บทละครนอกเรื่องสังข์ศิลป์ชัย
ช้า
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกให้คิดริษยา
ต่างซุบซิบกันจำนรรจา ใครมีปัญญาจงเร่งคิด
แม้นสังข์ศิลป์ชัยได้ไปเฝ้า เห็นเราหกคนไม่พ้นผิด
ขนมทำมาให้ใส่ยาพิษ มันไม่กินเหมือนจิตที่คิดไว้
ฯ ๔ คำฯ
ร่าย
๏ ศรีสันท์จึงว่าไปทันที วันนี้สิงหราหาอยู่ไม่
ไปเที่ยวหาอาหารที่ในไพร ทิ้งสังข์ศิลป์ชัยไว้พลับพลา
เราจะยียวนชักชวนมัน ไปเก็บพรรณผลไม้บนภูผา
ผลักให้ตกเหวมรณา จึงกลับมาพาพระอาไป
อันนางสุพรรเทวี จะพันมือพี่ไปที่ไหน
ต่างเห็นชอบชวนกันดีใจ มาหาสังข์ศิลป์ชัยฉับพลัน
ฯ ๖ คำฯ เพลง
๏ ลูบหลังลูบหน้าแล้วพาที เรานี้จะพากันผายผัน
เก็บผลพฤกษาที่เขานั้น มาให้สุพรรณกับพระอา
ฯ ๒ คำฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ได้ฟังไม่กังขา
รับคำทั้งหกพี่ยา กราบบาทพระอาแล้วว่าไป
ตัวหลานทั้งเจ็ดจะจรดล ไปเก็บผลพฤกษาที่ใกล้ใกล้
ทั้งสององค์จงอยู่พลับพลาชัย ประเดี๋ยวใจจะมาให้พร้อมกัน
ว่าแล้วจัดแจงแต่งองค์ พระหัตถ์ทรงสังข์ศรพระแสงขรรค์
ทั้งเจ็ดองค์ลงจากพลับพลาพลัน เจ้าศรีสันท์นำหน้าคลาไคล
ฯ ๖ คำฯ เชิด
ชมดง
๏ ชี้ชมรุกขชาติดาษเดียร เต็งตะเคียนยางยูงสูงไสว
มูกม่วงพวงผลแกว่งไกว เฟื่องไฟไกรกร่างมะปรางปริง
พระสังข์ศิลป์ชัยหาไม้ง่าม สอยผลสุกห่ามทุกก้านกิ่ง
ศรีสันท์ก้มเก็บก้อนดินทิ้ง หล่นร่วงช่วงชิงกันไปมา
บ้างชักเชือกเขาเถาวัลย์ ขึ้นผูกพันกิ่งไทรสาขา
ผลัดกันไกวเล่นเป็นชิงช้า สรวลสันต์หรรษาสำราญใจ
พากันท่องเที่ยวเลี้ยวลอด เลียบขึ้นบนยอดเขาใหญ่
ต่างชวนพระสังข์ศิลป์ชัย เล่นไล่ปิดตาหากัน
ฯ ๘ คำฯ เพลงฉิ่ง
ร่าย
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์แสนกลคนขยัน
ทำมารยาว่าแก่พระสังข์พลัน เจ้าถือศรพระขรรค์ไว้ทำไม
เราจะวิ่งเต้นเล่นสนุก ฉวยล้มลุกพลาดพลั้งไม่ยั้งได้
จะถูกเนื้อถูกตัวพี่กลัวไป วางไว้เล่นแล้วจึงมาเอา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ศิลป์ชัยไม่รู้เท่า
วางพระขรรค์ศรไว้ด้วยใจเบา ที่ริมเงื้อมเขาสำคัญตา
แล้วจึงตามพี่ศรีสันท์ ลดเลี้ยวไล่กันบนภูผา
หยิกหยอกหลอกล้อกันไปมา เกษมสันต์หรรษาทั้งเจ็ดองค์
ฯ ๔ คำฯ เพลงฉิ่ง
๏ เมื่อนั้น พระศรีสันท์ครั้นเห็นพระสังข์หลง
พาเที่ยวเลี้ยวเลียบเวียนวง พบเหวดังประสงค์จำนงนึก
หยิบศิลามาทิ้งลงไปดู เอียงหูคอยฟังไม่ดังกึก
ชะโงกตามลงไปใจทึกทึก แลลึกเป็นหมอกมืดมัว
จึงร้องเรียกพระสังข์ศิลป์ชัย มาดูเหวใหญ่มิใช่ชั่ว
ว่าพลางพรั่งพร้อมเข้าล้อมตัว อย่ากลัวเลยพี่อยู่นี่แล้ว
ทำชี้โว้ชี้เว้ด้วยเล่ห์กล ลางคนหลอกลวงว่าดวงแก้ว
ตรงมือนั่นแน่แลแววแวว เห็นแล้วหรือยังถอยหลังไย
ต่างเข้ายืนเคียงเมียงเขม้น ครั้งเห็นงวยงงหลงใหล
จึงผลักพระสังข์ศิลป์ชัย ตกลอยลงไปในเหวนั้น
ฯ ๑๐ คำฯ เชิดฉิ่ง โอด
๏ ต่างคนชื่นชมสมคะเน หัวเราะร่าวฮาเฮเกษมสันต์
พากันวิ่งกลับมาฉับพลัน หาศรพระขรรค์ที่วางไว้
ไม่พบเห็นเป็นอัศจรรย์จิต ต่างคนต่างคิดสงสัย
เถียงกันอื้ออึงคะนึงไป เมื่อที่ทางจำได้แน่นอน
หาพลางต่างโมโหพาโลกัน คนนี้ว่าคนนั้นลักซ่อน
ค้นทั้งสองข้างหนทางจร ไม่ได้ศรพระขรรค์ก็เสียใจ
ศรีสันท์จึงว่าแก่น้องยา เรากลับไปพระอาจะถามไถ่
ใครอย่าบอกออกความทั้งนี้ไซร้ ซักซ้อมพร้อมใจแล้วไคลคลา
ฯ ๘ คำฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพระอาทำหน้าเศร้า ก้มเกล้ากราบลงตรงหน้า
มิได้แถลงแจ้งกิจจา ทำก้มพักตร์โศกาสะอื้นไป
ฯ ๒ คำฯ โอด
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาศรีใส
เห็นหกนัดดาโศกาลัย หลากใจไต่ถามมิทันช้า
เหตุผลอย่างไรไม่บอกแจ้ง มาโศกศัลย์กันแสงไยนักหนา
พระสังข์ไปไหนจึงไม่มา จงแจ้งกิจจาอย่าโศกี
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกพี่น้องทำหมองศรี
เช็ดน้ำตาพลางทางพาที เมื่อตะกี้หลานพากันเที่ยวไป
พระสังข์น้องรักเฝ้าชักชวน รบกวนให้พาขึ้นเขาใหญ่
แล้ววิ่งเต้นเล่นแข็งสุดใจ ห้ามไม่ฟังเลยนะพระอา
ล้วนห้วยเหวเปลวปล่องทั้งสองข้าง ข้าเดินนำทางไปข้างหน้า
พระสังข์ตามหลังหลานมา ประเดี๋ยวเหลียวหาก็หายไป
ข้าทั้งหกคนเที่ยวค้นทั่ว จะพบตัวน้องยาก็หาไม่
แม้ตกเหวเหล่านั้นเห็นบรรลัย หรือจะเป็นกระไรไม่แจ้งการณ์
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาฟังว่าขาน
ทั้งนางสุพรรณนงคราญ ปิ้มปานชีวันจะบรรลัย
ต่างตระหนกอกสั่นขวัญหาย ฟูมฟายชลเนตรหลั่งไหล
จึงว่าแก่นัดดายาใจ ไปเล่นถึงไหนอย่างอำพราง
จงพาอาไปเที่ยวค้นดู เกลือกจะหลงอยู่ในป่ากว้าง
แล้วลงจากพลับพลาทั้งสองนาง ศรีสันท์นำทางจรจรัส
ฯ ๖ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกแสนกลคนขยัน
ครั้นถึงคีรีที่สำคัญ ทำโศกศัลย์ทูลองค์พระเจ้าอา
พระสังข์ศิลป์ชัยมาสูญหาย ที่ทางแคบเหวรายทั้งซ้ายขวา
หลานทั้งหกทุกคนเที่ยวค้นหา ที่เหล่านี้หนักหนาไม่พบพาน
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
โอ้ร่าย
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑายิ่งสงสาร
รุ่มร้อนหฤทัยดังไฟกาฬ เยาวมาลย์ลดเลี้ยวเที่ยวมา
ค่อยย่องเหยียบเลียบลัดไปนอกทาง สองนางเรียกร้องแล้วมองหา
ไม่ประสบพบองค์พระนัดดา กัลยาครวญคร่ำร่ำไร
โอ้ว่าพระสังข์ศิลป์ชัยเอ๋ย ไม่มาหาอาเลยไปอยู่ไหน
หรือว่าผีสางที่กลางไพร ซ่อนพระสังข์ไว้กระมังนา
ขอให้พบพานพระหลานรัก จะบวงสรวงเซ่นวักให้หนักหนา
ร่ำพลางนางทรงโศกา ปิ้มว่าโฉมฉายจะวายปราณ
ฯ ๘ คำฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น เจ้าศรีสันทาจึงว่าขาน
จะโศกศัลย์อยู่เห็นไม่เป็นการ เราคิดอ่านแยกย้ายรายกัน
เจ้าชาติจงไปด้วยพระอา นางสุพรรณกับข้ามาผายผัน
เจ้าทั้งสี่นี้แยกไปทางนั้น ช่วยกันดั้นด้นคว้า
และทำชะเง้อดูเงี่ยหูฟัง เอ๊ะเสียงพระสังข์ร้องเรียกหา
ออกชื่อเจ้าสุพรรณกัลยา เร็วเถิดอย่าช้ามาจะไป
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณยินดีจะมีไหน
จะใคร่พบพระสังข์ศิลป์ชัย ก็เดินตามไปไม่คิดแคลง
ฯ ๒ คำฯ เพลง
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ทำเที่ยวเสาะแสวง
นำนางดำเนินคว้างแคว้ง พาลัดแลงไปให้ไกลอา
เห็นที่สุมทุมพุ่มไม้ ก็เข้าไปนั่งลงแล้วร้องว่า
หยุดนั่งนี่ก่อนเถิดกัลยา จะได้ปรึกษาหารีอกัน
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณไม่รังเกียจเดียดฉันท์
คิดว่าเป็นวงศ์พงศ์พันธุ์ ก็ไปนั่งลงพลันทันที
จึงว่าหยุดไยให้เนิ่นช้า เหน็ดเหนื่อยหนักหนาเจียวหรือพี่
รีบไปให้พบเสียเดี๋ยวนี้ ช้านักชนนีจะคอยเรา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์แสนกลร่ายมนต์เป่า
ยิ้มแย้มพูดจาคิ้วตาเพรา นี่แน่เจ้าจะว่าให้ดีเจียว
ฯ ๒ คำฯ
ชาตรี
๏ ปลื้มเอยปลื้มจิต แม่อย่าคิดเคืองขุ่นฉุนเฉียว
พี่ยังเกรงกริ่งอยู่สิ่งเดียว จะให้เที่ยวเหนื่อยเปล่าไม่เข้ายา
อันพระสังข์แม้นว่าข้าหาได้ สินจ้างจะให้อะไรข้า
ถ้าพี่ได้สมจิตที่คิดมา จะอุตส่าห์เที่ยวค้นจนสิ้นแรง
อันความที่พี่รักเจ้าหนักหนา จริงจริงนะน้องอย่ากินแหนง
เรามานี่ที่ทางก็ลับแลง พอเป็นพักเป็นแรงจึงค่อยไป
พลางขยดเข้าชิดสะกิดหลัง จะปรานีพี่มั่งหรือหาไม่
ทำและเลียมถูกต้องลองใจ เจ้าถอยหนีพี่ใยกัลยา
ฯ ๘ คำฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณเคืองแค้นเป็นหนักหนา
ลุกยืนขึ้นเสียงมิได้ช้า แล้วว่าดูดู๋พี่เช่นนี้เจียว
ว่าจะพาเที่ยวหาสังข์ศิลป์ชัย ลวงให้ตามมาถึงป่าเปลี่ยว
ช่างสับปลับอย่างนี้ทีเดียว ด้านหน้ามาเกี้ยวไม่อายใจ
พาซื่อลือจิตคิดว่าพี่ ธรรมเนียมมันมีอยู่ที่ไหน
ได้เห็นกันสินะไม่ละใคร กลับไปจะทูลพระมารดา
ฯ ๖ คำฯ
โอ้โลม
๏ น้องเอยน้องรัก สุดที่พี่จะหักเสน่หา
เมื่อมาแต่หนุ่มสาวสองรา ในกลางป่าค่าไม้เช่นนี้
ถ้าเจ้ามิหย่อนผ่อนปรน ใช่ว่านฤมลจะพ้นพี่
จงคิดชั่งใจดูให้ดี ไม่พอที่จะโกรธขึ้งตึงตัง
ถึงเจ้าจะว่าให้อารู้ จะโบยตีพี่สู้เสียหลัง
ตายไหนตายไปคงไม่ฟัง เอ็นดูพี่มั่งเถิดแก้วตา
อันพี่น้องครองกันแลยั่งยืน ไม่เสียเรือนผู้อื่นดีหนักหนา
ว่าพลางเข้าใกล้ไขว่คว้า อุ่ยหน้าอย่าหยิกจะป่วยไป
ฯ ๘ คำฯ
โอ้โลม
๏ แสนเอยแสนแขนง อย่าพักก่นกรรแสงเสียงแจ้ว
อันเจ้าจะพ้นมือพี่ไม่มีแวว เม้นคลาดแคล้วไปได้มิใช่มือ
พี่ง้องอนวอนว่าแต่โดยดี ไม่พอที่โกรธขึ้งอึงอื้อ
เพราะรักเจ้าหนักหนาจึงคร่ายื้อ ควรหรือแก้วตาไม่ปรานี
จะมิให้ยืดไว้อย่างไรเล่า เมื่อเจ้าคอยแต่จะวิ่งหนี
น่าชังดูเอาเฝ้าหยิกตี จะถูกนิดก็มีแต่ฮึดฮัด
เป็นไรเป็นไปไม่ฟังกัน จะประชันเรี่ยวแรงที่แข็งขัด
ว่าพลางสวมสอดกอดรัด นางสะบัดหนีได้ไล่ตามมา
ฯ ๘ คำฯ เชิด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาจึงร้องว่า
เป็นเจ้าสุพรรณกัลยา จึงร้องอึมาด้วยอันใด
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณทูลแข้งแถลงไข
อ้ายศรีสันท์มันพาข้าไป ถึงพุ่มไม้ที่เปลี่ยวก็เกี้ยวพาน
ลูกแค้นขัดใจจะกลับมา มันกั้นหน้าคร่ายื้อหักหาญ
ข้าสะบัดวิ่งหนีตะลีตะลาน อ้ายหน้าด้านจัญไรมันไล่มา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ขึ้นเสียงเถียงต่อหน้า
ดูเถิดเจ้าสุพรรณช่างพูดจา แกล้งพาโลข้าว่าคร่ายื้อ
เมื่อไรข้าได้ทำเช่นนั้น มาล้วงตะกั่วกันเดี๋ยวนี้หรือ
เจ้าสิสันทัดได้หัดปรีอ ข้าคนซื่อเช่นนี้ยังมิเคย
ไม่ได้เกี้ยวสักคำทำสักนิด พาลผิดเปล่าเปล่าแม่เจ้าเอ๋ย
รู้กระนี้ไม่ไปด้วยใครเลย จะนั่งเฉยอยู่นี่มิดีเจียว
ว่าข้าไล่มาใครอย่าเชื่อ เพราะเห็นเสือตกใจวิ่งไม่เหลียว
เอออะไรช่างปดลดเลี้ยว อย่าเชื่อนางข้างเดียววพระเจ้าอา
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณตอบพลางทางชี้หน้า
ชะเจ้าคนดีศรีสันทา ยังว่าไม่รับสับปลับจริง
พูดเลียบเปรียบเปรยถึงลูกผัว ด้านหน้าแก้ตัวไปทุกสิ่ง
แต่แรกเจ้าง้องอนวอนวิง อ้อยอิ่งเซ้าซี้พิรี้พิไร
ไม่คิดอายผีสางที่กลางดง แทบจะก้มหัวลงกราบไหว้
ครั้นเขาไม่ลุ่มหลงปลงใจ เข้าไล่ฉวยฉุดยุดยื้อ
จะหยิกข่วนเท่าไรก็ไม่เจ็บ นั่นมิใช่รอยเล็บของกูหรือ
ดูเถิดที่ต้นคอกับข้อมือ ยังจะดื้อเถียงได้ไม่อายเลย
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น เจ้าศรีสันทาทำหน้าเฉย
เมียงเมินหัวเราะเยาะเย้ย เจ้าข้าเอ๋ยนางนี้ขี้พาโล
ค้าคารมลมเติบสุดใจ เห็นเขาเกรงผู้ใหญ่ไม่ตอบโต้
ครั้นว่าบ้างขัดใจร้องไห้โฮ มีแต่โมโหไปข้างเดียว
เมื่อข้าสาละวนจะด้นป่า ค้นคว้าหาน้องท่องเที่ยว
อุตส่าห์บุกเข้าไปในรกเรี้ยว หนามเกี่ยวเป็นแผลไปทั้งตัว
ชะช่างว่าข่วนล้วนรอยเล็บ เลือกเก็บเอามาว่าพอหน้าชั่ว
แต่เช่าเจ้ากระนี้มิอยากกลัว ถ้าตัวต่อตัวมิพ้นไป
ยังกลับมาประกวดอวดแรง ว่าข้าฉุดยุดแย่งเจ้าไม่ไหว
มาลองดูเดี๋ยวนี้ก็เป็นไร ใครจะแรงกว่าใครให้เอาดู
จะถุ้งเถียงกันไปไม่ได้ข้อ เขาจะหัวร่อน่าอดสู
คำบุรานท่านว่าไว้เป็นครู ใครไขหูอดได้ก็ได้บุญ
ฯ ๑๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาก็เคืองขุ่น
จึงว่าไอ้เจ้าเล่ห์เนรคุณ ทุจริตคิดวุ่นไปโดยพาล
มิใช่ว่ากูไม่รู้เท่า พูดแก้เปล่าเปล่าอ้ายหน้าด้าน
มึงเถียงได้ด้วยไม่มีพยาน ทำหักหาญเห็นว่าข้ากลัวเกรง
เหตุเพราะนัดดากูสูญหาย จึงจ้วงจาบหยาบคายข่มเหง
ชวนทะเลาะเกาะแกะครื้นเครง ฝากไว้เถิดเอ็งเป็นไรมี
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์บ่นเถียงเสียงอู้อี้
ส่วนนางสุพรรณกระนั้นดี คนอื่นแล้วมีแต่ไม่จริง
เอออะไรนี่พอทีหรือ เป็นเคราะห์เพราะซื่อต่อผู้หญิง
ท่านลงโทษโกรธขึ้งชังชิง ถ้าเป็นจริงเหมือนว่าน่าเกิดความ
แม้นสังข์ศิลป์ชัยไม่สูญหาย เห็นจะขายเราแน่ไม่พักถาม
แกล้งพูดเปรยเย้ยเยาะลวนลาม บ่นบ้าไปตามอำเภอใจ
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น เจ้าทั้งห้าคนคิดแก้ไข
กราบบาทพระอาแล้วว่าไป พี่ศรีสันท์นี้ใจมุทะลุ
เป็นคนมักได้ใคร่มี หนายช้าพาทีดึงดุ
เสียจริตกิริยาเป็นบ้ายุ พูดกุกะไปไม่เกรงกลัว
อันใจข้าห้าคนนี้ซื่อแท้ รักอาเหมือนแม่บังเกิดหัว
เจ้าสุพรรณนั้นนึกว่าน้องตัว ศรีสันท์ทำชั่วไม่ชอบใจ
พระองค์จงอดโทษสักครั้งหนึ่ง เรารีบไปให้ถึงกรุงใหญ่
จะรัญจวนครวญคร่ำอยู่ทำไม อันสังข์ศิลป์ชัยเห็นไม่มา
ฯ ๘ คำฯ
ธรณีร้องไห้
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาละห้อยหา
จึงปรึกษาสุพรรณกัลยา อยู่ช้าก็สำหรับจะอับอาย
สไบแม่กับช้องของโฉมยง จะทำธงสำคัญมั่นหมาย
แม้นสังข์ศิลป์ชัยยังไม่ตาย กลับมาดีร้ายจะพบพาน
แล้วหยิบช้องกับผ้ามาทำธง ปักลงตั้งจิตพิษฐาน
ขอเทวาอารักษ์ทั้งจักรวาล ช่วยบันดาลให้แจ้งกิจจา
แม้นว่าพระสังข์ยังอยู่ จงมีผู้เอาของไปให้ข้า
ถ้าเจ้ามอดม้วยมรณา ช้องกับภูษาจงสูญไป
สิ้นคำที่ร่ำพิษฐาน เยาวมาลย์เศร้าสร้อยละห้อยไห้
คิดถึงนัดดายิ่งอาลัย ครวญคร่ำร่ำไรโศกา
ฯ ๑๐ คำฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกศัลย์ ก็ชวนกันลงจากภูผา
ศรีสันท์นั้นนำมรคา ดั้นดัดลัดมาในดงดาน
ฯ ๑ คำฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น ฝ่ายเจ้าสิงหรากล้าหาญ
เที่ยวไล่สัตว์สิงห์วิ่งทะยาน เป็นลางบันดาลบอกเหตุภัย
ให้มึนตึงกายาตาเขม่น จิตใจเยือกเย็นดังเป็นไข้
คิดถึงพระสังข์ศิลป์ชัย ก็แผลงฤทธิ์ฤทธิไกรกลับมา
ฯ ๔ คำฯ เชิด
๏ ครั้นถึงเชิงเขาลำเนาเพลิน จึงลงเดินลดเลี้ยวเที่ยวหา
ไม่เห็นที่ประทับพลับพลา ทั้งพระอาน้องชายก็หายไป
นั่งนึกตรึกไตรให้รำคาญ จะเกิดเหตุเภทพาลเป็นไฉน
