บ้วนฮ่วยเหลา/เล่ม ๑/ตอน ๓
หน้า ๑๔–๓๒ สารบัญ
เต็กก๊วงได้ฟัง สำคัญว่าจริง ก็เสียใจนัก มิรู้ที่จะคิดประการใด แข็งใจสนทนาอยู่กับชิงชิว พอได้เวลาแล้วชิงชิวก็ลากลับไป ฝ่ายนางงักสี มารดา เมื่อขณะเต็กก๊วงพูดอยู่กับชิงชิวนั้น นางงักสีฟังอยู่ข้างใน ได้ยินความแล้วก็เสียใจ พอชิงชิวกลับไปจึงถามเต็กก๊วงผู้บุตรว่า พูดจากันด้วยข้อความสิ่งใด เต็กก๊วงฟังมารดาถามก็ปิดความเสียหาบอกตามไม่ กลัวมารดาจะเสียใจ จึงบอกว่า พูดจากันด้วยข้อราชการกันเล็กน้อย นางงักสีจึงตอบว่า มารดารู้ความแล้ว เจ้าอย่าปิดบังเลย ว่าแล้วนางก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกไปจนขาดใจตาย เต็กก๊วงเห็นมารดาตายแล้วก็ร้องไห้โศกเศร้าเป็นอันมาก ครั้นคลายความโศกแล้ว ก็จัดแจงทำการฝังศพมารดาตามบรรดาศักดิ์ภรรยาขุนนาง เสร็จแล้วเต็กก๊วงจึงพูดกับนางเม่งสี ภรรยา ว่า นางเต็กเชยกิม น้องเรา ก็ผูกคอตายเสียแล้ว มารดาเราก็พลอยตายเสียด้วย อนึ่ง ชิงชิวก็บอกกับเราว่า พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงขัดเคืองเป็นอันมาก จะเอาตัวพี่น้องและบิดามารดาไปทำโทษ หากตันหลิมทูลว่า นางเต็กเชยกิมเป็นบุตรราษฎร ถ้าหาไม่เราจะมีโทษ ถ้าเราขืนทำราชการไปก็คงมีความผิด พี่คิดว่า จะออกเสียนอกราชการดีกว่า
นางเม่งสีจึงตอบว่า การอันนี้เป็นแต่ชิงชิวมาพูด จะฟังเอาเป็นแน่ก็ยังไม่ได้ ท่านจงใช้คนไปสืบดูที่เมืองหลวงก่อน จึงจะชอบ เต็กก๊วงจึงตอบว่า ทางจะไปเมืองหลวงก็ไกล กันดารนัก ยากที่จะไปมา ตัวเราก็ทำราชการมาช้านานแล้ว ก็หาได้ดีมีชื่อเสียงไม่ เจ้าอย่าทัดทานเลย พูดกันดังนั้นแล้วก็ทำหนังสือขอลาออกนอกราชการไปอยู่บ้านเดิมไปยื่นกับผู้รักษาเมือง ผู้รักษาเมืองรับหนังสือมาอ่านดูแจ้งความแล้วจึงพูดกับเต็กก๊วงว่า จะต้องบอกเข้าไปกราบทูลเสียก่อน จะโปรดประการใดแล้วท่านจงค่อยมาฟังดู เต็กก๊วงก็กลับไปบ้านคอยรอฟังรับสั่งอยู่
ฝ่ายชิงชิวกลับมาจากบ้านเต็กก๊วงแล้ว ก็ไปลาผู้รักษาเมืองออกจากเมืองซัวไซตรงไปเมืองหลวง ครั้นถึงเมืองหลวงก็เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แล้วกราบทูลแถลงกิจการตามซึ่งมีรับสั่งใช้ไปให้ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้เจ้าแผ่นดินก็ทรงพระโสมนัส ตรัสด้วยข้อราชการต่าง ๆ พอได้เวลาก็เสด็จขึ้น ชิงชิวก็ไปหาโปยอ๋องแล้วแจ้งความว่า ข้าพเจ้าได้เอาหนังสือของท่านไปให้แก่เต็กก๊วงแล้ว