บ้วนฮ่วยเหลา/เล่ม ๑/ตอน ๔
หน้า ๓๒–๔๐ สารบัญ
ฝ่ายนางเม่งสี ภรรยาเต็กก๊วง ครั้นเต็กก๊วงตายแล้ว ก็อยู่กับเต็งเซงผู้บุตรคนเล็ก ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเกิดลมพายุพัด ฝนตกห่าใหญ่ เกิดน้ำท่วมทั่วไปทั้งเมืองไซหอและบ้านเซียวเอียงตี๋ ราษฎรจมน้ำตายเป็นอันมาก ฝ่ายนางเม่งสีกับเต็งเซงผู้บุตรเห็นน้ำท่วมเรือนและลมพัดกล้านัก หาที่อาศัยมิได้ ก็เกาะขอนไม้ลอยไป แม่ลูกก็พลัดกัน แต่นางเม่งสีนั้นขึ้นฝั่งได้ พบเตียบุ๋นผู้บุตรเขย เตียบุ๋นผู้บุตรขุยก็พาไปบ้าน แต่เต็กเซงนั้นเกาะขอนไม้ลอยไปขึ้นฝั่งหาได้ไม่ ลมพายุก็ซัดลอยไปถึงเขางอมิงซัวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้วิเศษนั้น ฝ่ายเฮงเซียนเล่าโจ๊ซึ่งเป็นผู้วิเศษรักษาศีลอยู่ที่เขางอมิงซัว เวลาวันนั้น เดินออกมาเที่ยวเล่นชายเขา เห็นเด็กคนหนึ่งเกาะขอนไม้ลมพายุซัดมาติดอยู่หน้าเขา ก็เดินลงไปดู เห็นเด็กนั้นสลบนิ่งอยู่ ก็อุ้มขึ้นมา เอายาให้กิน ประมาณสักครู่หนึ่ง เด็กนั้นก็ฟื้นขึ้น เห็นผู้วิเศษก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วจึงว่า ท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ครั้งนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ท่านแซ่ไร ชื่อไร เขานี้ชื่อเขาอะไร ท่านเห็นมารดาข้าพเจ้าบ้างหรือไม่ ถ้ามารดาข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้าจะขอตายตามมารดาไป เฮงเซียนเล่าโจ๊ฟังเด็กถามจึงพิจารณาดูก็รู้ว่า มารดาของเด็กยังไม่ตาย นานไปเด็กคนนี้จะมีวาสนา ก็บอกชื่อและแซ่และนามเขาให้เด็กฟังทุกประการ แล้วบอกว่า มารดาเจ้านั้นหาตายไม่ มีผู้เอาไปเลี้ยงไว้ อย่าวิตกเลย เจ้าจงอยู่กับเราเถิด เราจะสอนให้เรียนความรู้และวิชาต่าง ๆ ให้ชำนิชำนาญ แล้วจึงค่อยไปตามหามารดาเถิด เต็กเซงได้ฟังก็ดีใจ จึงอยู่ด้วยเฮงเซียนเล่าโจ๊ เฮงเซียนเล่าโจ๊ถามชื่อและแซ่แจ้งแล้วก็สั่งสอนเพลงอาวุธต่าง ๆ และตำรับพิชัยสงครามให้เต็กเซง เต็กเซงก็เล่าเรียนฝึกหัดทุกวันมิได้ขาด
ฝ่ายโปยอ๋อง ตั้งแต่เลี้ยงพระราชบุตรไว้จนชนมายุเจริญวัยขึ้น โปยอ๋องก็ประชวรหนักลง หมอรักษาโรคนั้นหาคลายไม่ หนักลงทุกวัน ก็สิ้นพระชนม์ อายุได้ห้าสิบแปดปี ขุนนางเจ้าพนักงานก็ทำการฝังศพอย่างเจ้าพระราชวงศ์ผู้ใหญ่
