นิทานโบรานคดี/นิทานที่ 11
จะเล่าถึงเรื่องโจรแปลกประหลาดที่ฉันได้เคยรู้จัก 2 คน ชื่อว่า โจรทิม ชาวเมืองอินทบุรีคนหนึ่ง โจรจันท์ ชาวเมืองปทุมธานีคนหนึ่ง จะเล่าเรื่องของโจรทิมก่อน
เมื่อ พ.ส. 2433 ฉันยังเปนตำแหน่งอธิบดีกะซวงธัมการซึ่งกำหนดว่า จะยกขึ้นเปนกะซวงเสนาบดี จึงซงพระกรุนาโปรดไห้ฉันนั่งไนที่ประชุมเสนาบดีแต่ไนเวลานั้น ค่ำวันหนึ่ง พระบาทสมเด็ดพระจุลจอมเกล้าเจ้าหยู่หัวสเด็ดลงประทับที่ประชุมเสนาบดีนะมุขกะสันพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตามเคย แต่คืนวันนั้นมีราชการน้อย พอปรึกสาสิ้นระเบียบวาระแล้ว สมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวงตรัดว่า ได้ซงรับดีกานักโทสไนคุกทูนเกล้าฯ ถวายทางไปรสนีย์ฉบับหนึ่งหยู่ข้างแปลกประหลาด โปรดไห้อ่านไห้เสนาบดีฟัง เปนดีกาของอ้ายทิม นักโทสชาวเมืองอินทบุรี ต้องจำคุกด้วยเปนโจรปล้นทรัพย์ ความที่กราบบังคมทูนไนดีกาว่า ตั้งแต่อ้ายทิมต้องจำคุก พัสดีจ่ายไห้ไปทำการไนกองจักสาน ได้ฝึกหัดจักสานมาจนชำนาญ จึงคิดว่า จะพยายามไนกะบวนจักสานไม่ไห้ฝีมือไครสู้ได้หมดทั้งคุก แล้วจะทำของสิ่งไดสิ่งหนึ่งทูนเกล้าฯ ถวายไห้ซงเห็นฝีมือ ถ้าและโปรดของสิ่งนั้น จะขอพระราชทานโทสไห้พ้นเวรจำออกบวดเปนพระภิกสุจำสีลภาวนาต่อไปไม่ประพรึติชั่วร้ายเหมือนหนหลังจนตลอดชีวิต บัดนี้ อ้ายทิมต้องจำคุกมา 10 ปี ได้พยายามทำสิ่งของนั้นสำเหร็ดดังตั้งไจแล้ว ขอพระราชทานทูนเกล้าฯ ถวาย ถ้าโปรดฝีมือที่ทำนั้น อ้ายทิมขอพระราชทานโทสสักครั้งหนึ่ง ไนท้ายดีกาอ้างว่า ถ้าความที่กราบทูนเปนความเท็ดแต่ข้อไดข้อหนึ่ง ขอรับพระราชอาญาถึงประหารชีวิต
ตรงนี้จะต้องแซกอธิบายสักหน่อย ด้วยไนสมัยนั้นยังไม่ได้ตั้งประมวนกดหมาย ยังไช้ประเพนีเดิมซึ่งจำคุกโจรผู้ร้ายไม่มีกำหนดเวลาว่า จะต้องจำหยู่นานเท่าได จะพ้นจากเวรจำได้แต่ด้วยพระเจ้าแผ่นดินซงพระกรุนาโปรดยกโทสพระราชทาน นักโทสไนคุกจึงต้องถวายดีกาขอพระราชทานโทส ชั้นเดิมมักไห้ญาติพี่น้องถวายดีกาแทนตัว ครั้นมีการไปรสนีย์เกิดขึ้น ก็ถวายดีกาทางไปรสนีย์ จำนวนดีกาคนคุกขอพระราชทานโทสจึงมีมาก แต่พระเจ้าหยู่หัวซงตั้งกำหนดเวลาไว้ตามพระราชนิยมว่า คนโทสหย่างไดต้องติดเวรจำมาได้เท่าไดแล้ว หรือว่า ได้ทำความชอบพิเสสหย่างได จึงซงพิจารนา ถ้าถวายดีกาไม่เข้าไนเกนท์ ก็ยกดีกาเสีย ดีกาของอ้ายทิมเข้าไนเกนท์ที่จะได้รับพระราชวินิจฉัย เพราะต้องจำคุกมาถึง 10 ปีแล้ว
เมื่ออ่านดีกาอ้ายทิมไนที่ประชุมแล้ว ดำหรัดสั่งกรมพระนเรสวรริทธิ์ เมื่อยังดำรงพระยสเปนกรมหมื่น และเปนผู้บันชาการกะซวงนครบาลหยู่ไนเวลานั้น ไห้ไปสอบสวนดูว่า คำที่อ้ายทิมนักโทสอ้างไนดีกามีจิงเพียงไร ถึงคราวประชุมหน้า กรมพระนเรสฯ นำกาถังน้ำร้อนที่อ้ายทิมได้สานไว้ไบหนึ่งเข้าไปถวาย และกราบทูนว่า คำที่อ้ายทิมอ้างนั้น สอบสวนได้ความจิงทุกข้อ พระเจ้าหยู่หัวทอดพระเนตรกาถัง เห็นเปนฝีมือหย่างประนีตดีจิง มีพระราชดำหรัดว่า "มันพูดจิง ฉันก็จะไห้มันเห็นผลความจิง" จึงซงพระกรุนาโปรดยกโทสพระราชทานอ้ายทิม แล้วดำหรัดสั่งกรมพระนเรสฯ ไห้ส่งตัวไปไห้ฉันผู้เปนอธิบดีกะซวงธัมการจัดการบวดอ้ายทิมเปนนาคของหลวงบวดพระราชทาน
