ข้ามไปเนื้อหา

ตำนานเงินตรา (2474)

จาก วิกิซอร์ซ
ดูฉบับอื่นของงานนี้ที่ ตำนานเงินตรา
ตราของราชบัณฑิตยสภา
ตราของราชบัณฑิตยสภา
ตำนานเงินตรา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงพระนิพนธ์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระศพ
พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์
ครบสัตตมวาร
ณวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๔
โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร

พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี
(กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์)
พระรูปฉายในรัชชกาลที่ ๔ เมื่อพระชันษาราว ๘ ปี

พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี
(กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์)
พระรูปฉายเมื่อโสกันต์ในรัชชกาลที่ ๔ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕

พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี
(กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์)
พระรูปฉายในรัชชกาลที่ ๔ เมื่อพระชันษาราว ๑๔ ปี

คำนำ

ราชบัณฑิตยสภาเลือกหนังสือสำหรับพิมพ์พระราชทานในงานบำเพ็ญพระราชกุศลหน้าพระศพพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์ ครบสัตตมวาร มีเวลาน้อย จึงได้เลือกหนังสือ เรื่อง ตำนานเงินตรา ซึ่งข้าพเจ้าได้แต่งไว้นานแล้วเพื่อจะพิมพ์เป็นตอนหนึ่งในหนังสือเรื่องอื่น และได้ให้พระพินิจวรรณการช่วยแต่งต่อตอนท้ายหน่อยหนึ่ง เอามาพิมพ์ให้ทันงาน หวังใจว่า หนังสือเรื่องนี้จะพอประดับสติปัญญาความรู้ท่านทั้งหลายได้บ้าง และหวังว่า จะพอใจอ่านทั่วกัน

ลายมือชื่อของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
นายกราชบัณฑิตยสภา
วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔

ตำนานเงินตรา

เมื่อรัชชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงแบบอย่างเงินตราที่ใช้ในประเทศสยามนี้ นับว่า เป็นการสำคัญในพงศาวดารเรื่องหนึ่ง จึงได้ตรวจเก็บเนื้อความเรื่องเปลี่ยนแบบเงินตราในครั้งนั้นอันมีปรากฏอยู่ในหนังสือต่าง ๆ คือ ประกาศ เป็นต้น มาเรียบเรียงอธิบายให้ผู้อ่านรู้เรื่องและเหตุการณ์ที่มีมา

ในประเทศสยามนี้ ใช้เงินกับเบี้ย (หอย) เป็นเครื่องแลกในการซื้อขายมาแต่สมัยกรุงสุโขทัย เงินนั้นหาตัวโลหะมาแต่ต่างประเทศเอามาหล่อหลอมทำเป็นเงินตราในประเทศสยามนี้เอง แต่ส่วนเบี้ยนั้นอาศัยพวกชาวต่างประเทศเที่ยวเสาะหาตามชายทะเลแล้วพามาขายในประเทศนี้รับซื้อไว้ใช้สรอยเป็นเครื่องแลกในการซื้อขาย ประเพณีเช่นนั้นคงใช้มาจนตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีเหตุปรากฏในปูมครั้งหนึ่งเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๒๘๗ ในรัชชกาลพระเจ้าบรมโกศว่า "ใช้ประกับต่างเบี้ย" ดังนี้ เดิมไม่ทราบว่า ประกับนั้นเป็นอย่างไร จนพระยาโบราณราชธานินทร์ขุดตรวจที่ในพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยา พบดินเผาตีตราต่าง ๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญ ๕๐ สตางค์ฝังไว้เป็นอันมาก จึงเข้าใจว่า นั่นเองที่เรียกว่า ประกับ คงจะเป็นด้วยขาดคราวชาวต่างประเทศเอาเบี้ยเข้ามาขาย จึงนำประกับขึ้นใช้แทนชั่วคราว พอมีเบี้ยเข้ามาขาย ก็เลิก จึงมิได้ใช้ประกับต่อมา