ฝ่ายพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ แต่ยกกองทัพไปช่วยเมืองทันจิวครั้งนั้น เคียดตันจะตีหักเอาเมืองทันจิวก็ไม่ได้ ได้แต่งให้ทหารออกสู้รบกันเป็นหลายครั้งก็ไม่แพ้ชนะกัน ตั้งค่ายมั่นคอยรอท่วงทีกันอยู่เป็นหลายปี เคียดตันเห็นว่า จะตีเอาเมืองไม่ได้ จึงยอมเป็นไมตรีกันกับเจ้าเมืองทันจิว แล้วก็เลิกทัพกลับไปเมือง ฝ่ายพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้ ครั้นการศึกสงครามสงบแล้ว ก็ยกกองทัพกลับเข้าเมืองเปียนเหลียง เสด็จเข้าสู่พระราชวัง ขุนนางซึ่งอยู่เฝ้าพระราชวังกราบทูลว่า เมื่อพระองค์ยกกองทัพไปช่วยราชการศึกเมืองทันจิวนั้น นางลีสินฮุยคลอดพระราชบุตรเป็นชายอยู่ได้ประมาณสี่เดือนเศษ เวลากลางคืนเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ตำหนักนางลีสินฮุย นางลีสินฮุยกับพระราชบุตรดับสูญเสียในเพลิง แล้วโปยอ๋องก็สิ้นพระชนม์เสียด้วย พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังก็โทมนัสเสียพระทัยนัก จึงทรงพระราชดำริว่า โปยอ๋องก็ตายแล้ว ราชบุตรเราก็ไม่มี ตัวเราอายุก็ล่วงเข้าห้าสิบปีนี้แล้ว ไม่เห็นใครเลยที่จะครองราชสมบัติรักษาแผ่นดินต่อไปได้ เห็นแต่ชิวเอีย บุตรผู้ใหญ่ของโปยอ๋องคนหนึ่ง ควรจะรักษาแผ่นดินต่อไปได้ ด้วยพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้มิได้ทราบว่า ชิวเอียเป็นบุตรของพระองค์ จึงรับสั่งให้หาชิวเอียกับนางเต็กเชยกิมเข้ามา แล้วตั้งให้ชิวเอียเป็นที่เกียเอีย ฮองไทจือ ตั้งเตียเปีย บุตรโปยอ๋อง เป็นที่โลฮวยอ๋อง ตั้งนางเต็กเชยกิมเป็นที่เต็กไทเฮา ราชมารดา แล้วให้ทำการสมโภชต่าง ๆ แล้วโปรดให้ปล่อยคนโทษในคุกเสียสิ้น ครั้นถึงปีจอ เดือนสิบสอง พระเจ้าแผ่นดินทรงพระประชวรหนัก ก็สวรรคตที่พระตำหนักเตียเกงเต๋ย ขุนนางเจ้าพนักงานก็จัดหีบไม้หอมมาใส่พระศพ มีการฉลองต่าง ๆ เสร็จแล้วก็เชิญไปฝังตามยศอย่างกษัตริย์ เมื่อพระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้สวรรคตนั้น พระชนม์ได้ห้าสิบปี อยู่ในพระราชสมบัติยี่สิบห้าปี
ขุนนางทั้งปวงจึงยกเกียเอีย ฮองไทจือ ขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนาม พระเจ้าซ่องยินจงฮ่องเต้ ตั้งนางเต็กเชยกิมเป็นเต็กไทเฮา ตั้งนางเล่าฮองเฮาเป็นฮองไทเฮา ตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยครบตามตำแหน่ง
