้างแลคนทั้งหลายที่อยู่ในบ้านแต้โต๋วเห็นก็ไม่อาจเข้าไปช่วย แต้โต๋วเต็บปวดเหลือทนก็ร้องให้คนช่วย ลูตัดก็ถีบซ้ำไปถูกชายโครงแต้โต๋วขาดใจตาย ในทันใดนั้น ลูตัดจึงคิดว่า แต้โต๋วตาย เขาก็คงจะเอาตัวเราไปทำโทษ ญาติพี่น้องเราจะส่งข้าวก็ไม่มี จำจะหนีเอาตัวรอดไปก่อนเถิด คิดแล้วก็เดินมาแกล้งบ่นสำทับว่า เวลาพรุ่งนี้คงจะได้เห็นกัน พูดดังนั้นก็รีบเดินหนีไป
ฝ่ายบุตรภรรยาแต้โต๋วนั้นก็เข้ามาแก้ไขไม่ฟื้น บุตรภรรยาแต้โต๋วก็ทำเรื่องราวไปยื่นต่อผู้รักษาเมืองอุยจิวว่า ลูตัดตีแต้โต๋ว สามีของข้าพเจ้า ตาย ผู้รักษาเมืองอุยจิวอ่านเรื่องราวแจ้งความแล้วจึงพูดกับภรรยาของแต้โต๋วว่า ซึ่งลูตัดคนนี้เป็นขุนนางนายทหารอยู่กับเซียวซอง ขุนนางนายทหารใหญ่ที่เกงเลียดฮู้ ครั้นเราจะไปจับตัวลูตัดเอาตามอำเภอใจนั้นไม่ได้ จะต้องไปบอกเซียวซองเกงเลียดให้รู้ก่อน เจ้าจงคอยเราอยู่ที่นี่เถิด ผู้รักษาเมืองอุยจิวก็เอาเรื่องราวไปแจ้งกับเซียวซองเกงเลียดว่า บุตรภรรยาแต้โต๋วทำเรื่องราวมายื่นว่า ลูตัดตีแต้โต๋วตาย เราจึงได้มาแจ้งให้ท่านทราบก่อน เซียวซองเกงเลียดจึงคิดว่า ลูตัดมีฝีมือเข้มแข็งก็จริง แต่เป็นคนโง่เขลาไม่มีปัญญา ไปเที่ยวฆ่าฟันเขาตาย ครั้นเราจะกั้นกางไว้ก็เป็นการแผ่นดิน จำจะพูดจาเสือกไสไปเสียให้พ้น คิดแล้วจึงว่า ลูตัดคนนี้เป็นขุนนางนายทหารในเกงเลียดเชียงก๋ง ผู้รักษาเมืองเอียงอันฮู้ บิดาของข้าพเจ้า เดิมข้าพเจ้าไปขอตัวลูตัดมาอยู่เป็นเพื่อนกัน ถ้าท่านจับตัวลูตัดได้ เอาไปไต่ถามรับเป็นสัตย์แล้ว ท่านจะทำโทษ ก็ต้องมีหนังสือไปบอกกับผู้รักษาเมืองเอียนอันฮู้ให้ทราบก่อน สืบไปภายหน้าผู้รักษาเมืองเอียนอันฮู้จะมาเอาตัวลูตัดกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเอาที่ไหนให้ ผู้รักษาเมืองอุยจิวจึงพูดว่า ถ้าเราได้ตัวลูตัดมาชำระได้ความแล้ว จึงจะมีหนังสือไปให้ผู้รักษาเมืองเอียนอันฮู้ บิดาของท่าน ทราบ พูดดังนั้นแล้วก็ลากลับมาบ้าน ให้เฮงกวนฉัดคุมทหารยี่สิบคนไปจับตัวลูตัดมา
เฮงกวนฉัดก็คำนับลามาคุมทหารออกจากโรงชำระตรงไปถึงบ้านลูตัด เห็นประตูใส่กลอนมั่น ก็ถามชาวบ้านใกล้เคียงกันว่า ลูตัดไปข้างไหน ชาวบ้านบอกว่า เมื่อก่อนหน้าท่านหน่อยหนึ่ง เห็นลูตัดสะพานห่อผ้าข้าวของเดินไป เฮงกวนฉัดได้ฟังก็ให้ทหารพังประตูเข้าไป เห็นแต่สิ่งของที่ไม่ดี ก็แจ้งว่า ลูตัดหนีไป เฮงกวนฉัดจึงเอาตัวเจ้าของที่กับชาวบ้านใกล้เคียงมาเที่ยวถามหาลูตัดก็ไม่พบ จึงพาเอาตัวเจ้าของที่กับชาวบ้านใกล้เคียงมาแจ้งความกับผู้รักษาเมืองว่า ลูตัดหนีไปเสียแล้ว ผู้รักษาเมืองสั่งเอาตัวคนเหล่านั้นขังไว้ก่อน และให้กรรมการไปชันสูตรบาดแผลแต้โต๋วผู้ตาย แล้วให้บุตรภรรยาแต้โต๋วผู้จายไปจัดหีบใส่ศพไว้ แต่ให้คอยได้ตัวลูตัดมาเมื่อไรจึงจะให้แต่งการฝังศพตามธรรมเนียม
ฝ่ายผู้รักษาเมืองอุยจิวให้ทหารเที่ยวตามตัวลูตัดก็ไม่ได้ จึงเอาเจ้าของที่กับชาวบ้านใกล้เคียงมาชำระ เฆี่ยนคนละเก้าทีสิบที ว่า พวกเหล่านี้ละเมิดให้ลูตัดหนีไปได้ ทำโทษแล้วก็ปล่อยคนเหล่านั้นกลับไป ผู้รักษาเมืองว่า ถ้าพบปะลูตัด ให้จับตัวส่งมา จะให้เงินพันตำลึง เขียนหนังสือวาดรูปแล้วมอบให้ม้าใช้ถือแยกย้ายกันไปทุก ๆ หัวเมือง