ข้ามไปเนื้อหา

ซ้องกั๋ง/เล่ม ๑/ตอน ๗

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๖๙–๘๓ สารบัญลง



ฝ่ายเตียซา ลีสี สองคนใจเป็นพาลคบเพื่อนเป็นนักเลงต่าง ๆ เที่ยวตีชิงวิ่งราวราษฎรอยู่เนือง ๆ มีพรรคพวกประมาณสามสิบคน เตียซา ลีสี เป็นหัวหน้า เตียซานั้นเรียกว่า กวยเกยเงียวซื้อ แปลว่า หนูข้ามถนน ลีสีนั้นเรียกว่า แชเซ้าจั๋ว แปลว่า งูเขียว คุมพรรคพวกเที่ยวฉกลักกินมิได้ขาด ตั้งซ่องสุมอยู่ที่ศาลเจ้าริมสวนผักนั้น ชวนกันลักผักในสวนไปซื้อขายมาเลี้ยงชีวิตอยู่ทุกวัน หลวงจีนรูปเก่าว่ากล่าวห้ามปรามก็ไม่ฟัง พวกเหล่านั้นก็มาลักผักในสวนทุกวัน ครั้นหลวงจีนลูตีซิมมาดูแลรักษาสวนผักอยู่ เตียซา ลีสี รู้ความว่า หลวงจีนรูปใหม่มารักษาสวนผัก ก็ปรึกษากับพวกพ้องว่า มีหลวงจีนมาใหม่ เวลาพรุ่งนี้ เราชวนกันไปพูดจาเล่น ถ้าเห็นได้ท่วงทีก็จับเอาตัวหลวงจีนที่เป็นผู้ว่ากล่าวสวนผักนั้นโยนลงในบ่อเสีย พวกเราก็จะลักเอาผักไปซื้อขายได้ตามสบาย เมื่อคิดแล้ว ครั้นรุ่งขึ้นเช้า เตียซา ลีสี กับพรรคพวกสามสิบคนมาซื้อของกับสุราตรงมาที่สวนผักเห็นหลวงจีนลูตีซิมนั่งอยู่ เตียซา ลีสี ก็เข้าใกล้ทำทีจะคำนับแล้วพูดว่า พวกข้าพเจ้านี้แจ้งว่า ท่านมาอยู่ใหม่ จึงหาสิ่งของกับสุรามาคำนับท่าน พูดแล้วเตียซา ลีสี ก็เข้ามากอดดขาหลวงจีนลูตีซิมไว้คนละข้างทำทีเหมือนกับเพื่อนที่รักใคร่กันสนิท หลวงจีนลูตีซิมเห็นผิดท่วงทีก็เอาเท้าถีบเตียซา ลีสี ตงลงในบ่อ พวกสามสิบคนเห็นก็ตกใจจะพากันหนี หลวงจีนลูตีซิมจึงร้องตวาดว่า ถ้าหนีไปจะจับตัวโยนลงบ่อเสียทุกคน พวกเหล่านั้นไม่อาจจะวิ่งหนีก็อยู่ทั้งสิ้น เตียซา ลีสี ร้องว่า ข้าพเจ้ากลัวท่านแล้ว ช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด หลวงจีนลูตีซิมให้พวกสามสิบคนนั้นช่วยเตียซา ลีสี ขึ้นมาจากบ่อแล้วถามว่า เจ้าสองคนนี้ชื่อใด เตียซา ลีสี คุกเข่าลงคำนับแจ้งว่า ข้าพเจ้า เตียซา ลีสี มีพวกพ้องสามสิบคน ไม่ได้ทำมาหากินสิ่งใด ลักแต่ผักในสวนท่านไปซื้อขายเลี้ยงชีวิตทุกวัน ซึ่งหลวงจีนคนเก่าว่ากล่าวพวกข้าพเจ้าไม่ได้ ท่านมาใหม่มีฝีมือเข้มแข็งนัด พวกข้าพเจ้ายอมอยู่ให้ท่านใช้สอยไม่คิดทำร้ายต่อไป หลวงจีนลูตีซิมว่า พวกเจ้าไม่รู้จักหรือ เราชื่อ ลูตัด เป็นขุนนางนายทหาร เดิมอยู่กับเล่าชองเก็งเลียดเซียงก๋ง ณ เมืองเอียนอันฮู้ ภายหลังมาอยู่เมืองอุยจิวตีแต้โต๋วตายจึงได้บวชเป็นหลวงจีนเรียกว่า ลูตีซิม ก็พวกเจ้าสามสิบคนเท่านี้ที่ไหนจะสู้เราได้ แต่ทหารตั้งพันตั้งหมื่นก็ยังปราชัยล้มตายแตกหนีไปสิ้น เจ้าไม่ได้ข่าวเขาเล่าลือชื่อเสียงเราบ้างหรือ เตียซา ลีสี กับพวกเหล่านั้นได้ฟังก็พากันกลัวหลวงจีนลูตีซิมยิ่งนัก เตียซา ลีสี จึงพูดว่า พวกข้าพเจ้ายอมยกท่านเป็นใหญ่มิได้คิดประทุษร้ายต่อไป พูดแล้วก็ชวนกันกลับ จัดซื้อหาหมู เป็ด ไก่ กับสุราที่อย่างดีมาเลี้ยงหลวงจีนลูตีซิม หลวงจีนลูตีซิม กับเตียซา ลีสี และพวกสามสิบคนนั้นก็นั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่ด้วยกัน ครั้นกินโต๊ะแล้วก็นั่งพูดจากัน ที่ริมสวนนั้นมีต้นไม้ใหญ่นกกาจับทำรังอยู่เป็นอันมาก