เงินตราครั้งกรุงศรีอยุธยาทำเป็นเงินพดด้วง (คือ รูปสัณฐานกลม) ประทับตราเป็นสำคัญ ๒ ดวง ดวงหนึ่งมักเป็นรูปจักร คงจะหมายความว่า กรุงศรีอยุธยาอันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระรามาธิบดี อีกดวงหนึ่งมีใช้รูปแปลก ๆ กัน เป็นสังข์บ้าง เป็นตรีบ้าง เป็นเครื่องหมายรัชชกาล (แต่พิเคราะห์ดู เห็นดวงตราที่ต่างกันมีน้อยกว่าจำนวนพระเจ้าแผ่นดินที่ครองกรุงศรีอยุธยามากนัก จึงสันนิษฐานอีกนัยหนึ่งว่า จะไม่เปลี่ยนตราทุกรัชชกาล ใช้ตราอย่างเดียวกันเรื่อยไปจนมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เกิดเงินปลอมมากขึ้น เป็นต้น พระเจ้าแผ่นดินจึงมีพระราชดำรัสสั่งให้เปลี่ยนตราเสียครั้งหนึ่ง) เงินตราครั้งกรุงศรีอยุธยามี ๔ ขนาด คือ

ขนาดบาท ๑

ขนาดครึ่งบาท (เรียกว่า ๒ สลึง อย่างนี้ชะรอยคนจะไม่ใคร่ชอบใช้ จึงมีน้อย)

ขนาด / ของบาท เรียกว่า สลึง ๑

ขนาด / ของบาท เรียกว่า เฟื้อง ๑

รองนั้นลงมาถึงเบี้ย มีอัตรา ๔๐๐ เบี้ยเป็นราคาเฟื้อง ๑ แต่ว่าไม่เป็นราคาตามกฎหมาย สุดแต่มีเบี้ยเข้ามาขายในท้องตลาดมากหรือน้อย ในเวลาเบี้ยในท้องตลาดมีมาก ราคาเบี้ยตกถึง ๑๐๐๐ เบี้ยต่อเฟื้องก็มี แต่ราษฎรซื้อขายเครื่องบริโภคกันในท้องตลาดมักใช้เบี้ยเป็นพื้น

ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนก่อนรัชชกาลที่ ๔ คงใช้เงินตรามาตามแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นแต่เปลี่ยนตราตามรัชชกาล รัชชกาลที่ ๑ ใช้ตราบัวอุณณาโลม รัชชกาลที่ ๒ ใช้ตราครุฑ รัชชกาลที่ ๓ ใช้ตราปราสาท รัชชกาลที่ ๔ ใช้ตราพระมหามงกุฎ ส่วนตราอีกดวง ๑ ซึ่งบอกนามประเทศ คงใช้ตราจักรเหมือนกันทั้ง ๔ รัชชกาล เป็นเช่นนั้นมาจนในรัชชกาลที่ ๔ ตั้งต้นทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีเปิดการค้าขายกับฝรั่งต่างประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ การค้าขายในกรุงเทพฯ เจริญรวดเร็วเกินคาดหมาย เช่น แต่ก่อนมา มีเรือกำปั่นฝรั่งเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ เพียงราวปีละ ๑๒ ลำ ตั้งแต่ทำหนังสือสัญญาแล้ว ก็มีเรือกำปั่นฝรั่งเข้ามาค้าขายถึงปีละ ๒๐๐ ลำ[1] พวกพ่อค้าก็เอาเงินเหรียญดอลลาร์ซึ่งใช้ในการซื้อขายทางเมืองจีนเข้ามาซื้อสินค้า ราษฎรไทยไม่ยอมรับ ฝรั่งจึงต้องเอาเงินเหรียญดอลลาร์มาขอแลกเงินบาทจากรัฐบาล ก็เงินบาทพดด้วงนั้นช่างหลวงทำที่พระคลังมหาสมบัติ เตาหนึ่งทำได้ราววันละสอง ๒๔๐ บาท เพราะทำแต่ด้วยเครื่องมือ มิได้ใช้เครื่องจักร เตาหลวงมี ๑๐ เตา ระดมกันทำเงินพดด้วงได้แต่วันละ ๒,๔๐๐ บาทเป็นอย่างมาก ไม่พอให้ฝรั่งแลกตามปรารถนา พวกกงสุลพากันร้องทุกข์ว่า เป็นการเสียประโยชน์ของพวกชาวต่างประเทศที่มาค้าขาย พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริจะเปลี่ยนรูปเงินตราสยามจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ (เรียกในครั้งนั้นว่า "เงินแป") ให้ทำได้มากด้วยใช้เครื่องจักร และในเมื่อกำลังสั่งเครื่องจักรนั้น โปรดฯ ให้ประกาศพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ราษฎรรับเงินเหรียญดอลลาร์จากชาวต่างประเทศ แล้วเอามาแลกเงินบาทที่พระคลังมหาสมบัติได้ โดยอัตรา ๓ เหรียญดอลลาร์ต่อ ๕ บาท ราษฎรก็ยังไม่พอใจจะรับเงินดอลลาร์ จึงทรงพระราชดำริแก้ไขให้เอาตราพระมหามงกุฎและตราจักรซึ่งสำหรับตีเงินพดด้วงตีลงเป็นสำคัญในเหรียญดอลลาร์ให้ใช้ไปพลาง[2] ราษฎรก็ยังมิใคร่พอใจจะใช้ ครั้นถึงปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ การสร้างโรงกระษาปณ์สำเร็จ[3] ทำเงินตราสยามเป็นเหรียญ มีตราพระมหามงกุฎกับฉัตรตั้งสองข้างหมายรัชชกาลด้านหนึ่ง ตราช้างเผือกอยู่ในวงจักรหมายประเทศด้านหนึ่ง เป็นเหรียญเงิน ๔ ขนาด คือ บาทหนึ่ง กึ่งบาท สลึงหนึ่ง[4] และโปรดฯ ให้ทำเหรียญทองคำราคาเหรียญละ ๑๐ สลึง (ตรงกับตำลึงจีน) ด้วยอีกอย่างหนึ่ง เมื่อประกาศให้ใช้เงินตราอย่างเหรียญแล้ว เงินพดด้วงก็ยังโปรดฯ อนุญาตให้ใช้อยู่ เป็นแต่ไม่ทำเพิ่มเติมขึ้น