เต็กก๊วงแจ้งความในหนังสือของท่านแล้วก็มีความยินดี เมื่อข้าพเจ้าจะกลับมา ได้ไปเอาหนังสือตอบ ก็หาเต็กก๊วงไม่พบ จึงมิได้เอาหนังสือตอบมา โปยอ๋องได้ฟังดังนั้น สำคัญว่าจริง ก็นิ่งอยู่ ชิงชิงก็คำนับลากลับไปบ้าน จึงเอาเงินที่ตัวกันไว้ได้นั้นแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งให้พังหองผู้พ่อตาซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งให้ปังจีนผู้คู่ปรึกษา
ฝ่ายพังหอง ปังจีน ได้เงินส่วนแบ่งปันก็ดีใจ ครั้นรุ่งเช้าก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ แล้วกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์มีรับสั่งให้ชิงชิวเอาเงินไปพระราชทานให้บิดามารดาหญิงที่เมืองซัวไซนั้น ชิงชิวก็ไปได้ราชการกลับมา ขอพระองค์จงเลื่อนที่ให้มียศขึ้นไป จึงจะชอบ จะได้มีน้ำใจทำราชการแข็งแรง พระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็เห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้เลื่อนที่ชิงชิวขึ้นเป็นขุนนางสำหรับรับหนังสือบอกข้อราชการหัวเมืองทั้งปวง ชิงชิวได้เลื่อนที่มียศยิ่งขึ้นไปก็ยินดี
ฝ่ายผู้รักษาเมืองซัวไซ คัร้นเต็กก๊วงกลับไปแล้ว ก็ให้ขุนนางถือหนังสือเข้าไปกราบทูลพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ ขุนนางผู้นั้นถือหนังสือมาถึงเมืองหลวง ก็เอาหนังสือเข้าไปสางให้ชิงชิวเจ้าพนักงาน ชิงชิวรับหนังสือมาแล้วเห็นสลักหลังมีชื่อเต็กก๊วงก็สงสัย จึงฉีกผนึกออกอ่าน มีความว่า เต็กก๊วงขอลาออกนอกราชการ จะกลับไปอยู่บ้านเดิม ครั้นแจ้งความแล้วก็ตกใจ หาอาจนำขึ้นกราบทูลไม่ จึงไปหาพังหอง ปังจีน แล้วเล่าความให้ฟังตั้งแต่โปยอ๋องกับนางเต็กเชยกิมฝากหนังสือไปให้เต็กก๊วงทุกประการ พังหอง ปังจีน จึงว่า ซึ่งเต็กก๊วงจะขอลาออกนอกราชการนั้นหาเป็นไรไม่ เจ้าจงมีหนังสือตอบไปว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงอนุญาตแล้ว เราช่วยกันปิดความเสีย อย่าให้ทรงทราบได้ เร่งมีหนังสือตอบไปโดยเร็วเถิด ชิงชิวก็เห็นชอบด้วย คำนับลาพังหอง ปังจีน กลับมาบ้าน เขียนหนังสือปลอมเป็นหนังสือรับสั่งไปว่า ซึ่งเต็กก๊วงขอลาออกนอกราชการกลับไปอยู่บ้านเดิมก็ตามใจเถิด ทำหนังสือเข้าผนึก เสร็จแล้วก็มอบให้ขุนนางผู้นั้นถือไป ขุนนางผู้นั้นก็คำนับลากลับมาถึงเมืองซัวไซ แล้วก็เอาหนังสือรับสั่งไปส่งให้ผู้รักษาเมือง ผู้รักษาเมืองจึงให้คนใช้ไปบอกกับเต็กก๊วงตามหนังสือรับสั่งนั้นทุกประการ เต็กก๊วงครั้นแจ้งแล้วก็สำคัญว่า มีหนังสือรับสั่งมาจริง ก็อพยพครอบครัวออกจากเมืองซัวไซตรงไปเมืองไซหอ ตำบลบ้านเซียวเอียงตี๋ ซึ่งขึ้นกับเมืองซัวไซ