ในขณะนั้น การ้องแซ่เซ็งไป พวกของเตียซา ลีสี ได้ยินก็ร้องขึ้นบ้างว่า โพยภัยสิ่งใดขอให้สูญหายไป หลวงจีนลูตีซิมถามว่า เจ้าร้องด้วยเหตุผลประการใด ชายผู้นั้นบอกว่า การ้องอื้ออึงดั่งนี้ โบราณว่า จะมีเหตุการณ์ทุ่มเถียงกัน ข้าพเจ้าจึงได้ร้องว่า โพยภัยสูญหายไป หลวงจีนลูตีซิมว่า ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นไปแย่งรังกาเสีย พวกของเตียซา ลีสี จึงขึ้นไปบนต้นไม้จะแย่งรังกาก็ไม่ได้ หลวงจีนลูตีซิมโกรธว่า แม้แต่รังกาจะแย่งทำลายลงมาไม่ได้ ก็ตรงเข้าไปใต้ต้นไม้ใหญ่ถอนต้นไม้ขึ้นแล้วก็วางให้ล้มลง กาก็แตกตื่นบินหนีไป เตียซา ลีสี กับพวกพ้องเห็นดังนั้นก็พากันสรรเสริญหลวงจีนลูตีซิมว่า ท่านมีกำลังหนักหนา เห็นจะเป็นดาวบนฟ้ามาเกิดดอกกระมัง หลวงจีนลูตีซิมตอบว่า เจ้าเหล่านี้ยังไม่เห็นฝีมือเรา จงไปเอาไม้เท้าเหล็กของเรามา จะรำเพลงอาวุธให้พวกเจ้าดู พวกของเตียซา ลีสี ก็ไปยกไม้เท้านั้นไม่ขึ้น หลวงจีนลูตีซิมหัวเราะแล้วพูดว่า ไม้เท้าของเรานี้หนักหกสิบสองชั่งเท่านั้นเอง พวกเจ้าก็ยกไม่ขึ้น หลวงจีนลูตีซิมก็เอาไม้เท้าขึ้นรำเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้พวกเหล่านั้นดู เตียซา ลีสี กับพวกพ้องพากันชมหลวงจีนลูตีซิมว่า ฝีมือเข้มแข็ง เพลงอาวุธคล่องแคล่ว กำลังก็มาก หาผู้เสมอมิได้