ฝ่ายเตียวหงวนเฮา เจ้าเมืองไซหยง แจ้งว่า พระเจ้าซ่องจีนจงฮ่องเต้สวรรคตแล้ว ขุนนางทั้งปวงยกเกียเอีย ฮองไทจือ ขึ้นครองราชสมบัติ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า พระเจ้าซ่องยินจงฮ่องเต้ยังเป็นเด็กอ่อนความคิดอยู่ แล้วก็เพิ่งได้ราชสมบัติใหม่ ใจขุนนางและราษฎรยังไม่เรียบร้อย ถ้าเรายกกองทัพจู่ไปโจมตี เห็นจะได้โดยง่าย ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย เตียหงวนเฮาจึงตั้งให้จันเทียนอ๋องเป็นแม่ทัพ ให้เหมงเอียเซียเป็นปลัดทัพ คุมทหารสิบหมื่น ได้ฤกษ์ก็ยกออกจากเมืองไซหยงตรงไปเมืองซุยเต็กฮู ตีได้หัวเมืองรายทาง คือ เมืองฮองเสียง เมืองเพงเหลียง เมืองเอียงอาน แล้วยกไปตั้งอยู่หน้าเมืองซุยเต็กฮู
ฝ่ายเอียจงเปา เจ้าเมืองซุยเต็กฮู แจ้งว่า กองทัพเมืองไซหยงยกมาตีได้หัวเมืองรายทางหลายตำบล บัดนี้ มาตั้งอยู่หน้าเมือง ก็คุมทหารออกไปรบกับกองทัพเมืองไซหยง ก็หาได้ชัยชนะแก่ข้าศึกไม่ จึงมีหนังสือบอกให้ม้าใช้ถือไปเมืองเปียนเหลียง ม้าใช้รับหนังสือบอกแล้วก็คำนับลารีบขึ้นม้ามาถึงเมืองหลวง ก็ส่งหนังสือบอกให้เจ้าพนักงานนำขึ้นกราบทูลพระเจ้าซ่องยินจงฮ่องเต้ เจ้าพนักงานก็นำหนังสือบอกขึ้นกราบทูล ในหนังสือบอกมีความว่า เตียหงวนเฮาให้จันเทียนอ๋องเป็นแม่ทัพยกมาตีเมืองรายทางได้หลายตำบล บัดนี้ ยกมาตั้งอยู่หน้าเมืองซุยเต็กฮู ข้าพเจ้าได้คุมทหารออกไปต่อรบหลายครั้งแล้ว ก็หาได้ชัยชนะไม่ ขอพระราชทานกองทัพออกไปช่วย กับเสื้อเกราะสามสิบหมื่น ด้วยเทศกาลนี้ก็จวนฤดูหนาวแล้ว พระเจ้าซ่องยินจงฮ่องเต้ได้ทราบความตามในหนังสือบอก จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งเอียจงเปามีใบบอกขอกองทัพกับเสื้อเกราะเข้ามานี้ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด บุนงวนพักจึงกราบทูลว่า ซึ่งจันเทียนอ๋องมาตีเมืองซุยเต็กฮูนั้น ถ้าเมืองซุยเต็กฮูเสียแก่ข้าศึกแล้ว เมืองซำก๋วนกับเมืองซัวไซไหนจะตั้งอยู่ได้ ซึ่งเอียจงเปามีใบบอกเข้ามาขอกองทัพกับเสื้อเกราะนั้น ต้องให้ไป จึงจะชอบ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า เราจะให้ผู้ใดคุมทหารออกไปช่วยเอียจงเปาได้เล่า บุนงวนพักจึงกราบทูลว่า ทหารที่มีฝีมือได้แต่งออกไปรักษาเขตแดนก็หลายตำบล ทหารในเมืองหลวงก็น้อยตัวนัก อันข้าศึกยกมาครั้งนี้ซึ่งจะตีหักเอาเมืองซุยเต็กฮูโดยง่ายนั้นเห็นยังไม่ได้ ด้วยเอียจงเปามีฝีมือเข้มแข็ง คงจะรักษาเมืองไว้ การซึ่งจะให้ทหารไปช่วยเอียจงเปาครั้งนี้ ต้องให้ฝึกหัดและซ้อมเพลงอาวุธเสียก่อน จึงให้คุมเสื้อเกราะสามสิบหมื่นไปส่งเอียจงเปา
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังก็เห็นชอบด้วย จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้ชิงชิวเป็นนายกองซ้อมหัดทหารตามบุนงวนพักกราบทูล
ฝ่ายเฮงเซียนเล่าโจ๊แจ้งความว่า เตียหงวนเฮายกกองทัพเมืองไซหยงจะมาตีเมืองเปียนเหลียง จึงคิดว่า ครั้งนี้ ทหารที่มีฝีมือในเมืองหลวงก็มีน้อยตัวนัก เห็นจะต้านทานกองทัพข้าศึกไม่ได้ จึงว่ากับเต็งเซงว่า บัดนี้ เมืองเปียนเหลียงเกิดทัพศึกสำคัญเข้มแข็งนัก ทหารในเมืองเปียนเหลียงก็น้อยตัวนัก เจ้าก็ได้เรียนวิชาความรู้และเพลงอาวุธได้ถึงเจ็ดปี รู้ชำนิชำนาญแล้ว การครั้งนี้เราพิเคราะห์เห็นว่า เจ้าควรจะไปทำราชการอาสาแผ่นดิน เต็งเซงจึงว่า ซึ่งท่านได้สงเคราะห์ข้าพเจ้าให้พ้นจากความตายแล้ว ได้สั่งสอนวิชาและเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้ข้าพเจ้านั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าไปเมืองเปียนเหลียงนั้น ข้าพเจ้าก็จะไปตามคำท่าน แต่จะขอไปเยี่ยมญาติและมารดาเสียก่อน แล้วจึงจะไปเมืองหลวงต่อภายหลัง เฮงเซียนเล่าโจ๊จึงว่า เจ้าจงไปเมืองหลวงก่อนเถิด คงจะได้พบญาติอันสนิท เต็กเซงก็รับว่า จะไปตามคำอาจารย์ อาจารย์ก็ให้อีแปะไปพอเป็นเสบียงซื้อกินตามทาง เต็กเซงรับอีแปะที่อาจารย์แล้ว ก็คำนับลาอาจารย์ออกเดินตรงไปเมืองฮอหนำ เห็นโรงสุราแห่งหนึ่ง ก็แวะเข้าซื้อสุรากิน จึงพักอยู่ที่โรงขายสุรานั้นคืนหนึ่ง แล้วถามคนขายสุราว่า ทางจะไปเมืองเปียนเหลียงอีกสักกี่วันจะถึง คนขายสุราบอกว่า ทางอีกสี่ห้าวันจะถึง เต็กเซงก็ออกจากโรงขายสุรามาถึงแม่น้ำหัวเอี๋ยง ถึงสะพานก็เดินข้ามแม่น้ำไป พอถึงกลางสะพาน ถุงอีแปะก็ตกลงในน้ำ เต็งเซงเสียใจนัก แลดูสายน้ำก็ไหลเชี่ยว จะลงดำก็ลึกเหลือกำลัง ก็หยุดนั่งกอดเข่าเป็นทุกข์อยู่ริมฝั่งน้ำ จึงคิดว่า อีแปะเล่าก็ตกน้ำเสียสิ้นแล้ว แต่นี้ไปจะได้อีแปะที่ไหนมาซื้อกินเล่า จะไปพึ่งผู้ใดก็หารู้จักไม่ ยิ่งคิดไปก็เสียใจนัก แลดูสายน้ำก็ไหลเชี่ยว จึงคิดว่า ครั้งก่อนก็เจียนจะตายเสียด้วยน้ำ มาครั้งนี้ถุงอีแปะก็พลัดตกน้ำ ตัวเราเห็นจะตายด้วยน้ำเป็นมั่นคง เราจะอยู่ไปไย โจนน้ำตายเสียดีกว่า จึงแหงนหน้าขึ้นบนอากาศคำนับเทพยดาและไหว้บิดามารดาว่า ข้าพเจ้าจะขอลาตายแล้ว