ต่อมาอีก ๒ ปี ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ โปรดฯ ให้โรงกระษาปณ์ทำเหรียญดีบุกขึ้นเป็นเครื่องแลกใช้แทนเบี้ยหอย เหรียญดีบุกนั้นก็มีตราพระมหามงกุฎกับฉัตรและตราช้างในวงจักร ทำนองเดียวกับตราเงินเหรียญ ทำเป็น ๒ ขนาด ขนาดใหญ่ให้เรียกว่า "อัฐ" ราคา ๘ อันเฟื้อง เท่ากับอันละ ๑๐๐ เบี้ย ขนาดเล็กให้เรียกว่า "โสฬศ" ราคา ๑๖ อันเฟื้อง เท่ากับอันละ ๕๐ เบี้ย การใช้เบี้ยหอยก็เป็นอันเลิกแต่นั้นมา

ถึงปีกุน พ.ศ. ๒๔๐๖ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริให้สร้างเหรียญทองคำมีตราทำนองเดียวกับเงินเหรียญขึ้น สำหรับใช้เป็นเครื่องแลก ๓ ขนาด ขนาดใหญ่ให้เรียกว่า "ทศ" ราคา ๑๐ อันต่อชั่งหนึ่ง คือ อันละ ๘ บาท (เท่าราคาทองปอนด์อังกฤษในสมัยนั้น) ขนาดกลางให้เรียกว่า "พิศ" ราคาอันละ ๔ บาท ขนาดเล็ก (คือ เหรียญทองที่ได้สร้างขึ้นแต่แรก) ให้เรียกว่า "พัดดึงส์" ราคาอันละ ๑๐ สลึงเท่ากับตำลึงจีน ดูเหมือนจะเป็นคราวเดียวกับที่ทรงสร้างเหรียญทองเป็นเครื่องแลกนี้เอง พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริสร้าง (ธนบัตร) เครื่องแลกทำด้วยกระดาษ มีตัวอักษรพิมพ์ และประทับพระราชลัญจกร ๓ ดวงเป็นสำคัญทุกใบขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า "หมาย" มีราคาต่าง ๆ กันตั้งแต่ใบละบาท ๑ เป็นลำดับลงมาจนใบละเฟื้อง ๑ แลทรงพระราชดำริสร้าง (เชค) ใบ "พระราชทานเงินตรา" อีกอย่าง ๑ ขนาดแผ่นกระดาษใหญ่กว่า "หมาย" มีตัวอักษรพิมพ์และประทับพระราชลัญจกรด้วยชาด ๒ ดวง ด้วยครามดวง ๑ เป็นลายดุนดวง ๑ เป็นสำคัญทุกใบ มีราคาต่างกัน (ว่าตามตัวอย่างที่มีอยู่เมื่อแต่งหนังสือนี้) ตั้งแต่ "พระราชทานเงินตราชั่งสิบตำลึง" ลงมาจนใบละ ๗ ตำลึง (สันนิษฐานว่า เห็นจะมีต่อลงไปจนใบละตำลึงหนึ่งเป็นอย่างต่ำ) กระดาษทั้ง ๒ อย่างนี้ ใครได้ก็เห็นจะเอาไปขึ้นเงินที่พระคลังมหาสมบัติในไม่ช้า เพราะยังไม่แลเห็นประโยชน์ในการใช้กระดาษเป็นเครื่องแลก ในสมัยนั้นจึงมิได้แพร่หลาย