ยังมีชายผู้หนึ่งอายุประมาณสามสิบเศษ รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาและศีรษะนั้นคล้ายกับเสือ มีหนวดเครา นุ่งห่มก็ดี มือถือพัดขาวเดินมาเห็นหลวงจีนลูตีซิมรำเพลงอาวุธต่าง ๆ ก็หยุดยืนดูอยู่แล้วชมว่า ท่านหลวงจีนรูปนี้มีฝีมือเข้มแข็งไม่มีผู้ใดสู้ได้ เพลงอาวุธคล่องแคล่วดีหนักหนา เตียซา ลีสี กับพวกพ้องได้ฟังชายผู้นั้นชม เหลียวมาดูเห็นก็จำได้ว่า ชายผู้นั้นเป็นครูนายทหารแปดสิบหมื่นที่ตังเกียเมืองหลวง จึงพูดว่า ถ้าท่านครูทหารชมว่าเพลงอาวุธของหลวงจีนลูตีซิมก็เห็นจะจริง ด้วยท่านเป็นครูทหารรู้การเพลงอาวุธต่าง ๆ หลวงจีนลูตีซิมได้ฟังก็วางไม้เท้าลงแล้วถามว่า ท่านที่มายืนดูนั้นผู้ใด พวกเหล่านั้นบอกว่า ท่านเป็นครูทหารถึงแปดสิบหมื่นอยู่ ณ ตังเกียเมืองหลวง ชื่อ ลิมชอง หลวงจีนลูตีซิมได้ฟังจึงเชิญลิมชองไปข้างในจัดที่ให้นั่งพอสมควร คำนับกัน แล้วลิมชองถามหลวงจีนลูตีซิมว่า ท่านมาแต่ข้างไหน แซ่ชื่อใด หลวงจีนลูตีซิมว่า ข้าพเจ้าแซ่ลู ชื่อตัด เดิมเป็นขุนนางนายทหารอยู่กับเล่าชองเก็งเลียดเซียงก๋ง ณ เมืองเอียนอันฮู้ แล้วมาอยู่เมืองอุยจิวตีคนตายจึงได้บวชเป็นหลวงจีนเรียกว่า ลูตีซิม เมื่อข้าพเจ้ายังเด็กก็ได้เข้ามาตังเกียเมืองหลวง ยังจำด่า บิดาของท่านเป็นขุนนางนายทหารเรียกว่า ลิมทีหัด ลิมชองได้ฟังก็ยินดีนัก จึงพูดว่า เดิมท่านได้รู้จักบิดาข้าพเจ้า บัดนี้ ท่านกับข้าพเจ้ามาสาบานเป็นพี่น้องกันเสียเถิด หลวงจีนลูตีซิมก็ยินดี ไล่เลียงปีเดือนกันแล้ว หลวงจีนลูตีซิมแก่กว่า ก็สาบานเป็นพี่ ลิมชองก็เป็นน้อง ครั้นสาบานแล้ว หลวงจีนลูตีซิมจึงถามลิมชองว่า วันนี้ น้องไปไหนมา จึงเดินมาทางนี้ ลิมชองว่า น้องนี้มาไหว้เจ้าที่ศาลตังงักตีเปียวกับภรรยาและบ่าวคนหนึ่ง ครั้นมาถึงที่นี่เห็นพี่รำเพลงอาวุธ น้องยืนดูจนเพลินไป ให้แต่ภรรยากับบ่าวไปไหว้เจ้า ตัวน้องจะดูคอยท่าอยู่ที่นี่ ภรรยาของน้องกับบ่าวคนหนึ่งก็พากันไปไหว้เจ้า ข้าพเจ้าจึงได้พบกับพี่เป็นบุญหนักหนา หลวงจีนลูตีซิมว่า เมื่อพี่มาอยู่ที่สวนผักนี้ก็มีความวิตกว่า ไม่มีพวกพ้อง ครั้นอยู่มา พวกสามสิบคนเข้าสวามิภักดิ์อยู่ด้วยก็ค่อยคลายวิตก บัดนี้ มาพบน้องได้สาบานรักใคร่กันเป็นอันมาก พี่มีความยินดีนัก พูดแล้วสั่งให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงลิมชอง สองคนพี่น้องกินโต๊ะเสพสุราสนทนากันเป็นที่สบาย ฝ่ายบ่าวหญิงของลิมชองที่ไปไหว้เจ้ากับภรรยาลิมชองวิ่งมาบอกลิมชองว่า ภรรยาท่านวิวาทกับเขาที่ศาลเจ้าตังงักตีเปียว ท่านจงรีบไปโดยเร็วเถิด ลิมชองได้ฟังก็ลาหลวงจีนลูตีซิมไปถึงศาลเจ้า เห็นชายประมาณสิบคนถือกระสุนและกล้องเอาดินเป่าเล่น กับชายหนุ่มผู้หนึ่งรูปร่างดี ออกกั้นภรรยาลิมชองไว้ แล้วว่า ไปพูดจากันเล่นบนเหลาสูงกันก่อน ภรรยาลิมชองว่า เจ้าเป็นอะไรจึงมาข่มเหงลูกเมียเขาดั่งนี้ ลิมชองเห็นและได้ฟังก็โกรธตรงเข้าไปใกล้เหนี่ยวบ่าชายผู้นั้นแล้วพูดว่า ทำข่มเหงลูกเมียเราดั่งนี้ไม่ควรเลย กำลังโทโสเงื้อมือขึ้นจะตี นึกขึ้นได้ว่า ชายคนนี้เป็นบุตรเลี้ยงของกอกิวที่เป็นขุนนางตำแหน่งกอไทอวยได้ว่ากล่าวขุนนางนายทหารทั้งสิ้น ลิมชองเห็นดังนั้นก็ลดมือลงไม่อาจตี ซึ่งกอไทอวยนั้นเป็นขุนนางทหารใหญ่ไม่มีบุตร กอไทอวยจึงไปขอบุตรของน้องที่สามชื่อ กอซำหลง มาเลี้ยงไว้เป็นบุตรคนหนึ่ง กอไทอวยรักใคร่ตั้งชื่อให้เรียกว่า กอเงไหล ครั้นกอเงไหลเติบใหญ่อายุได้ยี่สิบปีก็เที่ยวข่มขี่บุตรสาวและภรรยาของราษฎรชาวบ้านอยู่เนือง ๆ ไม่มีผู้ใดไปฟ้องร้องว่ากล่าวได้ เวลานั้น กอเงไหลชวนบ่าวไพร่ไปเที่ยวเล่นที่ศาลเจ้าตังงักตีเปียว ด้วยกอเงไหลไม่รู้จักหญิงนั้นว่า เป็นภรรยาของลิมชอง จึงได้ทำเป็นทียั่วเย้าเล่น ครั้นลิมชองลดมือลง กอเงไหลจึงพูดว่า จะมาตีเราทำไม เจ้าเป็นอะไรกับหญิงคนนี้ คนในศาลเจ้านั้นบอกว่า เป็นภรรยาของลิมชอง ก็เข้าไปห้ามว่า อย่าวุ่นวายกันเลย กอเงไหลนั้นไม่แจ้งว่า เป็นภรรยาท่าน จึงได้หยอกเล่น ข้าพเจ้าขอโทษเสียเถิด กอเงไหลแจ้งว่าเป็นภรรยาของลิมชองแล้วก็ชวนบ่าวไพร่กลับไป ลิมชองก็พาภรรยากับบ่าวออกจากศาลเจ้ากลับมา

ฝ่ายหลวงจีนลูตีซิมครั้นเห็นลิมชองไปแล้วก็จับไม้เท้าเรียกพวกสามสิบคนตรงมาที่สามเจ้า ลิมชองเห็นจึงถามหลวงจีนลูตีซิมว่า พี่พาพวกพ้องมาจะไปไหน หลวงจีนลูตีซิมว่า พี่จะมาช่วยทุบตีคนที่ข่มเหงภรรยาของน้อง ลิมชองว่า น้องคิดจะตี ครั้นเห็นหน้าถนัดก็จำได้ว่า กอเงไหลเป็นบุตรเลี้ยงของกอไทอวยขุนนางนายทหารใหญ่ ได้ว่ากล่าวทหารทั้งปวงกับตัวน้องด้วย จึงไม่อาจตี หลวงจีนลูตีซิมว่า พี่ไม่กลัวตาย มาทันจะตีให้แทบตาย ลิมชองว่า น้องขอเสียเถิด อย่าวุ่นวายไปเลย แล้วก็ลาไป หลวงจีนลูตีซิมกลับมาสวนผัก ลิมชองกับภรรยาและบ่าวไปถึงบ้านมีใจเจ็บแค้นกอเงไหลยิ่งนัก ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีความสบายเลย

ฝ่ายกอเงไหลครั้นไปถึงบ้านก็ผูกพันรักใคร่ในภรรยาลิมชองเป็นอันมาก ไม่รู้ที่จะทำอย่างไร ก็นิ่งอยู่ในใจ แต่หน้าตาไม่สู้สบาย ฝ่ายฮูอันเป็นคนใช้อยู่ในบ้านกอเงไหลช่างประจบประแจงดี ครั้นเห็นกอเงไหลเศร้าหมองไม่ผ่องใสก็เข้าไปประจบพูดว่า ซึ่งท่านนี้ข้าพเจ้าเห็นหน้าตาไม่สบายด้วยเหตุการณ์สิ่งใดหรือ กอเงไหลจึงพูดว่า การในใจของเรา ทำไมท่านจึงรู้ว่าเหตุอันใด ฮูอันว่า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า เป็นเหตุเพราะด้วยการคนแซ่ลิมไม่ใช่หรือ กอเงไหลว่า เจ้าทายถูกแล้ว ทำประการใดจะได้สมความปรารถนาเล่า ฮูอันว่า การอันนี้ไม่สู้ยากนัก ด้วยลิมชองอยู่ในมือเรา จะให้เป็นอันตรายไปเมื่อไรก็ได้ กอเงไหลว่า ถ้าได้เหมือนกับพูด เราจะสมนาคุณท่านให้จงมาก ฮูอันว่า ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งลิมชองนั้นกับเล็กเคียมชอบพอรักใคร่กันสนิท ท่านจงให้เล็กเคียงไปเชิญลิมชองมากินโต๊ะเสพสุราที่โรงเตี๊ยม ถ้าลิมชองมากินโต๊ะกับเล็กเคียมแล้ว ก็ให้คนไปบอกกับภรรยาของลิมชองว่า ลิมชองมากินโต๊ะเสพสุราป่วยไป ให้ภรรยาลิมชองมาดูแก้ไขโดยเร็ว ภรรยาลิมชองก็คงมาที่บ้านเล็กเคียม ท่านคงคิดถ่ายเทให้ชอบกล คงจะสมความปรารถนาหรอก กอเงไหลได้ฟังก็เห็นชอบด้วยจึงให้คนไปเรียกเล็กเคียมา และบ้านเล็กเคียมนั้นอยู่ใกล้กันกับบ้านกอไทอวยบิดาเลี้ยงกอเงไหล ครั้นเล็กเคียมมาถึงคำนับแล้วถามว่า ท่านให้หาข้าพเจ้าธุระสิ่งอันใด กอเงไหลจึงพูดกับเล็กเคียมว่า มีธุระสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง ไม่แจ้งว่าท่านรับได้หรือไม่ได้ ถ้าท่านสงเคราะห์ จะทดแทนคุณให้จงมาก เล็กเคียมว่า ท่านมีธุระก็บอกเถิด จะทำตามคำ กอเงไหลว่า เรามีใจรักใคร่ภรรยาลิมชอง ประการใดก็ไม่สมความคิด แต่แจ้งอยู่ว่า ท่านกับลิมชองอัชฌาสัยรักใคร่กันสนิท เวลาพรุ่งนี้ จะให้ท่านไปเชิญลิมชองมากินโต๊ะเสพสุราที่โรงเตี๊ยม เราจะให้คนไปบอกกับภรรยาลิมชองว่า ลิมชองมากินโต๊ะเสพสุราก็ป่วยเจ็บ ให้ภรรยาลิมชองมาแก้ไข ถ้าภรรยาลิมชองมาที่บ้านท่านสมความคิดเราแล้ว ก็จะตอบแทนคุณท่าน จะรับได้หรือไม่ เล็กเคียนนั้นคิดแต่จะเอาหน้าทำให้กอเงไหลรักใคร่ ไม่คิดถึงเพื่อนฝูงที่ชอบพอรักใคร่กันมาแต่ก่อน ก็รักปากว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะช่วยคิดอ่านให้สำเร็จความปรารถนาจงได้ กอเงไหลก็มีความยินดี นั่งสนทนากันประมาณครู่หนึ่ง เล็กเคียมก็ลากลับมาบ้าน