หรือจะพากันรีบไปเวียงชัย ที่จะหนีพี่ไปก็ใช่เชิง
คิดพลางทางเที่ยวสัญจรหา บุกป่ากู้ก้องร้องเปิ่ง
แล้วขึ้นเขาเข้าค้นในวุ้งเวิ้ง ทุกซุ้มเชิงรกเรี้ยวเที่ยวมองดู
เทวัญบันดาลให้ผายผัน มาเห็นศรพระขรรค์ที่วางอยู่
เอ๊ะเกิดเหตุแท้แล้วอกกู จะมีผู้ทำร้ายแก่น้องยา
เป็นตายอย่างไรไม่แจ้งจิต สุดคิดที่จะเที่ยวแสวงหา
ยิ่งคิดสร้อยเศร้าเปล่าอุรา ก็โศกาครวญคร่ำร่ำไร
ฯ ๑๐ คำฯ โอด
๏ แล้วฝืนจิตดำริตริตรองดู จะนิ่งอยู่กระนี้ก็มิได้
เมื่อไม่พบน้องน้อยกลอยใจ จำจะไปทูลสองพระมารดร
คิดพลางทางทำอานุภาพ ปากคาบพระขรรค์กับสังข์ศร
เผ่นโผนโจนเหาะขึ้นอัมพร ตรงไปนครบรรพต
ฯ ๔ คำฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากอากาศ ขึ้นปราสาทแก้วมรกต
กราบบาทสองนางพลางรันทด พิไรร่ำกำสรดโศกี
ฯ ๒ คำฯ โอด
๏ เมื่อนั้น องค์พระมารดาทั้งสองศรี
เห็นมาร้องไห้ไม่สมประดี เทวีคิดอัศจรรย์ใจ
ปลอบพลางทางถามมิทันช้า เป็นไรมาโศกศัลย์กันแสงไห้
มีเหตุเภทพาลประการใด น้องรักอยู่ไหนจึงไม่มา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น สิงหราโศกศัลย์เป็นหนักหนา
จึงเล่าความตามเรื่องไปรับอา แต่ต้นมาจนถึงกลางไพร
ทั้งหกเชษฐากับน้องรัก ชวนกันหยุดพักในป่าใหญ่
ลูกนี้โฉดเขลาเบาใจ ลาสังข์ศิลป์ชัยไปหากิน
ครั้นกลับมาไม่เห็นพระน้องชาย พากันสูญหายไปหมดสิ้น
ข้าค้นบนเขาเขินเดินดิน พบแต่สังข์ศิลป์พระขรรค์ชัย
สุดที่จะคิดติดตามหา ไม่รู้ว่าเกิดเข็ญเป็นไฉน
จึงรีบมาทูลแถลงให้แจ้งใจ อันโทษตัวลูกไซร้ผิดนัก
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น สองนางพ่างเพียงอกหัก
ชลเนตรฟูมฟองนองพักตร์ นงลักษณ์ครวญคร่ำร่ำไร
ฯ ๒ คำฯ โอด
โอ้
๏ โอ้ว่าลูกรักของแม่เอ๋ย แม่เคยเชยชิดพิสมัย
หรือมาพลัดพรากจากไป เพราะเชื่อไอ้กระยาจกทั้งหกคน
อันความคิดของมันแม่รู้เท่า ได้ห้ามปรามเจ้าเป็นหลายหน
ช่างไว้เนื้อเชื่อใจไอ้แสนกล มันคนริษยาอาธรรม์
เห็นว่ารับอามาได้แล้ว จึงคิดฆ่าลูกแก้วให้อาสัญ
จะได้หน้าได้ตาแต่พวกมัน ควรหรือจอมขวัญไปหลงรัก
อนิจจาลูกน้อยมาสูญหาย จะเป็นตายฉันใดไม่ประจักษ์
สองกรข้อนทรวงเข้าฮักฮัก ซบพักตร์กันแสงโศกี
ฯ ๘ คำฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกศัลย์ จึงปรึกษากันทั้งสองศรี
อันปราสาทราชฐานของเรานี้ บังเกิดมีเพราะบุญพระโอรส
แม้นว่าขวัญข้าวเจ้าม้วยมรณ์ เห็นบ้านเมืองสังข์ศรจะสูญหมด
ต่อจะยังไม่ทิวงคต ก็ค่อยคลายกำสรดโศกา
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
ลำจีน
๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงจีนนายสำเภาล้าต้า
ใช้ใบจากกวางตุ้งมุ่งมา จะเข้าเมืองปัญจาล์เวียงชัย
ต้นหนวางเข็มไม่สันทัด ตกคุ้งลมขัดไม่ออกได้
น้ำท่ากินกินก็สิ้นไป จึงให้ทอดสมอรอรั้ง
ลูกเรือขันช่อสำปั้นลง โล้ฝืนคลื่นตรงเข้าถึงฝั่ง
ต่างขึ้นบกไปมิได้ยั้ง เอาถึงตักน้ำแล้วแบกมา
บ้างพากันเที่ยวไปในดง เห็นธงปักอยู่บนภูผา
ชะรอยว่าใครเสียนาวา จึงขึ้นปลดเอาผ้ากับช้อง
แล้วแยกย้ายรายค้นจนทั่ว มิได้พบตัวคนเจ้าของ
ต่างกลับลงมาสัดจอง โล้ล่องออกไปเภตราพลัน
ฯ ๑๐ คำฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้งถึงจึงขึ้นบนสำเภา ตรงเข้าบาหลีขมีขมัน
เอาผ้ากับช้องของสำคัญ ส่งให้นายนั้นทันใด
ต่างคนบนบานอยู่เซ็งแซ่ ที่ลมขัดพัดแปรมาให้
คนงานกว้านสมอช่อใบ แล่นไปในทะเลสะดวกดี
ฯ ๔ คำฯ โล้
ช้า
๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวเสนากุฎเรื่องศรี
สถิตแท่นไสยาในราตรี ภูมีเร่าร้อนอาวรณ์ใจ
คิดถึงลูกรักทั้งหกองค์ จะเดินดงยากเย็นเป็นไฉน
นับได้หลายเดือนแต่จากไป หรือจะไม่พบอาจึงช้าวัน
คิดคะนึงถึงลูกยิ่งละห้อย เคลื้มม่อยหลับไปเมื่อไก่ขัน
ทรงสุบินนิมิตอัศจรรย์ พอรุ่งสุริย์ฉันก็ฟื้นองค์
ฯ ๖ คำฯ
ร่าย
๏ พระลุกจากแท่นที่ตะลีตะลาน ภูบาลชำระสระสรง
ทรงเครื่องกกุธภัณฑ์บรรจง เสด็จตรงออกพระโรงรจนา
ฯ ๒ คำฯ เสมอ
สิงโต
๏ นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์รูจี พรั่งพร้อมเสนีทั้งซ้ายขวา
จึงตรัสเรียกโหรเฒ่าเข้ามา แล้วบัญชาแจ้งความตามนิมิต
คืนนี้เราฝันประหลาดนัก ว่าแก้วของเรารักดังดวงจิต
มีผู้เดชาศักดาฤทธิ์ มาปลดปลิดชิงเอาของเราไป
นานมีชายหนึ่งแปลกหน้า ไปนำดวงจินดามาคืนให้
กลับได้หลายดวงล้วนชอบใจ จงทายไปให้รู้ว่าร้ายดี
ฯ ๖ คำฯ
ร่าย
๏ บัดนั้น ขุนโหรรับสั่งใส่เกศี
ดูตามตำราในคัมภีร์ เห็นว่าดีมั่นคงไม่สงกา
จึงประณตบทมาลย์แล้วทูลพลัน ซึ่งทรงสุบินนั้นดีหนักหนา
ทั้งหกพระโอรสจะกลับมา เห็นได้ดังจินดาอาสาไป
แต่ฝันวันอังคารนี้พาลร้าย ตำราทายว่ามักให้หม่นไหม้
จะเกิดเหตุสักอย่างในกลางไพร เพียงแต่ตกใจไม่อันตราย
คงจะได้มาสองเสียหนึ่ง อีกเจ็ดวันจะถึงพระฤาสาย
แม้นผิดจากถ้อยคำที่ทำนาย ขอถวายชีวิตแก่ภูมี
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏเกษมศรี
จึงตรัสสั่งทั้งสองเสนี จงจัดแจงแต่งที่ปราสาทชัย
มโหรีปี่พาทย์ฆ้องกลอง ทั้งบายศรีทองที่ทำใหม่
งิ้วหุ่นโขนหนังจงสั่งไป เตรียมไว้ให้เสร็จในเจ็ดวัน
แม้ว่าพระน้องกับลูกยา มาถึงพาราจะทำขวัญ
ให้เล่นการมหรสพครบครัน แต่ในวันนั้นเป็นฤกษ์ดี
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้น เสนาประณตบทศรี
มาบัตรหมายบอกกันทันที ตามมีพระราชบัญชา
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ บัดนั้น ฝ่ายหกกุมารโอรสา
พาอามาในอรัญวา แรมค้างกลางป่าหลายราตรี
ศรีสันท์นั้นเฝ้าแต่เลียมและ เห็นอาเมินเดินแซะเสียดสี
ทำเลียบเคียงพูดจาพาที เสชมโน่นนี่มาตามทาง
ฯ ๔ คำฯ เพลง
๏ ครั้นสุริยาเย็นลงรอนรอน ชวนกันหยุดนอนในป่ากว้าง
สีไฟก่อนกองให้สองนาง คอยระวังเสือสางที่กลางไพร
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาศรีใส
ปัดกวาดผงไผ่ใต้ต้นไทร แล้วหักใบไม้มารองนอน
สองนางเอนองค์ลงนิทรา กลัวภัยภาวนาไม่หยุดหย่อน
คิดถึงนัดดายิ่งอาวรณ์ เจ้าเคยแผลงศรเป็นพลับพลา
สิ้นบุญหลานน้อยกลอยใจ ได้ลำบากอยากไร้หนักหนา
คิดพลางนางทรงโศกา จนนิทราเคลิ้มหลับกับสุพรรณ
ฯ ๖ คำฯ ตระ
ลีลากระทุ่ม
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์แสนกลคนขยัน
นั่งคิดนอนคิดทุกคืนวัน จะเข้าหาสุพรรณกัลยา
ยังหวาดหวั่นพรั่นจิตอิดเอื้อน ความรักตักเตือนให้ใจกล้า
ชะเง้อดูสุพรรณกับพระอา เห็นนิทราหลับไหลได้ท่วงที
จึงกระซิบบอกใบ้ให้น้องรู้ จงหลับนอนนิ่งอยู่อย่าอึงมี่
ว่าแล้วค่อยย่องมองหมาย วันนี้คงสมคะเนนึก
หยุดยืนแอบรกอกเต้นทึก แล้วสะอึกแฝงเงาเข้าไป
ฯ ๘ คำฯ เชิงฉิ่ง
ร่าย
๏ นั่งลงเคียงข้างนางสุพรรณ จะถูกถือมือสั่นไม่ต้องได้
ความรักกลัดกลุ้มคลุ้มใจ ค่อยชักสายสไบเทวี
ฯ ๒ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณรู้สึกนึกว่าผี
ตกใจลืมเนตรขึ้นทันที เห็นอ้ายอัปรีย์ศรีสันทา
นางเคืองขัดวัดเหวี่ยงเอาล้มหงาย ลุกขึ้นถ่มน้ำลายแล้วบ่นด่า
อันคนสัญชาติมันชั่วช้า สุดแต่ว่าเอาด้านเข้าเป็นพื้น
เห็นเขาหลับไหลแล้วได้ที กล้าดีมึงมาเมื่อตื่นตื่น
จะทำให้สาใจที่ไม่ลื้น อย่าพักหนีไปยืนแอบไม้
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาศรีใส
ผวาตื่นตระหนกตกใจ จึงถามไถ่สุพรรณทันที
ครั้นรู้ว่าศรีสันท์มันลอบมา นางโกรธาด่าทออึงมี่
ทำลอบลักหักหาญถึงเพียงนี้ อ้ายโจรป่ากล้าดีแล้วหนีไย
มึงช่างตั้งใจแต่ข่มเหง จะคิดเกรงน้ำหน้าก็หาไม่
เพี้ยงเอ๋ยผีสางที่กลางไพร จะหักคอมันให้ขาดใจตาย
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ถุ้งเถียงเบี่ยงบ่าย
พระอาอย่างเคืองขุ่นวุ่นวาย มาลงร้ายเอาข้าร่ำด่ายับ
หลานนอนอยู่ถึงโน่นทั้งหกคน ประมาทลืมสวดมนต์ม่อยหลับ
ปีศาจมากวนปล้ำอำทับ ให้ตะคล้ายตะคลับยังหลับดี
พึ่งรู้สึกตื่นขึ้นประเดี๋ยวนี้ ไม่แกล้งว่าฟ้าผี่เถิดพระอา
นางสุพรรณนั้นละเมอว่าคนหยอก เนื้อแท้ผีมันหลอกเหมือนเช่นข้า
จงนิ่งนอนสวดมนต์ภาวนา อย่าโกรธาด่าทออื้ออึง
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาโกรธขึ้ง
จึงว่าอย่างเสกสรรดันดึง ไม่เชื่อน้ำหน้ามึงอ้ายสันทา
ดีแต่แก้ตัวไปทุกอย่าง ใส่โทษผีสางช่างมุสา
เมื่อเขาเห็นมึงแน่อยู่แก่ตา ยังด้านหน้าถุ้งเถียงขึ้นเสียงดัง
จะสู้อดไปกว่าจะสิ้นเคราะห์ กูขี้คร้านทะเลาะกับบ้าหลัง
แล้วนางตั้งใจระไวระวัง ผลัดกันนอนกันนั่งกับธิดา
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ไม่สมปรารถนา
เดินยิ้มแก้เก้อเร่อมา ปดน้องทั้งห้าเป็นคลอกไป
เมื่อกี้พี่เข้าหานางสุพรรณ ได้พูดจากันเป็นไหนไหน
นางว่ารักพี่นี้สุดใจ แต่ทรามวัยหากกลัวพระชนนี
ยังกำลังชุลมุนมุ่นหมก พออาตกใจตื่นขึ้นเห็นพี่
ฉวยข้อมือได้หาไม้ตี เราเป่ามนต์สองทีลงง่วงงุย
แต่เงื้อเงื้อขยับแล้วกลับหยุด พี่สะบัดมือหลุดออกวิ่งฉุย
กลิ่นสุพรรณนั้นยังติดหอมกรุย ฮุ่ยหุยเจียวเจ้าอย่าบอกใคร
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งห้ากลั้นยิ้มมิใคร่ได้
หัวเราะพลางทางว่าอย่าปดไป ข้ายังไม่หลับม่อยนั่งคอยฟัง
สารพัดได้ยินสิ้นสุด จนนางด่าพึ่งหยุดเพราะมนต์ขลัง
ที่ว่าได้แอบอิงนั้นจริงจัง หรือปดดอกกระมังพี่สันทา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์พูดแชแก้หน้า
นางว่าให้มั่งชั่งเถิดหนา ธรรมดาผู้หญิงกับผู้ชาย
ชวนหัวเราะคิกคักชักพูดอื่น ไม่หลับนอนตึกดื่นจะตื่นสาย
ว่าพลางทางชวนกันเอนกาย ศรีสันท์เล่านิยายจนหลับไป
ฯ ๔ คำฯ เจรจา ตระ
๏ เสียงดุเหว่าเร่าร้องก้องป่า สุริยาเลี้ยวเยี่ยมเหลี่ยมไศล
ต่างตื่นฟื้นกายสบายใจ พาอาดั้นไพรไปธานี
ฯ ๒ คำฯ เชิด
๏ รอนแรมมาได้หลายทิวา ก็ลุถึงปัญจาล์กรุงศรี
พบพวกพหลมนตรี ทั้งกำนัลขันทีมาคอยรับ
แต่บรรดาข้าหลวงแลขอเฝ้า ก้มเกล้าอภิวันท์เป็นอันดับ
ชายหญิงแน่นนั่นคั่งคับ เห็นเจ้ากลับมาได้ก็ยินดี
แล้วทูลเชิญทั้งสองกัลยา ขึ้นทรงวอช่อฟ้าหลังคาสี
ทั้งหกองค์ทรงม้าพาชี เสนีแห่แหนเข้าพารา
ฯ ๖ คำฯ กลอนโยน
๏ บัดนั้น พนักงานการเล่นทุกภาษา
ต่างโห่ฉาวกราวเชิดเป็นโกลา ออกเต้นรำทำท่าทุกโรงงาน
ประชาชนพารามาเกลื่อนกล่น นั่งแน่นริมถนนอลหม่าน
อวยชัยให้พรพระกุมาร ชมบุญสมภาพออกแซ่ซ้อง
บ้างชะแง้แลดูวอสุพรรณ เห็นม่านกั้นกำบังมาทั้งสอง
ต่างคิดสงสัยตั้งใจมอง องค์หน้านั้นน้องเจ้าธานี
อันองค์นี้ที่เราไม่รู้จัก ผิวพักตร์นวลละอองผ่องศรี
ต่อจะเป็นพระราชบุตรี ชาวบุรีอวยพรกระฉ่อนไป
ฯ ๘ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกโอรสาศรีใส
แลดูเต้นรำสำราญใจ ขับอาชาไนยไปตามทาง
ถึงประตูหูช้างข้างหน้า ลงจากอาชาแล้วเยื้องย่าง
ชาวประโคมก็ประโคมดุริยางค์ ประทับวอสองนางกับเกยลา
ฯ ๔ คำฯ เสมอ
ช้า
๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หรรษา
ลุกจากแท่นสุวรรณมิทันช้า ไปรับองค์ขนิษฐายาใจ
ฯ ๒ คำฯ
ร่าย
๏ จูงกรมานั่งยั่งแท่นทอง สวมกอดพระน้องเข้าร้องไห้
ฝูงนางสาวสรรค์กำนัลใน ต่างซบพักตร์พิไรโศกี
ฯ ๒ คำฯ โอด
๏ ครั้นรู้สึกสมประดีกาย ค่อยคลายเศร้าหมองทั้งสองศรี
จึงปราศรัยน้องรักร่วมชีวี เป็นบุญเราครั้งนี้ได้พบกัน
แต่วันยักษ์มันมาพาเจ้าไป พี่เศร้าใจคิดว่าจะอาสัญ
แสนโศกโศกาไม่ราวัน ทั้งพงศ์พันธุ์เงียบเหงาเศร้าใจ
อยู่จำเนียรกาลนานมา พี่ฝันว่าน้องรักไม่ตักษัย
มันเลี้ยงเป็นมเหสีอยู่ในไพร แม้นมีผู้ตามไปจะได้มา
พี่คิดจะติดตามนางโฉมยง ทั้งหกองค์โอรสรับอาสา
ด้วยหลานของน้องรักทรงศักดา จึงรับอามาได้ถึงบุรี
ความพี่มีจิตเกษมศานต์ ดังได้ผ่านเมืองฟ้าราศี
เจ้าจากไปได้ถึงสิบแปดปี นิจจาพี่เพียงแปลกพักตรา
จนเป็นเทื้อเนื้อหนังเหนียว อยู่ไพรสณฑ์คนเดียวอนาถา
ยังค่อยผาสุกทุกทิวา หรือโรคายายีพระน้องรัก
อันนางนฤมลคนนั้น เป็นพงศ์พันธุ์ของใครไม่รู้จัก
รูปร่างละม้ายคล้ายเจ้านัก นงลักษณ์จงเล่าให้เข้าใจ
ฯ ๑๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ชิงทูลแถลงไข
นั่นชื่อสุพรรณทรามวัย อรไทเป็นลูกพระเจ้าอา
บิตุเรศไปเล่นสกาพนัน กับภุชงค์เดิมพันตามปรารถนา
พระยายักษ์นั้นกลับอัปรา จึงยอมยกธิดาให้นาคี
อันองค์พระอากับขุนมาร อยู่ถึงหิมพานต์เป็นถิ่นที่
เนาในปราสาทรัตน์รูจี อสุรีเรื่องอิทธิฤทธา
ได้รบกันกับลูกทั้งหกคน มันยกรี้กรีพลมาหนักหนา
ข้าแผลงศรตายกลาดดาษดา ทั้งกุมภัณฑ์ผัวอาก็วอดวาย
แล้วลูกลงไปเมืองนาคี จะรับศรีสุพรรณผันผาย
ต้องรบกันกับนาคอีกมากมาย ภุชงค์แพ้พ่ายถวายนาง
จึงได้องค์พระอากับสุพรรณ พากันเดินมาในป่ากว้าง
เหลือกำลังดังชีวิตจะวายวาง ทูลพลางทางดูพระเจ้าอา
ฯ ๑๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น พระบิตุเรศได้ฟังไม่กังขา
สั่นหัวกลัวฤทธิ์พระลูกยา จึงว่ามิเสียแรงที่พ่อรัก
ทุกวันนี้บิดาก็แก่เฒ่า จะเสกเจ้าให้ครองอาณาจักร
ว่าพลางทางเยื้อนเบือนพักตร์ ตรัสทักหลานน้อยกลอยใจ
มาหาลุงถึงนี่ศรีสุพรรณ อย่ารังเกียจเดียดฉันท์หาควรไม่
ลุงพี่งรู้จักอรไท อายุเจ้าเท่าใดนะหลานรัก
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณนารีมีศักดิ์
จึงคลานขึ้นไปด้วยใจภักดิ์ นงลักษณ์ก้มกราบกับบาทา
แค้นด้วยศรีสันท์มันชิงทูล ปดเป็นเค้ามูลได้ต่อหน้า
จะเถียงมั่งยังเกรงบิตุลา นั่งก้มพักตราไม่พาที
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏเรืองศรี
ลูบหลังพระนัดดานารี ภูมีพิศโฉมประโลมใจ