ครั้นถึงปีฉลู พ.ศ. ๒๔๐๘ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้โรงกระษาปณ์สร้างเหรียญทองแดง มีตราทำนองเดียวกับเหรียญดีบุก เป็นเครื่องแลกอีก ๒ ขนาด มีราคาในระวางเหรียญเงินกับเหรียญดีบุก ขนาดใหญ่ให้เรียกว่า "ซีก" ราคา ๒ อันเฟื้อง ขนาดเล็กให้เรียกว่า "เสี้ยว" ราคา ๔ อันเฟื้อง[5]

เงินตราสยามซึ่งพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริสร้างขึ้นเป็นเหรียญนั้น ที่เป็นเงินและทองแดงใช้ได้ต่อมาดังพระราชประสงค์ แต่ที่เป็นทองคำและเป็นดีบุกเกิดเหตุขัดข้อง ด้วยเหรียญทองคำนั้น ชาวเมืองชอบเอาไปเก็บเสียอย่างทองรูปพรรณ หรือมิฉะนั้น ก็เอาไปทำเครื่องแต่งตัวเสีย ไม่ชอบใช้เป็นเครื่องแลกในการซื้อขาย เหรียญทองเป็นของมีน้อย ก็เลยหมดไป ส่วนเหรียญดีบุกนั้น เมื่อแรกสร้างขึ้น ก็ได้ทรงพระราชปรารภว่า เป็นของอาจสึกหรอและทำปลอมง่าย จึงโปรดฯ ให้เจือทองแดงและดีบุกดำลงในเนื้อดีบุกที่ทำเหรียญให้แข็งผิดกับดีบุกสามัญ ถึงกระนั้น พอใช้เหรียญดีบุกกันแพร่หลาย ไม่ช้าก็มีพวกจีนคิดทำปลอม ครั้นตรวจจับในกรุงเทพฯ แข็งแรง พวกผู้ร้ายก็หลบลงไปซ่อนทำทางหัวเมืองปักษ์ใต้ แล้วลอบส่งเข้ามาจำหน่ายในกรุงเทพฯ เกิดมีเหรียญดีบุกปลอมในท้องตลาดมากขึ้นทุกที จนราษฎรรังเกียจการที่จะรับใช้เหรียญดีบุก ด้วยไม่รู้จะเลือกว่า ไหนเป็นของหลวง และไหนเป็นของปลอม จะกลับใช้เบี้ยหอยก็หาไม่ได้ ด้วยเลิกใช้มาเสียหลายปีแล้ว