ครั้นรุ่งเช้า เล็กเคียมจึงไปหาลิมชองที่บ้าน ฝ่ายลิมชองกับภรรยาตั้งแต่ครั้งนั้นมาก็ไม่มีความสบาย มิได้ไปเที่ยวข้างไหน อยู่แต่ในบ้าน พอเล็กเคียมไปร้องเรียกว่า ท่านครูอยู่หรือไม่ ลิมชองได้ยินเสียงคนร้องเรียกก็เปิดประตูออกดู เห็นเล็กเคียมก็เชิญเข้าไปนั่งข้างใน แล้วถามว่า น้องไปไหนมา เล็กเคียมบอกว่า สองสามวันนี้ไม่เห็นพี่ออกมาเที่ยว จึงมาเยี่ยมเยือนดู ลิมชองว่า สองสามวันนี้ไม่มีความสบาย จึงไม่ได้เดินไปเที่ยวเล่น เล็กเคียมว่า น้องไม่เห็นพี่ไปเที่ยวเป็นหลายวัน ก็มีความวิตก วันนี้ น้องจะมาเชิญพี่ไปกินโต๊ะเสพสุราสนทนาเล่นให้สบาย พูดแล้วเห็นภรรยาลิมชองอยู่ในห้อง จึงร้องบอกกับภรรยาลิมชองว่า อาซ้อ น้องจะพาพี่ไปกินโต๊ะ ภรรยาลิมชองเดินออกมาที่หน้าห้องบอกว่า พากันไปเสพสุราก็อย่าให้มึนเมานัก จงรีบกลับมาแต่วัน อย่าให้มืดค่ำ เล็กเคียมก็ชวนลิมชองออกจากบ้านเดินมา ครั้นเดินพ้นบ้านไปประมาณครู่หนึ่งจึงถึงโรงเตี๊ยม เล็กเคียมก็พาลิมชองเข้าไปซื้ออาหารและสุรากินตามสบาย สองนายนั่งสนทนากัน ลิมชองนั้นถอนใจใหญ่ เล็กเคียมถามว่า พี่ถอนใจใหญ่ทำไม ลิมชองจึงว่า เกิดมาเป็นชายชาติทหาร สติปัญญาดี ฝีมือก็เข้มแข็ง เข้ามาสามิภักดิ์ทำราชการ ไม่พบท่านที่ดี มาพบแต่คนไพร่เป็นขุนนาง ไม่รู้จักความผิดชอบประการใด มาอยู่ในบังคับนายเช่นนี้จึงไม่มีความสบาย เล็กเคียมได้ฟังก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง จึงพูดว่า ตัวพี่ก็มีสติปัญญา ฝีมือเข้มแข็งนัก ซึ่งครูทหารมีอยู่หลายคนก็สู้สติปัญญาและฝีมือพี่ไม่ได้ น้องเห็นว่า กอไทอวยผู้เป็นนายก็รักใคร่ชุบเลี้ยงพี่ พี่มาโกรธกอไทอวยด้วยข้อใด ลิมชองก็เล่าความซึ่งกอเงไหล บุตรเลี้ยงกอไทอวย ข่มเหงภรรยาตนให้ฟังทุกประการ เล็กเคียมฟังก็แกล้งปิดบังความเสีย พูดว่า กอเงไหลเห็นจะไม่รู้จักว่าภรรยาของท่าน จึงได้ทำดังนั้น ท่านอย่าโกรธเลย เรามากินโต๊ะเสพสุราพูดเรื่องอื่นเถิด เล็กเคียมกับลิมชองก็กินโต๊ะเสพสุราได้เจ็ดแปดถ้วย ลิมชองบอกกับเล็กเคียมว่า น้องเสพสุราพลาง พี่จะไปเบาเสียก่อน ลิมชองก็ออกมานอกโรง เบาแล้วจะกลับเข้าไปในโรง เห็นบ่าวหญิงของตัววิ่งมาบอกว่า ท่านออกมาจากบ้านสักครู่ ก็มีชายผู้หนึ่งมาที่บ้านบอกกับภรรยาท่านว่า ตัวท่านมาเสพสุราเป็นลมสลบไป ให้ภรรยาท่านไปแก้ไขเสียโดยเร็ว ภรรยาท่านตกใจ ฝากบ้านไว้กับนางเฮงโป๋ แล้วก็ไปกับข้าพเจ้าด้วยกัน ชายนั้นพาไปถึงบ้านผู้ใดไม่แจ้ง ข้าพเจ้าไม่รู้จัก บอกว่า ท่านอยู่บนเหลา ภรรยาท่านกับข้าพเจ้าขึ้นไปบนเหลาไม่เห็นท่าน มีแต่เครื่องโต๊ะจัดวางไว้ ครั้นภรรยาท่านกับข้าพเจ้าจะลงเหลามา ก็เห็นชายหนุ่มคนที่ไปหยอกภรรยาท่านที่ศาลเจ้าวันก่อนนั้นเดินออกมาจากห้องเหลาเรียกภรรยาท่านให้นั่งลงก่อน ข้าพเจ้าเห็นดังนั้นก็ลงจากเหลามาจะไปตาม ได้ยินเสียงภรรยาท่านร้องว่า ฆ่าคนตายแล้ว ให้ช่วยด้วย ข้าพเจ้าวิ่งไปเที่ยวหาก็ไม่พบ พบจีนแสขายยาบอกว่า ท่านมากินโต๊ะเสพสุราอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้ ข้าพเจ้าจึงได้วิ่งมาตาม ท่านจงรีบไปโดยเร็วเถิด ลิมชองได้ฟังก็วิ่งตรงไปยังบ้านเล็กเคียมมิได้คอยบ่าวหญิงนั้น ครั้นถึงก็เข้าไปในบ้าน ขึ้นบนเล่าเต็ง เห็นประตูห้องนั้นเปิด ได้ยินภรรยาร้องว่า บ้านเมืองก็เรียบร้อยดีแล้ว เหตุไฉนไปหลอกเอาลูกเมียเขามาข่มขืนขังไว้เช่นนี้ด้วยข้อความสิ่งใด ลิมชองได้ฟังก็โกรธยิ่งนัก ร้องเรียกภรรยาให้เปิดประตู ภรรยาลิมชองได้ฟังเสียงของลิมชองสามีก็จำได้จึงเปิดออกมารับ พอเปิดประตูออกมา กอเงไหลเห็นลิมชองก็เปิดหน้าต่างโดดข้ามกำแพงหนีกลับไปบ้าน ลิมชองเข้าไปในห้องเที่ยวค้นหากอเงไหลก็ไม่พบ จึงถามภรรยาถึงความลับว่า ได้เสียทีกับเขาแล้วหรือ ภรรยาบอกว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในความกตัญญูซื่อสัตย์ ถ้าแม้นท่านไม่เชื่อ ข้าพเจ้าจะชันสูตรก็ได้ ลิมชองมีความยินดี เอากระบองทุบตีสิ่งของของเล็กเคียมแตกยับเยิน แล้วก็พาภรรยาลงจากเหลามา เห็นชาวบ้านใกล้นั้นพากันปิดประตูเสียทั้งสิ้น ลิมชองกับภรรยามาถึงบ้าน ให้แค้นเคืองเล็กเคียมยิ่งนัก ฉวยได้กระบี่ตรงมาที่โรงเตี๊ยมไม่เห็นเล็กเคียม จึงตามไปที่บ้านเล็กเคียมค้นหาก็ไม่พบ ลิมชองคอยอยู่จนมืดค่ำไม่เห็นเล็กเคียมมาก็กลับไปบ้าน ภรรยาลิมชองจึงพูดกับลิมชองสามีว่า ท่านอย่าวุ่นวายกับเขาเลย เขาทำไมเราไม่ได้ก็ช่างเขาเถิด ลิมชองพูดว่า กับเราก็รักใคร่กันเหมือนพี่น้องกัน หาควรจะมาล่อลวงเราไม่ เรามีใจเจ็บแค้นนัก จะฆ่าเสียให้ได้ พูดแล้วก็ไม่คอยจะฆ่าเล็กเคียมอยู่ถึงสามวันก็ไม่เห็นเล็กเคียมกลับมาบ้าน