ผิวพรรณนรลักษณ์พักตรา เหมือนพระมารดาดังเถือใส่
จึงว่าชะรอยกรรมได้ทำไว้ แต่เกิดมาก็ไม่เห็นพงศ์พันธุ์
แล้วผินหน้ามาตรัสแก่พระน้อง พี่จัดแจงข้าวของไว้ทำขวัญ
เราได้พานพบประสบกัน ในวันนี้ไซร้เป็นฤกษ์ดี
เจ้าจงพาบุตรีกับหลานชาย ไปชำระกายให้ผ่องศรี
แต่งองค์ทรงเครื่องเรืองรูจี จะสมโภชเดี๋ยวนี้ทั้งแปดองค์
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑานวลหง
ให้ขัดเคืองหฤทัยนางโฉมยง ด้วยศรีสันท์มันทะนงไม่เกรงใจ
ชิงพูดชิงจาน่าแค้นเหลือ พระเชษฐษช่างเชื่อหลงใหล
ครั้นจะบอกความบัดนี้ไซร้ พระพี่ที่ไหนจะเห็นจริง
มันจะรุมกันเถียงทะเลาะเล่น จะกลับเป็นพูดเท็จไปทุกสิ่ง
ความไกลไม่มีที่อ้างอิง นางนั่งนิ่งถอนใจไม่ไคลคลา
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น พระปิ่นปักนัคเรศเชษฐา
ซ้ำตรัสเตือนองค์พระน้องยา ปลอบโยนหนักหนาก็ไม่ไป
พระนั่งนิ่งนึกตรึกคะนึง เป็นไรจึงเคืองขัดอัชฌาสัย
เห็นทีจะละห้อยน้อยใจ ด้วยทรามวัยยังรักยักษ์สามี
ต่อนานไปให้ลืมเสียสักหน่อย จึงจะค่อยเล้าโลมนางโฉมศรี
จะทำมิ่งสิ่งขวัญเสียวันนี้ ให้ทันฤกษ์ดีดังใจปอง
คิดพลางทางมีบัญชาสั่ง เสนากรมวังทั้งสอง
เร่งยกบายศรีแก้วบายศรีทอง มาสมโภชพระน้องกับลูกรัก
ฯ ๘ คำฯ
๏ บัดนั้น จึงมหาเสนีมีศักดิ์
รับสั่งภูวไนยด้วยใจภักดิ์ ต่างวิ่งคึกคักออกมาพลัน
พนักงานของใครก็จัดแจง ยกมาตั้งแต่งเป็นลดหลั่น
มโหรีปี่พากย์ครบครัน เสร็จพร้อมสารพันดังบัญชา
ฯ ๔ คำฯ
๏ บัดนั้น ราชครูผู้มียศถา
ครั้นได้ฤกษ์ยามตามตำรา ก็เข้ามาจุดเทียนแล้วกราบกราน
จึงส่งแว่นเวียนขวามาซ้าย เจ้าขรัวนายคอยรับอยู่ริมม่าน
ให้ประโคมแตรสังข์กังสดาล เสียงโห่สะท้านทั้งวังใน
ฯ ๔ คำฯ
๏ ครบเจ็ดรอบคะแนนเวียนแว่นเวียน เอาใบพลูดับเทียนโบกควันให้
แล้วจุณเจิมเฉลิมขวัญเป็นหลั่นไป ต่างอำนวยอวยชัยด้วยปรีดา
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ บัดนั้น ฝ่ายนายสำเภาที่ได้ผ้า
ใช้ใบมาถึงเมืองปัญจาล์ ก็ทอดท่าท้ายคูพระบูรี
เห็นนาวาขึ้นล่องออกเซ็งแซ่ จึงถามเหล่าชาวแพเจ้าภาษี
รู้ว่าพระองค์ทรงธรณี ภูมีสมโภชพระน้องยา
พาณิชคิดจะถวายของ จึงเปิดหีบหยิบช้องกับภูษา
จัดสรรพทุกสิ่งสินค้า แต่บรรดาข้าวของที่ต้องการ
ขนลงสำปั้นน้อยค่อยพายไป ขึ้นแพใหญ่กรมท่าหน้าบ้าน
มอบของให้เจ้าพนักงาน พากันลนลานเข้าวังใน
ฯ ๘ คำฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงยกขึ้นไปพลัน ตั้งไว้เรียงรันแล้วกราบไหว้
พนักงานทูลถวายทันใด ตามในจดหมายรายของนั้น
ฯ ๒ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกแสนกลคนขยัน
เห็นผ้ากับช้องของสำคัญ อ้ายนี่มันจะก่อให้เกิดความ
จึงวิ่งไปชิงช้องกับภูษา ซ่อนใส่ในผ้าแล้วซักถาม
มึงเอาของจัญไรไม่งดงาม มาถวายแต่ตามอำเภอใจ
จะเสียฤกษ์เสียพากูน่าถอง อ้ายจองหองชั่วชาติอุบาทว์ใหญ่
ชอบแต่ฆ่าฟันให้บรรลัย ไสหัวออกไปเสียให้พ้น
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น พระบิดาหลากจิตคิดฉงน
จึงว่าแก่โอรสทั้งหกคน เอาของเขาซ่อนซนเสียทำไม
ถึงมิงดมิงามก็ตามที เขาจงรักภักดีเอามาให้
เป็นเงินหรือทองของอะไร อยู่ไหนเอามาพ่อจะดู
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกอิดเอื้อนเยื้อนอยู่
จึงว่าของจัญไรอะไรมิรู้ พระบิดาอย่าดูให้เสียตา
ไม่เคยพบเคยเห็นเช่นนี้ ผ้าผีผมพรายตายห่า
ชอบแต่ทิ้งเสียที่ป่าช้า แล้วเฆี่ยนผู้เอามาให้สาใจ
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น องค์พระบิตุรงค์ยิ่งสงสัย
ตรัสว่าเขามาแต่เมืองไกล เคยให้ของข้าวเราทุกปี
ย่อมจะเห็นงามตามใจรัก ผิดนักเจ้าว่าเป็นผ้าผี
ไปด่าทอเขานั้นมันไม่ดี เอาผมผ้ามานี่นะลูกยา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกบิดพลิ้งนิ่วหน้า
จะขืนขัดกลัวพระจะโกรธา ทั้งจริตกิริยาวุ่นวาย
ครั้นบิดรเตือนซ้ำต้องจำใจ เอาช้องกับสไบเข้าไปถวาย
แล้วว่าของชั่วชาติอุบาทว์ร้าย จงคืนให้ไปขายเสียเมืองไกล
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏเป็นใหญ่
เห็นผ้ากับช้องต้องฤทัย ภูวไนยแลเล็งเพ่งพิศ
สีสดงดงามหนักหนา ใครเป็นเป็นน่าเจริญจิต
เนื้อหนังดังหนึ่งจะกำมิด งามผิดผ้ามนุษย์ในแดนไต
กระนี้แล้วลูกยายังว่าชั่ว บุญตัวได้เห็นเป็นลาภใหญ่
ดูผ้าต้นผ้าทรงเราเสียไป ราคาได้สักแสนตำลึงทอง
ประเสริฐกว่าเพชรนิลจินดา จะทำขวํญกัลยาทั้งสอง
ว่าพลางส่งสไปให้พระน้อง ยื่นช้องให้นัดดายาใจ
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งสองนางต่างจำของตัวได้
เห็นพระสังข์จะไม่บรรลัย ช้องกับสไบจึงได้มา
นางเกสรสุมณฑายิ่งละห้อย คิดถึงหลานน้อยเสน่หา
ชลนัยน์ซึมซาบอาบพักตรา ต่างทรงโศกาไม่สมประดี
ฯ ๔ คำฯ โอด
๏ เมื่อนั้น พระเชษฐาธิราชเรืองศรี
ปลอบพลางทางถามนางเทวี เจ้ากันแสงโศกีด้วยอันใด
พี่ให้ของสองสิ่งนี้ดีแท้ ไม่ชอบใจหรือแม่จึงร้องไห้
เจ้าเศร้าสร้อยน้อยฤทัย จะประสงค์สิ่งไรจงบอกมา
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาเสน่หา
จึงทูลคดีพระพี่ยา ใช่จะน้อยใจข้าด้วยผ้านี้
อันสุพรรณกับน้องร่ำร้องไห้ เพราะดิดถึงสังข์ศิลป์ชัยเรืองศรี
อุตส่าห์ไปรับข้ากับบุตรี ได้รบอสุรีแลนาคา
ครั้นเสร็จแล้วพากันคลาไคล บุกป่ามาในแดนยักษา
ท่านท้าววัณณุราชอสุรา ช่วยพาเหาะข้ามชลาลัย
พบทั้งหกนี้ที่ฝั่งน้ำ เขาทำซื่อตรงให้หลงใหล
ชักชวนพระสังข์ศิลป์ชัย เที่ยวเก็บผลไม้ในแดนดง
แล้วกลับมาว่าเจ้าสังข์นั้นสูญหาย ไม่รู้ว่าจะตายหรือจะหลง
จึงเอาของสองสิ่งนี้ทำธง ข้าจำนงเสี่ยงทายเป็นเค้ามูล
เขาได้ผ้ากับช้องของน้องมา เห็นแท้ว่าพระสังข์ยังไม่สูญ
จึงกันแสงโศกาอาดูร น้องทูลทั้งนี้เป็นสัจจา
ฯ ๑๒ คำฯ
๏ ได้เอยได้ฟัง ออกชื่อพระสังข์ให้กังขา
จึงว่าประหลาดแล้วนะแก้วตา เมื่อทั้งหกลูกยาอาสาไป
ใครเล่าเจ้าว่ายั่งยืน อันคนอื่นนอกนี้หามิได้
จะหาผู้เรืองอิทธิ์ฤทธิไกร เหมือนเขาเหล่านี้ไซร้ไม่มีแล้ว
จึงผินหน้ามาถามั้งหกพลัน ผู้ใดนั่นที่อาว่ากล้าแกล้ว
พ่อฟังมืดไปไม่ว่องแวว ใครไปด้วยลูกแก้วจงบอกมา
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์แสร้งทำเป็นเมินหน้า
หัวเราะพลางทางทูลพระบิดา นี่แลลูกยาเป็นจนใจ
ท่านว่าแล้วมิเชื่อก็จำเชื่อ คือใครนั่นตัวเนื้ออยู่ที่ไหน
วาสนาอาภัพจึงลับไป อย่าถามไถ่ข้าเลยพระบิดา
ฯ ๔ คำฯ
๏ ลูกเอยลูกแก้ว พ่อลงเนื้อเห็นแล้วที่เจ้าว่า
อันคนอื่นหมื่นแสนในโลกา จะแกล้วกล้าเหมือนเจ้านั้นไม่มี
แล้วตรัสแก่ขนิษฐายาใจ เจ้าลืมหลานไปหรือเมื่อกี้
จึงแชเชือนเลื่อนไหลพาที ทำให้พี่ลังเลสนเท่ห์ใจ
อันเจ้าว่าไม่น่าจะเชื่อฟัง พระศิลป์พระสังข์อยู่ที่ไหน
หลานทั้งหกนี้แลที่ไป รับเจ้ามาได้ถึงวังเวียง
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาก็ทูลเถียง
เออช่างกระไรไม่ไล่เลียง เมื่อความจริงแท้เที่ยงอยู่เช่นนี้
น้องขอถามเนื้อความหลัง แต่ข้ายังไปอยู่ด้วยยักษี
ที่ชื่อนางประทุมนารี กับไกรสรเทวีทั้งสองนั้น
พระพี่รู้จักนางบ้างหรือไม่ เขาว่าอรไทอยู่ไพรสัณฑ์
อันลูกนางประทุมแจ่มจันทร์ นามนั้นชื่อว่าสังข์ศิลป์ชัย
อีกเจ้าสิงหราลูกไกรสร ทั้งสองทรงฤทธิรอนจะหาไหน
บอกว่าบิดาบัญชาใช้ ให้ไปรับข้ามาธานี
เจ้าชักวงศ์พงศ์พันธุ์ให้รู้จัก จึงแจ้งว่าหลานรักทั้งสองศรี
อันโอรสหมดแล้วหรือยังมี พระพี่จงรำลึกตรึกตรา
ฯ ๑๐ คำฯ
๏ ฟังเอยฟังความ เอ๊ะงามจะจริงเหมือนเจ้าว่า
อันประทุมนั้นเมียของพี่ยา อยู่ด้วยกันมาจนมีครรภ์
ลูกคลอดผิดคนทั้งแผ่นดิน มือถือสังข์ศิลป์แลพระขรรค์
อีจัญไรไกรสรทาสีนั้น ลูกมันชั่วจริงเป็นสิงหรา
โหรเฒ่าเขาว่าอุบาทว์เมือง พี่แค้นเคืองขับไล่ไปเสียป่า
อ่ออ้ายลูกอีประทุมา มันไปรับขนิษฐาไม่รู้เลย
แล้วถามโอรสเล่าตามเค้าเงื่อน จริงเหมือนอาว่าหรือลูกเอ๋ย
พ่อหลับตาว่าเจ้าเฝ้าชมเชย ไม่บอกให้รู้เลยแต่เดิมที
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ขึ้นเสียงออกอึงมี่
พระอามาเป็นได้เช่นนี้ พาลรีพาลขวางทุกอย่างไป
เมื่อเดินป่าอาถามถึงความหลัง ลูกเล่าให้ฟังจนสิ้นไส้
จึงรู้จักชื่อเสียงสังข์ศิลป์ชัย ช่างเอามาได้เป็นเนื้อตัว
แกล้งพูดเลี้ยวลดจะทดแทน ที่เคืองแค้นลูกยาว่าฆ่าผัว
เอออะไรบาปกรรมก็ไม่กลัว จะให้โทษแก่ตัวนี้ไม่แคล้ว
ฯ ๖ คำฯ
๏ จอมเอยจอมขวัญ อ่อกระนั้นดอกหรือนะลูกแก้ว
ได้รู้เพราะเจ้าเล่าจริงแล้ว จึงชักเรื่องชักแถวเอาถูกความ
แล้วพระยิ้มเยื้อนเบือนพักตร์ มาตรัสแก่น้องรักชักถาม
ศรีสันท์มันว่าพี่เห็นงาม เขาบอกความหรือเจ้าจึงได้รู้
อ้ายคนชั่วชาติอุบาทว์บ้าน มานับเป็นลูกหลานรำคาญหู
พี่ขอเถิดอย่าเชิดชู ชางเมืองเลื่องรู้จะเย้ยเยาะ
ฯ ๖ คำฯ
๏ น่าเอยน่าแค้นเหลือ เอออะไรช่างเชื่อเป็นมั่นเหมาะ
เลื่อนไหลไปด้วยอ้ายพูดเพราะ นี่เนื้อเคราะห์เนื้อกรรมได้ทำไว้
แน่เจ้าคนดีศรีสันทา ช่างด้านหน้าขึ้นเสียงเถียงได้
มึงเล่าให้กูฟังเมื่อครั้งไร ยังกลับว่าผู้ใหญ่นี้พูดโกง
อวดกล้าว่าได้ไปรบยักษ์ เอ็งอย่างพักมาดหมายคงตายโหง
กลัวแต่จะชิงวิ่งตะโกรง โป้งโหยงพาทีไม่มีจริง
พวกมึงพึ่งบุญสังข์ศิลป์ชัย พลอยไปซ่อนตัวอยู่หัวตลิ่ง
เห็นยักษ์มาผ้าผ่อนลงกองทิ้ง พากันมุดหัววิ่งเข้าซุ้มรก
แล้วซ้ำคิดอ่านฆ่าหลานกู เล่ห์กลก็รู้อยู่เต็มอก
กลับมาพูดอวดพ่อยอยก พวกอ้ายโกหกเขาเห็นตัว
ฯ ๑๐ คำฯ
๏ ฟังเอยฟังอาว่า เจ้าศรีสันทาทำยิ้มหัว
มาใส่ถ้อยร้อยความเอาพันพัว ออกเห็นตัวเห็นตนว่าคนเท็จ
เออมิใช่ฝีมือหรือวันนั้น จนกุมภัณฑ์ผัวหัวขาดเด็ด
ลงนั่งกอดยักษาน้ำตาเล็ด ออกขามเข็ดฤทธิ์ข้าจึงมาตาม
ลูกหลานที่ไหนเล่าเอามาว่า พระบิดาฟังได้ไม่ซักถาม
สับปะติดสับปะต่อแต่พองาม เป็นความแต้มแต่งจะแกล้งพาล
ฯ ๖ คำฯ
๏ เจ็บเอยเจ็บจิต กูไม่คิดแล้วว่ามึงเป็นหลาน
ลมลิ้นหยาบช้าสามานย์ จะร้าวฉานพงศ์พันธุ์เพราะมันนี้
จะตบมึงให้ได้ไอ้สุงสิง แม้นฤทธิ์เดชดีจริงอย่าวิ่งหนี
ว่าพลางนางลุกขึ้นทันที เข้าไล่ตบตีพัลวัน
ฯ ๔ คำฯ เชิด
๏ แค้นด้วยพระพี่นี้สุดใจ เอออะไรมาขวางกางกั้น
หลับตางมเงาเข้าด้วยมัน ตัดญาติขาดกันแต่วันนี้
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น พระเชษฐาเล้าโลมนางโฉมศรี
เท็จจริงจำว่าแต่โดยดี มาด่วนทุบด่วนตีกันวุ่นวาย
ข้างโน้นอย่ามุทะลุกุกะ พ่อจะเกลี่ยไกล่เสียให้หาย
ข้างนี้เป็นผู้ใหญ่อย่าใจร้าย ไม่สงสารหลานชายเลยน้องรัก
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกมเหสีมีศักดิ์
ให้วิตกอกใจทึกทัก กลัวว่าลูกรักจะแพ้อา
ค่อยกระซิบพาทีกันที่นั่น จำจะทูลแก้กันโอรสา
จะให้ท้าวเธอถามขุนโหรา เขาจะได้ช่วยว่าให้เกลี่อนไป
แล้วหกนางต่างทูลพระสามี น้องนี้หลากจิตคิดสงสัย
กัลยามาเป็นเช่นนี้ไซร้ อย่าไว้ใจจงถามโหราดู
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น พระสามีตรัสตอบว่าชอบอยู่
เห็นเถียงกันฟั่นเผื่อเป็นเหลือรู้ ว่าความาหลายคู่ไม่เช่นนี้
แล้วมีสิงหนาทบัญชา ตรัสเรียกโหราเข้ามานี่
ท่านช่วยพิเคราะห์ดูให้เต็มที่ เรานี้ยังพะวงสงกา
องค์พระน้องยาแต่มาถึง ให้โกรธขึ้งหลานรักหนักหนา
ดูจริงเห็นผิดกิริยา จะถูกต้องผีป่าหรืออย่างไร
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้น โหรเฒ่าบังคมประนมไหว้
จึงดูยามตามเคราะห์อรไท ไม่มีเหตุเภทภัยสักสิ่งอัน
ครั้งจะทูลไปตามสัจจา เห็นหกโอรสาจะอาสัญ
เราได้สินบนเขาคราวนั้น จำจะช่วยผ่อนผันให้ชอบกล
คิดแล้วนบนิ้วประนมทูล ข้าวางลัคน์หักคูณดูหลายหน
อันพระน้องนารีนีรมล เป็นพิกลจริตจิตคลั่งไคล้
เหตุเพราะยักษ์ร้ายที่วายปราณ ประจำองค์นงครญให้หลงใหล
จงหาหมอหลวงทั้งปวงไซร้ มาดูแลแก้ไขให้หลายตา
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านนัคเรศเชษฐา
จึงตรัสว่าจริงแล้วนะโหรา เราเห็นกิริยานั้นผิดที
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน หมอโรงเราเท่าไรเรียกมานี่
แล้วแยกไปให้ทั่วธานี หาคนทรงลงผีนั้นเข้ามา
ฯ ๔ คำฯ
๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศา
บ้างไปเรียกหมอนวดหมอยา บ้างก็พายายเฒ่าเข้าไปพลัน
ฯ ๒ คำฯ เจรจา เชิด
๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านนัคเรศเขตขัณฑ์
จึงตรัสสั่งหมอหลวงทั้งปวงนั้น จงช่วยกันแก้น้องกูลองดู
จะเป็นโรคอย่างไรไม่ประจักษ์ เห็นละล่ำละลักประหลาดอยู่
ให้ชิงชังทั้งหกลูกกู ไม่แลดูหน้าตาเฝ้าด่าทอ
แม้นใครแก้หายคลายคลุ้มคลั่ง กูจะตั้งให้เป็นกรมหมอ
เร่งทำตามวิชาอย่ารั้งรอ ตั้งใจตั้งคอให้จงดี
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้น หมอยาใคร่ครวญถ้วนถี่
จึงกราบทูลพลันทันที ไข้นี้มีพิษติดจะร้าย
ชื่อสันนิบาตเลือดให้เดือดดุ ถ้าถวายยารุเห็นจะหาย
ลมกระทบหฤทัยไม่สบาย จึงกระวนกระวายข้างภายใน
หมอนวดต้องลงตรงบาทา แล้วว่าเส้นปัตคาดพอแก้ไข
จะต้องห่อใบส้มต้มกับไพล ประคบให้เส้นสายกระจายดี
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏเจ้ากรุงศรี
จึงตรัสสั่งยายท้าวทันที จงเร่งลงผีไปตามเคย
ถ้าเอ็งแก้น้องของกูหาย จะให้ลาภมากมายแล้วยายเอ๋ย
จะเป็นอย่างไรอยู่ไม่รู้เลย นี่แน่เหวยอีมดอย่าปดกัน
ฯ ๔ คำฯ
๏ บัดนั้น นางท้าวไหว้ผีขมีขมัน
ประนมมือถือเทียนงกงัน ทำตัวสั่นเทาเทาหาวเรอ
ฯ ๒ คำฯ กราวรำ
๏ ฉวยขวดดื่มเหล้าจนเมามึน ลุกขึ้นเต้นรำผย่ำเผยอ
ทำหน้าตาเบี้ยวบูดพูดเพ้อ อ่อกุมภัณฑ์เกลอของกูมา