ฝ่ายเคียดตัน เจ้าเมืองฮวน ครั้นนานมาก็มีใจกำเริบ จึงคิดว่า จำจะยกกองทัพไปชิงเอาเมืองหลวงให้จงได้ จึงสั่งให้ตรวจเตรียมเสบียงอาหาร และเครื่องศัสตราวุธ ทั้งทหารเอกทหารเลวไว้ให้พร้อมสิบหมื่น นายทหารก็คำนับลามาตรวจเตรียมทหารไว้พร้อมสิบหมื่นตามคำสั่ง ครั้นได้ฤกษ์ดี เคียดตันก็ยกกองทัพตรงไปเมืองทันจิว ตีได้หัวเมืองเล็กน้อยซึ่งขึ้นกับเมืองทันจิวได้หลายเมือง แล้วเดินกองทัพมาตั้งค่ายใกล้เมืองทันจิว
ฝ่ายเฮงเถียว ผู้รักษาเมืองทันจิว ก็แต่งทหารออกต่อสู้รบต้านทานกองทัพเคียดตัน ต้านทานทหารเคียดตันมิได้ ก็หนีกลับเข้าเมือง เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง แล้วก็เขียนหนังสือบอกข้อราชการทัพเข้าไปในเมืองหลวงขอพระราชทานกองทัพมาช่วยโดยเร็ว เขียนหนังสือเสร็จแล้วก็มอบให้ม้าใช้ ม้าใช้รับหนังสือแล้วก็คำนับลารีบไปเมืองเปียนเหลียง ครั้นถึงเมืองหลวงก็ส่งหนังสือให้เจ้าพนักงานให้นำขึ้นกราบทูลพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ พระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ทรงทราบความในหนังสือบอกก็ตกพระทัย จึงตรัสปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เคียดตันยกกองทัพมาติดเมืองทันจิวครั้งนี้ ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด ขุนนางทั้งหลายซึ่งเฝ้าอยู่นั้นหามีผู้ใดกราบทูลไม่ แต่โควจุ้นนั้นกราบทูลว่า ศึกครั้งนี้เข้มแข็งนัก เมืองทันจิวก็เป็นเมืองสำคัญ ถ้าข้าศึกตีหักเข้ามาได้ ก็จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศไป ขอเชิญพระองค์เสด็จยกทัพหลวงไป จึงจะควร ไพร่พลทหารหัวเมืองฝ่ายเราจะได้มีใจสู้รบแข็งแรง คงจะมีชัยชนะเป็นแท้ พระเจ้าแผ่นดินก็เห็นชอบด้วย จึงมีพระราชดำรัสให้กอของเป็นแม่ทัพคุมทหารสามสิบหมื่น ให้โควจุ้นเป็นที่ปรึกษา กอของ โควจุ้น ก็กราบถวายบังคมลามาจัดทหาร เครื่องศัสตราวุธ และเสบียงอาหารพร้อมสรรพ