ฝ่ายเล็กเคียมนั้นครั้นลิมชองออกมาจากโรงเตี๊ยมไม่เห็นกลับเข้าไปจึงออกมาตาม แจ้งว่าเกิดความ เล็กเคียมตกใจนัก หนีไปซ่อนอยู่ในบ้านกอไทอวยถึงสามวันก็ยังไม่อาจกลับมาบ้าน ครั้นรุ่งเช้า ลิมชองเดินไปบ้านเล็กเคียม พบหลวงจีนลูตีซิมที่ถนน ก็พูดจากันด้วยความอื่น ๆ หลวงจีนลูตีซิมชวนไปกินโต๊ะเสพสุราที่โรงเตี๊ยม ลิมชองปิดความเสีย หาเล่าให้หลวงจีนลูตีซิมฟังไม่ ความเรื่องนั้นก็สงบอยู่

ฝ่ายกอเงไหลหนีโดดกำแพงไปถึงบ้านเป็นไข้ใจป่วยหนักลงไม่อาจบอกกอไทอวยบิดา เล็กเคียมกับฮูอันก็มาเยี่ยมเยือนปรนนิบัติ เห็นหน้าตากอเงไหลสลดซูบผอมนัก เล็กเคียมถามว่า ท่านป่วยไข้ประการใด หน้าจึงได้ซีดเศร้าถึงเพียงนี้ กอเงไหลว่า เราจะเล่าให้ท่านฟังตามจริง ด้วยความป่วยนั้นเพราะภรรยาลิมชอง เราคิดการถึงสองครั้งก็ไม่ได้สมความปรารถนา กับเราตกใจโดดกำแพงหนีมา โรคจึงกำเริบขึ้นมาก แต่เราเห็นว่า โรคอันนี้จะไม่พ้นสามเดือนหรือครึ่งปีก็คงตายเป็นแน่ ชีวิตเราไม่รอดแล้ว เล็กเคียม ฮูอัน ได้ฟังก็แจ้งว่า กอเงไหลเป็นไข้ใจ จึงพูดว่า ท่านจงอุตส่าห์สะกดใจไว้ ซึ่งการเรื่องนี้ตกพนักงานข้าพเจ้าทั้งสองจะคิดแก้ไขให้ท่านได้สมความปรารถนาให้ได้ ถ้าแม้นว่าภรรยาลิมชองตายเสียก็เป็นที่จนใจ ถ้าไม่ตายก็คงได้ ท่านอย่าวิตกเลย กอเงไหลได้ฟังก็ค่อยหายความทุกข์ เล็กเคียมกับฮูอันก็ปรนนิบัติกอเงไหลอยู่ที่นั้น

ฝ่ายกอไทอวยครั้นแจ้งว่า กอเงไหล บุตรเลี้ยง เจ็บป่วยไป ก็ให้เล่าโตวก๊วน ขุนนางที่สำหรับใช้สอย มาเยี่ยมกอเงไหลว่าจะเป็นประการใด เล่าโตวก๊วนมาถึงถามกอเงไหลว่า ท่านเจ็บป่วยเป็นอย่างไร จงบอกให้ทราบ จะได้ไปแจ้งกับบิดาท่านให้หมอมารักษา กอเงไหลไม่อาจบอกกลัวบิดาจะรู้ บอกแต่ไม่สบาย เล่าโตวก๊วนก็จนใจไม่แจ้งว่าเป็นโรคอะไร

ฝ่ายเล็กเคียมกับฮูอันเห็นเล่าโตวก๊วนมาเยี่ยมไข้ก็ปรึกษากันว่า ไข้ของกอเงไหลนี้จะต้องให้กอไทอวยแจ้งจึงจะได้ ให้หาตัวลิมชองมากักขังเสียให้ตาย แล้วก็ไปเอาภรรยามายกให้กอเงไหล กอเงไหลคงจะหาย ถ้าไม่คิดเช่นนั้น กอเงไหลก็คงตาย จำเราจะเอาความนี้บอกเล่าโตวก๊วนให้ไปแจ้งกอไทอวย เจ้าจะเห็นประการใด ครั้นปรึกษาเห็นชอบด้วยกันแล้วก็ออกมาคอยเล่าโตวก๊วนอยู่ข้างนอก ครั้นเห็นเล่าโตวก๊วนกลับออกมา เล็กเคียมกับฮูอันเล่าความไข้ของกอเงไหลซึ่งรักใคร่ภรรยาลิมชองให้ฟังทุกประการ แล้วพูดว่า ถ้าจะไม่ให้กอเงไหลถึงแก่ชีวิตเป็นอันตราย ข้าพเจ้าทั้งสองนี้จะบอกอุบายให้ ท่านจงได้เอาข้อความไปแจ้งแก่กอไทอวยด้วยเถิด เล่าโตวก๊วนจึงว่า เราจะไปแจ้งความแก่กอไทอวยในเวลาค่ำนี้ให้ได้ พูดแล้วก็กลับไปแจ้งความแก่กอไทอวยว่า ซึ่งบุตรของท่านเจ็บป่วยนั้นเพราะรักใคร่ภรรยาลิมชอง ถ้าจะให้หายไข้ ก็ต้องกำจัดลิมชองเสีย เอาภรรยายกให้ กอเงไหลจึงจะหาย ถ้าไม่กระนั้น ก็เห็นจะถึงแก่ชีวิตดับสูญเป็นแน่

กอไทอวยได้ฟังจึงถามว่า บุตรเราไปพบปะภรรยาลิมชองที่ไหน จึงได้ป่วยดั่งนี้ เล่าโตวก๊วนบอกความซึ่งกอเงไหลได้พบปะภรรยาลิมชองที่ศาลเจ้ากับที่บ้านเล็กเคียมเป็นสองครั้งก็ไม่สมความปรารถนาให้กอไทอวยฟังทุกประการ กอไทอวยว่า จะฆ่าผัวเขาเสียอย่างไร ถ้าไม่คิดฆ่า บุตรเราก็คงตาย จะทำประการใดดี เล่าโตวก๊วนว่า เล็กเคียมกับฮูอันพูดกับข้าพเจ้าว่า ถ้าท่านจะให้กอเงไหลหายป่วยแล้ว สองคนนั้นจะคิดอุบายให้ กอไทอวยก็ดีใจ ให้หาสองคนนั้นมา ครั้นเล็กเคียมกับฮูอันมาถึง กอไทอวยจึงถามว่า เจ้าทั้งสองนี้มีอุบายสิ่งใดจะแก้ไขให้บุตรเราหายได้ ถ้าบุตรเราไม่เป็นอันตราย จะตอบแทนคุณเจ้าให้ถึงขนาด เล็กเคียมคุกเข่าลงคำนับแล้วแจ้งว่า ข้าพเจ้าจะคิดอุบายให้ได้สมความปรารถนา ถ้าข้าพเจ้าจะเอาสิ่งใดหรือจะว่ากล่าวประการใดก็ต้องตามใจ ไข้นั้นก็คงหาย ท่านอย่าได้วิตกเลย กอไทอวยว่า จะต้องการและว่ากล่าวสิ่งอันใดจะตามใจเจ้าทั้งสิ้น เวลาพรุ่งนี้ คิดอ่านจัดแจงเถิด เล็กเคียมกับฮูอันก็คำนับลามาคิดอุบายที่จะกำจัดลิมชอง ให้ชายผู้หนึ่งเอากระบี่ของวิเศษของกอไทอวยไปขายให้ลิมชอง ชายผู้นั้นก็รับเอากระบี่ของวิเศษไป

ฝ่ายลิมชองครั้นถึงเวลาหลวงจีนลูตีซิมมาชวนไปเที่ยวกินโต๊ะเสพสุราอยู่ทุกวันมิได้ขาด ลิมชองก็ลืมความเรื่องนั้นเสีย ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง หลวงจีนลูตีซิมชวนลิมชองไปเสพสุราแล้วก็เดินกลับมา ชายผู้ที่ขายกระบี่เห็นลิมชองเดินมาก็ทำเดินเคียงเข้าใกล้แล้วพูดว่า กระบี่ของวิเศษเล่มนี้เราจะขาย แต่ไม่มีผู้ใดรู้จักว่าของดีเลย ลิมชองได้ฟังแล้วเดินเลยไปไม่ไต่ถาม ชายผู้ที่ขายกระบี่ก็เดินตาม ทำถอนใจใหญ่แล้วพูดว่า คนในเมืองหลวงนี้มีฝีมือเข้มแข็งถมไป แต่ไม่มีผู้ใดรู้จักว่า กระบี่เล่มนี้ดี เราน่าเสียดายกระบี่นัก ช่างไม่รู้จักของวิเศษสักคนเลย ในขณะนั้น ภัยจะมาถึงลิมชองก็อาเพศให้เป็นไป ลิมชองได้ฟังก็เหลียวมาดูเห็นชายนั้นถือกระบี่อยู่ก็ถามว่า จะขายหรือ ชายนั้นบอกว่า จะขาย ก็ส่งให้ ลิมชองรับกระบี่ไปแกว่งเป็นแสงจับตาก็แจ้งว่า ของดี จึงส่งกระบี่ให้หลวงจีนลูตีซิมดู หลวงจีนลูตีซิมเห็นก็รู้ว่า ของดี จึงพูดกับลิมชองว่า กระบี่เล่มนี้ดีนัก จงซื้อไปเถิด พูดแล้วก็ส่งกระบี่ให้ลิมชอง ลิมชองรับกระบี่มาถามเจ้าของกระบี่ว่า กระบี่ของท่านจะขายเท่าไร ชายเจ้าของกระบี่นั้นบอกว่า ถ้าท่านจะต่อก็เอาสามพันตำลึง ถ้าท่านไม่ต่อจะเอาสองพันตำลึง ลิมชองว่า อย่าให้ถึงสองพันตำลึงเลย เอาแต่พันตำลึงเถิด ชายเจ้าของกระบี่ว่า ท่านจะซื้อ เราจะเอาแต่พันห้าร้อยตำลึง ลิมชองไม่เอา จะให้แต่พันตำลึง ชายเจ้าของกระบี่ก็ยอมให้ ลิมชองพาเจ้าของกระบี่ไปเอาเงินที่บ้าน หลวงจีนลูตีซิมนั้นก็ลาไปที่อยู่ ลิมชองกับเจ้าของกระบี่ไปถึงบ้านแล้ว ลิมชองจึงเอาเงินพันตำลึงมาให้ ถามว่า กระบี่เล่มนี้ท่านเอามาแต่ข้างไหน ชายเจ้าของกระบี่ก็แกล้งบอกว่า กระบี่เล่มนี้แต่ครั้งปู่และบิดาข้าพเจ้าต่อ ๆ มาจนถึงตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขัดสนยากจนจึงได้เอามาขาย ลิมชองถามว่า ปู่และบิดาท่านชื่อใด ชายเจ้าของกระบี่บอกว่า ปู่และบิดาข้าพเจ้านี้บอกท่านไม่ได้ รับเงินพันตำลึงแล้วก็ลาไป ลิมชองจับกระบี่ขึ้นแกว่งดูด้วยยินดี จึงคิดว่า กระบี่วิเศษของกอไทอวยมีอยู่เล่มหนึ่ง เราขอดูบ่อย ๆ ก็ไม่ให้ดู ครั้งนี้ ของเราก็มีเหมือนกัน คิดแล้วก็เอากระบี่ไปเก็บไว้ มีใจผูกพันอยู่ที่กระบี่เล่มนั้นเป็นอันมาก ชายผู้นั้นขายกระบี่ให้ลิมชองแล้วก็กลับไปบอกกับเล็กเคียมทุกประการ

ครั้นรุ่งเช้า เล็กเคียมกับฮูอันใช้ขุนนางสองนายมาบอกกับลิมชองว่า กอไทอวยให้ท่านเอากระบี่ที่ซื้อไว้ไปเปรียบกันว่า ของใครจะดีกว่ากัน ขุนนางสองนายก็ตรงมาบอกลิมชองว่า กอไทอวยให้ท่านเอากระบี่ไปเปรียบกัน ลิมชองจึงถามขุนนางสองนายนั้นว่า ท่านมาแต่ข้างไหน ไม่เคยเห็นหน้าเลย ขุนนางสองนายบอกว่า ข้าพเจ้าเพิ่งมาอยู่กับกอไทอวยใหม่ ลิมชองได้ฟังก็ไม่สงสัย หยิบเอากระบี่ที่ซื้อตามขุนนางนั้นมาถึงบ้านกอไทอวย ขุนนางสองนายก็พาเข้าไปข้างใน ถึงที่หน้าหอแปะโฮวตึง จึงบอกกับลิมชองว่า ท่านคอยอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าจะเข้าไปแจ้งกับกอไทอวยก่อน พูดแล้วขุนนางสองนายก็หลบไปเสีย

ฝ่ายเล็กเคียมกับฮูอันให้สองคนนั้นไปพาลิมชองมาได้สมคะเนแล้ว ก็ไปแจ้งความแก่กอไทอวย กอไทอวยสั่งให้คนมาซุ่มไว้คอยจับลิมชองหน้าหอแปะโฮวตึง

ฝ่ายลิมชองนั้นเดินตามขุนนางสองนายเข้าไปจนข้างใน มิได้รู้ว่าจะผิดชอบประการใด ครั้นนั่งคอยท่าอยู่ช้านานแล้วไม่เห็นขุนนางสองนายออกมา ก็นึกสะดุ้งใจ ลุกเดินมาดูที่หน้าหอ พอกอไทอวยออกมา ลิมชองเห็นก็วางกระบี่เข้าไปคำนับ กอไทอวยถามลิมชองว่า เจ้าเป็นครูทหาร เหตุไฉนจึงถือกระบี่เข้ามาจนหน้าหอเรา เจ้าคิดประการใดหรือ ลิมชองว่า ท่านให้ขุนนางสองนายไปหาข้าพเจ้าให้เอากระบี่มาเปรียบกัน ข้าพเจ้าจึงได้เอากระบี่ตามขุนนางนั้นเข้ามา กอไทอวยว่า เราไม่ได้ให้ไปหา ขุนนางทั้งสองที่พาเจ้าเข้ามานั้นชื่อไร อยู่ที่ไหน ลิมชองว่า ขุนนางนั้นบอกกับข้าพเจ้าว่า เพิ่งจะเข้ามาทำราชการใหม่ กอไทอวยว่า เจ้าอย่าแก้ไขไปเลย เรารู้มาหลายวันว่า เจ้าคิดจะฆ่าเรา จึงได้ถือกระบี่เข้ามาจนหน้าหอข้างใน มีโทษผิดมาก จึงเรียกให้ทหารจับตัวลิมชองไปฆ่าเสีย ทหารที่ซุ่มอยู่เหล่านั้นครั้นได้ฟังก็ตรูกันออกมาจับตัวลิมชองมัดไว้จะเอาตัวไป ลิมชองร้องว่า การอันนี้แกล้งกดขี่ข้าพเจ้า กอไทอวยว่า เจ้าถือกระบี่เข้ามาจนหน้าหอชั้นใน คิดจะฆ่าเรามิใช่หรือ ลิมชองว่า ท่านใช้ให้คนของท่านไปเรียก ข้าพเจ้าจึงได้เข้ามา กอไทอวยว่า ผู้ใดไปเรียกเจ้ามา ชื่อเสียงอันใด ลิมชองว่า คนของท่านใช้ไป ข้าพเจ้าไม่รู้จักชื่อ



ภาพ[1] สารบัญขึ้น




ภาพสมัยราชวงศ์หมิง
บน: กอเงไหลและพวกลวนลามภริยาลิมชอง
ล่าง: หลวงจีนลูตีซิมแสดงฝีมือที่สวนผัก



เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ

[แก้ไข]
  1. ภาพเพิ่มโดยวิกิซอร์ซ




ตอน ๖ ขึ้น ตอน ๘