เอ็งอย่าอยู่ไม่ได้เร่งไปเสีย มาโกรธขึ้งหลานเมียไยหนักหนา
เอาเป็ดไก่ไปกินเถิดเกลออา แกล้งผูกพันมุสาใส่ไคล้
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาให้มันไส้
ร้องด่าว่าเหวยอีจัญไร ผีสางที่ไหนมาเข้ากู
มึงโกหกเห็นตัวหัวประสม น้อยหรือลิ้นลมมาลบหลู่
ว่าพลางนางฉวยลิ่มประตู ไล่ต่อยหัวหูระยำไป
ฯ ๔ คำฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น พระเชษฐาร้อนรนหม่นไหม้
จึงปลอบโยนโอนอ่อนเอาใจ จูงกรอรไทมาแท่นทอง
ไม่รักพี่แล้วหรือแก้วตา เฝ้าโกรธาว้าวุ่นขุ่นหมอง
มาหลงใหลไม่ควรเลยนวลน้อง พี่พิเคราะห์สอดส่องเห็นถ่องแท้
เมื่อทั้งหกหลานรักผู้ศักดา ไปรับมาจริงเจียวทีเดียวแม่
กลับเคืองข้องสองตาก็ไม่แล สุดที่พี่จะแก้ที่คลุ้มใจ
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาแถลงไข
ถึงพระจะโกรธก็โกรธไป เมื่อความจริงใจไม่เชื่อกัน
แม้นมิพบพระสังข์เหมือนดังจิต เห็นชีวิตน้องยาจะอาสัญ
อันอ้ายทั้งหกไม่นับมัน พงศ์พันธุ์อะไรจะคอยล้าง
ครั้นว่าไปก็เครื่องจะเคืองข้อง มันข่มเหงน้องนี้ทุกอย่าง
เฝ้าเกี้ยวพานหลานสาวมากลางทาง ทั้งพูดจาถากถางให้ได้อาย
สุพรรณมันด่าก็ไม่เจ็บ ดูเถิดรอยเล็บยังไม่หาย
นี่หรือจะให้นับเป็นหลานชาย สู้ตายไม่ขอเห็นหน้าตา
ฯ ๘ คำฯ
๏ น้อยเอยน้อยหรือ พี่หลงเชื่อถือมันหนักหนา
ช่างไม่ยำเกรงข่มเหงอา หยาบช้าเช่นนี้ทีเดียว
แล้วด่าลูกหกคนป่นปี้ มึงนี้ดีแต่จะแก้เกี้ยว
ขัดเขมรหมุนมาคว้าไม้เรียว กระทืบบาทกราดเกรี้ยวจะทุบตี
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกตกใจขยับหนี
ศรีสันท์ร้องทูลไปทันที ซึ่งอาว่าทั้งนี้ไม่มีจริง
แต่แรกเถียงที่ข้อลูกไปรับ ประเดี๋ยวใจไพล่กลับเป็นสุงสิง
แกล้งปรักปรำซ้ำเติมด้วยชังชิง ถ้าเป็นจริงเหมือนว่าจงฆ่าฟัน
เมื่อครั้งเดินทางมากลางป่า ข้ากลัวอาจะรังเกียจเดียดฉันท์
มิได้ใกล้เคียงเจ้าสุพรรณ ลูกรักษาตัวมั่นถึงขั้นนี้
น้อยจิตคิดคิดแล้วน่าสรวล มาว่าข้าลามลวนไม่ควรที่
อันชู้เมียลูกไม่พอใจมี จะบวชเสียมิดีหรือบิดา
ฯ ๘ คำฯ
๏ ลูกเอยลูกรัก พ่อไม่ประจักษ์จึงด่าว่า
เจ้าคนตรงงคนซื่ออย่าถืออา จงงอนง้อพูดจาแต่โดยดี
แล้วตรัสแก่เยาวมาลย์หลานน้อย เจ้าอย่าพลอยถือโทษโกรธพี่
จงรักกันฉันญาตินะเทวี บุญคุณเขามีแก่หลานรัก
ฯ ๔ คำฯ
๏ แค้นด้วยพระพี่นี้สุดใจ เอออะไรมาขวางกางกั้น
หลับตางมเงาเข้าด้วยมัน ตัดญาติขาดกันแต่วันนี้
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น พระเชษฐาเล้าโลมนางโฉมศรี
เท็จจริงจำว่าแต่โดยดี มาด่วนทุบด่วนตีกันวุ่นวาย
ข้างโน้นอย่ามุทะลุกุกะ พ่อจะเกลี่ยไกล่เสียให้หาย
ข้างนี้เป็นผู้ใหญ่อย่าใจร้าย ไม่สงสารหลานชายเลยน้องรัก
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกมเหสีมีศักดิ์
ให้วิตกอกใจทึกทัก กลัวว่าลูกรักจะแพ้อา
ค่อยกระซิบพาทีกันที่นั่น จำจะทูลแก้กันโอรสา
จะให้ท้าวเธอถามขุนโหรา เขาจะได้ช่วยว่าให้เกลี่อนไป
แล้วหกนางต่างทูลพระสามี น้องนี้หลากจิตคิดสงสัย
กัลยามาเป็นเช่นนี้ไซร้ อย่าไว้ใจจงถามโหราดู
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น พระสามีตรัสตอบว่าชอบอยู่
เห็นเถียงกันฟั่นเผื่อเป็นเหลือรู้ ว่าความาหลายคู่ไม่เช่นนี้
แล้วมีสิงหนาทบัญชา ตรัสเรียกโหราเข้ามานี่
ท่านช่วยพิเคราะห์ดูให้เต็มที่ เรานี้ยังพะวงสงกา
องค์พระน้องยาแต่มาถึง ให้โกรธขึ้งหลานรักหนักหนา
ดูจริงเห็นผิดกิริยา จะถูกต้องผีป่าหรืออย่างไร
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้น โหรเฒ่าบังคมประนมไหว้
จึงดูยามตามเคราะห์อรไท ไม่มีเหตุเภทภัยสักสิ่งอัน
ครั้งจะทูลไปตามสัจจา เห็นหกโอรสาจะอาสัญ
เราได้สินบนเขาคราวนั้น จำจะช่วยผ่อนผันให้ชอบกล
คิดแล้วนบนิ้วประนมทูล ข้าวางลัคน์หักคูณดูหลายหน
อันพระน้องนารีนีรมล เป็นพิกลจริตจิตคลั่งไคล้
เหตุเพราะยักษ์ร้ายที่วายปราณ ประจำองค์นงครญให้หลงใหล
จงหาหมอหลวงทั้งปวงไซร้ มาดูแลแก้ไขให้หลายตา
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านนัคเรศเชษฐา
จึงตรัสว่าจริงแล้วนะโหรา เราเห็นกิริยานั้นผิดที
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน หมอโรงเราเท่าไรเรียกมานี่
แล้วแยกไปให้ทั่วธานี หาคนทรงลงผีนั้นเข้ามา
ฯ ๔ คำฯ
๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศา
บ้างไปเรียกหมอนวดหมอยา บ้างก็พายายเฒ่าเข้าไปพลัน
ฯ ๒ คำฯ เจรจา เชิด
๏ เมื่อนั้น พระผู้ผ่านนัคเรศเขตขัณฑ์
จึงตรัสสั่งหมอหลวงทั้งปวงนั้น จงช่วยกันแก้น้องกูลองดู
จะเป็นโรคอย่างไรไม่ประจักษ์ เห็นละล่ำละลักประหลาดอยู่
ให้ชิงชังทั้งหกลูกกู ไม่แลดูหน้าตาเฝ้าด่าทอ
แม้นใครแก้หายคลายคลุ้มคลั่ง กูจะตั้งให้เป็นกรมหมอ
เร่งทำตามวิชาอย่ารั้งรอ ตั้งใจตั้งคอให้จงดี
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้น หมอยาใคร่ครวญถ้วนถี่
จึงกราบทูลพลันทันที ไข้นี้มีพิษติดจะร้าย
ชื่อสันนิบาตเลือดให้เดือดดุ ถ้าถวายยารุเห็นจะหาย
ลมกระทบหฤทัยไม่สบาย จึงกระวนกระวายข้างภายใน
หมอนวดต้องลงตรงบาทา แล้วว่าเส้นปัตคาดพอแก้ไข
จะต้องห่อใบส้มต้มกับไพล ประคบให้เส้นสายกระจายดี
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏเจ้ากรุงศรี
จึงตรัสสั่งยายท้าวทันที จงเร่งลงผีไปตามเคย
ถ้าเอ็งแก้น้องของกูหาย จะให้ลาภมากมายแล้วยายเอ๋ย
จะเป็นอย่างไรอยู่ไม่รู้เลย นี่แน่เหวยอีมดอย่าปดกัน
ฯ ๔ คำฯ
๏ บัดนั้น นางท้าวไหว้ผีขมีขมัน
ประนมมือถือเทียนงกงัน ทำตัวสั่นเทาเทาหาวเรอ
ฯ ๒ คำฯ กราวรำ
๏ ฉวยขวดดื่มเหล้าจนเมามึน ลุกขึ้นเต้นรำผย่ำเผยอ
ทำหน้าตาเบี้ยวบูดพูดเพ้อ อ่อกุมภัณฑ์เกลอของกูมา
เอ็งอย่าอยู่ไม่ได้เร่งไปเสีย มาโกรธขึ้งหลานเมียไยหนักหนา
เอาเป็ดไก่ไปกินเถิดเกลออา แกล้งผูกพันมุสาใส่ไคล้
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาให้มันไส้
ร้องด่าว่าเหวยอีจัญไร ผีสางที่ไหนมาเข้ากู
มึงโกหกเห็นตัวหัวประสม น้อยหรือลิ้นลมมาลบหลู่
ว่าพลางนางฉวยลิ่มประตู ไล่ต่อยหัวหูระยำไป
ฯ ๔ คำฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น พระเชษฐาร้อนรนหม่นไหม้
จึงปลอบโยนโอนอ่อนเอาใจ จูงกรอรไทมาแท่นทอง
ไม่รักพี่แล้วหรือแก้วตา เฝ้าโกรธาว้าวุ่นขุ่นหมอง
มาหลงใหลไม่ควรเลยนวลน้อง พี่พิเคราะห์สอดส่องเห็นถ่องแท้
เมื่อทั้งหกหลานรักผู้ศักดา ไปรับมาจริงเจียวทีเดียวแม่
กลับเคืองข้องสองตาก็ไม่แล สุดที่พี่จะแก้ที่คลุ้มใจ
ฯ ๖ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาแถลงไข
ถึงพระจะโกรธก็โกรธไป เมื่อความจริงใจไม่เชื่อกัน
แม้นมิพบพระสังข์เหมือนดังจิต เห็นชีวิตน้องยาจะอาสัญ
อันอ้ายทั้งหกไม่นับมัน พงศ์พันธุ์อะไรจะคอยล้าง
ครั้นว่าไปก็เครื่องจะเคืองข้อง มันข่มเหงน้องนี้ทุกอย่าง
เฝ้าเกี้ยวพานหลานสาวมากลางทาง ทั้งพูดจาถากถางให้ได้อาย
สุพรรณมันด่าก็ไม่เจ็บ ดูเถิดรอยเล็บยังไม่หาย
นี่หรือจะให้นับเป็นหลานชาย สู้ตายไม่ขอเห็นหน้าตา
ฯ ๘ คำฯ
๏ น้อยเอยน้อยหรือ พี่หลงเชื่อถือมันหนักหนา
ช่างไม่ยำเกรงข่มเหงอา หยาบช้าเช่นนี้ทีเดียว
แล้วด่าลูกหกคนป่นปี้ มึงนี้ดีแต่จะแก้เกี้ยว
ขัดเขมรหมุนมาคว้าไม้เรียว กระทืบบาทกราดเกรี้ยวจะทุบตี
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกตกใจขยับหนี
ศรีสันท์ร้องทูลไปทันที ซึ่งอาว่าทั้งนี้ไม่มีจริง
แต่แรกเถียงที่ข้อลูกไปรับ ประเดี๋ยวใจไพล่กลับเป็นสุงสิง
แกล้งปรักปรำซ้ำเติมด้วยชังชิง ถ้าเป็นจริงเหมือนว่าจงฆ่าฟัน
เมื่อครั้งเดินทางมากลางป่า ข้ากลัวอาจะรังเกียจเดียดฉันท์
มิได้ใกล้เคียงเจ้าสุพรรณ ลูกรักษาตัวมั่นถึงขั้นนี้
น้อยจิตคิดคิดแล้วน่าสรวล มาว่าข้าลามลวนไม่ควรที่
อันชู้เมียลูกไม่พอใจมี จะบวชเสียมิดีหรือบิดา
ฯ ๘ คำฯ
๏ ลูกเอยลูกรัก พ่อไม่ประจักษ์จึงด่าว่า
เจ้าคนตรงงคนซื่ออย่าถืออา จงงอนง้อพูดจาแต่โดยดี
แล้วตรัสแก่เยาวมาลย์หลานน้อย เจ้าอย่าพลอยถือโทษโกรธพี่
จงรักกันฉันญาตินะเทวี บุญคุณเขามีแก่หลานรัก
ฯ ๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณนารีมีศักดิ์
ได้ฟังคั่งแค้นฤทัยนัก นงลักษณ์จึงทูลไปทันที
อันสัญชาติทั้งหกเชษฐา ข้าไม่ปรารถนานับว่าพี่
อะไรช่างมุสาทั้งตาปี เคยดื้อเถียงเช่นนี้นี่หลายครา
แต่วันเมื่อพระสังข์ศิลป์ชัยหาย ต่างแยกย้ายรายค้นบนภูผา
ตัวหลานกับพี่ศรีสันทา ไปเที่ยวหาสุมทุมพุ่มไม้
พอถึงที่เปลี่ยวก็เกี้ยวพาน ทำหักหาญฉุดคร่าคว้าไขว่
ข้าหยิกข่วนหนักหนาไม่สาใจ ยังวิ่งไล่มาจนชนนี
ครั้นพระมารดาข้าถาม กลับพูดจาหยาบหยามเสียดสี
ข้านอนค้างกลางป่าพนาลี ศรีสันท์นั้นมีแต่นึกร้าย
ลอบย่องเข้าหาข้าถีบเอา ถูกเข้าที่อกหกล้มหงาย
ยังกลับขึ้นเสียงเถียงมากมาย เห็นไม่มีชาติอายเท่าปลายเล็บ
สันดานด้านดื้อนี้สุดใจ จะว่าอย่างไรก็ไม่เจ็บ
ทำไขหูสู้เถียงจนตาเย็บ เติมแต้มแนมเหน็บไปทุกคราว
ฯ ๑๔ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันทาว่าชะนางน้องสาว
ช่างประดิษฐ์ติดต่อเป็นเรื่องราว ว่ากล่าวสมอ้างไปข้างเดียว
สบประมาทกันเล่นเช่นนี้ เออนี้เมื่อไรข้าได้เกี้ยว
เขาว่าใจผู้หญิงนี้จริงเจียว ออกเป็นเขี้ยวเป็นเล็บไล่เก็บความ
ที่ว่าข้าย่องเบาเข้าไป เจ้าจับได้หรือหนอจะขอถาม
เมื่อผีหลอกวันนั้นเจ้าครั่นคร้าม ลุกวิ่งบุ่มบ่ามมาหาเรา
ยังอ้อยอิ่งวิงวินให้นอนเพื่อน ข้าบิดเบือนอยู่จริงหรือไม่เล่า
ช่างกระไรว่าได้ก็ว่าเอา คิดดูสิเจ้าอย่าเอนเอียง
เท็จจริงตามแต่ตระลาการ เหนื่อยปากรำคาญขี้คร้านเถียง
ขอพระบิตุรงค์จงไล่เรียง ถ้าใครเพลี่ยงอย่าได้ไว้ชีวิต
ฯ ๑๐ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏรำคาญจิต
กอดเข่าตะลึงคะนึงคิด ยิ่งฟังยิ่งผิดสังเกตนัก
ให้ฉงนสนเท่ห์โลเลใจ จะจริงจังข้างไหนไม่ประจักษ์
สุดปัญญาพาทีที่จะซัก จำจะชักเกลี่ยไกล่ให้ดีกัน
คิดพลางทางตรัสแก่น้องยา จงฟังคำพี่ว่าอย่าเดียดฉันท์
จะตัดสินให้เป็นกลางทางธรรม์ คำของเจ้านั้นยังเลื่อนลอย
ข้างเขาว่าได้ไปรับมา เห็นยืนยันหนักหนาไม่ราถอย
ดูถ้อยคำสำนวนก็เรียบร้อย ทั้งพี่ได้ใช้สอยให้เขาไป
ฝ่ายพระน้องยาว่าคนอื่น หามีตัวยั่งยืนเข้ามาไม่
เถียงกันเปล่าเปล่าเอาอะไร ข้างเจ้าเป็นผู้ใหญ่ควรอดออม
จงหลับนอนให้สบายหายเจ็บหลัง อย่างคลุ้มคลั่งฤทัยจะไผ่ผอม
อันอ้ายยักษ์คนโชโตเท่าพ้อม จะทุกข์ตรอมถึงมันไปทำไม
ฯ ๑๒ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาน้ำตาไหล
กล่าวถ้อยตอบตัดด้วยขัดใจ เถิดคะอย่าได้พูดจากัน
อกเอ๋ยเอออะไรช่างหลับตา พิพากษาชี้แจงแบ่งบั่น
กระนี้แหละควรเห็นว่าเป็นธรรม์ เข้ากันนี่กระไรจนไม่คิด
สิ้นบุญวาสนาสิ้นอาลัย จะอยู่ไยให้ระกำช้ำจิต
เป็นตายไม่เสียดายแก่ชีวิต จะสู้ติดตามองค์พระหลานชาย
ว่าพลางนางลุกจากแท่นที่ ฉวยฉุดบุตรีมาผันผาย
ไหนไหนก็ในจะวอดวาย อย่าอยู่ให้ได้อายเลยลูกยา
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏยุดหัตถา
จึงว่าพี่ไม่ให้เจ้าไคลคลา อย่าโกรธาฮึดฮัดสะบัดมือ
แต่แม่ลูกสองคนจะด้นไป ยังเห็นงามแก่ใจอยู่แล้วหรือ
จะทำให้ชาวเมืองเขาเลื่องลือ ไม่ควรถือโกรธพี่เช่นนี้เลย
ซึ่งตัดสินนั้นผิดพึ่งคิดได้ ขออภัยเสียเถิดนะน้องเอ๋ย
แล้วว่าหลานสาวผู้ทรามเชย ไม่ห้ามมารดาเลยนี่อย่างไร
ฯ ๖ คำฯ
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาแถลงไข
อย่าห้ามน้องเลยคะคงจะไป เห็นใจเสียแล้วที่ว่ารัก
จะเอาไว้ทำไมกับใบ้บ้า ให้อับอายขายหน้าพระทรงศักดิ์
ข้าคนเมามัวมันชั่วนัก พระอย่าพักทำปลอบให้ชอบใจ
ถ้าแม้นมิพบพานพระหลานขวัญ จะต้นตั้นไปกว่าจะตักษัย
มายื้อยุดฉุดคร่าข้าไว้ใย อรไทเคืองขัดสะบัดมือ
ฯ ๖ คำฯ
๏ น้องเอ๋ยน้องแก้ว จะไปให้ได้แล้วจริงเจียวหรือ
จงหยุดยั้งปรึกษาหารือ อย่าอึงอื้อหุนหันฟั่นเฟือน
ต่อย่ำรุ่งพรุ่งนี้จึงคลาไคล พี่จะตามทรามวัยไปเป็นเพื่อน
แล้วร้องสั่งทั้งทหารพลเรือน เร่งเตรียมไพร่ในเดือนประเดี๋ยวนี้
ฯ ๔ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกอัคเรศมเหสี
จึงทูลทัดภัสดาสามี จงคิดดูให้ดีที่จะไป
เมียเห็นกัลยายังคลุ้มคลั่ง พระจะพลอยตึงตังไปข้างไหน
จะพากันบุกป่าเที่ยวหาคา เมื่อมิใช่ลูกหลานว่านเครือ
อันเขตแคว้านไพรระหงดงดาน ล้วนยักษ์มารผีสางช้างเสือ
มันจะมาจับกินสิ้นเลือดเนื้อ เห็นไพร่พลไม่เหลือมานคร
พระมิห้าปรามจะตามใจ เหมือนรบไปชมสวนเมื่อคราวก่อน
จนยักษ์มาพาไปได้ทุกข์ร้อน ครั้งนี้ที่จะจรเมียหนักใจ
ฯ ๘ คำฯ
๏ ปลื้มเอยปลื้มจิต จริงแล้วพี่คิดขึ้นมาได้
หาไม่ที่ไหนนั่นคงบรรลัย อันบุญคุณเจ้าไซร้ไม่ลืมเลย
แล้วตรัสแก่ขนิษฐานารี ตัวพี่ไม่ไปแล้วน้องเอ๋ย
พระอายใจผินหลังสั่งเปรย อย่าเตรียมพลเลยนะเสนา
ฯ ๔ คำฯ
๏ น่าเอยน่าหัวร่อ เช่นนี้ดอกหนอพระเชษฐา
อย่างไรอยู่ดูผิดแต่ก่อนมา ทั้งหลับตาแล้วซ้ำฟังคำเมีย
ช่างไม่อัปยศอดสู แต่เขาขู่สำทับก็กลับเสีย
ต่อจะถูกกระทำยำเยีย จีงเอียงเงี่ยไปข้างคนพูดเท็จ
เห็นสมเป็นกษัตริย์สุริย์วงศ์ เคยณรงค์สงครามไม่ขามเข็ด
พระทัยกระไรกล้าดังเหล็กเพชร ไม่เสด็จแล้วน้องจะขอลา
ลูกเอ๋ยอย่าช้ามาจะไป ผิดชอบบรรลัยเสียในป่า
มายุดไว้ไยเล่าพระพี่ยา ข่มเหงจริงยิ่งกว่าเจ้าหัวใจ
ฯ ๘ คำฯ
๏ ขวัญเอยขวัญข้าว ที่พี่จะทิ้งเจ้าอย่าสงสัย
ถึงมาตรแม้นชีวันจะบรรลัย คงจะไปเป็นเพื่อนนางเทวี
แล้วมีสิงหนาทบัญชา เหวยเหวยเสนาทั้งสี่