ฝ่ายพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้เจ้าแผ่นดิน ครั้นได้ศุภวารมหาพิชัยฤกษ์ ก็ทรงเครื่องสำหรับกษัตริย์ออกสงครามพร้อม เสด็จยกกองทัพจากเมืองหลวงตรงไปเมืองทันจิว รอนแรมมาหลายวันก็ถึงเมืองทันจิว จึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ คอยดูท่วงทีเคียดตันจะทำประการใด ฝ่ายเคียดตัน เจ้าเมืองฮวน แจ้งว่า พระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ยกกองทัพมาเป็นอันมาก ก็หาอาจจะยกเข้าตีหักเอาได้ไม่ กองทัพทั้งสองฝ่ายก็ตั้งคอยรอท่วงทีกันอยู่ มิได้รบพุ่งกัน
ฝ่ายนางเล่าฮองเฮาซึ่งเป็นมเหสีใหญ่พระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ เมื่อขณะพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ยกกองทัพไปปราบข้าศึกนั้น นางเล่าฮองเฮาประสูติราชบุตรองค์หนึ่งเป็นหญิง นางลีสินฮุย มเหสีรอง ประสูติราชบุตรองค์หนึ่งเป็นชาย นางเล่าฮองเฮาจึงคิดว่า บุตรเราเป็นหญิง บุตรนางลีสินฮุยเป็นชาย นานไปราชสมบัติคงได้กับบุตรนางลีสินฮุยเป็นแน่ จำจะคิดกำจัดบุตรนางลีสินฮุยเสีย จึงจะได้ คิดแล้วก็ให้หากวยหวย ขันที เข้ามาข้างใน กวยหวยเข้ามาถึงข้างใน คำนับ แล้วจึงถามว่า ท่านให้หาข้าพเจ้าเข้ามาด้วยธุระสิ่งใด นางเล่าฮองเฮาจึงว่า ท่านกับเราก็เป็นที่ไว้ใจรักใคร่กันสนิท บัดนี้ บุตรนางลีสินฮุยเป็นชาย นานไปคงได้ราชสมบัติเป็นแน่ ตัวเรากับบุตรมิต้องอยู่ในบังคับเขาหรือ เรามีความวิตกนัก เราคิดว่า จะกำจัดบุตรนางลีสินฮุยเสีย ท่านคิดมีอุบายประการใดบ้าง กวยหวย ขันที จึงตอบว่า ซึ่งจะคิดกำจัดบุตรนางลีสินฮุยนั้น ท่านอย่าวิตกเลย ไว้เป็นธุระข้าพเจ้า ขอท่านจงไปหานางลีสินฮุยทำเป็นไปเยี่ยมเยือนให้สนิท แล้วท่านจงเชิญมาที่เก๋ง ท่านจงจัดโต๊ะเสียนางลีสินฮุย แล้วจงชักพูดจาให้เพลิดเพลิน เมื่อนางลีสินฮุยจะมานั้นคงเอาบุตรมาด้วย ถ้าท่านชวนพูดอยู่นาน เห็นบุตรนางลีสินฮุยนอนแล้ว ท่านจึงว่า ให้นางลีสินฮุยส่งบุตรให้ข้าพเจ้าพาไปนอนเสีย ข้าพเจ้าก็จะอุ้มไปทิ้งเสียให้ตาย แล้วข้าพเจ้าจะเอาแมวไปใส่ไว้ในที่นอนแทนบุตรนางลีสินฮุย ข้าพเจ้าคิดดังนี้ ท่านจะเห็นประการใด นางเล่าฮองเฮาก็เห็นชอบด้วย จึงว่า ถ้าท่านทำได้ดังนี้แล้ว เราก็จะหาลืมคุณท่านไม่ ครั้นพูดจาปรึกษากันดังนั้นแล้ว กวยหวยก็คำนับลากลับไป
ฝ่ายนางลีสินฮุยประสูติราชบุตรเป็นชายก็ดีใจ อุตส่าห์เอาใจใส่มิให้ห่างไกลได้ อยู่มาวันหนึ่ง นางเล่าฮองเฮามาเยี่ยมนางลีสินฮุย นางลีสินฮุยเห็นนางเล่าฮองเฮามาก็ดีใจ ออกมาคำนับ แล้วเชิญให้นั่งที่อันสมควร พูดจาสนทนากันตามธรรมเนียม นางเล่าฮองเฮาก็ทำเป็นพูดจาทอดสนิทดูประหนึ่งรักใคร่นางลีสินฮุยเป็นอันมาก แล้วนางเล่าฮองเฮาพูดกับนางลีสินฮุยว่า