สมัยนั้น นักโทสยังต้องจองจำหยู่ไนคุกเดิมที่หน้าคุกพระเชตุพนฯ เมื่อกรมนครบาลคุมตัวโจรทิมไปส่ง ฉันแลเห็นดูผิดมนุสจนน่าสังเวช ด้วยผมยาวรุงรังไปทั้งหัว เนื้อตัวก็ขมุกขมอมหย่างว่า "ขี้ไคลท่วมหัว" มีแต่ผ้าขาดนุ่งติดตัวไป แต่สังเกตดูกิริยาอัชชาสัยเรียบร้อย รุ่นราวเปนกลางคน อายุสัก 40 ปีเสส ฉันรับตัวไว้แล้วต้องเริ่มด้วยไห้อาบน้ำถูขี้ไคลตัดผม แล้วไห้เครื่องนุ่งห่มไหม่ และจัดไห้หยู่ไนบ้านฉันจนกว่าจะบวด แต่แรก คนไนบ้านออกจะพากันกลัวด้วยได้ยินว่าเปนโจร ต่อเมื่อรู้เรื่องที่โจรทิมทูนขอโทส จึงพากันสงสารสิ้นรังเกียดช่วยอุปการะเลี้ยงดูด้วยเมตตาจิตทั่วทั้งบ้าน ส่วนการที่จะบวดนั้น ฉันปรึกสากับเจ้าพระยาวิชิตวงส์วุทธิไกร (ม.ร.ว.คลี่ สุทัสน์) เวลานั้นยังเปนที่พระยาวุทธิการบดี ปลัดทูนฉลองกะซวงธัมการ เห็นว่า ควนไห้บวดหยู่วัดพระเชตุพนฯ ไห้ไปบอกพระราชาคนะเจ้าอาวาสก็ยินดีจะรับพระทิมไว้ไนวัดนั้น ฉันไห้ไปเบิกผ้าไตรกับเครื่องบริขารของหลวงมาแล้ว ถึงวันกำหนด จึงไห้นายทิมแต่งตัวนุ่งผ้ายกสวมเสื้อครุยตามแบบนาคหลวง แล้วพาตัวขึ้นรถไปยังวัดพระเชตุพนฯ ด้วยกันกับเจ้าพระยาวิชิตวงส์ฯ มีพวกข้าราชการไนกะซวงธัมการและกะซวงนครบาลกับทั้งพวกที่บ้านของฉันพากันไปช่วย ข้างฝ่ายพระสงค์ พระราชาคนะกับพระถานานุกรมคนะปรกก็พร้อมเพรียงกันทำพิธีอุปสมบทที่ไนพระอุโบสถ ดูครึกครื้นสมกับที่เปนนาคหลวง
เมื่อบวดเส็ดแล้ว พระทิมหยู่ที่วัดพระเชตุพนฯ 2 พรรสา ไนระหว่างนั้น ตัวฉันย้ายไปเปนเสนาบดีกะซวงมหาดไทยเมื่อ พ.ส. 2435 ไนปีนั้นเอง วันหนึ่ง พระทิมมาหาบอกว่า เมื่อจำพรรสาที่ 2 หยู่ที่วัดพระเชตุพนฯ เกิดอาพาธเปนโรคเหน็บชา Beri-beri รักสาตัวมาพอค่อยคลายขึ้นบ้าง แต่ยังอ่อนเพลีย เทออยากจะขึ้นไปหยู่วัดที่เมืองอินทบุรี ด้วยมีญาติโยมหยู่ไนเมืองนั้น เจ็บไข้พอจะได้อาสัยความอุปการะของเขา ถามว่า ฉันจะรังเกียดหรือไม่ ฉันตอบว่า ตัวเทอนั้นพระเจ้าหยู่หัวได้พระราชทานโทสโปรดบวดไห้เปนโสดแก่ตัวแล้ว จะไปไหนหรือหยู่ที่ไหนก็ได้ตามชอบไจ แต่ที่เทอมาปรึกสาฉันก่อนนั้นก็ดีหยู่ ฉันจะมีท้องตราไปฝากไห้เจ้าเมืองกรมการเขาช่วยอุปการะด้วย แต่เมื่อขึ้นไปหยู่เมืองอินท์ ถ้าเทอจะย้ายไปหยู่ที่ไหนต่อไป ไห้บอกเจ้าเมืองกรมการไห้เขารู้เสียก่อนจึงจะดี เทอรับคำ ฉันก็ไห้ทำท้องตราไห้เทอถือขึ้นไปยังเมืองอินท์ แต่นั้น พระทิมก็เงียบหายไปกว่าปี
ครั้นถึง ร.ส. 112 (พ.ส. 2436) ไนเวลากำลังไทยวิวาทกันกับฝรั่งเสส วันหนึ่ง ฉันลงมาจากบนเรือน เห็นพระทิมมานั่งคอยหยู่ที่ท้องพระโรง ฉันถามเทอว่า มีกิจธุระอะไรหรือ พระทิมตอบว่า "อาตมภาพหยู่ที่เมืองอินท์ ได้ยินว่า มีสึกฝรั่งเสสมาติดเมือง อาตมภาพคิดถึงพระเดชพระคุนของพระเจ้าหยู่หัวซึ่งได้ซงพระกรุนาแก่อาตมภาพมาแต่ก่อน เมื่ออาตมภาพยังเปนหนุ่ม ได้เคยเรียนคาถาอาคมสำหรับต่อสู้สัตรูหยู่บ้าง จึงลงมาเฝ้า หมายจะถวายพระพรลาสึกไปอาสารบฝรั่งเสสสนองพระเดชพระคุนพระเจ้าหยู่หัว เมื่อเส็ดการรบพุ่งแล้ว ถ้ารอดชีวิตหยู่ ก็จะกลับบวดอีกหย่างเดิม" ฉันได้ฟัง นึกรักไจพระทิม จึงตอบว่า ฉันจะต้องไปกราบทูนก่อน เพราะเมื่อเทอบวด เปนนาคหลวงของพระเจ้าหยู่หัว ไห้เทอพักรอฟังหยู่ที่บ้าน ฉันไปกราบทูนสมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวง ก็ชอบพระราชหรึทัย ออกพระโอถว่า "มนุสเรานี้ ถึงตกต่ำจนเปนโจรผู้ร้ายแล้ว ถ้ากลับไจได้จิง ๆ ก็ยังเปนคนดีได้" โปรดไห้ฉันเชินกะแสรับสั่งไปบอกพระทิมว่า ซึ่งมีความกตัญญูคิดจะสนองพระเดชพระคุนนั้น ซงขอบไจนัก แต่การรบพุ่งไช้แต่คนฉกันที่ยังมีกำลังมาก พระทิมอายุมากเกินขนาดเสียแล้ว ไห้บวดเอาบุญต่อไปเถิด เทอได้ฟังกะแสรับสั่งหย่างนั้นก็ลากลับไป แต่นั้นมา ฉันจะได้พบกับพระทิมอีกบ้างหรือหย่างไรจำไม่ได้ แต่ไม่มีกิจเกี่ยวข้องต้องคิดถึงพระทิมมาหลายปี
จนถึงครั้งหนึ่ง จะเปนเมื่อปีไดจำไม่ได้ ฉันได้รับไบบอกมาจากเมืองอินทบุรีว่า พระทิมอาพาธถึงมรนะภาพ เขาเห็นว่า เทอเปนพระที่พระเจ้าหยู่หัวโปรดบวดพระราชทาน และฉันได้สั่งไห้อุปการะ จึงปรึกสากับพวกญาติไห้รอการปลงสพพระทิมไว้ บอกมาไห้ฉันซาบก่อน ฉันเห็นว่า พระเจ้าหยู่หัวเคยซงพระกรุนาแก่พระทิมมาแต่ก่อน จึงนำความขึ้นกราบทูนว่า พระทิมถึงมรนะภาพเสียแล้ว มีพระราชดำหรัดว่า พระทิมเปนคนซื่อสัจ ถึงไม่ซงรู้จักตัว ก็ได้ซงอุปการะมาแต่ก่อน โปรดไห้ฉันเบิกสิลาหน้าเพลิงกับผ้าสำหรับชักบังสุกุลเปนของหลวงส่งไปพระราชทานเพลิงสพพระทิม เพราะฉะนั้น งานสพพระทิมก็กลายเปนหย่างสพกรมการที่ได้พระราชทานสัญญาบัตร ด้วยมีข้าหลวงพระราชทานเพลิงและมีกรมการไปช่วยงานเปนเกียรติยส สิ้นเรื่องประวัติพระโจรทิมเพียงเท่านี้ พิเคราะห์ดูสมกับคำสุภาสิตโบรานซึ่งว่า "ไม้ต้นคดปลายตรงยังดัดเอาดีได้ ถ้าปลายคดถึงต้นจะตรงก็ไช้ไม่ได้" จึงเขียนเรื่องรักสาไว้มิไห้สูญเสีย
เมื่อ พ.ส. 2446 มีโจรพวกหนึ่งสมคบกันเที่ยวปล้นไนแขวงจังหวัดปทุมธานี จังหวัดอยุธยา และจังหวัดสุพรรนบุรีเนือง ๆ ถึงเดือนกรกดาคม โจรพวกนั้นปล้นไล่ฝูงกะบือไนแขวงจังหวัดปทุมธานี แล้วไปปล้นที่บ้านชีปะขาวไนแขวงจังหวัดสุพรรนบุรีอีกแห่งหนึ่งติด ๆ กัน เวลานั้น เจ้าพระยาสรีวิชัยชนินทร์ (ชม สุนทรารชุน) ยังเปนพระยาสุนทรบุรีฯ สมุหเทสาภิบาลมนทลนครชัยสรี เปนผู้เข้มแข็งขึ้นชื่อไนการปราบโจรผู้ร้าย สามารถจับโจรพวกนั้นที่เปนชาวเมืองสุพรรนได้หลายคน ไห้การรับเปนสัจซัดพวกเพื่อน จึงไห้จับโจรที่เปนชาวเมืองอื่นเอาไปรวมกันชำระที่เมืองนครปถม
ไนเวลากำลังชำระโจรพวกนั้น วันหนึ่ง ฉันออกไปเมืองนครปถมเพื่อจะผ่อนพักไนเวลาราชการเบาบางตามเคย เห็นตำหรวดภูธรคุมนักโทสคนหนึ่งขึ้นรถไฟที่สถานีบางกอกน้อยไปพร้อมกับฉัน แล้วไปลงที่สถานีพระปถมเจดีย์ ฉันถามได้ความว่า เปนพวกโจรรายที่กำลังชำระคนหนึ่งซึ่งจับตัวไปจากเมืองปทุมธานี ค่ำวันนั้น เจ้าพระยาสรีวิชัยฯ มากินอาหารด้วยกันกับฉันตามเคย แต่พอกินแล้วท่านขอลาว่า จะต้องไปชำระผู้ร้าย ฉันถามว่า เหตุไฉนจึงต้องไปชำระเอง ท่านบอกว่า โจรคนที่ได้ตัวมาไหม่ไนวันนั้นเปนตัวสำคันนัก ที่เมืองปทุมธานีเรียกกันว่า "จันท์เจ้า" เปนหัวหน้าของผู้ร้ายพวกนั้นทั้งหมด ถ้าไห้คนอื่นชำระ เกรงจะไม่ได้ความจิง ถึงคืนต่อมา เมื่อกินอาหารด้วยกัน ฉันถามว่า ชำระผู้ร้ายได้ความหย่างไร ท่านตอบแต่ว่า "ยังถวายรายงานไม่ได้" จนถึงคืนที่ 4 เวลาเจ้าพระยาสรีวิชัยฯ มากินอาหาร ดูยิ้มแย้มแจ่มไส ฉันถามถึงการชำระผู้ร้าย ท่านบอกว่า โจรจันท์เจ้ารับเปนสัจแล้ว
แต่ก่อนมา ฉันยังไม่เคยรู้จักตัวหัวหน้านายโจร หรือที่เรียกกันตามคำโบรานว่า "มหาโจร" นึกหยากรู้จักโจรจันท์เจ้า จึงบอกเจ้าพระยาสรีวิชัยฯ ว่า เมื่อท่านชำระสะสางโจรจันท์เจ้าเส็ดสิ้นสำนวนแล้ว ขอไห้คุมตัวมาไห้พบกับฉันสักหน่อย ท่านไห้คุมมาไนวันรุ่งขึ้น พอฉันแลเห็นก็นึกประหลาดไจ ด้วยดูเปนคนสุภาพ รูปพรรนสันถานไม่มีลักสนะหย่างไดที่จะส่อว่า ไจคอเหี้ยมโหดถึงเปนตัวหัวหน้านายโจร เมื่อพูดด้วย ถ้อยคำที่ตอบก็เรียบร้อยเหมือนหย่างเคยเพ็ดทูนเจ้านายมาแต่ก่อน ฉันออกพิสวง จึงถามว่า ได้เคยเฝ้าแหนเจ้านายมาแต่ก่อนบ้างหรือ โจรจันท์ตอบว่า ได้เคยเฝ้าหลายพระองค์ ที่เคยซงไช้สอยก็มี ฉันยิ่งสงสัย ถามว่า "ก็แกเปนโจร เจ้านายท่านไม่ซงรังเกียดหรือ" โจรจันท์ตอบว่า "เจ้านายท่านไม่ซงซาบว่าเปนโจร หย่าว่าแต่เจ้านายเลย ถึงคนอื่น ๆ ก็ไม่มีไครรู้ว่าเปนโจร รู้แต่ไนพวกโจรด้วยกันเท่านั้น" เพราะพวกโจรต้องระวังตัวกลัวถูกจับด้วยกันทั้งนั้น เรียกกันว่า "นักเลง" คนอื่นก็เลยเรียกว่า นักเลง หมายความแต่ว่า เปนคนกว้างขวาง นักเลงคนไหนมีพวกมาก ก็เรียกกันว่า "นักเลงโต" นักเลงที่ไม่เปนโจรก็มี แต่นักเลงเปนคนกว้าง รับไช้สอยได้คล่องแคล่ว ผู้มีบันดาสักดิ์จึงชอบไช้ ก็ได้คุ้นเคยกับผู้มีบันดาสักดิ์ด้วยเหตุนั้น ฉันไถ่ถามความข้ออื่นต่อไป โจรจันท์ก็เล่าไห้ฟังโดยซื่อแม้จนลักสนะที่ทำโจรกัม คงเปนเพราะเห็นว่า ได้รับสารภาพความผิดต่อเจ้าพระยาสรีวิชัยฯ หมดแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องปกปิดต่อไป แต่การที่ถามโจรจันท์ ความประสงค์ของเจ้าพระยาสรีวิชัยฯ กับความประสงค์ของตัวฉันผิดกัน เจ้าพระยาสรีวิชัยฯ ประสงค์รู้เรื่องปล้นเมื่อเดือนกรกดาคมเปนสำคัน แต่ตัวฉันหยากรู้วิธีของโจรผู้ร้ายทั่วไป ไม่ฉเพาะแต่เรื่องที่โจรจันท์ถูกจับ ฟังคำอธิบายของโจรจันท์จึงเลยออกสนุก ยิ่งฟังไปก็ยิ่งตระหนักไจว่า โจรจันท์ชำนิชำนาญการโจรกัมสมกับที่เปนนายโจร ฉันถามถึงกะบวนโจรกัมหย่างได ๆ โจรจันท์พรรนนาได้ทั้งหมดว่า ทำหย่างนั้น ๆ ดังจะเขียนไห้พอเปนตัวหย่างต่อไปนี้
ถามว่า การที่โจรปล้นเรือนนั้น เขาว่า มักมีคนที่หยู่ไกล้กับเจ้าทรัพย์เปนสาย จิงหรือ
ตอบว่า การที่ปล้นนั้นจำต้องมีสาย ถ้าไม่มีสายก็ปล้นไม่ได้
ถามว่า เพราะเหตุไดไม่มีสายจึงปล้นไม่ได้
ตอบว่า พวกโจรต้องอาสัยผู้เปนสายหลายหย่าง เปนต้นแต่ผู้เปนสายไปบอก พวกโจรจึงรู้ว่า บ้านไหนมีทรัพย์ถึงสมควนจะปล้น และการที่จะปล้นนั้น พวกโจรต้องเอาชีวิตเสี่ยงภัย พวกโจรก็รักชีวิตเหมือนกัน ต้องสืบสวนและไล่เลียงผู้เปนสายไห้รู้แน่นอนก่อนว่า เจ้าทรัพย์มีกำลังจะต่อสู้สักเพียงไร เพื่อนบ้านเรือนเคียงอาดจะช่วยเจ้าทรัพย์ได้หย่างไร ทางที่จะเข้าไห้ถึงบ้านเจ้าทรัพย์เปนหย่างไร และต้องสืบหาโอกาสเวลาเจ้าทรัพย์เผลอหรือเวลาไม่หยู่ เปนต้น จนแน่ไจว่า มีกำลังกว่าเจ้าทรัพย์ตั้งเท่าหนึ่ง พวกโจรจึงจะปล้น การที่ปล้นนั้น ผู้เปนสายมักเปนต้นคิดไปชักชวนพวกโจรมาปล้น พวกโจรหาต้องหาคนเปนสายไม่
ถามว่า คนชนิดไดที่เปนสายไห้โจรปล้นบ้าน
ตอบว่า มักหยู่ไนคน 3 ชนิด คือ คนรับไช้หยู่ไนบ้านเจ้าทรัพย์ที่หยากได้เงิน ชนิดหนึ่ง เพื่อนบ้านที่เปนอริคิดล้างผลานเจ้าทรัพย์ ชนิดหนึ่ง ญาติที่โกรธเจ้าทรัพย์เพราะขอเงินไม่ไห้ ชนิดหนึ่ง
ถามว่า โจรที่ปล้นขึ้นเรือนนั้นไฉนจึงรู้ว่า เขาเก็บเงินทองไว้ที่ไหน
ตอบว่า ประเพนีของโจรปล้น เมื่อขึ้นเรือนได้แล้ว หมายจับตัวเจ้าทรัพย์หรือคนไนเรือนเปนสำคัน เพราะพวกโจรไม่รู้ว่า เงินทองเก็บไว้ที่ไหน ต้องขู่หรือทำทุรกัมบังคับไห้คนไนเรือนนำชี้ จึงได้ทรัพย์มาก ถ้าจับตัวคนไนเรือนไม่ได้ พวกโจรต้องค้นหาเอง มักได้ทรัพย์น้อย เพราะการปล้นต้องรีบไห้แล้วโดยเร็ว มิไห้ทันพวกชาวบ้านมาช่วย
ถามว่า การที่จับตัวเจ้าทรัพย์บังคับถามนั้น ไม่กลัวเขาจำหน้าได้หรือ
ตอบว่า แต่ก่อนมา โจรที่ขึ้นเรือนไช้มอมหน้ามิไห้เจ้าทรัพย์รู้จัก แต่เมื่อการปกครองมีกำนันผู้ไหย่บ้าน เวลาเกิดปล้น ผู้ไหย่บ้านมักเรียกลูกบ้านมาตรวด จะล้างหน้าไปรับตรวดไม่ทัน พวกโจรจึงคิดวิธีไหม่ ไห้โจรที่หยู่ถิ่นถานห่างไกลเจ้าทรัพย์ไม่รู้จักเปนพนักงานขึ้นเรือน ไม่ต้องมอมหน้าเหมือนแต่ก่อน ไห้โจรที่หยู่ไกล้เปลี่ยนไปเปนพนักงานซุ่มระวังทางหยู่ไนที่มืด
ถามว่า โจรชนิดไหนที่เรียกกันว่า "อ้ายเสือ"
ตอบ คำว่า "อ้ายเสือ" นั้นมิไช่ชื่อสำหรับเรียกตัวโจร เปนแต่คำสัญญาที่หัวหน้าสั่งการไนเวลาปล้น เปนต้นแต่เมื่อลอบเข้าไปรายล้อมบ้านแล้ว พอจะไห้ลงมือปล้นหย่างเปิดเผย หัวหน้าร้องบอกสัญญาว่า "อ้ายเสือเอาวา" พวกโจรก็ยิงปืนและเข้าพังประตูบ้าน เมื่อเข้าบ้านได้แล้ว หัวหน้าร้องบอกสัญญาว่า "อ้ายเสือขึ้น" พวกที่เปนพนักงานขึ้นเรือนต่างก็ขึ้นทุกทางที่จะขึ้นเรือนได้ เมื่อปล้นแล้ว หัวหน้าร้องบอกสัญญาว่า "อ้ายเสือถอย" ต่างก็ลงจากเรือพากันกลับไป แต่ถ้าไปเสียที เห็นจะปล้นไม่สำเหร็ด หัวหน้าร้องบอกสัญญาว่า "อ้ายเสือล่า" ต่างคนต่างก็หนีเอาตัวรอด เปนคำสัญญากันหย่างนี้
พึงเห็นได้ตามคำอธิบายที่เขียนเปนตัวหย่างไว้ว่า โจรจันท์ชำนิชำนาญการโจรกัมมาก ถ้าหากโจรกัมเปนสาสตรอันหนึ่ง ความรู้ของโจรจันท์ก็ถึงภูมิสาสตราจารย์ เพราะฉะนั้น พอพูดกันได้วันหนึ่ง ฉันก็ติดไจนึกอยากจะรู้กะบวนของโจรต่อไปไห้สิ้นเชิง แต่นั้น ถึงเวลาเย็น ฉันลงไปนั่งเล่นที่สนามหย้า ก็ไห้เบิกตัวโจรจันท์มาถามต่อมาอีกหลายวัน จึงคุ้นกัน ฉันเลยถามต่อไปว่า เพราะเหตุไดแกจึงรับเปนสัจ โจรจันท์ตอบว่า เดิมก็ตั้งไจจะไม่รับ ถ้าชำระที่เมืองปทุมธานี ก็เห็นจะไม่ได้ความจากตัวแก แต่ไจมาอ่อนเสียที่ถูกเอามาชำระต่างเมือง ตั้งแต่ลงจากรถไฟแลหาพวกพ้องแม้แต่ไครที่เคยรู้จักหน้าสักคนหนึ่งก็ไม่มี เหลือแต่ตัวคนเดียวก็เปลี่ยวไจ เมื่อหยู่ไนเรือนจำ พบปะนักโทส ถามถึงพัคพวกที่ถูกจับมา เขาบอกว่า รับเปนสัจหมดแล้ว ก็ยิ่งครั่นคร้าม แต่หย่างอื่นไม่ทำไห้ท้อไจเหมือนวิธีชำระของเจ้าคุนเทสาฯ ถามว่า ท่านชำระหย่างไร โจรจันท์เล่าว่า เวลาราวยามหนึ่ง ท่านเอาตัวไปที่สาลอำเพอ ตัวท่านนั่งเก้าอี้หยู่ที่โต๊ะกับข้าราชการอีกสักสองสามคน ท่านเรียกตัวเข้าไปนั่งที่ข้างเก้าอี้ของท่าน แล้วถามถึงเรื่องที่ไปปล้น แกปติเสธว่า ไม่ได้รู้เห็นด้วย ท่านก็หัวเราะแล้วว่า "คิดดูเสียไห้ดีเถิด พวกพ้องเขาก็รับหมดแล้ว" ท่านว่าแต่เท่านั้นแล้วก็หันไปพูดกับพวกข้าราชการถึงการงานหย่างอื่น ๆ และสูบบุหรี่กินน้ำร้อนไปพลาง ไห้แกนั่งคอยหยู่นาน จึงหันกลับไปถามอีกว่า "จะว่าหย่างไร" แกปติเสธ ท่านก็หัวเราะว่า "คิดดูเสียไห้ดี" แล้วหันไปพูดกับข้าราชการไห้แกนั่งคอยหยู่อีก นาน ๆ หันมาถามหย่างนั้นอีก แกปติเสธ ท่านก็หัวเราะ แล้วบอกไห้คิดไห้ดีอีก เวียนถามหยู่แต่หย่างนั้นหลายพัก จนเวลาสัก 5 ทุ่มจึงเลิกชำระ ถึงวันที่ 2 พอยามหนึ่ง ท่านก็เอาตัวไปชำระอีก พอได้ยินท่านถามเหมือนหย่างวันก่อนก็รำคานไจ ยิ่งถูกถามซ้ำซากก็ยิ่งรำคานหนักขึ้น แต่ยังแขงไจปติเสธหยู่ได้อีกคืนหนึ่ง พอถึงคืนที่ 3 ระอาไจเสียแต่เมื่อเขาไปเอาตัวมาจากเรือนจำ พอเจ้าคุนเทสาตั้งคำถามหย่างเก่าอีก ก็เกิดเบื่อเหลือทน เห็นว่า ถ้าปติเสธ ท่านก็คงถามเช่นนั้นไปไม่มีที่สิ้นสุด นึกว่า ไหน ๆ ก็คงไม่พ้นโทส เพราะพวกเพื่อนรับเปนสัจหมดแล้ว รับเสียไห้รู้แล้วไปดีกว่า จะได้หลับนอนสิ้นรำคาน แกจึงรับเปนสัจไนคืนที่ 3 เพราะ "สู้ปัญญาเจ้าคุนเทสาท่านไม่ได้"
ไนการชำระโจรผู้ร้าย เจ้าพระยาสรีวิชัยฯ มีวิธีผิดกับคนอื่นหลายหย่าง ท่านเคยบอกกับฉันหย่างหนึ่งว่า ถ้าชำระไนถิ่นที่ตัวผู้ร้ายหยู่ ไม่ไคร่รับเปนสัจ ด้วยมันอายพวกพ้องของมัน ถ้าเอาไปชำระไห้ห่างถิ่นถาน ได้ความสัจง่ายขึ้น พระยามหินทรเดชานุวัติ (ไหย่ สยามานนท์) ซึ่งต่อมาได้เปนสมุหเทสาภิบาลมนทลนครชัยสรี เวลานั้นยังเปนที่พระสรีวิเสส ยกบัตรมนทล หัวหน้าพนักงานอัยการ เปนมือขวาของเจ้าพระยาสรีวิชัยฯ ไนการชำระโจรผู้ร้าย เคยเล่าไห้ฉันฟังว่า เมื่อพวกโจรจันท์ปล้นบ้านชีปะขาวครั้งนั้น พอรู้ข่าวถึงนครปถม เจ้าพระยาสรีวิชัยฯ ก็ไห้พระยามหินทรฯ รีบลงเรือไฟขึ้นไปเมืองสุพรรน สั่งว่า ไห้ไปเอาตัวผู้ไหย่บ้านกอนที่ตำบลบางซอมาซักถามเถิด คงจะได้ความ พระยามหินทรฯ ตรงไปเอาตัวผู้ไหย่บ้านกอนมาซักไซ้ ก็ไห้การรับเปนสัจว่า หยู่ไนพวกโจรที่ปล้นนั้น ไห้การบอกชื่อพวกโจร จึงจับตัวได้โดยมาก พระยามหินทรฯ ไม่เข้าไจเพราะเหตุไดเจ้าพระยาสรีวิชัยฯ จึงสามารถชี้เจาะตัวได้ว่า ไห้ไปเอาตัวผู้ไหย่บ้านกอนมาชำระ มีผู้อื่นว่า วิธีของเจ้าพระยาสรีวิชัยฯ นั้น เวลาท่านไปเที่ยวไหน ๆ ท่านสืบถามชื่อนักเลงไนถิ่นนั้นจดไว้ไนสมุดพกเสมอ ถ้าสามารถจะพบได้ ก็คิดอ่านรู้จักตัวด้วย แล้วสืบถามเรื่องประวัติของพวกนักเลงจากคนร่วมถิ่นที่เปนนักโทสติดหยู่ไนเรือนจำ จึงรู้แหล่งของพวกโจรไนตำบลต่าง ๆ ท่านยังมีผู้ช่วยหย่างเปนมือซ้ายของท่านอีกคนหนึ่ง คือ พระพุทธกเสตรานุรักส์ (โพธิ์) เมื่อยังเปนหลวงที่ชัยอาญา พะทำมะรงเรือนจำเมืองนครปถม เปนผู้มีคุนวุทธิหย่างแปลกประหลาดไนกะบวนบังคับบันชา ไม่ดุร้าย แต่สามารถไห้นักโทสรักด้วยกลัวด้วย เรียกหลวงชัยอาญาว่า "คุนพ่อ" ทั้งเรือนจำ จนคนพายนอกพิสวงถึงกล่าวกันว่า หลวงชัยอาญาอาดจะจ่ายนักโทสไปทำงานได้ด้วยไม่ต้องมีผู้คุม เพราะแกรู้จักผูกไจนักโทสมิไห้หนี ฉันเคยถามตัวแกเองว่า ทำหย่างไรนักโทสที่แกจ่ายจึงไม่หนี แกบอกว่า นักโทสมี 2 ชนิด ชนิดที่จะหนี ถ้ามีโอกาสเมื่อได มันคงหนี ชนิดนั้นจ่ายออกนอกตรางไม่ได้ แต่นักโทสอีกชนิดหนึ่งไจยังรักดี คือ พวกที่จะต้องติดไม่นานนัก หรือพวกที่ไกล้จะถึงเวลาพ้นโทส ชนิดนี้สั่งสอนได้ ถึงไนพวกนี้แกก็เลือกจ่ายไปโดยลำพังแต่คนที่เชื่อไจได้ว่าจะไม่หนี แกไม่มีวิชาหย่างไรที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของมันได้ ฉันได้ฟังอธิบายของแกก็เข้าไจว่า ความสามารถของแกหยู่ที่รู้จักคาดไจนักโทสเปนสำคัน ที่แกเปนกำลังของเจ้าพระยาสรีวิชัยฯ นั้นหยู่ไนการสืบเรื่องโจรผู้ร้ายจากความรู้ของพวกนักโทส หย่างหนึ่ง กับปลอบผู้ร้ายไห้รับเปนสัจ หย่างหนึ่ง ดูเหมือนแกจะมีนักโทสที่ฝึกหัดไว้สำหรับไห้หยู่ปะปนกับโจรผู้ร้ายที่แรกจับได้ ค่อยพูดจาเกลี้ยกล่อมไห้รับเปนสัจ ดังเห็นได้ไนคำที่โจรจันท์เล่า หลวงชัยอาญา (โพธิ์) เปนทั้งพะทำมะรง และเปนครูของพะทำมะรงไนเรือนจำอื่นซึ่งฉันสั่งไห้ส่งไปสึกสาจากมนทลต่าง ๆ หยู่ไนตำแหน่งจนแก่ชราขอลาออก จึงได้เลื่อนเปนที่พระพุทธกเสตรานุรักส์ ตำแหน่งเจ้ากรมรักสาพระปถมเจดีย์ มาจนถึงแก่กัม
ฉันได้ฟังอธิบายของโจรจันท์ถึงกะบวนโจรกัมต่าง ๆ คิดเห็นว่า โจรกัมเปนของมีจิงคล้ายกับเปนวิชาหย่างหนึ่ง มิไช่เปนแต่คำสำหรับเรียกกันโดยโวหาร หากเปนวิชาสำหรับทำความชั่ว สาธุชนไม่เอาไจไส่ที่จะรู้ จึงรู้กันแต่ไนพวกโจรผู้ร้าย ว่าที่จิง ถ้าสาธุชนรู้ไว้บ้าง ก็จะเปนประโยชน์ เช่น พนักงานปราบปรามโจรผู้ร้ายก็จะได้รู้เท่าทันโจร หรือเปนครึหะบดีก็จะรู้จักป้องกันทรัพย์สมบัติของตน ตัวฉันมีโอกาสได้พบปะกับสาสตราจารย์โจรกัม น่าจะลองเขียนไห้ความรู้เรื่องโจรกัมเปนประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ปราบโจนผู้ร้ายตามหัวเมืองตลอดจนพวกเจ้าทรัพย์ คิดเห็นเช่นนั้น จึงเรียกโจรจันท์มาถามอีกครั้งหนึ่ง ถามครั้งนี้ ฉันเอากะดาดดินสอจดคำอธิบายและบอกโจรจันท์ไห้รู้ว่า ฉันจะแต่งหนังสือเรื่องโจรกัม ถ้าบอกไห้ถ้วนถี่ดีจิง ฉันจะกราบบังคมทูนขอไห้พ้นโทสเปนบำเหน็ด โจรจันท์ก็ยินดีรับชี้แจงไห้ตามประสงค์ และไห้สัญญาว่า ถ้าพ้นโทส จะทิ้งความชั่วไม่เปนโจรผู้ร้ายต่อไปจนตลอดชีวิต ฉันจึงเขียนเรื่องโจรกัมหย่างพิสดารจนสำเร็จ แล้วไห้พิมพ์เปนเล่นสมุดเรียกชื่อว่า "สนทนากับผู้ร้ายปล้น" เมื่อ พ.ส. 2446 นั้น แต่พอหนังสือนั้นปรากต คนก็ชอบอ่านกันแพร่หลายถึงต้องพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง เพราะยังไม่เคยมีไครรู้เรื่องโจรกัมชัดเจนเหมือนหย่างพรรนนาไนหนังสือเรื่องสนทนากับผู้ร้ายปล้นมาแต่ก่อน
ส่วนตัวโจรจันทน์นั้น ฉันก็กราบบังคมทูนขอพระราชทานโทสด้วยยกความชอบที่ได้ชี้แจงกะบวนโจรกัมไห้เปนประโยชน์แก่การปราบปรามโจรผู้ร้าย เมื่อได้รับพระราชทานโทสแล้ว โจรจันท์ไม่ประสงค์จะกลับไปหยู่เมืองปทุมธานี ขอหยู่รับไช้สอยที่เมืองนครปถมต่อไป เจ้าพระยาสรีวิชัยฯ ว่า พวกโจรปล้นเช่นนายจันท์ยังถือสัจ ถ้ารับกลับไจแล้ว พอไว้ไจได้ ไม่เหมือนพวกขโมยที่ล้วงกัดตัดช่องย่องเบา ท่านเห็นฉันคุ้นเคยจนชอบนายจันท์ จะไห้เปนพนักงานเฝ้าเรือน "บังกะโล" ที่ฉันพัก ฉันก็ไม่รังเกียด นายจันท์ได้ตำแหน่งทำงาน ก็ไห้ครอบครัวตามไปหยู่เมืองนครปถม เมียไปตั้งร้านขายของ มีลูกชายคนหนึ่งเพิ่งรุ่นหนุ่ม เอาไปไห้พระยาสรีวิชัยฯ ฝึกหัดไช้ราชการ แต่นั้นก็หยู่เย็นเปนสุขสืบมาทั้งครัวเรือน
ไนสมัยนั้น พระบาทสมเด็ดพระมงกุตเกล้าเจ้าหยู่หัวยังดำรงพระยสเปนสมเด็ดพระบรมโอรสาธิราช โปรดสเด็ดประพาสเมืองนครปถมเนือง ๆ เมื่อยังไม่ได้ส้างวังไหม่ สเด็ดประทับที่เรือนบังกะโลของฉันเปนนิจ ซงซาบว่า นายจันท์คนรักสาเรือนเคยเปนนายโจร ตรัดเรียกไปซงไถ่ถามไห้เล่าเรื่องโจรกัมถวายจนซงคุ้นเคย ถึงสมัยเมื่อซงเสวยราชย์แล้ว เวลาสเด็ดออกไปเมืองนครปถมพบนายจันท์ ก็ตรัดทักด้วยซงพระกรุนา แม้พวกข้าราชการไนราชสำนักหรือที่ไปรับราชการนะเมืองนครปถมก็รู้จักนายจันท์ทุกคนไม่มีไครเกลียดชัง ถ้าจะว่าก็เพราะเหตุที่เคยเปนโจรแล้วกลับไจได้ แม้เปนพลเมืองสามันไปรับจ้างเฝ้าเรือนบังกะโล ก็เห็นจะไม่มีไครนำพานัก นายจันท์เปนผู้เฝ้าเรือนบังกะโลมากว่า 20 ปีจนแก่ชราทำงานไม่ไหวจึงออกจากหน้าที่ เมื่อฉันเขียนนิทานนี้ ได้ยินว่า "โจรจันท์" ยังหยู่ที่เมืองนครปถม อายุกว่า 80 ปีแล้ว.