เร่งตรวจเตรียมรี้พลมนตรี ครั้งนี้กูจะไปจริงจริงแล้ว
พระเหลียวสั่งมเหสีโสภา กับหกโอรสากล้าแกล้ว
อย่าตามบิตุราชคลาดแคล้ว อยู่รักษากรุงแก้วเถิดลูกรัก
ว่าพลางทางเสด็จเข้าที่สรง แต่องค์อึกทึกกึกกัก
คาดตะกรุดลงยันต์ไปกันยักษ์ เอาแหวนถักพิรอดสอดนิ้วชี้
จับพระแสงคู่มือถือเงื้อง่า ถึงยักษ์มาเท่าไรก็ไม่หนี
แล้วชวนสองกัลยานารี จรลีลงจากปราสาทชัย
ฯ ๑๐ คำฯ
๏ ขึ้นบนเกยรัตน์ชัชวาล ทวยหาญประนมบังคมไหว้
เสด็จทรงคชสารมารประลัย ทั้งสองอรไทนั้นทรงรถ
โขลนจ่าเถ้าแก่แลงานกลาง กำนัลสองข้างในไปเกือบหมด
ช้างประเทียบเรียบรันเป็นหลั่นลด ให้เคลื่อนทศโยธาคลาไคล
ฯ ๔ คำฯ เชิด
๏ เทพเจ้าดลใจไพร่พล ทั้งช่วยย่อย่นหนทางให้
แต่ปัญจาล์มาเมืองสังข์ศิลป์ชัย ทางไกลสามวันเป็นวันเดียว
กองหลวงล่วงลุมรคา แดนบรรพตพาราป่าเปลี่ยว
สุริยาเย็นพยับลับเลี้ยว คิดเกลียวกลัวภัยในไพรวัน
สั่งให้หยุดโยธีรี้พล เร่งแบ่งคนตัดไม้ตั้งค่ายมั่น
ปลูกพลับพลาติดต่อให้พอกัน หน้าที่ใครไม่ทันโทษถึงตาย
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้น เสนาอภิวันท์แล้วผันผาย
เกณฑ์กันวุ่นไปทั้งไพร่นาย บ้างตั้งค่ายบ้างจับทำพลับพลา
ฯ ๒ คำฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น พระปิ่นปักนัคเรศเชษฐา
จึงชวนสองแจ่มจันทร์กัลยา ขึ้นสู่พลับพลาพนาดร
ฯ ๒ คำฯ เสมอ
๏ แล้วกำชับกำชาข้าเฝ้า พลเราล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อน
เกลือกจะมีภัยพาลมาราญรอน อย่าเห็นแก่หลับนอนจงตรวจตรา
ครั้นล่วงเข้าปฐมยามก็ไสยาสน์ ด้วยน้องนาฎนัดดาเสน่หา
พระตั้งใจสวดมนต์ภาวนา จนนิทราหลับไหลในราตรี
ฯ ๔ คำฯ ตระ
ตอนที่ ๒ ท้าวเสนากุฎเข้าเมือง
[แก้ไข]ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสนัยน์โกสีย์
ให้ร้อนอาสน์นักดังอัคคี อัศจรรย์อย่างนี้มีเคยเป็น
ดีร้ายใต้หล้าจะเกิดเหตุ จึงสอดส่องทิพเนตรสังเกตเห็น
สงสารสังข์ศิลป์ชัยได้ยากเย็น ตกเหวเคืองเข็ญเป็นเคราะห์กรรม
นี่หากเทพเจ้าจอมผา เขาเมตตามาช่วยอุปถัมภ์
เห็นเวรเวราที่ได้ทำ เราจำจะไปช่วยชีวิตไว้
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดแล้วมีเทวบรรหาร เรียกเทพบริวารน้อยใหญ่
เหาะจากฟากฟ้าสุราลัย พร้อมไปด้วยเทวดาเลว
ฯ ๒ คำ ฯ โคมเวียน
๏ ครั้นถึงเขาใหญ่ดังใจจง อมรินทร์เหาะลงไปในเหว
อุ้มสังข์ศิลป์ชัยใส่บั้นเอว แล้วขึ้นตามปล่องเปลวด้วยฤทธา
ฯ ๒ คำ ฯ เหาะ
๏ วางองค์ลงเหนือยอดบรรพต เอาน้ำทิพย์รินรดเกศา
ลูบไล้ไปทั่วทั้งกายา พวกเทวานวดฟื้นให้บรรเทา
ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๏ ที่เจ็บปวดหายฉิบดังหยิบทิ้ง ทั้งรูปร่างงามยิ่งขึ้นกว่าเก่า
บ้างให้พรสอนสั่งบ้างหยอกเย้า แล้วอุ้มเจ้าพาเหาะไปเวียงชัย
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ครั้นถึงจึงลงยังแผ่นดิน อมรินทร์ชี้บอกหนทางให้
แล้วสำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร คืนไปสถานพิมานฟ้า
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
ทองย่อน
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ศิลป์ชัยโอรสา
ยุรยาตรานาดกรเข้าพารา ตรงมาปรางค์แก้วแววไว
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
ร่าย
๏ เมื่อนั้น สองพระชนนีศรีใส
เหลือบเห็นลูกน้อยกลอยใจ อรไทไปรับด้วยยินดี
นางประทุมอุ้มองค์ขึ้นใส่ตัก สวมกอดลูกรักกันแสงศรี
นางไกรสรโศกศัลย์พันทวี สิงหราโศกีจนนิ่งไป
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ ครั้นค่อยคลายกำสรดเศร้าหมอง พระมารดาทั้งสองก็ถามไถ่
ลูกเอ๋ยเกิดเข็ญเป็นอย่างไร จึงช้าไปไม่ถึงธานี
พี่เจ้าเอาพระขรรค์แลสังข์ศร มาส่งให้มารดรยังกรุงศรี
แล้วบอกว่าพระอากับเจ้านี้ มาถึงกลางพนาลีแล้วหายไป
ความแม่ทุกข์ร้อนอาวรณ์นัก ครวญคร่ำร่ำรักเพียงตักษัย
คิดว่าจอมขวัญเจ้าบรรลัย เป็นไฉนฉะนี้นะลูกยา
ฯ ๖ คำ ฯ
โอ้ลาว
๏ เมื่อนั้น พระสังข์โศกศัลย์เป็นหนักหนา
กันแสงพลางทางทูลพระมารดา แต่ต้นจนมาถึงกลางดง
ด้วยเชษฐาทั้งหกเขาทำซื่อ ลูกเชื่อถือรักใคร่ใหลหลง
มันพาชมเขาห้วยให้งวยงง แล้วผลักตกลงในเหวลึก
เจ็บช้ำทั้งกายปิ้มวายชนม์ ได้ทุกข์ทนพ้นที่จะตรองตรึก
อันจะรอดมาได้นั้นไม่นึก แต่ครวญคร่ำรำลึกถึงมารดา
เดชะบุญญาของข้าไซร้ จึงร้อนอาสน์เจ้าตรัยตรึงศา
อมรินทร์จากสถานพิมานมา อุ้มข้าพาขึ้นจากเหวนั้น
ท่านเอาน้ำอำมฤตมาโสรจสรง แล้วช่วยพามาส่งถึงเขตขัณฑ์
เป็นกรรมของลูกเองมาตามทัน ทั้งพลัดพรากจากกันกับบิดร
ตั้งแต่นี้ไปจะสิ้นทุกข์ จะได้เป็นผาสุกสโมสร
เห็นบิดาจะมารับคืนนคร พระมารดรจะเชื่อลูกเถิดรา
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น นางประทุมตอบองค์โอรสา
แม่กรวดน้ำเสียแล้วนะแก้วตา จนชั้นแต่พักตราไม่ขอดู
เราอยู่นี่ดีกว่านะพ่อเอ๋ย อย่าออกชื่อเขาเลยรำคาญหู
จะขืนไปใกล้เคียงคนศัตรู มันจะกรูกันทำระยำยับ
ว่าพลางนางค่อยอุ้มประคอง ลุกจากแท่นทองเข้าห้องหับ
วางองค์ลงบรรทมกอดประทับ จงนอนหลับเสียเถิดอย่าพูดไป
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์อาวรณ์ถอนใจใหญ่
บรรทมรำพึงคะนึงใน คิดจะใคร่ได้พบกับบิดร
ครั้นจะจบชนนีเซ้าซี้ว่า ก็กลัวจะโกรธาไม่โอนอ่อน
ให้รำสับรำสนทุรนร้อน แต่นอนนอนกลิ้งกลับจนหลับไป
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
จำปานารี
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาการ้อง พระตื่นจากแท่นทองผ่องใส
เทวดาสื่อสนมาดลใจ จะพาไปให้พบกับบิดา
พระเร่าร้อนจิตขุ่นฉุนเฉียว คิดจะใคร่ไปเที่ยวประพาสป่า
จึงบังคมชนนีมีวาจา ลูกรักจะลาไปเล่นไพร
ตะวันบ่ายชายแสงทินกร จะรีบร้อนกลับมายังกรุงใหญ่
ทำชะอ้อนพาทีพิรี้พิไร พระองค์จงโปรดให้ลูกไคลคลา
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น พระชนนีมีจิตเสน่หา
รับขวัญรำพันพูดกับลูกยา จะไปป่าแม่นี้มิไว้ใจ
เกลือกอ้ายกระยาจกทั้งหกคน จะเคลือบแฝงแต่งกลออกมาใหม่
เจ้าจะกลับนับถือซื่อไป มันจะซ้ำทำให้ได้เดือดร้อน
สิงหรามาถึงก็เจ็บป่วย จะได้ใครไปด้วยช่วยสั่งสอน
แม่นี้มิใคร่จะให้จร แต่แก้วตาว่าวอนก็จนใจ
พ่ออย่างหลงเล่นอยู่เย็นค่ำ ฟังคำมารดาอัชฌาสัย
อย่าคบค้าสมาคมกับผู้ใด จะระวังระไวไพรี
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระโอรสปรีดิ์เปรมเกษมศรี
เคารพรับคำด้วยยินดี อัญชลีลาสองพระมารดร
แล้วชำระสระสรงทรงเครื่องทิพย์ พระหัตถ์หยิบพระขรรค์แลสังข์ศร
ลงจากปราสาทแก้วแล้วรีบจร ออกนอกพระนครเข้าพงไพร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ พระดำเนินลดเลี้ยวเที่ยวมา ชมพรรณพฤกษาสูงไสว
จึงผาดแผลงศรสิทธิ์ฤทธิไกร เรียกสัตว์น้อยใหญ่มาฉับพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง เจรจา
๏ บัดนั้น เสนีนายพลคนขยัน
พาพวกพรานไพรใจฉกรรจ์ เที่ยวด้นดั้นหาเนื้อในดงดาน
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาพบสัตว์จัตุบาทนานา มฤคาโคกระทิงวิ่งพล่าน
เหลือบไปเห็นองค์พระกุมาร งามโฉมเปรียบปานกับเทวัญ
แล้วจะเป็นพระสังข์กระมังหนา ที่ว่าหายไปในไพรสัณฑ์
จำจะถามนามวงศ์พงศ์พันธุ์ ให้แม่นมั่นตระหนักประจักษ์ใจ
คิดพลางทางเดินเข้าไปหา จึงมีวาจาปราศรัย
เจ้าเด็กน้อยนี้มาแต่แห่งใด ช่างกระไรแกล้วกล้าน่ากลัวแทน
ป่ากว้างทางเปลี่ยวมาเที่ยวอยู่ แต่ล้วนหมู่สิงห์สัตว์อัดแน่น
อันถิ่นฐานประเทศเขตแคว้น อยู่ด้าวแดนตำบลหนใด
บิตุเรศชนนีพี่น้อง เป็นพวกพ้องสุริย์วงศ์พงศ์ใหน
พระโฉมงามนามกรชื่อไร จงบอกไปให้หมดอย่าปดกัน
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ศิลป์ชัยมิได้พรั่น
จึงตอบว่ามึงนี้จองหองครัน มาถามถึงพงศ์พันธุ์พูดเลอะเทอะ
เงือดเงื้อพระขรรค์ขึ้นสำทับ มันน่าสับศีรษะให้หวะเหวอะ
ทุดอ้ายชาติข้าหน้าเคอะ นี่มึงเซอะเซิงมาแต่แห่งใด
เอ็งเร่งกลับไปเสียเดี๋ยวนี้ อย่าเซ้าซี้กูนะหาละไม่
เขาว่าโดยดีแล้วมิไป คัดมือคันไม้จริงจริงเจียว
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น เสนีโกรธานัยน์ตาเขียว
จึงว่าลูกกระจิริดนิดเดียว มากราดเกรี้ยวเอาผู้ใหญ่ได้ครื้นเครง
ลิ้นลมน่าต่อยสักร้อยโขก โอกโขยกโป้งโหยงโฉงฉาง
อย่าอ้างอวดฤทธิไกรกูไม่เกรง จะจับเอ็งไปถวายยังค่ายคู
แล้วขับไพร่ได้รุกบุกบัน กลัวมันทำไมกับอ้ายหนู
บ้างล้อมหน้าล้อมหลังพรั่งพรู บ้างกู่เรียกเพื่อนมาช่วยกัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์เคืองขุ่นหุนหัน
อ้ายพวกนี้จะมาให้ฆ่าฟัน น้ำใจมันเหี้ยมฮึกบึกบึน
ใครเข้ามาก็รันด้วยคันศร ล้มนอนนิ่งจุกลุกไม่ขึ้น
พระตีต้องตัวนายลงเมื่อยมึน ไพร่ตื่นแตกครื้นกระจายไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น อำมาตย์บอบช้ำน้ำตาไหล
ผุดลุกคุกคลานเข้าแอบไม้ ให้บ่าวพาหนีไปมิได้ช้า
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงค่ายหลวงไม่หน่วงหนัก ยังหอบฮักลนลานชานถลา
ร้องทูลแถลงแจ้งกิจจา ครั้งนี้ชีวาไม่รอดดอน
ข้าไปพบเด็กน้อยในไพรวัน มือถือพระขรรค์กับสังข์ศร
ครั้นเข้าใกล้ไต่ถามนามกร มันอ้างอวดฤทธิรอนเข้ารบรุก
พวกเราทั้งมากแทบมอดม้วย ถูกด้วยคันศรลงนอนจุก
ต่างตะกายเสือกสนซนซุก มันไล่รุกบุกบันกระชั้นมา
หรือยักษ์ดอกกระมังผิดสังเกต ลูกนิดฤทธิ์เดชมันหนักหนา
ที่จะต่อสู้นั้นสุดปัญญา ผ่านฟ้าระวังองค์ให้จงดี
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏผุดลุกหนี
เอ๊ะตายจริงจังแล้วครั้งนี้ ดีร้ายยักษีมันแปลงมา
งมเงาเอาชีวิตมาทิ้งเสีย ที่ไหนเลยลูกเมียจะเห็นหน้า
เพราะเจ้าเกสรสุมณฑา พาพี่มาฆ่าเสียจริงแล้ว
เมื่อมันเป็นยักขินีผีไพร ใครจะสู้มันได้นะน้องแก้ว
เห็นคงจะบรรลัยนี้ไม่แคล้ว จะกลับไปเสียแล้วย่าทานทัด
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ขนิษฐาฉวยฉุดยุดหัตถ์
นางพิไรร่ำว่าสารพัด ทั้งพ้อตัดแนมเหน็บให้เจ็บใจ
ตัวน้องเป็นหญิงยังนิ่งฟัง ไม่ตึงตังตื่นเต้นเป็นไฟไหม้
พระเชื้อชายประเสริฐเลิศไกร น้ำพระทัยขลาดจริงยิ่งสตรี
ยังไม่ทันถามไถ่ว่าใต้เหนือ แต่ออกชื่อว่าเสือจะวิ่งหนี
น้องเห็นว่ามิใช่ไพรี ดูท่วงทีจะเป็นสังข์ศิลป์ชัย
แล้วเบือนพักตร์ซักถามเสนาพลัน เจ้าคนนั้นยังเล็กหรือเด็กใหญ่
สูงต่ำดำขาวสักราวไร เห็นจะเป็นลูกไพร่หรือผู้ดี
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น เสนาทูลสนองนางโฉมศรี
อันกุมารที่ข้าว่านี้ เห็นทีจะเป็นหน่อกษัตรา
รูปโฉมโนมพรรณนั้นงามนัก ละม้ายองค์ทรงศักดิ์พระเชษฐา
จะคราวกันกับหกกุมารา ชันษาสิบสองสิบสามปี
ถ้าใครขืนต้านต่อฤทธิ์ เห็นไม่รอดชีวิตจงคิดหนี
ข้าจะขอล่วงหน้าไปธานี อย่าเซ้าซี้ซักไซ้อยู่ให้ช้า
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาได้ฟังว่า
จึงห้ามหมู่อำมาตย์เสนา ใครอย่าตื่นตระหนกตกใจ
อันกุมารนั้นหลานของข้าแน่ เที่ยงแท้มั่นคงไม่สงสัย
ท่านช่วยนำมรคาพาไป ให้เราได้พบพานพระหลานชาย
ขอเชิญภูวไนยไปด้วยกัน อย่ากลัวตัวสั่นมาผันผาย
อนิจจายังขืนตื่นตะกาย ช่างไม่อายสาวสรรค์กำนัลใน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระเชษฐายิ้มแห้งแถลงไข
วันนี้แข้งขาเหน็บชาไป จะคลาไคลสุดที่จะเหยียบยัน
ไปดูก่อนให้แน่เถิดแม่เอ๋ย เจ้าเป็นคนคุ้นเคยกับหลานขวัญ
พี่จะคอยอยู่นี่ไม่หนีกัน สุพรรณไปเพื่อนชนนี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ขนิษฐาว่าดูน่าบัดสี
อกเอ๋ยมีแต่กล้าทั้งตาปี ช่างพาทีแก้ไขไปร้อยคุ้ง
กลับจะใช้ให้น้องนี้ผันผาย พระเป็นชายถอยหลังเหมือนดังกุ้ง
สุพรรณฟังเถิดซิสำนวนลุง จะใคร่แย่งให้ยุ่งเยินยับ
เชิญไปพอเป็นเพื่อนอย่าเชือนช้า ถ้าเกิดเหตุสัญญาให้ท้าวปรับ
เราจะแอบมองดูอยู่ลับลับ แม้นมิใช่จึงกลับมาพลับพลา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏจึงตรัสว่า
จะไปก็ไปสิแก้วตา แต่ขอให้ข้านี้เดินกลาง
เจ้าเป็นคนรู้จักมักจี่ จงเดินนำหน้าพี่ไปห่างห่าง
แล้วลงจากพลับพลากับสองนาง ให้เสนีนำทางจรจรัล
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้น อำมาตย์ยังกลัวตัวสั่น
พาลัดเลาะไปในไพรวัน ครั้นถึงที่สำคัญค่อยแอบดู
จึงกระซิบทูลนางพลางเขม้น นั่นแน่แลเห็นไวไวอยู่
นี่แล้วหรือไรนะโฉมตรู จงดูให้แน่เถิดแม่คุณ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระเชษฐาคร้ามจิตสะกิดวุ่น
ถ้าผิดองค์จงบอกพี่เอาบุญ จะได้หมุนไปก่อนได้ซ่อนตัว
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาให้คันหัว
จึงว่านี่อะไรตั้งใจกลัว จะหนีตัวออกวิ่งทิ้งกัน
ว่าพลางนางลอบเขม้นมอง ดูทำนองเห็นเป็นพระหลานขวัญ
แล้วเทวีชี้ช่องให้สุพรรณ จงช่วยกันดูแลให้แน่ใจ
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ ต่างจำสำคัญได้มั่นคง ก็วิ่งตรงเข้ามาหาช้าไม่
สวมสอดกอดองค์สังข์ศิลป์ชัย แล้วร้องไห้ไม่เป็นสมประดี
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ ครั้นว่าค่อยคลายวายโศกา จึงร้องเรียกเชษฐาเชิญมานี่
ได้ประสบพบลูกแล้วคราวนี้ ยังจะรีรอช้าอยู่ว่าไร
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏยังสงสัย
แต่ขยับลับล่อไม่ไว้ใจ ถ้ามิใช่ลูกชายสิตายจริง
พระชวนเสนาในไปเพื่อนตัว เขาสั่นหัวขัดขืนยืนนิ่ง
เข้าลูบหลังสั่งสอนวอนวิง เอ็งอย่าทิ้งกูนะจะแทนคุณ
ขนิษฐาซ้ำเรียกเป็นหลายครั้ง ท้าวยังคร้ามจิตคิดว้าวุ่น