เมื่อเริ่มรัชชกาลที่ ๕ เป็นเวลากำลังเกิดการปั่นป่วน ด้วยราษฎรไม่พอใจรับเหรียญดีบุก นัยว่า ถึงตลาดในกรุงเทพฯ แทบจะหยุดการซื้อขายอยู่หลายวัน รัฐบาลจึงต้องรีบวินิจฉัย แล้วออกประกาศเมื่อเดือน ๑๑ แรม ๑๒ ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ (เป็นวันที่ ๑๓ ในรัชชกาลที่ ๕) สั่งให้คนทั้งหลายนำเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกของหลวงมาขึ้นเอาเงิน จะยอมให้เต็มราคาภายใน ๑๕ วัน เมื่อพ้นกำหนดนั้นไปแล้ว ให้ใช้ลดราคาลง เหรียญทองแดงอย่างซีกคงราคาแต่อันละอัฐ ๑ (๘ อันเฟื้อง) อย่างเสี้ยวคงราคาแต่อันละโสฬศ ๑ (๑๖ อันเฟื้อง) เหรียญดีบุกให้ลดราคาลง เหรียญอัฐคงราคาแต่อันละ ๒๐ เบี้ย (๔๐ อันเฟื้อง) อย่างโสฬศคงราคาแต่อันละ ๑๐ เบี้ย (๘๐ อันเฟื้อง) แม้เมื่อรัฐบาลประกาศอัตราราคาอย่างนั้นแล้ว ราษฎรก็ยังลดราคากันโดยลำพังต่อลงไปอีก ใช้อัฐดีบุกเดิมในท้องตลาดเพียงราคาอันละ ๑๐ เบี้ย (๘๐ อันเฟื้อง) โสฬศดีบุกก็ลดราคาลงไปตามกันเป็นอันละ ๕ เบี้ย (๑๖๐ อันต่อเฟื้อง) คำซึ่งเคยเรียกว่า อัฐ และ โสฬศ ก็เรียกกันว่า "เก๊" แต่ใช้กันต่อมาอีกหลายปี

เพราะเกิดลำบากด้วยเรื่องเงินตราดังกล่าวมา รัฐบาลจึงได้ตกลงแต่แรกขึ้นรัชชกาลที่ ๕ ว่า จะสร้างโรงกระษาปณ์ใหม่ให้ใหญ่โตและดีขึ้นกว่าเก่า[6] แต่การที่สร้าง กว่าจะสำเร็จหลายปี ในชั้นแรก จะต้องทำเงินตราประจำรัชชกาลที่ ๕ ขึ้นตามประเพณีเปลี่ยนรัชชกาลใหม่ จึงให้ทำที่โรงกระษาปณ์เดิมไปพลาง เงินเหรียญตรารัชชกาลที่ ๕ ซึ่งสร้างขึ้นชั้นแรกนั้น ด้านหนึ่งเป็นตราพระเกี้ยวยอดมีพานรองสองชั้นและฉัตรตั้งสองข้าง อีกด้านหนึ่งคงใช้รูปช้างเผือกอยู่ในวงจักรเหมือนรัชชกาลที่ ๔ แต่ทำเพียง ๓ ขนาดที่คนทั้งหลายชอบใช้ คือ เหรียญบาท เหรียญสลึง และเหรียญเฟื้อง ในคราวนั้น ยังไม่ได้ทำเหรียญทองแดงสำหรับรัชชกาลที่ ๕ (ด้วยรัฐบาลทราบว่า สั่งให้ทำให้ทำในประเทศอื่นถูกกว่าทำเอง แต่จะให้ทำในอินเดียหรือในยุโรปยังไม่ตกลงเป็นยุติ) ทำแต่เหรียญดีบุกขึ้นใหม่อย่างหนึ่ง ดวงตราทำนองเดียวกับเหรียญเงิน ขนาดขนาดเขื่องกว่าอัฐดีบุกรัชชกาลที่ ๔ สักหน่อยหนึ่ง แต่ให้ใช้ราคาเพียงโสฬศ ๑ คือ ๑๖ อันเฟื้อง เรื่องเงินตราก็เป็นอันเรียบร้อยไปได้คราวหนึ่ง