วันนี้ เจ้าจงไปพูดกันเล่นที่เก๋งเราบ้าง นางลีสินฮุยเกรงใจขัดมิได้ก็อุ้มบุตรไปกับนางเล่าฮองเฮา นางเล่าฮองเฮาก็สั่งให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงนางลีสินฮุย นางลีสินฮุยกินโต๊ะกับนางเล่าฮองเฮาอิ่มสำเร็จแล้ว นางเล่าฮองเฮาก็พูดจาหน่วงเหนี่ยวไว้ จนบุตรนางลีสินฮุยหาวนอนก็ร้องไห้ นางเล่าฮองเฮาจึงว่ากับนางลีสินฮุยว่า บุตรเจ้าหาวนอนแล้ว จงส่งให้กวยหวยพาไปนอนก่อนเถิด เราสนทนากันให้สบายก่อนจึงค่อยไป นางลีสินฮุยก็ไม่มีความสงสัย ก็ส่งพระราชบุตรให้กวยหวย กวยหวยก็เข้ารับเอาพระราชบุตรอุ้มไป พ้นแล้วก็ส่งให้นางโควหนิง ให้เอาไปทิ้งเสียที่สระกิมจุยตี๋ แล้วกวยหวยก็เอาแมวตายตัวหนึ่งเข้าไปไว้ที่พระราชบุตรนอนในห้องนางลีสินฮุยนอน แล้วกวยหวยก็ออกมาบอกสาวใช้ว่า พระราชบุตรนอนอยู่ในห้อง ใครอย่าเปิดประตูเข้าไป
ฝ่ายนางลีสินฮุยนั่งพูดอยู่กับนางเล่าฮองเฮาเห็นเข้านานจวนบุตรจะตื่นนอนแล้ว ก็คำนับลานางเล่าฮองเฮากลับมาถึงเก๋ง จึงถามนางสาวใช้ว่า บุตรเรานอนอยู่ที่ไหน นางสาวใช้บอกว่า นอนอยู่ในห้อง นางลีสินฮุยก็เข้าไปดูที่พระราชบุตรนอน ก็หาเห็นราชบุตรไม่ ตกใจนัก เห็นแต่แมวนอนตายอยู่ตัวหนึ่ง นางก็ร้องไห้ร่ำไรเป็นอันมาก ครั้นวายความโศก นางจึงคิดว่า การซึ่งเป็นดังนี้ก็เพราะนางเล่าฮองเฮาคิดกำจัดบุตรเราเสีย ด้วยกลัวว่า นานไปบุตรเราจะได้ราชสมบัติ ครั้นเราจะว่ากล่าวขึ้นก็หามีผู้ใดจะชำระให้ไม่ ด้วยพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ไปราชการทัพยังหากลับมาไม่ ตัวเราก็เป็นผู้น้อย จะบังคับใครได้ ต้องคอยเมื่อเสด็จกลับมา จึงจะกราบทูลให้ทราบ
ฝ่ายนางโควหนิงซึ่งพาพระราชบุตรไปนั้น ถึงสระกิมจุยตี๋ จะโยนลงไปในน้ำ ก็บังเกิดความสังเวชนัก หาอาจจะโยนไปได้ไม่ ให้คิดสงสารนั่งร้องไห้เป็นทุกข์อยู่
ฝ่ายโปยอ๋องกับนางเต็กเชยกิมใช้ตันหลิมไปเก็บดอกไม้ในสวนหลังบ้าน ตันหลิมเอาเข่งไปด้วยเข่งหนึ่งสำหรับจะได้ใส่ดอกไม้ ครั้นถึงสวนดอกไม้ แลเห็นนางโควหนิงนั่งร้องไห้อยู่ จึงถามว่า เจ้ามานั่งร้องไห้อยู่ด้วยเหตุการณ์สิ่งใด นางโควหนิงฟังตันหลิมถาม ก็เล่าความให้ตันหลิมฟังตามนางเล่าฮองเฮากับกวยหวยใช้ให้เอาพระราชบุตรมาทิ้งเสียนั้นทุกประการ ตันหลิมจึงว่า การอันนีเป็นการใหญ่สำคัญอยู่ แต่หามีผู้ใดรู้ไม่ เจ้าจงส่งพระราชบุตรมาให้เรา เราจะพาไปให้โปยอ๋องเลี้ยงไว้ นางโควหนิงก็ดีใจ จึงส่งพระราชบุตรให้ตันหลิม ตันหลิมรับพระราชบุตรมา แล้วก็ใส่ลงในเข่งดอกไม้ แล้วก็พาพระราชบุตรไปส่งให้โปยอ๋อง แล้วแจ้งความให้โปยอ๋องฟังทุกประการ โปยอ๋องจึงให้นางเต็กเชยกิมผู้ภรรยาเลี้ยงพระราชบุตรไว้ ถ้าพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้เสด็จกลับมาเมื่อไร จึงจะกราบทูลเมื่อนั้น
ฝ่ายนางโควหนิงเห็นตันหลิมพาพระราชบุตรไปแล้ว ก็กลับมาแจ้งความกับนางเล่าฮองเฮาว่า ซึ่งท่านใช้ข้าพเจ้าไปนั้น ข้าพเจ้าทำการสำเร็จแล้ว นางเล่าฮองเฮาก็มีความยินดี แล้วจึงคิดว่า เราคิดกำจัดบุตรนางลีสินฮุย ก็สมคิดแล้ว ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จกลับมา นางลีสินฮุยคงจะกราบทูลให้ชำระ เราก็จะไม่พ้นความผิด จำจะคิดฆ่านางลีสินฮุยเสียให้จงได้ เนื้อความจะได้สูญหายไป คิดเห็นการตลอดแล้ว จึงให้กวยหวยมาว่า ธรรมดาผู้จะตัดต้นผลไม้ให้สูญหาย ก็ต้องขุดรากเหง้าเสียให้หมดด้วย อย่าให้เกิดความได้ กวยหวยจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าคิดไว้แล้ว ท่านจงให้คนจัดเชื้อเพลิงไว้เถิด ค่ำวันนี้ จะไปเผาเก๋งนางลีสินฮุยเสีย นางลีสินฮุยไม่ทันรู้ตัว ไฟจะไหม้ตายอยู่ในเก๋งนั้น ความก็จะสูญอยู่เอง นางเล่าฮองเฮาก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งคนใช้ที่สนิทให้จัดเชื้อเพลิงไว้คอยท่า แม้นได้เวลาก็ให้เผาเก๋งนางลีสินฮุยเสีย
ฝ่ายนางโควหนิงแจ้งความแล้วก็ตกใจ จึงหนีไปหานางลีสินฮุย แล้วแจ้งความแก่นางลีสินฮุยตามซึ่งนางเล่าฮองเฮาจะทำอันตรายนั้นให้นางฟังทุกประการ แล้วว่า ท่านจงคิดหนีเอาตัวรอดเถิด บุตรท่านนั้นหาเป็นอันตรายไม่ ข้าพเจ้าให้ตันหลิมพาไปให้โปยอ๋องเลี้ยงไว้ ท่านจงหนีไปหาโปยอ๋องเถิด นางโควหนิงบอกความแล้วก็คำนับลากลับไป
ฝ่ายนางลีสินฮุยแจ้งว่า บุตรไม่เป็นอันตราย ก็ดีใจ จึงแต่งตัวปลอมเป็นไพร่มิให้ผู้ใดจำได้ ครั้นเวลาค่ำประมาณยามเศษ ก็หนีออกจากพระราชวังไป ฝ่ายนางโควหนิงเมื่อไปแจ้งความกับนางลีสินฮุยแล้ว จึงคิดว่า การอันนี้สำคัญใหญ่หลวงนัก นานไปข้างหน้า ถ้านางเล่าฮองเฮาแจ้งความว่า เราทำการดังนี้ ก็คงฆ่าเราเสีย เราตายเสียเองดีกว่าเขาทำให้ตาย คิดเห็นดังนั้นแล้วก็ไปโจนน้ำตายเสียที่สระกิมจุยตี๋ ฝ่ายนางเล่าฮองเฮาเห็นว่า เวลาค่ำ เงียบสงัดดีแล้ว ก็ให้คนที่สนิทซึ่งเตรียมเชื้อไฟไว้นั้นเอาไฟไปเผาเก๋งนางลีสินฮุยขึ้น หาแจ้งว่า นางลีสินฮุยหนีไปเสียก่อนไม่ ครั้นเห็นไฟไหม้เก๋งก็ดีใจ สำคัญว่า นางลีสินฮุยตายในไฟแล้ว
ฝ่ายขุนนางและข้าราชการทั้งหลายซึ่งรักษาพระราชวังนั้น ครั้นเห็นไฟไหม้เก๋งนางลีสินฮุยในพระราชวัง ก็ตกใจ พากันเข้าไปช่วยดับไฟ ครั้นไฟดับแล้วก็ไม่เห็นนางลีสินฮุยกับพระราชบุตร ต่างคนก็สำคัญว่า ไฟไหม้ตายเสียแล้ว ครั้นเวลารุ่งเช้า มีผู้มาแจ้งความแก่นางเล่าฮองเฮากับกวยหวยว่า นางโควหนิงไปโดดน้ำตายเสียที่จะกิมจุยตี๋แล้ว นางเล่าฮองเฮากับกวยหวยได้ฟังดังนั้นก็สะดุ้งใจ จึงพูดกันว่า นางโควหนิงคงเอาความไปบอกแก่นางลีสินฮุยเป็นแน่ แล้วกลัวเราจะรู้ความ จึงไปโดดน้ำตายเสีย นางลีสินฮุยเห็นจะไม่ตายในไฟ คงหนีไปได้แน่ ครั้นจะตามไปฆ่าเสีย ก็ไม่แจ้งว่าไปทางไหน เป็นการจนใจอยู่ จึงปิดความนิ่งไว้
ฝ่ายนางลีสินฮุย เมื่อหนีออกจากพระราชวังได้ ก็หมายใจจะไปบ้านโปยอ๋อง แต่หารู้แห่งทางไม่ ก็เดินเลยบ้านโปยอ๋องไป ฝ่ายโปยอ๋องแจ้งว่า ไฟไหม้เก๋งนางลีสินฮุย ก็สำคัญว่า นางลีสินฮุยตายในไฟ หารู้ที่จะคิดประการใดไม่ จึงพูดกับนางเต็กเชยกิมว่า ซึ่งไฟไหม้เก๋งนางลีสินฮุยครั้งนี้เห็นจะเป็นอุบายนางเล่าฮองเฮาคิดเผาเสีย นางเต็กเชยกิมจึงว่า ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ การสิ่งไรก็สำเร็จอยู่ในท่าน ควรท่านจะชำระเอาตัวผู้ผิดให้จงได้ โปยอ๋องจึงว่า ตัวเราก็ชราอยู่แล้ว นางเล่าฮองเฮาก็มีอำนาจและพวกพ้องมาก เราจะชำระว่ากล่าวเอาความจริง ไหนจะรับโดยดี จะต้องสงบความไว้คอยท่าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จกลับมาจึงจะกราบทูล พูดแล้วก็นิ่งความไว้
ฝ่ายเต็กก๊วงพาบุตร ภรรยา และครอบครัวไปถึงบ้านเดิม ก็ทำการฝังศพมารดาอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ไปเฝ้าศพมารดาอยู่สามปี แล้วก็กลับมาอยู่บ้าน เต็กก๊วงมีบุตรสองคน พี่สาวชื่อ นางเต็กกิมหลวน อายุสิบหกปี น้องชายชื่อ เต็กเซง อายุเจ็ดปี ครั้นอยู่นานมา เต็กก๊วงพูดกับนางเม่งสี ภรรยา ว่า เดิมเมื่อเรายังทำราชการอยู่นั้น เตียโฮ ขุนนางฝ่ายทหาร มาขอนางเต็กกิมหลวนบุตรเราให้แก่เตียบุ๋นผู้บุตร บัดนี้ บิดามารดาเตียบุ๋นก็ตายแล้ว และเตียโฮ บิดาเตียบุ๋น เขาก็เป็นขุนนางทำราชการมาช้านานหลายชั่วคนแล้ว หามีความผิดไม่ เทือกเถาเหล่ากอเขาก็เป็นคนดีอยู่ บัดนี้ บุตรเราก็เติบใหญ่ ควรจะมีเหย้าเรือนแล้ว พี่จะคิดปลูกฝังเสียกับเตียบุ๋นให้สิ้นธุระ เจ้าจะเห็นประการใด นางเม่งสีฟังสามีว่าก็เห็นชอบด้วย จึงตอบว่า การอันนี้แล้วแต่ท่านเถิด