ถึงจะเป็นจะตายก็ตามบุญ ชักดาบญี่ปุ่นออกถือไว้
ขืนแข็งหฤทัยไคลคลา ออกจาพฤกษาสุมทุมใหญ่
ปากบ่นบริกรรมทุกหายใจ ตรงไปยังที่พระน้องยา
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ศิลป์ชัยโอรสา
บังคมทูลถามพระเจ้าอา ผู้ชายที่มาด้วยนั้นใคร
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาแถลงไข
นั่นคือบิดรของเจ้าไซร้ ตั้งใจมาหาพระลูกรัก
ความเกรงฤทธิ์พ่อเฝ้าท้อถอย เดินหง่อยพรั่นตัวกลัวหนัก
เจ้าจงอภิปรายทายทัก ให้รู้จักว่าลูกจะยินดี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ปรีด์เปรมเกษมศรี
จึงบังคมบิดาแล้วพาที ใครนี่มายืนอยู่เก้กัง
ช่างตื่นเต้นตัวสั่นดูขันจริง ทำทีจะวิ่งไม่เหลียวหลัง
เมื่อเป็นคนผูกภัยน้ำใจชัง หรือเซซังมาได้ไม่อายเลย
รู้จักมักจี่ใครนี่หนอ น่าหัวร่อหนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย
พระแกล้งพูดจาว่าเปรียบเปรย แล้วทำเมินพักตร์เฉยไม่นำพา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏไม่กังขา
เห็นแม่นแท้แน่แล้วว่าลูกยา ความโสมนัสสาเป็นพ้นนัก
วิ่งเข้าสวมกอดแล้วกันแสง พระสังข์เสแสร้งแกล้งทำผลัก
ท้าวตรัสปลอบองค์พระลูกรัก จงผินพักตร์มาพูดกับบิดา
พระแม่เจ้าเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน พ่อตั้งเนื้อตั้งใจออกมาหา
โทษพ่อผิดแล้วนะแก้วตา ได้เห็นแก่บิดามาง้องอน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ผ่านเอยผ่านเกล้า ความเก่าในจิตจงคิดก่อน
ว่าลูกชั่วสารพัดตัดรอน ให้ขับจากนครทั้งมารดา
ได้ความทุกข์ทนเป็นพ้นไป ลูกอดอยากยากไร้อยู่ในป่า
ชีวิตลูกรอดเป็นตัวมา ก็เพราะพระมารดาบำรุงเลี้ยง
เห็นเป็นขาดแล้วกับบิดร แต่ชาติก่อนทำกรรมไว้แท้เที่ยง
ไม่ควรภูวไนยจะใกล้เคียง ใช่จะเกี่ยงเลี่ยงเป็นมารยา
ฯ ๖ คำ ฯ
ชาตรี
๏ ดวงเอยดวงจิต ข้อนั้นพ่อผิดเป็นหนักหนา
เป็นเคราะห์เพราะเชื่ออ้ายโหรา ไม่ทันตรึกคราว่าร้ายดี
เขาชวนกันว่าชั่วก็กลัวไป จึงต้องจำใจให้ขับหนี
แต่รัญจวนครวญหาทุกราตรี พ่อนี้มิใช่จะไม่รัก
เจ้าเป็นสาโลหิตของบิดา เกิดในพาราอาณาจักร
ถึงจากไกลไม่ได้มาฟูมฟัก ก็คงเป็นลูกรักร่วมฤทัย
พ่ออุตส่าห์มาง้อขอโทษ เจ้าจะโกรธจะขึ้งไปถึงไหน
แก้วตาอย่าละห้อยน้อยใจ พ่อจะรับกลับไปยังพารา
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ พระเอยพระทรงธรรม์ ลูกไม่เสกสรรรำพันว่า
เมื่อขับไล่ไม่เลี้ยงพระมารดา ไพร่ฟ้าพลเมืองก็เลื่องลือ
เดี๋ยวนี้จะมารับกลับไป ฉวยกระไรจะมิอายเขาอีกหรือ
ลูกกริ่งเกรงอันตรายเมื่อปลายมือ เพราะพระเชื่อถือทั้งหกนาง
อันสองมารดากับข้านี้ เข้าไปอยู่บูรีจะกีดขวาง
เชิญเสด็จคืนนครอย่านอนค้าง หกนางจะคอยละห้อยใจ
ตัวลูกนี่หรือไม่ถือโทษ จะขึ้งโกรธพระบิดานั้นหาไม่
แต่หากเจียมตัวด้วยกลัวภัย จะสู้อยู่ยากไร้กับมารดร
ฯ ๘ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ แก้วเอยแก้วตา ฉลาดว่าแคะได้นี่ใครสอน
เฝ้ายกข้อเคืองขัดตัดรอน จะให้พ่อม้วยมรณ์เสียจริงจริง
ซึ่งแต่หลังงมเงาเฉาโฉด ก็สารภาพโทษเจ้าทุกสิ่ง
จงเมตตาบิดรได้วอนวิง อย่าเกรงกริ่งหฤทัยพิไรพ้อ
จะเสกเจ้าให้ครองอาณาจักร บำรุงรักษ์ด้าวแดนแทนพ่อ
ได้สืบวงศ์พงศ์เผ่าเหล่ากอ ใช่จะล่อลวงลูกให้หลงรัก
ว่าพลางทางถดเข้านั่งใกล้ อุ้มลูกสายใจขึ้นใส่ตัก
แล้วว่าแก่ขนิษฐานงลักษณ์ เจ้าช่วยปลอบหลานรักบ้างเถิดรา
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑาเสน่หา
ยิ้มพลางทางตรัสแก่นัดดา จงฟังคำอาว่าอย่าดึงดัน
ข้อผิดบิตุเรสได้ง้องอน เจ้าจงอดโทษกรณ์ผ่อนผัน
จะขุ่นเคืองเบื้องหน้าอาประกัน นางรำพันปลอบยอบให้ชอบใจ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณเยาวยอดพิสมัย
ประนมกรวอนถามสังข์ศิลป์ชัย เหตุไรพระพี่หนีน้องมา
เคืองเข็ญเป็นไฉนไม่บอกแจ้ง ทำให้เที่ยวแสวงกันแสงหา
ปิ้มบรรลัยในกลางพนาวา แต่โศกาครวญคร่ำร่ำรัก
แค้นด้วยศรีสันท์มันเลียมและ เฝ้าเกาะแกะเกี้ยวพานหาญหัก
เขาข่มเหงน้องยาหนักหนานัก จะด่าสักเท่าไหร่ไม่นำพา
มีแต่เจ็บช้ำระกำใจ คิดว่าจะไม่ได้มาเห็นหน้า
เพราะพระพี่ไม่มีเมตตา จึงแกล้งหนีน้องมาเสียทั้งนี้
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ตรัสตอบนางโฉมศรี
เจ้าว่าไยฉะนั้นนะเทวี อย่าสงสัยว่าพี่แกล้งหนีน้อง
เป็นเหตุด้วยทั้งหกเขาพาไป แกล้งผลักให้ตกเหวเปลวปล่อง
แต่กำสรดโศกาน้ำตานอง คิดคะนึงถึงน้องกับพระอา
ถ้าแม้นอินทรามิมาช่วย ก็เห็นจะมอดม้วยด้วยสังขาร์
พระเล่าความแต่ต้นจนปลายมา เจ้าอย่ากินเหนงแคลงใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น สามกษัตริย์ฟังว่าน้ำตาไหล
ให้สงสารสังเวชหฤทัย ก็ร่ำไรโศกาจาบัลย์
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกเศร้า ต่างโลมเล้ารับมิ่งสิ่งขวัญ
องค์พระบิดาจึงว่าพลัน อันอ้ายทั้งหกนั้นพ่อไม่ไว้
จะแก้แค้นแทนทำให้สาหัส ผูกมัดฟันเสียไม่ปราศรัย
จะฆ่าทั้งแม่มันตามกันไป เนื้อความนี้งดไว้ต่อถึงเมือง
พ่อคิดสงสารมารดาเจ้า มิโศกเศร้าทุกข์ตรอมผอมเหลือง
จะแค้นอกหมกมุ่นขุ่นเคือง ยังกระเดื่องกระด้างด้วยหมางใจ
บิดาจะใคร่ไปขอโทษ ให้หายโกรธข้างพ่อเป็นข้อใหญ่
จะใคร่รับกลับคืนเข้าเวียงชัย ทั้งทรามวัยไกรสรสิงหรา
ยังขัดสนจนใจด้วยไม่รู้ ว่าเขาอยู่ที่ไหนจะไปหา
ขวัญเข้าเจ้าจงได้เมตตา ช่วยชักพาพ่อไปให้พบกัน
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์สำรวลสรวลสันต์
จึงสนองบัญชาบิดาพลัน ข้อนั้นเป็นธุระของลูกยา
แต่จะไปเดี๋ยวนี้ยังมิได้ ด้วยพระแม่หมางใจอยู่หนักหนา
จงรั้งรอขอผัดสักเวลา จะไปว่าวิงวอนให้อ่อนใจ
แม้นสมคะเนข้ามารดารับ จะรีบกลับมาแจ้งแถลงไข
เชิญเสด็จคืนยังพลับพลาไพร ลูกจะลาไปประเดี๋ยวนี้
ทูลพลางทางถวายอภิวาทน์ แทบบาทบิตุเรศเรืองศรี
พระสั่งเสียขนิษฐานารี อัญชลีลาองค์พระเจ้าอา
แล้วจับศรเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์ บ่ายพักตร์คลาไคลเข้าในป่า
สามกษัตริย์แลตามจนสุดตา แล้วชวนกันกลับมาพลับพลาพลัน
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ พระสังข์มาถึงพระบุรี ขึ้นมาปราสาทศรีขมีขมัน
จึงไปหาสิงหราพูดจากัน น้องไปไพรวันได้ลาภมา
พบพระบิตุเรศที่กลางดง ทั้งพระอากับองค์ขนิษฐา
จะมาง้อขอดีด้วยมารดา ให้เราสองราช่วยว่าวอน
จะสำออยอ้อยอิ่งให้เต็มที่ กว่าพระชนนีจะโอนอ่อน
ไม่สมคิดผิดชอบก็ไม่นอน จะวิงวอนเสือกซบรบเร้า
ว่าแล้วพากันเข้าในห้อง กราบสองมารดาบังเกิดเกล้า
ทำบรรทมทับลงกับเพลา คลึงเคาเย้ายีปรีดา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระมารดาแสนสุดเสน่หา
ลูบไล้ไปทั่วทั้งกายา จำนรรจาหยอกหยิกซิกชี้
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์แกล้งทำเกษมศรี
จะใคร่ทูลแถลงแจ้งคดี กริ่งเกรงชนนีจะตีรัน
แต่ดูเนตรเชษฐาไม่ว่าออก คิดย้อนยอกป้องปิดบิดผัน
ทำชะอ้อนวอนว่ามารดาพลัน นึกจะถามสักวันก็พรั่นใจ
ถ้าแม้นพระพ่อมาง้องอน มารดคจะดีด้วยหรือไม่
จะมึนตึงขึ้งโกรธกันทำไม ลูกยาจะใคร่ให้ดีกัน
ไม่คิดสงสารข้ากำพร้าพ่อ มีแต่เขาหัวร่อเย้ยหยัน
ลูกทุกข์ร้อนนอนละเมอไม่เว้นวัน เห็นจะอาสัญเสียเที่ยงแท้
นิจจาเอ๋ยแต่กำเนิดเกิดมา มิได้เห็นบิดาว่าหนุ่มแก่
ลูกไม่แกล้งว่าสาระแน พระแม่ทั้งสองจงตรองดู
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางประทุมฟังเรื่องให้เคืองหู
ดูลูกเจ้ากรรมจะทำพู นางขู่รู่สมทบกลบความ
ขืนออกชื่อบิดามันน่าตี เออนี่ใครใช้ให้ไต่ถาม
เฝ้าจู้จี้มิฟังแม่ห้ามปราม ไม่มีความยำเยงเกรงกลัว
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ฟังแถลงแกล้งยิ้มหัว
จึงว่าเพราะเคราะห์กรรมมาถึงตัว เผอิญให้ลืมกลัวพระมารดา
ซึ่งโทษลูกผิดพลั้งครั้งนี้ จะทำโพยโบยตีก็ไม่ว่า
ขอแต่ให้ชนนีมีเมตตา พ่อมาแล้วดีเสียวด้วยกัน
สิงหราพลอยว่าแม่ทั้งสอง คำน้องว่าจริงจงผ่อนผัน
อย่าถือขึ้งถือโกรธคุมโทษทัณฑ์ ดีกันเสียเถิดกับบิดา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางประทุมกริ้วโกรธโอรสา
จึงว่าสังข์ศิลป์ชัยอ้ายสิงหรา ใครสั่งสอนมาหรือว่าไร
มิให้พูดเรื่องนี้ก็มิฟัง ไม่ดีเสียมั่งหาจำไม่
ว่าพลางนางยุดตัวไว้ ผูกมือเข้าได้ฉวยไม้ตี
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นวลนางไกสรโฉมศรี
เห็นลูกทั้งสองร้องเต็มที ปรานีนางทูลขอโทษกรณ์
แก้เชือกแล้วพามาซักถาม เนื้อความทั้งนี้ใครสั่งสอน
หรือไปประสบพบมิตร จึงเฝ้ามาวิงวอนพระมารดา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์เหลียวซ้ายแลขวา
เห็นพระแม่อยู่ไกลไม่ตามมา จึงบอกแจ้งกิจจาสารพัน
วันนี้ลูกลามารดาไป พบพ่อที่ในไพรสัณฑ์
ทั้งสุพรรณพระอามาด้วยกัน เล่าความเดิมนั้นให้ลูกฟัง
แล้วว่าจะมาง้อขอโทษ ไม่ขึ้งโกรธพระแม่เหมือนแต่หลัง
เชิญสององค์คงคืนไปครองวัง พระตรัสสั่งให้ข้ามาวิงวอน
ถ้าแม้ชนนีไม่ดีด้วย ให้ลูกช่วยว่ากล่าวแม่ไกรสร
แม่อย่าเคืองขัดตัดรอน จงช่วยกันอ้อนวอนพระมารดา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางไกรสรได้ฟังไม่กังขา
หุนหันโมโหโกรธา ตวาดว่าดูดู๋สังข์ศิลป์ชัย
ไปคบคิดกับพ่อมาก่อความ ที่นี้มันงามทั้งห้าไร่
ชอบแต่ตีซ้ำให้หนำใจ แล้วกลับไปทูลนางประทุมา
สนุกจริงแล้วขาน่าหัวร่อ ลูกไปพบพ่อที่ในป่า
วิงวอนสอนให้มาพูดจา เมื่อกระนี้จะว่าประการใด
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางประทุมเคืองขัดอัชฌาสัย
น้อยหรือลมลิ้นสังข์ศิลป์ชัย ขอบใจทั้งอ้ายสิงหรา
มิเสียทีที่เกิดในอุทร เพื่อนเจ็บเพื่อนร้อนด้วยหนักหนา
สั่งสอนเท่าใดไม่นำพา เถิดอย่าเลี้ยงดูมันสืบไป
ว่าพลางย่างเยื้องเข้าในที่ ตามมาจะตีไม่ปราศัย
ให้นางไกรสรหาไม้ วางไว้บนแท่นทำโกรธา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์น้อยค่อยพูดกับเชษฐา
จะทำกระไรดีพี่สิงหรา พระมารดาเคืองขัดตัดรอนเรา
จำจะไปวิงวอนผ่อนผัน ถึงตีรันก็จะทำอย่างไรเล่า
ผิดชอบสองคนเราทนเอา แล้วจูงมือกันเข้าไปเมียงมอง
เห็นไม้เรียวเสียวจิตคิดพรั่น เกียดกันมิใคร่เข้าในห้อง
แข็งใจเต็มทีทั้งพี่น้อง ค่อยย่างย่องก้มกรานคลานมา
นั่งริมแท่นสุวรรณบรรจถรณ์ เห็นมารดรเมินอยู่ไม่ดูหน้า
จึงจับพัดอยู่งานให้มารดา แล้ววอนว่าพาทีพิรี้พิไร
พระแม่เข้าประคุณของลูกแก้ว ไม่ดีด้วยพ่อแล้วหรือไฉน
ลูกเป็นกำพร้าน่าอายใจ นานไปเขาจะลือออกอื้ออึง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางประทุมพิโรธโกรธขึ้ง
จึงว่าน้อยหรือช่างดื้อดึง ถูกตีทีหนึ่งแล้วมิฟัง
ขืนจะเฝ้าอ้อยอิ่งวิงวอน นี่เนื้อแท้เตือนค้อนใส่สันหลัง
ยิ่มห้ามยิ่งว่าน่าชิงชัง จะให้ตีอีกกระมังสังข์ศิลป์ชัย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระกุมารพี่น้องร้องไห้
แล้วแกล้งปรึกษากันทันใด พระชนนีมิได้เมตตา
ตัวเราเดี๋ยวนี้ไม่มีพ่อ ก็เป็นข้ออับอายขายหน้า
ตายเสียเห็นจะสิ้นนินทา อยู่ไปไพร่ฟ้าจะเลื่องลือ
ว่าพลางทางชักพระขรรค์แก้ว จะเชือดคอเสียแล้วให้ลับชื่อ
สิงหราคว้าเชือกที่ผูกมือ จะปืนขึ้นบนขื่อผูกคอตาย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น สองนางตัวสั่นขวัญหาย
ตรงเข้าสวมสอดกอดลูกชาย น้อยหรือใจร้ายใช่พอดี
ว่าพลางนางยุดพระขรรค์ไว้ สังข์ศิลป์ชัยทำว่าอย่าจู้จี้
นางกลัวลูกตายวายชีวี จึงว่าแม่จะดีด้วยบิดา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์วางพระขรรค์หรรษา
ก้มเกล้ากราบกรานมารดา พูดจาแก้ไขในทำนอง
ลูกจะรับบิดามาบุรี ให้พบกับชนนีทั้งสอง
แต่จะแต่งบ้านเมืองให้เรืองรอง ด้วยฤทธิ์ของลูกน้อยในพรุ่งนี้
ว่าพลางทางขยดเข้าใกล้ นั่งนวดฟื้นให้นางโฉมศรี
สิงหราโบกปัดพัดวี พูดจาพาทีกันไปพลาง
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นดาวเดือนเลื่อนลับเมฆา สุริยารุ่งแจ้งแสงสว่าง
พระสังข์บังคมลาสองนาง แล้วทรงศรมากลางเกยลา
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงตั้งจิตพิษฐานเสี่ยงศร ขอจงร้อนถึงดาวดึงสา
ให้ท้าวสหัสนัยน์นำเทวา มาช่วยข้าตกแต่งพระเวียงชัย
เสี่ยงพลางทางขึ้นธนูศิลป์ ฟ้าดินกัมปนาทหวาดไหว
ผาดแผลงไปพลันทันใด สะท้านถึงตรึงศ์ตรัยด้วยฤทธา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสนัยน์นาถา
เสด็จออกฝูงเทพเทวา ยังหน้าสิงหบัญชรชัย
ได้ยินเสียงสนั่นครั่นครึก อมรินทร์เร่งนึกสงสัย
จึงส่องทิพเนตรลงไป เห็นพระสังข์ศิลป์ชัยอันเรืองฤทธิ์
จะจัดแจงแต่งที่พระนคร จึงแผลงศรมาให้เราแจ้งจิต
จำจะลงไปช่วยนฤมิต ให้สมคิดพระสังข์ครั้งนี้
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดพลางทางชวนสุจิตรา ทั้งสุรางค์นางฟ้าทุกราศี
พร้อมเทพเทวัญจันทรี พากันจรลีลงมา
ฯ ๒ คำ ฯ โคมเวียน
๏ ครั้นถึงจึงเรียกสังข์ศิลป์ชัย มาพูดจาปราศรัยหรรษา
เราจะช่วยจัดแจงแต่งพารา ให้สมดังจินดาอย่าร้อนใจ
ตัวเจ้าเล่ห์ก็รู้จักงาม คอนติเตือนเอาตามอัชฌาสัย
ว่าพลางทางขึ้นบนเกยชัย สหัสนัยน์นฤมิตด้วยฤทธา
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๏ เป็นปราสาทราชฐานบ้านช่อง เรืองรองล้วนแก้วแววเวหา
มีกำแพงสามชั้นเป็นหลั่นมา เทวาเฝ้าประตูอยู่ทุกชั้น
แถวถนนหนทางรโหฐาน นางฟ้านั่งร้านเป็นหลั่นหลั่น
ขายสินค้าผ้าผ่อนแพรพรรณ ทั้งรูปโฉมโนมพรรณพึงใจ
หน้าพระลานล้วนแก้วแพรพรรณ แลประหลาดลื่นเลื่อมดังน้ำไหล
แล้วจัดเป็นสาวสรรค์กำนัลใน คอยช่วงใช้ที่ปรางค์ปราสาททอง
ให้นางสุจิตราสุชาดา อยู่ด้วยประทุมาที่ในห้อง
จึงบอกสังข์ศิลป์ชัยดังใจปอง การของเจ้าเสร็จทั้งพารา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น พระสังข์บังคมด้วยหรรษา
จึงทูลว่าข้าน้อยจะขอลา ออกไปรับบิดามาวังใน
ว่าพลางจัดแจงแต่งองค์ สอดทรงเครื่องทิพย์สุกใส
จับศรพระขรรค์อันเกรียงไกร รีบไปที่ประทับพลับพลา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าในห้อง บังคมสองกษัตริย์หรรษา
ปราศรัยสุพรรณกัลยา พูดจาสรวลสันต์สำราญใจ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น พระบิดายินดีจะมีไหน
กอดจูบลูบหลังสังข์ศิลป์ชัย อย่าเพ่อพูดอื่นไปเลยลูกรัก
เจ้าเข้าไปได้การบ้างหรือเปล่า จงเล่าความไปให้ประจักษ์
มารดายังพิโรธโกรธขึ้งนัก หรือลูกรักวิงวอนค่อยอ่อนใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ทูลแจ้งแถลงไข
เมื่อลูกบอกออกนามภูวไนย แม่โกรธนี่กระไรหาไม้เรียว
ห้ามมิให้ว่าข้าขืนว่า ท่านหวดซ้ายป่ายขวาจนขาเขียว
แล้วจับลูกผูกมือด้วยเชือกเกลียว ข้ากัดฟันเกรี้ยวเกรี้ยวไม่เกรงกลัว
แม่ไกรสรวอนขอโทษไว้ แก้มือเสียได้ค่อยยังชั่ว
ลูกแกล้งทำมารยาจะฆ่าตัว พระแม่กลัวจะตายมายุดไว้
ลูกแสแสร้งแกล้งทำฮึดฮัด สะบิ้งสะบัดจะหนีออกให้ได้
พระแม่ตระหนกตกใจ รับไว้ว่าจะดีด้วยบิดา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏสำรวลว่า
ช่างไม่ย่อท้อพ่อนี้นา น้อยหรือแข้งขายังเป็นแนว
แล้วหยิบพานหมากมาค้นหาไพล ฝนทารอยไม้ให้ลูกแก้ว
กอดจูบลูบไล้ไม่รู้แล้ว ผ่องแผ้วพระทัยทรงธรรม์
พลางเตือนลูกยาช้าไยเล่า จงพาพ่อเข้าไปในเขตขัณฑ์
จะได้พบมารดาพูดจากัน ง้องอนผ่อนผันให้เต็มที
แล้วสั่งพระน้องกับนัดดา เจ้าจงอยู่พลับพลาทั้งสองศรี
ว่าพลางย่างเยื้องจรลี มาเข้าที่ชำระสระสรงน้ำ
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง หมายจะให้หอมฟุ้งไปยังค่ำ
นุ่งผ้ายกทองท้องช้ำ คาดเข็มขัดทองคำชมพูนุท
ฉลององค์ทรงเครื่องเรืองอร่าม พิศดูตัวงามดังเทพบุตร
สอดทรงธำมรงค์เรือนครุฑ กลัวจะหลุดเลือกใส่ที่ได้นิ้ว
ทรงมงกุฏเก็จเพชรกระจ่าง ผูกสายรัดคางจนหน้านิ่ว
หยิบกระจกมาส่องลองเล่นคิ้ว เสกขี้ผึ้งผัดผิวพักตรา
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร ดำเนินนาดกรกรายซ้ายขวา
ยืนยั้งสั่งเสียสุมณฑา แล้วชวนพระลูกยาคลาไคล
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
กระบอก
๏ ครั้นถึงเห็นเมืองเรืองอร่าม ล้วนแก้วเก้าเงางามสุกใส
ท้าวนึกตระหนักตกใจ เออเมืองอะไรนี่ลูกรัก
ปรางค์มาศราชฐานแต่ล้วนแก้ว ประหลาดแล้วแลดูไม่รู้จัก
พ่อเห็นต่อจะเป็นเมืองยักษ์ กลับเถิดลูกรักอย่างอยู่นาน
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ยิ้มพลางทางว่าขาน
เมืองนี้ไม่มียักษ์มาร โน่นปราสาทราชฐานพระมารดา
เชิญเสด็จเข้าไปในวัง อย่ารอรั้งอยู่เลยฟังลูกว่า
สารพัดไพรีไม่มีมา พระบิดาอย่าประหวั่นพรั่นใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏยังสงสัย
เอาสัญญาว่าแก่สังข์ศิลป์ชัย ฉวยกระไรอย่าวิ่งทิ้งบิดา
ว่าพลางย่างเยื้องจรจรัล ถึงประตูเทวัญอยู่รักษา
ท้าวเขม้นเห็นเทพเทวา ตกประหม่าเหลียวแลลนลาน
ผินหน้ามาสะกิดลูกชาย ดูดู๋เห็นจ้านายไม่บอกขาน
แล้วทรุดนั่งตั้งท่าจะกราบกราน พระกุมารฉวยฉุดยุดมือไว้
แล้วว่าเขาเหล่านี้นายประตู เอออะไรไม่ดูด่วนนั่งไหว้
ว่าพลางทางพากันคลาไคล เข้าไปถึงประตูชั้นกลาง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น เทวาเฝ้าประตูอยู่สองข้าง
แกล้งแผลงฤทธาถืองาช้าง กัดต่างท่อนอ้อยอร่อยใจ
แลเห็นพระยาหน้าตาตื่น ยิ้มพลางทางยื่นอ้อยให้
แล้วว่าท้าวมาแต่ทางไกล กินแล้วจึงไปให้สำราญ
ท้าวกัดไม่ออกบอกลูกน้อย เอออ้อยอะไรจึงไม่หวาน
สังข์ศิลป์ชัยว่าน่ารำคาญ อ้อยตาลอะไรที่ไหนมี
งาช้างทั้งอันไม่เห็นหรือ ยังจะถือไว้ได้ไม่บัดสี
ว่าพลางทางพาจรลี มาถึงที่ปราการกั้นชั้นใน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น เทวัญซึ่งอยู่ประตูใหญ่
ถือเพชรเกล็ดกินสบายใจ เห็นท้าวเข้ามาใกล้ก็แย้มยิ้ม
แล้วว่าไปไหนมาพระยาพี่ ดูท่วงทีโศกเศร้าเหงาหงิม
นี่แน่ขาข้าให้ลูกทับทิม ลองชิมดูสักหน่อยอร่อยนัก
ท้าวกัดไม่ออกบอกว่าแข็ง ทับทิมแห้งเคี้ยวมันกลัวฟันหัก
ว่าพลางทางยื่นให้ลูกรัก เจ้าลองดูสักสองสามเม็ด
พระสังข์ยิ้มพลางทางว่า เมื่อตะกี้กัดงายังไม่เข็ด
เดี๋ยวนี้จะซ้ำมากินเพชร เชิญเสด็จไปเถิดอย่าหยุดเลย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระบิดาหน้าเก้อแกล้งเชือนเฉย
ได้ยินเขาหัวเราะเยาะเย้ย ยิ่งขวยเขินเดินเลยรีบมา
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ถึงท้องตลาดใหญ่ใกล้วัง เห็นนางนั่งร้านรายทั้งซ้ายขวา
รูปโฉมโนมพรรณเพียงขวัญตา พิศผ้านุ่งห่มก็สมตัว
ขายล้วนแก้วแหวนเงินทอง สิ่งของอย่างดีไม่มีชั่ว
เห็นรูปเขางามงามให้คร้ามกลัว ก้มตัวดำเนินเดินไป
ฝูงนางแม่ค้าก็ร้องหยอก นี่พระยาบ้านนอกจะไปไหน
แวะมานั่งเล่นก่อนเป็นไร ดูดู๋นิ่งเสียได้ไม่พาที
นางหนึ่งจึงร้องเรียกหา ซื้ออะไรหรือขาพระยาพี่
ทั้งแพรทั้งผ้าของข้ามี ล้วนดีดีดูเล่นก็เป็นไร
ลางนางบ้านบอกขายแหวน มาซื้อเพชรรังแตนให้เมียใส่
ดูดู๋แกล้งเดินเลยเฉยไป พลางเข้าใกล้จับมือยื้อยุด
นางหนึ่งจึงถามว่านี่หรือ ที่ชื่อพระยาเสนากุฏ
ท้าวสะบัดมือนางพลางรีบรุด เดินสะดุดร้านรวมเขาร่ำไป
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ ถึงพระลานที่ลาดแก้วผลึก เห็นแวววาวท้าวนึกว่าน้ำไหล
เหลืยวหน้ามาถามสังข์ศิลป์ชัย เราจะข้ามอย่างไรเล่าลูกอา
เรืองจ้างที่นี่มีหรือเปล่า ให้เบี้ยเขาข้ามส่งขึ้นถึงท่า
พ่อดูน้ำลึกราวสักเก้าวา จะว่ายข้มาคงคาแสนสุดใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์สรวลสันต์ไม่กลั้นได้
จึงว่าพระบิดานี่อะไร มิใช่น้ำท่าอย่ารอรั้ง
แก้วผลึกเขาลาดดาดพื้น แต่เห็นเหมือนคลื่นก็ถอยหลัง
เชิญเสด็จเดินไปเข้าในวัง อย่าได้หยุดยั้งฟังลูกยา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระบิตุรงค์สงสัยเป็นหนักหนา
จึงว่าน้ำเห็นแน่อยู่แก่ตา ยังเถียงว่าเปล่าเปล่าอีกเจ้ากรรม
พระสังข์เข้าพยุงจุงย่างย่อง ท้าวร้องว่าอย่าอย่าจะถลำ
ยืนหยุดทรุดนั่งเอามือคลำ มิใช่น้ำจริงจริงของเจ้าแล้ว
งวยงงหลงแลตะลึงตะไล พิศวงหลงไหลด้วยแสงแก้ว
พระลูกรักตักเตือนให้คลาดแคล้ว ไปตามแนวถนนในวัง
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงปราสาทแก้วแววไว สาวสวรรค์กำนัลในอยู่พร้อมพรั่ง
เห็นสามนางนฤมลบนบัลลังก์ ท้าวตั้งตาดูเป็นครู่พัก
แต่ละองค์ทรงโฉมมิใช่ชั่ว แปลกเมียของตัวไม่รู้จัก
เหลียวหน้ามากระซิบถามลูกรัก ประหลาดนักมารดาเจ้าองค์ใด
ฯ ๔ คำ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ฟังคำทำบอกใบ้
เห็นพ่อแลเปล่าไม่เข้าใจ แกล้งเดินเข้าไปมิได้ช้า
ขึ้นนั่งบนเตียงเคียวพระแม่ แล้วแลดูพ่อพยักหน้า
แสร้งทำแย้มสรวลชวนพูดจา จะให้พระบิดาแจ้งใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏยังสังสัย
เข้ามานั่งแอบหลังสังข์ศิลป์ชัย ดูไม่ตระหนักประจักษ์ตา
จึงถามเป็นแยบคายปรายเปรย คนไหนแม่เจ้าเอ๋ยเมียของข้า
องค์นั้นหรือองค์นี้เจ้าอา ผัวตามมาหาจงปรานี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุชาดาว่าบัดสี
ไม่เคยพบเคยเห็นเช่นนี้ เข้ามาได้ไล่ชี้เสียทุกคน
กลางวันแสกแสกว่าแปลกหน้า ดูเป็นครู่หูตาไม่เห็นคน
หรือว่าถูกเสน่ห์เล่ห์กล ฤทธิ์เดชเวทมนตร์เข้าจับตา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏพูดแก้หน้า
ข้าไม่มีโมโหโกรธา ตามแต่เจ้าจะว่าเถิดเทวี
จะขอถามแม่แต่ตามชื่อ ตัวเจ้าแลหรือเป็นเมียพี่
อย่าถือโกรธโกรธาให้ช้าที บอกกันดีดีเถิดแม่คุณ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุชาดาเห็นว้าวุ่น
จึงว่าข้าไม่รู้จักมักคุ้น อย่าแม้เจ้าแม่คุณเข้ามาเลย
ลูกเมียอยู่ไนไม่ไปหา ช่างดุ่มเดาเข้ามาทำหน้าเฉย
ว่าพลางหัวเราะเยาะเย้ย เจ้าข้าเอ๋ยท้าวเธอเก้อแล้วซิ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏสิ้นสติ
จึงว่ากับพระสังข์เจ้าช่างริ มานั่งนิ่งมิอยู่ทำไม
ไหนว่าแม่นัดให้มาหา คิดว่าคนนี้ก็มิใช่
ขืนอยู่ที่นี่จะมีภัย พาพ่อกลับไปเสียพลับพลา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์นั่งยิ้มอยู่ในหน้า
จึงค่อยค่อยสะกิดบิดา พลางกระซิบบอกว่าพระอย่ากลัว
แล้วผินหน้ากราบกรานพระมารดร อย่าเคืองขัดตัดรอนเลยทูนหัว
พ่อข้าเสงี่ยมเจียมตัว ยำเยงเกรงกลัวนี้สุดใจ
ควรหรือพระองค์ไม่สงสาร ยังจะทำทรมานไปถึงไหน
แกล้งพูดจาพาทีพิรี้พิไร พลางพยักหน้าให้พระบิดา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏไม่กังขา
รู้แน่ว่านางประทุมา จึงพูดจาโอนอ่อนวอนวิง
อนิจจาเจ้าประทุมของผัวเอ๋ย มาเชือนเฉยผินหลังนั่งนิ่ง
เมื่อตะกี้พี่แปลกเจ้าจริงจริง ด้วยงามยิ่งกว่าเก่าเป็นเท่าไร
อันโทษตัวผัวผิดนั้นล้นพ้น เพราะเชื่อคนยุยงหลงใหล
เจ้าจงเงือดงดอดใจ อย่าได้ถือโกรธคุณโทษทัณฑ์
บัดนี้ผัวกลับมารับเจ้า จงคืนเข้านิเวศน์เขตขัณฑ์
อีคนชั่วตัวร้ายเหล่านั้น ทั้งเจ็ดชั่วโตรตมันจะบรรลัย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางประทุมเทวีศรีใส
ฟังท้าวเธอว่าน่าอาลัย ค่อยเหือดหายคลายใจที่โกรธา
ครั้นจะพาทีดีด้วย นึกสะเทิ้นเขินขวยขายหน้า
แกล้งผินหลังนั่งนิ่งไม่พูดจา วอนว่าเท่าไรไม่ไยดี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุจิตรามารศรี
เห็นนางไม่พูดจากับสามี จึงพาทีแทนไปดังใจจง
แน่ขาหม่อมพ่อสังข์ศิลป์ชัย เป็นกระไรซื่อนักรักใหลหลง
เชื่อถ้อยคำฟังคำเขายุยง พระองค์ไม่พิจารณา
ลูกของใครมีอยู่ที่ไหน เหมือนสังข์ศิลป์ชัยโอรสา
ศรสังข์พระขรรค์อันศักดา สำหรับมือถือมาแต่ในครรภ์
ยังเชื่อคำเขาว่าเป็นกาลี ขับหนีเสียจากเขตขัณฑ์
นี่ได้คิดแล้วหรือพระทรงธรรม์ จึงงกงันตามมาถึงป่าไม้
นี่หากว่าเห็นแก่ลูกแก้ว หาไม่แล้วพระองค์อย่าสงสัย
ถ้าทีหลังยังเป็นเช่นนี้ไป จะสัญญาว่ากระไรเร่งว่ามา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏก็หรรษา
ให้ถ้อยคำยำคำมั่นสัญญา ทีหลังข้าไม่เป็นเช่นนั้น
ถึงนางผิดพลั้งอย่างไร จะเงือดงดอดใจไม่หุนหัน
อันถ้อยคำคนอื่นสักหมื่นพัน จะไม่เชื่อถือมันจนบรรลัย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุชาดาว่าพอจะฟังได้
คำท้าวคราวนี้เห็นจริงใจ ลองเชื่อเธอไว้ดูสักที
หากว่าถ้าแม้นไม่เหมือนปาก จะไปพรากมิให้อยู่ด้วยโฉมศรี
ถึงตามมาก็ไม่ไยดี ที่นี้ยกโทษเสียสักคราว
ว่าพลางทางชวนกันสรวลสันต์ แล้วเรียกนางกำนัลสาวสาว
จงจัดแจงแต่งเครื่องทั้งคาวหวาน มาให้ท้าวเสวยสักเวลา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏนาถา
เสวยเครื่องเอมโอชโภชนา ล้วนทิพโอชาชอบใจ
ชมว่าอร่อยดีมีรสมือ เจ้าประทุมทำหรือใครทำให้
ยิ่งกินยิ่งอยากมากไป ช่างกระไรข้าวของไม่พร่องตา
นึกสงสัยจิตผิดประหลาด ขัดสมาธิเสวยไม่เงยหน้า
จนก้มไม่ลงทรงกายา ท้าวยังบ่นว่าไม่อิ่มใจ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น พระสังข์เตือนว่าอัชฌาสัย
แต่เบาเบาเท่านั้นเถิดเป็นไร อย่าให้เหลือขนาดมาตรา
ยังไม่เคยเสวยของเช่นนี้ พระนาภีจะพังฟังลูกว่า
ทูลพลางทางยกเอาเครื่องมา พระบิดาฉวยฉุดยุดแย่งไว้
หยิบของใส่โอษฐ์โกรธลูกน้อย ยังไม่อิ่มสักหน่อยเอาไปไหน
ดูเถิดยิ่งว่ายิ่งคร่าไป พ่อไหว้แล้ววางลงดีดี
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น นางประทุมร้องว่าน่าบัดสี
ไกรสรเอ๋ยจงดูพระภูมี กิริยาพาทีกระไรเลย
เวียนวิงชิงลูกกินข้าว เดี๋ยวนี้ท้องจะแตกแล้วกรรมเอ๋ย
ลูกผัวเช่นนี้ข้ามิเคย เขาเยาะเย้ยพลอยอายขายหน้าตา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏหรรษา
เสร็จเสวยเอมโอชโภชนา แลสุริยาเย็นรอนรอน
จึงตรัสชวนเมียขวัญทันใด ทั้งพระสังข์ศิลป์ชัยนางไกรสร
จงจัดแจงแต่งองค์บังอร จะคืนเข้าพระนครเห็นยังวัน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางประทุมวิโยคโศกศัลย์
จำเป็นจำจะจรจรัล จึงชวนกันแต่งองค์อลงการ์
แล้วชวนลูกยากับสามี ไปเฝ้าท้าวโกสีย์ที่ข้างหน้า
ทูลว่าข้าขอบังคมลา เข้าไปยัวปัญจาล์กรุงไกร
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น อมรินทร์ยิ้มแย้มแจ่มใส
จึงว่าแถวทางเป็นกลางไพร จะช่วยไปส่งถึงที่พลับพลา
ว่าพลางสั่งวิษณุกรรม์ จงเตรียมเทวัญซ้ายขวา
อีกทั้งรถทรงอลงการ์ อย่าช้าเร่งรัดบัดนี้
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระวิษณุกรรม์เรืองศรี
รับสั่งพระอินทร์ด้วยยินดี มาเตรียมพร้อมตามมีพระบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏนาถา
จึงชวนนวลนางประทุมา กับพระลูกยาคลาไคล
ออกจากห้องท้องพระโรงรูจี นางเทวีเศร้าสร้อยละห้อยไห้
เหลียวดูปรางค์มาศปราสาทชัย อาลัยมิใคร่จะจรลี
ท้าวเสนากุฏหยุดปลอบนาง ให้เสื่อมสร่างเศร้าหมองทั้งสองศรี
แล้วพานางย่างเยื้องจรลี ออกไปยังที่เกยลา
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ให้โฉมยงทรงรถบัลลังก์ ท้าวกับพระสังข์ร่วมรถา
โกสีย์กับเจ้าสิงหรา นำพลเทวาเข้าไพรวัน
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพลับพลาที่อาศัย จึงให้หยุดพวกพลขันธ์
ลงจากรถแก้วแพรวพรรณ บังคมคัลองค์อมรินทรา
สหัสนัยน์ให้พรแล้วลากลับ เลิกทัพไปดาวดึงสา
ท้าวชวนนวลนางประทุมา ขึ้นสู่พลับพลาทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบรรจง กับองค์นางประทุมศรีใส
เรียกพระน้องนัดดายาใจ ให้ออกมาไหว้เมียรัก
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางประทุมเทวีมีศักดิ์
จึงปราศรัยสององค์นงลักษณ์ น่ารักรูปร่างช่างคล้ายคลึง
นี่หรือชื่อว่านางสุพรรณ สังข์ศิลป์ชัยนั้นเฝ้าบ่นถึง
ทั้งป้ารู้ข่าวเจ้าเฝ้ารำพึง เหมือนหนึ่งมิตรจิตมิตรใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณนบนิ้วสนองไข
เมื่อพลัดพรากจากพี่สังข์ศิลป์ชัย ข้าร้องไห้อยู่กับพระมารดา
สุดแสนโศกเศร้าทุกข์เช้าค่ำ เจ็บช้ำน้ำใจก็หนักหนา
นางเล่าความแต่ต้นจนปลายมา ต่างทรงโศการ่ำไร
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏเป็นใหญ่
จึงตระโบมโลมเล้าเอาใจ ปลอบให้สร่างโศกโศกา
แล้วชวนเทวีทั้งสี่องค์ ไปขึ้นทรงพิชัยรถา
เคลื่อนพหลพลไกรไคลคลา ตรงไปปัญจากล์ธานี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงประทับกับเกยทอง ชวนพระน้องนัดดามเหสี
ลงจากราชรถรูจี จรลีเข้าท้องพระโรงชัย
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ท้าวเสด็จขึ้นนั่งบัลลังก์อาสน์ พรั่งพร้อมอำมาตย์น้อยใหญ่
จะปรึกษาถ้อยความตามแค้นใจ จึงตรัสสั่งสาวใช้มิได้ช้า
เอ็งจงเข้าไปในวัง บอกทั้งหกนางมาข้างหน้า
ให้พร้อมพรั่งทั้งหกลูกยา เร่งรีบออกมาประเดี๋ยวนี้
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น สาวใช้รับสั่งใส่เกศี
ชวนกันวางวิ่งเป็นสิงคลี ไปที่ตำหนักกัลยา
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงทูลเยาวมาลย์ พระผู้ผ่านกรุงไกรให้หา
เชิญเสด็จไวไวอย่าได้ช้า ทั้งพระลูกยาไปด้วยกัน
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น หกนางคนผิดคิดพรั่น
ซักไซ้ไต่ถามนางกำนัล รู้ว่าทรงธรรม์รับเมียมา
ต่างคนตระหนกตกใจ ปลอบโยนสาวใช้ให้คอยท่า
พลางพยักกวักเรียกลูกยา เข้ามาห้องในแล้วไล่เลียง
ไหนเล่าเจ้าบอกกับแม่ไว้ ว่าสังข์ศิลป์ชัยตายเท้เที่ยง
เดี๋ยวนี้เขาไปพามาพร้อมเพรียง จะรู้ที่ถุ้งเถียงมันอย่างไร
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระกุมารหกองค์ยิ่งสงสัย
ต่างว่าน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อข้าได้ชุลมุนรุนบั้นเอว
ผลักตกหกคะเมนลงเหวผา สำคัญว่าเลือดเนื้อมันแหลกเหลว
ดีร้ายอ้ายผีท้องเลว ที่อยู่ในเหวมาช่วยกัน
จึงไม่ม้วยมอดรอดมาได้ เป็นจนใจมิรู้จะผ่อนผัน
ผิดชอบไล่เลียงก็เถียงกัน พระมารดาอย่าพรั่นจงออกไป
ว่าพลางต่างองค์ทรงเครื่อง ย่างเยื้องออกจากตำหนักใหญ่
หกนางเดินหน้าคลาไคล ออกไปพระโรงรจนา
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าบังคมเหนือเกศา
พรั่นตัวกลัวเกรงพระอาญา ภาวนางึมงำร่ำไป
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ท้าวเสนากุฏเป็นใหญ่
จึงถามหกลูกรักซักไซ้ เดี๋ยวนี้อาพาไปได้หลานมา
สมคำของนางที่อ้างอิง เห็นจริงประจักษ์หนักหนา
เจ้าจงแจ้งความตามสัจจา อย่ามุสาว่ากล่าวเยื้องยัก
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น กุมารทั้งหกเพียงอกหัก
มิใคร่ออกคำละล่ำละลัก จิตใจทึกทักทูลไป
อันสังข์ศิลป์ชัยคนนี้ จะรู้จักมักจี่ก็หาไม่
เขาว่ารับอามานั่นไซร้ คือใครรู้บ้างอ้างออกมา
กลับเป็นเช่นนี้ทีเดียวหนอ น่าใคร่หัวร่อให้หนักหนา
ขอพระบิตุรงค์ทรงปัญญา ตรึกตราดูเถิดให้เห็นจริง
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระบิดาตรองตรึกนึกนิ่ง
ทั้งหกไม่รับกลับท้วงติง มิซักให้ได้จริงจะน้อยใจ
คิดพลางทางตรัสถามพระสังข์ พ่อรู้จักเขามั่งหรือหาไม่
ฝ่ายเขาว่าเจ้าไม่ได้ไป ความจริงอย่างไรก็บอกมา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ยิ้มพลางทางว่า
ทั้งหกได้ไปบอกกับลูกยา ว่าขุนยักษ์ลักอาไปจากวัง
บิตุรงค์ทรงโศกจะมอดม้วย ให้ลูกช่วยเสาะสางอ้างรับสั่ง
ข้าจึงไปด้วยเพราะเชื่อฟัง จนถึงฝั่งสมุทรสุดสายตา
ทั้งหกครั่นคร้ามข้ามไม่ได้ ลูกข้ามไปคนเดียวเที่ยวหา
จึงได้ประสบพบพระอา เข่าฆ่ากุมภัณฑ์บรรลัยลง
แล้วมิหนำซ้ำไปเมืองนาคนั้น รับสุพรรณมาได้ดังประสงค์
พบท้าววัณณุราชอาจอง ลวงให้ข้ามส่งถึงฝั่งน้ำ
ทั้งหกเชษฐาพาเดินไพร แล้วชวนขึ้นเขาใหญ่ชมเหวถ้ำ
ลูกงวยงงหลงเที่ยวไปตามคำ เขาผลักข้าคะมำลงเหวนั้น
เดชะบุญอินทราท่านมาช่วย จึงไม่ม้วยชีวาอาสัญ
แม้นมิเชื่อพระองค์ทรงธรรม์ จงถามสุพรรณกับพระอา
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ท้วงติงชิงว่า
เจ้าคนนี้ดีจริงช่างพูดจา ไปซักซ้อมกันมาแล้วหรือไร
เขานับเป็นพี่น้องทั้งสองข้าง มันไม่สมอ้างจะไปไหน
ตัวเด็กกระจิดริดคิดเหลือใจ อวดว่าได้ฆ่ายักษ์ลงกับมือ
โอ้โย้โป้ปดไปเปล่าเปล่า เช่นนี้ใครเขาจะเชื่อถือ
ฤทธิ์เราชาวเมืองย่อมเลื่องลือ ออกชื่อคนกลัวทั่วพารา
ซึ่งรบยักษ์รบมารสังหารนาค เราป่าวยการปากขี้คร้านว่า
อันตัวของเราดีมีฤทธา ย่อมแจ้งจิดบิดาทุกสิ่งอัน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์สำรวลสรวลสันต์
จึงทูลถามบิตุรงค์ทรงธรรม์ ฤทธิ์ทั้งหกนั้นเป็นอย่างไร
เขาอ้างเอาพระองค์ทรงศักดิ์ ลูกรักนี้ยังหารู้ไม่
เห็นแต่ตาขาวทุกคราวไป พอยักษามาใกล้วิ่งตึงตัง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระบิดาฟังถามถึงความหลัง
จึงว่าจะเล่าให้เจ้าฟัง เมื่อครั้งหนึ่งพ่อไม่สบาย
ทั้งหกแผลงศรต้อนสัตว์ป่า เข้ามาดูเล่นหลากหลาย
จึงเห็นว่าฤทธีมีมากมาย ทั้งหญิงชายชาวเมืองก็เลื่องลือ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ว่านั่นมิใช่หรือ
เจ้าเป็นลูกเล็กเด็กอมมือ มาอึงอื้ออวดรู้ดูแคลน
ทั้งยักษ์ทั้งนาคก็มากมาย เราฆ่าตายย่อยยับนับแสน
ว่าวิ่งหนียักษามันน่าแค้น ถ้าแม้นจริงแล้วจะรับเอา
นี่ไม่รู้จักแต่สักหน่อย เข้ามาพลอยเป็นโจกท์ขึ้นเปล่าเปล่า
ขอพระภูวไนยอย่าใจเบา มิใช่ลูกเต้าเหล่ากอ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์จึงว่าน่าหัวร่อ
ช่างพูดได้ไม่อายแกปากคอ สับปะติดสับปะต่อเอาแต่ดี
จะเล่าความให้พระบิดาฟัง เมื่อครั้งลูกเล่นอยู่ไพรศรี
ทั้งหกเวียนไปหาข้านี้ บอกว่าเป็นพี่พ่อเดียวกัน
ให้ลูกแผลงศรต้อนสัตว์ป่า เข้ามาในนิเวศน์เขตขัณฑ์
ลูกช่วยต้อนมาให้แต่คราวนั้น กลับเสกสรรมุสาว่าขอตัว
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ศรีสันท์ฟังคำทำเกาหัว
ขึ้นเสียงเถียงไปไม่เกรงกลัว น้อยหรือว่าข้าชั่วทุกอย่างไป
เมื่อตามอาว่าได้ไปตามด้วย เมื่อต้อนสัตว์ว่าช่วยต้อนมาให้
อวดอิทฤทธีทั้งนี้ไซร้ เพราะจะใคร่เป็นผัวนางสุพรรณ
ข้าเห็นเล่นตาอยู่เมื่อกี้ น้องสาวทำทีก็คมสัน
นับน้องนับพี่กระนี้กระนั้น เชิงชั้นช่างคิดติดแยบคาย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณดาลเดือดไม่เหือดหาย
ชี้หน้าด่าทอถ่มน้ำลาย แล้ว่าไอ้ไม่อายช่างพูดจา
เถียงเขาไม่ไหวแกล้งไพล่เผล พาโลโสเกเที่ยวไล่ว่า
เมื่อมึงเห็นกูเล่นตา มามุสาสับปลับคอยจับเคล็ด
พระสังข์นั่งนิ่งอยู่ทำไม เอาพระขรรค์ฟันให้หัวขาดเด็ด
จึงจะสาแก่ใจอ้ายคนเท็จ หาไม่เข็ดอย่าสงกา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น หกนางชนนีเสน่หา
ต่างคนโมโหโกรธา จึงว่านี่แน่นางสุพรรณ
ช่วยเหลือลูกข้ามาหรือเจ้า ด่าได้ด่าเอาทุกสิ่งสรรพ์
ยุสังข์ศิลป์ชัยให้ฆ่าฟัน ทำไมมันกีดขวางหรืออย่างไร
หรือโกรธาว่าเขาพรากเสียจากผัว จะพูดออกตรงตัวนั้นไม่ได้
จึงแกล้งพาลด่าว่าให้สาใจ ส่วนเจ้าสังข์ศิลป์ชัยนั้นคนดี
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น นางเกสรสุมณฑามารศรี
ฟังหกกัลยาว่าบุตรี เทวีกลุ้มกลัดขัดใจ
ค้อนพลางทางว่าเจ้าข้าเอ๋ย เกิดมาหาเคยพบไม่
ทั้งแม่ทั้งลูกถูกกันไป เป็นผู้ใหญ่อะไรอย่างนี้
ออกมาทำเข่นเขี้ยวเกรี้ยวกราด ชวนเด็กวิวาทไม่บัดสี
อ้างอวดลูกยาว่ากล้าดี ไปมุดหัวอยู่ที่ฝั่งคงคา
ขี้คร้านเถียงเสียแหบแสบไส้ จะต่อยามความไถให้ขายหน้า
ว่าพลางนางทูลพระพี่ยา ยังจะนิ่งให้ข้าอยู่ว่าไร
ต่างต่างอวดว่าตัวดี เท็จจริงสิ่งนี้ยังสงสัย
จงให้ทั้งสองลองฤทธิไกร ถ้าใครทำไม่ได้อย่าไว้มัน
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระเชษฐาสำรวลสรวลสันต์
จึงว่าเจ้าคิดนี้ช่างตีครัน จะให้ลองฤทธืกันประจักษ์ตา
ตรัสพลางทางสั่งสังข์ศิลป์ชัย เจ้าเรืองฤทธิไกรแกล้วกล้า
จงแผลงศรขึ้นไปในเมฆา ให้ดาวเดือนเคลื่อนมาประเดี๋ยวนี้
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระสังข์ศิลป์ชัยเรืองศรี
รับสั่งบังคมด้วยยินดี แล้วทรงศรมาที่กลางชาลา
จึงตั้งจิตพิษฐานทันใด ข้าจะแผลงศรไปในเวหา
ขอให้เป็นดาวเดือนเลื่อนลอยมา ประจักษ์ตาผู้คนทั้งกรุงไกร
เสี่ยงพลางทางขึ้นศรทรง ฤทธิรงค์เลื่อนลั่นหวั่นไหว
มิได้ครั่นคร้ามขามใจ แผลงไปด้วยอิทธิฤทธา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ศิลป์ชัยไปเป็นดาวเดือน ลอยเลื่อนสว่างกลางเวหา
สาวสนมกรมในพวกเสนา ชมอิทธิฤทธาทุกคนไป
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น พระบิดายินดีจะมีไหน
จึงเตือนทั้งหกว่าช้าอยู่ไย พระสังข์ศิลป์ชัยเขาลองแล้ว
ศรเจ้าอยู่ไหนไม่เห็นถือ หรือจะแผลงด้วยมือของลูกแก้ว
ให้เป็นดาวเดือนหงายพรายแพร้ว อย่าทำตาบั้งแบวเข้างุบงิบ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกฟังว่าทำตาปริบ
ตรองตรึกปรึกษากันซุบซิบ แต่อิดเอื้อนอุบอิบอยู่ในคอ
เจ้าศรีสันท์นั้นพาลจะใจกล้า ทำเริงร่าไม่กล้วแกล้งหัวร่อ
พระบิดาอย่าเพ่อตัดพ้อ ลูกมิได้ย่อท้องครั่มคร้าม
แม้นข้าแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร กล้วแต่ภูวไนยจะร้องห้าม
หากลูกโฉดเฉาเบาความ ไม่รู้ว่าจะถามถึงสอบกัน
ข้าฝากศรศรีไว้ที่ครู ท่านอยู่กลางป่าพนาสัณฑ์
จะขอทูลลาสักห้าวัน ไปเอามาแผลงกันให้คนลือ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระบิดาว่าใครจะเชื่อถือ
ศรศรีมีฤทธิ์สำหรับมือ ควรหรือเอาไปไว้กับครู
ใครจะเห็นจริงด้วยมึงมั่ง กูฟังมันออกไปนอกหู
แต่ก่อนปดกันไม่ทันรู้ พิเคราะห์ดูเดี๋ยวนี้ไม่มีจริง
ปล่อยไปไหนเจ้าจะกลับมา พูดจาเห็นเท็จเสียทุกสิ่ง
อย่าคิดโว้เว้ประเว่ประวิง รับความตามจริงก็เป็นไร
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกผันแปรแก้ไข
ลูกฆ่าท้าวกุภัณฑ์บรรลัย ฤทธิ์ศรอ่อนไปพระบิดา
จึงฝากไว้ที่ครูผู้ประสิทธิ์ ปลุกฤทธิ์ศิลป์ชัยให้กลับกล้า
ลูกจะขอทุเลาไปเอามา แผลงอิทธิฤทธาให้มากมาย
พระบิดาอย่าเพิ่โกรธกริ้ว ลูกไม่คิดบิดพริ้วหนีหาย
เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย สู้ตายกับที่ไม่หนีกัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระบิดาเคืองขุ่นหุนหัน
จึงว่าอ้ายลูกปลิ้นสิ้นทั้งนั้น เชิงชั้นของเจ้าข้าเข้าใจ
ดีแต่ปั้นเจ๋อเย่อหยิ่ง ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่ได้
เชือนแชแก้ตัวเป็นลิดไม้ เขาโง่เง่าเมื่อไรจะผ่อนตาม
ว่าพลางทางสั่งเสนี จงผูกอ้าเหล่านี้เข้าซักถาม
ถ้าแม้นมันไม่บอกออกความ ลงหวายคนละสามสิบที
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกศี
รุมกันฉุดคร่าไม่ปรานี เอามาที่หน้าฉานดังบัญชา
พวกตำรวจนน้อยใหญ่ทั้งไพร่เลว ผูกเท้าผูกเอวโอรสา
ขุนหมื่นยืนยุดหัวคา เฆี่ยนห้าทีถามสิ้นทุกคน
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น ทั้งหกร้องพลางครางร่น
เจ็บแสบแทบตายเต็มทน ต่างคนรับจริงทุกสิ่งไป
ซึ่งคิดผิดพลั้งครั้งนี้ เพราะพระชนนีสอนให้
พาลผิดริษยาสังข์ศิลป์ชัย แล้วไปบนบานพระโหรา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระบิดาชี้นิ้วกริ้วหนักหนา
ให้ผูกคอโหราเฒ่าเข้ามา กับหกกัลยาเฆี่ยนสอบกัน
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ซักไซ้ได้ความตามจริง ท้าวยิ่งเคืองขุ่นหุนหัน
จึงตรัสปรีกษาเสนาพลัน โทษมันถึงสิ้นชีวี
โหรเฒ่าเจ้าเล่ห์ลวงกูได้ ไปตัดหัวเสียบไว้นอกกรุงศรี
อ้ายทั้งหกคนกับชนนี เอาไปฟันเสียที่ท้ายพารา
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้ปี่
๏ เมื่อนั้น หกนางกับหกโอรสา
ต่างคนร่ำไห้ฟายน้ำตา ร้องขอชีวาวุ่นไป
พระสังข์ศิลป์ชัยใจดี แม่ประทุมเทวีลูกกราบไหว้
เอ็นดูด้วยช่วยขอโทษไว้ ช่วงใช้เป็นข้ากว่าจะตาย
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น พระสังข์สิ้นพยาบาทมาดหมาย
เห็นแม่ลูกร้อนดิ้นสิ้นความอาย จึงบ่ายเบี่ยงพิดทูลพระบิดา
อันโทษทั้งหกคนกับชนนี ก็ควรที่บิตุรงค์ลงโทษา
แต่จะฆ่าให้ม้วยมรณา เวราจะติดลูกสืบไป
ซึ่งเขาคิดร้ายข้าหลายครั้ง ก็เพราะกรรมหนหลังหาโกรธไม่
จงโปรดปรานประทานโทษไว้ อย่าฆ่าให้มอดม้วยมรณา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น พระบิตุรงค์ทรงฟังโอรสา
ค่อยเคลื่อนคลายหายโกรธโกธา จึงตรัสว่าพ่อแค้นมันสุดใจ
นี่หากลูกยาว่าวอน เป็นจนจิตบิดรไม่ขัดได้
ว่าพลางทางสั่งเสนาใน อันคนโทษกูให้ลูกรัก
จะได้ใช้สอยมันเป็นข้า ให้สมน้ำหน้าที่อัปลักษณ์
แล้วตรัสชวนสี่องค์นงลักษณ์ กับพระลูกรักเข้าวังใน
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