แต่ต่อมาเมื่อราคาทองแดงและดีบุกสูงขึ้น มีผู้รู้ว่า ราคาเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกที่ใช้กันที่ท้องตลาดในกรุงเทพฯ ต่ำกว่าราคาเนื้อทองแดงและดีบุกซึ่งซื้อขายกันในประเทศอื่น ก็พากันเอาเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกหลอมส่งไปขายเสียประเทศอื่นเป็นอันมาก เป็นเหตุให้มีเหรียญทองแดงและดีบุกมีใช้ในท้องตลาดน้อยลง ก็เกิดการใช้ปี้กระเบื้องกันขึ้นแพร่หลาย ปี้กระเบื้องนั้น เดิมเป็นแต่คะแนนสำหรับเล่นเบี้ยในโรงบ่อน จีนเจ้าของบ่อนคิดทำขึ้นเพื่อให้ใช้ขอลากบนเสื่อสะดวกกว่าเงินตรา เวลาคนไปเล่นเบี้ย ให้เอาเงินแลกปี้มาเล่น ครั้นเลิกแล้ว ก็ให้คืนปี้แลกเอาเงินกลับไป เป็นประเพณีดังนี้ ใครเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยตำบลไหน ก็คิดทำปี้มีเครื่องหมายของตนเป็นคะแนนราคาต่าง ๆ สำหรับเล่นเบี้ยในบ่อนตำบลนั้น การที่เกิดใช้ปี้เป็นเครื่องแลกแทนเงินตราเดิมเกิดขึ้นแต่นักเลงเล่นเบี้ยที่มักง่าย เอาปี้ซื้อของกินตามร้านที่หน้าโรงบ่อน ผู้ขายก็ยอมรับ ด้วยอาจจะเอากลับเข้าไปแลกเป็นเงินได้ที่ในโรงบ่อนโดยง่าย จึงใช้ปี้กระเบื้องกันในบริเวณโรงบ่อนขึ้นก่อน ครั้นเมื่อหาเหรียญทองแดงเหรียญดีบุกของหลวงใช้ยากเข้า ก็ใช้ปี้เป็นเครื่องแลกแพร่หลายห่างบ่อนออกไปทุกที เพราะคนเชื่อว่า อาจจะเอาไปขึ้นเป็นเงินเมื่อใดก็ได้ ฝ่ายนายบ่อนเบี้ย เมื่อจำหน่ายปี้ได้เงินมากขึ้น เห็นได้เปรียบ ก็คิดสั่งปี้กระเบื้องจากเมืองจีนเข้ามาเพิ่มเติม ทำเป็นรูปและราคาต่าง ๆ ให้คนชอบ ตั้งแต่อันละโสฬศ อันละไพสองไพ[7] จนถึงอันละเฟื้อง สลึง สองสลึง เป็นอย่างสูง มีทุกบ่อนไป ก็แต่ลักษณอากรบ่อนเบี้ยนั้นต้องว่า ประมูลกันใหม่ทุกปี เมื่อสิ้นปีลง นายอากรคนไหนไม่ได้ทำอากรต่อไป ก็กำหนดเวลาให้คนเอาปี้บ่อนของตนไปแลกเงินคืนภายใน ๑๕ วัน พ้นกำหนดไป ไม่ยอมรับ การอันนี้กลายเป็นทางที่เกิดกำไรเพิ่มผลประโยชน์แก่นายอากรบ่อนเบี้ยอีกทางหนึ่ง ฝ่ายราษฎรถึงเสียเปรียบก็มิสู้รู้สึกเดือดร้อน ด้วยได้ใช้ปี้เป็นเครื่องแลกกันในการซื้อขายแทนเหรียญทองแดงและดีบุกซึ่งหายาก ก็ไม่มีใครร้องทุกข์ เป็นเช่นนี้มาปีกุน พ.ศ. ๒๔๑๘ รัฐบาลจึงต้องประกาศห้ามมิให้นายอากรบ่อนเบี้ยทำปี้[8] แต่ในเวลานั้น เหรียญทองแดงซึ่งสั่งให้ทำในยุโรปยังไม่สำเร็จ ต้องออกธนบัตรราคาใบละอัฐ ๑ ให้ใช้กันในท้องตลาดอยู่คราวหนึ่ง จึงได้จำหน่ายเหรียญทองแดงประจำรัชชกาลที่ ๕ ให้ใช้กันในบ้านเมือง ทำเป็น ๓ ขนาด คือ เสี้ยว อัฐ โสฬศ มีตราพระจุลมงกุฎอยู่บนอักษรพระนาม จ.ป.ร. ด้าน ๑ อักษรบอกราคาด้าน ๑ เหมือนกันหมดทุกขนาด[9]