ถ้าหวงไว้นานไป ก็จะเหมือนนางเต็กเชยกิมผู้น้องสาวท่าน เต็กก๊วงจึงว่า เราหาได้หวงไว้ไม่ เป็นเหตุด้วยมารดาเรารักใคร่มากนัก ถึงใครมาขอก็ไม่ให้ จึงได้เกิดความขึ้น ผัวเมียปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้ว เต็กก๊วงก็เขียนหนังสือมอบให้คนใช้เอาไปให้เตียบุ๋น คนใช้รับหนังสือแล้วก็คำนับลาเอาหนังสือไปส่งให้เตียบุ๋น เตียบุ๋นรับหนังสือมาฉีกผนึกออกอ่าน มีความว่า เดิมบิดาเจ้ามาขอบุตรสาวเราไว้จะให้เป็นภรรยาเจ้า บัดนี้ บิดาเจ้าก็ตายแล้ว แต่เรายังคิดถึงถ้อยคำที่พูดกันไว้ เราหาให้เสียวาจาไม่ เจ้าจงได้จัดการมงคลมาตามธรรมเนียมเถิด เตียบุ๋นอ่านหนังสือแล้วก็คิดได้ว่า เมื่อบิดาเรายังไม่ตายนั้น ได้บอกกับเราว่า ได้ขอบุตรสาวเต็กก๊วง ขุนนางนายทหาร ให้เป็นภรรยาเรา ครั้นอยู่มา บิดาเราก็ถึงแก่กรรมเสีย ยังหาได้แต่งการงานไม่ บัดนี้ เต็กก๊วงมีหนังสือมาให้เราไปแต่งงาน ครั้งนี้ พี่น้องเราก็หามีไม่ ทั้งเงินทองก็ขัดสน จะทำประการใดดี เต็กก๊วงเขาก็มีความเมตตา จึงมีหนังสือมาดังนี้ บุญคุณเขาก็เป็นที่ยิ่ง เราจำจะคิดอ่านไปทำการมงคลให้จงได้ เตียบุ๋นก็เข้าไปในเรือน จัดทรัพย์สิ่งของได้บ้างเล็กน้อย แล้วก็มากับผู้ถือหนังสือนั้น ครั้นถึงก็เข้าไปคำนับเต็กก๊วง เต็กก๊วงเห็นก็มีความยินดี พูดจาสนทนากันตามธรรมเนียม ครั้นได้วันฤกษ์ดี เต็กก๊วงก็จัดการมงคลให้เตียบุ๋นกับนางเต็กกิมหลวนอยู่กินเป็นสามีภรรยากันที่บ้านเต็กก๊วง แล้วเตียบุ๋นก็ลาเต็กก๊วงพาภรรยามาอยู่บ้านของตัวตามเดิม
ฝ่ายเต็กก๊วง ครั้นอยู่นานมาก็ป่วยลง จึงให้คนใช้ไปบอกเตียบุ๋นกับนางเต็กกิมหลวนมาที่บ้าน เตียบุ๋นกับภรรยาก็มาที่บ้านเต็กก๊วง เต็กก๊วงจึงว่ากับเตียบุ๋นและนางเต็กกิมหลวนว่า บิดาป่วยครั้งนี้อาการหนัก เห็นจะไม่รอดแล้ว เจ้าอยู่ภายหลังจงเลี้ยงดูกันให้จงดีเถิด เตียบุ๋นกับนางเต็กกิมหลวนก็ไปหาหมอมารักษา หมอวางยาก็หาถูกไม่ โรคก็ทรุดหนักลง พอเต็กก๊วงได้ยินเสียงมโหรีลอยอยู่บนอากาศตรงหลังคาเรือน จึงสั่งให้นางเม่งสีเอาเครื่องแต่งตัวมาสวมใส่เข้า แล้วก็สั่งบุตรภรรยาว่า เราจะลาเจ้าทั้งปวงแล้ว จงอยู่ให้มีความสุขสบายเถิด พอพูดสิ้นคำก็ขาดใจตาย บุตรภรรยาก็ร้องไห้เศร้าโศกไปเป็นอันมาก แล้วก็จัดการฝังศพตามบรรดาศักดิ์ขุนนางพอสมควร เมื่อเต็กก๊วงตายนั้นอายุได้สี่สิบแปดปี เตียบุ๋นกับนางเต็กกิมหลวนครั้นทำการฝังศพเต็กก๊วงแล้วก็กลับไปอยู่บ้านเก่าตามเดิม