ส่วนเงินเหรียญนั้น เมื่อได้สั่งเครื่องจักรจากเมืองอังกฤษตั้งเป็นโรงกระษาปณ์ขึ้นใหม่แล้ว ก็ได้เริ่มทำเงินเหรียญออกจำหน่ายเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ เงินเหรียญที่ทำคราวนี้ทำเป็น ๓ ขนาด คือ เหรียญบาท เหรียญสลึง เหรียญเฟื้อง พิกัตอัตราอย่างเดียวกับที่ได้ทำมาแต่ก่อน แต่ดวงตราที่ประจำเงินนั้น ด้านหนึ่งเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครึ่งพระองค์ มีหนังสืออยู่รอบพระบรมรูปนั้นว่า "สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ด้านหนึ่งมีตราอาร์มแผ่นดินซึ่งคิดผูกขึ้นในรัชชกาลที่ ๕ มีหนังสือในพื้นเงินดวงตราว่า "กรุงสยาม รัชชกาลที่ ๕" และบอก "ราคา ๑ บาท" เหรียญสลึงและเหรียญเฟื้องก็มีลักษณอย่างเดียวกัน แต่ตราแผ่นดินนั้นเป็นอย่างย่อขนาดน้อย มีบอกราคา ๑ สลึง ๑ เฟื้อง เงินตรา ๓ ขนาดนี้ได้ใช้ต่อมา

ในปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ นั้น โปรดฯ ให้สร้างเหรียญทองแดงซีกขึ้นอีกอย่าง ๑ ด้วยขุนพัฒน์ นายบ่อน ร้องว่า ทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ เล็กบางให้ขอเกี่ยวไม่ถนัด ลักษณทองแดงซีกก็เหมือนกับทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ ที่ทำเมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๑๘ นั้น เหรียญทองแดงชะนิดนี้จึงมี ๔ ขนาดด้วยกัน ใช้อยู่อย่างนี้จนถึงปีกุน พ.ศ. ๒๔๓๐ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ ขึ้นใหม่ พิกัตอัตราเท่ากับทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ เดิม เป็นแต่เปลี่ยนตราใหม่ คือ หน้าหนึ่ง ตรงกลาง มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอักษรโดยรอบว่า "จุฬาลงกรณ์ ป.ร. พระจุลจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม" อีกด้านหนึ่ง ตรงกลาง มีรูปพระสยามเทวาธิราชถือพระแสงธารพระกรนั่งบนโล่ห์วางบนแท่น โล่ห์นั้นกั้นเป็น ๓ ห้อง ห้องบนมีรูปช้าง ๓ เศียร ด้านขวารูปช้างยืน ด้านซ้ายรูปกริชไขว้กัน ๒ เล่ม มีอักษรบอกหนึ่งเสี้ยว หนึ่งอัฐ หนึ่งโสฬศ ตามขนาด เหรียญทองแดงทั้ง ๓ ขนาดนี้คงใช้กันมาควบกับเหรียญทองแดงอย่างเก่าตลอดมาจนถึงปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๓๔ เหรียญทองแดงสูญหายเบาบางลง จึงโปรดฯ ให้สร้างเหรียญทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ เพิ่มเติมขึ้น ลักษณอย่างเดียวกับเหรียญทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ ซึ่งสร้างเมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๓๐ แปลกแต่ตราพระบรมรูปและตราพระสยามเทวาธิราชไม่กลับกันอย่างของเดิม เบื้องบนและเบื้องล่างตรงไปทางเดียวกัน กับเปลี่ยนเลขประจำปีที่สร้างเท่านั้น.

ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๔๑ รัฐบาลคิดเห็นกันว่า ลักษณการทำบัญชีเงินแต่เดิมนั้นมีช่องบอกว่า ชั่ง บาท อัฐ เมื่อพ้นชั่งขึ้นไปจึงนับเป็นเรือนร้อยเรือนพัน บัญชีมักไขว้กันไม่สะดวก จึงคิดทำเหรียญทองขาวขึ้นใช้เรียกว่า สตางค์ (ส่วนของร้อย) คือ ๑๐๐ สตางค์เป็น ๑ บาท เพื่อง่ายแก่การบัญชี มีช่องแต่เพียงบาทกับสตางค์เท่านั้น เงินจะมากน้อยเท่าใดก็ต่อตัวเลขขึ้นไปเป็นสิบเป็นร้อย ไม่ต้องหักต้องทอน เป็นการง่ายรวดเร็วกว่าของเดิม สตางค์ที่สร้างขึ้นคราวนี้สร้างด้วยทองขาวเป็น ๔ ขนาด ด้านหนึ่งมีรูปช้าง ๓ เศียร มีอักษรว่า "สยามราชอาณาจักร" เหมือนกันทั้ง ๔ ขนาด ๆ ที่ ๑ ด้านหนึ่งมีตัวอักษรว่า ยี่สิบสตางค์ และมีเลข ๒๐ ตัวใหญ่อยู่ตรงกลาง เป็นราคา ๒๐ สตางค์ ใช้ ๕ อันเป็น ๑ บาท ขนาดที่ ๒ มีตัวอักษรว่า สิบสตางค์ มีเลข ๑๐ ตัวใหญ่อยู่กลาง ราคา ๑๐ สตางค์ ใช้ ๑๐ อันเป็นหนึ่งบาท ขนาดที่ ๓ มีตัวอักษรว่า ห้าสตางค์ มีเลข ๕ ตัวใหญ่อยู่กลาง ราคา ๕ สตางค์ ใช้ ๒๐ อันเป็น ๑ บาท ขนาดที่ ๔ มีตัวอักษรว่า สองสตางค์กึ่ง มีเลข ๒ / ตัวใหญ่อยู่กลาง ราคา ๒ สตางค์กึ่ง ใช้ ๔๐ อันเป็น ๑ บาท

สตางค์ทองขาวที่สร้างขึ้นใหม่นี้ใช้รวมไปกับเหรียญทองแดงเสี้ยว อัฐ และโสฬศเก่าทั้ง ๒ ชะนิด จนประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตราทองคำเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ จึงเลิกใช้เปลี่ยนเป็นเหรียญกระษาปณ์ทองขาวและทองแดง ๓ ชะนิด คือ ทองขาวราคา ๑๐ สตางค์ ทองขาวราคา ๕ สตางค์ ทองแดงราคา ๑ สตางค์ ด้านหน้ามีอุณณาโลม อักษรจารึกว่า "สยามรัฐ" และราคา ด้านหลังมีรูปจักรและศักราช เจาะวงตรงกลาง อย่างที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้.


  1. ข้อนี้กล่าวไว้ในหนังสือบางกอกคาเลนดาของหมอบรัดเล เล่ม ค.ศ. ๑๘๖๙
  2. เหรียญดอลลาร์ตีตราพระมหามงกุฎกับตราจักรยังมีเหลืออยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้หายาก
  3. โรงกระษาปณ์ที่กล่าวนี้ ตัวตึกยังอยู่ข้างฟากตะวันออกถนนประตูสุวรรณบริบาล เดี๋ยวนี้ใช้เป็นคลังชาวที่ สร้างขึ้นตรงโรงทำเงินพดด้วงของเดิม การสร้างโรงกระษาปณ์ มีเรื่องปรากฏว่า สั่งเครื่องจักรมาจากเมืองเบอมิงฮัม ประเทศอังกฤษ และเรียกช่างอังกฤษเข้ามาสำหรับตั้งเครื่องจักรด้วย แต่ช่างคนนั้นมาตายลงก่อนตั้งเครื่องจักร พระวิสูตรโยธามาตย์ (โหมด อมาตยกุล) รับอาสาตั้งเครื่องจักรโรงกระษาปณ์ได้โดยลำพัง จึงโปรดฯ ให้เป็นเจ้ากรมโรงกระษาปณ์ต่อมา
  4. ยังมีเงินเหรียญขนาดตำลึง (๔ บาท) ขนาดกึ่งตำลึง และขนาดกึ่งเฟื้อง แต่มิได้ใช้เป็นเครื่องแลก
  5. เหรียญซีกและเสี้ยวเดิมทำหนา พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรยทาน เหรียญซีกไปถูกศีร์ษะคนแตก จึงโปรดฯ ให้ทำให้บางลง
  6. คือ ตึกที่อยู่ทางตะวันตกแห่งประตูสุวรรณบริบาลบัดนี้
  7. คำว่า "ไพ" มาแต่คนจีนว่า "ไพปา" ราคาไพ ๑ เท่ากับ ๒ อัฐ
  8. มีผู้ได้ลองรวบรวมตัวอย่างปี้กระเบื้องต่าง ๆ ซึ่งพวกจีนนายบ่อนคิดทำขึ้น ได้กว่า ๒,๐๐๐ อย่าง
  9. ความต่อไปนี้ พระพินิจวรรณการ แต่งต่อ

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก