บ้วนฮ่วยเหลา/เล่ม ๑/ตอน ๕
หน้า ๔๐–๔๕ สารบัญ
ฝ่ายคนทั้งหลายซึ่งเดินไปมาเห็นเต็กเซงทำอาการดังนั้นก็สำคัญว่าเป็นคนเสียจริต ขณะนั้น มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินมาเห็นเต็กเซงทำอาการดังนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ พิเคราะห์ดูรูปร่างลักษณะเป็นคนมีตระกูล จึงถามว่า เจ้ามาแต่ไหน เหตุใดมาทำอาการดังนี้ เต็กเซงก็เล่าให้ผู้เฒ่าฟังตั้งแต่มาจากเฮงเซียนเล่าโจ๊จนถุงอีแปะตกน้ำ แล้วว่า ข้าพเจ้ามานี้ก็ปรารถนาจะใคร่พบญาติ มามีเหตุดังนี้ก็คิดว่า จะตายเสียดีกว่า ผู้เฒ่าจึงว่า ตัวเจ้าก็ยังเป็นหนุ่ม อายุยังน้อยนัก ซึ่งจะคิดใจสั้นดังนี้ไม่ควร จงไปที่วัดเซงก๊กยี่เถิด ด้วยที่วัดนั้นแต่ครั้งแผ่นดินเลียดก๊ก จิวซัว ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เป็นคนซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน มีความเมตตาแก่ราษฎร ราษฎรรักใคร่นับถือมาก ได้เรี่ยไรเงินสร้างวัดเขียนชื่อ จิวซัน ไว้บูชา ศักดิ์สิทธิ์นัก เจ้าจงไปทอดไม้เสี่ยงทางดูเถิด จะรู้ว่าร้ายดี เต็กเซงได้ฟังก็เห็นชอบด้วย ก็คำนับลาผู้เฒ่า ไปถึงวัดแล้วก็ทอดไม้เสี่ยงทายดู เห็นอักษรที่ไม้ติ้วเป็นคำโคลงว่า มีไม้ต้นหนึ่งเป็นไม้เก่าแก่ ไม่มีดอกใบมาช้านาน บัดนี้ มีกิ่งอ่อนแตกมา ข้อหนึ่งว่า ดวงพระจันทร์กลมแกล้วก็แหว่ง แหว่งแล้วก็กลม เป็นเช่นนี้เสมอมิได้ขาด จงพิสูจน์ดูเถิด เต็งเซงไม่เข้าใจ จึงถามหลวงจีนว่า ข้าพเจ้าทอดไม้เสี่ยงทางเป็นคำโคลงดังนี้จะดีร้ายประการใด ท่านจงแปลให้ข้าพเจ้าทราบสักหน่อยเถิด
หลวงจีนก็แปลคำโคลงว่า ข้อที่ไม้แก่ไม่มีดอกมาช้านาน บัดนี้ มีกิ่งก้านออกมานั้น คือ ได้แก่ท่านไม่ได้พบปะญาติช้านาน บัดนี้ จะได้พบกัน ข้อสองว่า พระจันทร์กลมแล้วกลับแหว่าง แหว่งแล้วกลับกลมนั้น จะได้แก่ท่าน ท่านจะได้พบญาติก็ต่อเมื่อเดือนหน้ากลางเดือน เต็กเซงก็มีความยินดี จะคำนับลาหลวงจีนไป หลวงจีนจึงเรียกเอาเงินค่าแปลคำโคลง เต็งเซงจึงว่า ข้าพเจ้าไม่มีเงินติดตัวมาเลย ขอผัดไปเวลาอื่นเถิด จึงจะเอามาให้ท่าน หลวงจีนจึงว่า มิใช่การค้าขาย จะได้ติดค้างกันได้ ถ้าไม่ได้เงิน เราก็ไม่ให้ไป ถ้าขืนจะไปให้ได้ จงเอาเสื้อกางเกงไว้เป็นจำนำ เต็กเซงได้ฟังดังนั้นก็โกรธนัก ต่างก็ทุ่มเถียงกันไปมาจนเกิดวิวาทกันขึ้น หลวงจีนทานกำลังเต็งเซงไม่ได้ เต็งเซงก็กดคอหลวงจีนลงไว้ ยังมีนายโจรสองคนชื่อ เตียตง คนหนึ่ง หลีหงี คงหนึ่ง เที่ยวตีชิงลูกค้าและคนเดินทางไปมา เก็บของได้เอาไปจำหน่ายที่เมืองเปียนเหลียง แล้วกลับมาถึงวัดเซงก๊กยี่ ก็พากันเข้าไปในวัดจะไหว้พระ พอแลเห็นหลวงจีนกับชายหนุ่มผู้หนึ่งปล้ำกันอยู่ จึงถามชายหนุ่มว่า เหตุใดท่านจึงกดคอหลวงจีนไว้ดังนี้ เต็งเซงจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามาทอดไม้เสี่ยงทาย ไม้เสี่ยงทายมีคำโคลง ข้าพเจ้าจึงให้หลวงจีนแปลให้ข้าพเจ้าฟัง หลวงจีนแปลแล้วก็เอาค่าแปลกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้เอาเงินมา จึงขอผัดว่า วันอื่นจึงจะเอามาให้ หลวงจีนไม่ยอม ยื้อเอาเสื้อกางเกงข้าพเจ้าไว้ ฉุดคร่ากันไปมา จึงได้วิวาททุบตีกัน เตียตง หลีหงี ก็หัวเราะ ติเตียนหลวงจีนว่า ท่านอยู่ในศีลสัตย์ ต้องมีอัชฌาสัยจึงควร เขาขอผัดไว้ ต้องให้ไปโดยดี ไม่ควรจะยื้อแย่งเขาให้เกิดการวิวาททุบตีกัน ทำเช่นนี้หาดีไม่ หลวงจีนก็มิได้ตอบประการใด เตียตง หลีหงี จึงพูดกับเต็กเซงว่า จงวางหลวงจีนเสียเถิด เงินค่าแปลคำโคลงนั้นข้าพเจ้าจะใช้ให้หลวงจีนเอง
เต็งเซงได้ฟังดังนั้นก็ปล่อยหลวงจีนเสีย เตียตง หลีหงี ก็เอาเงินให้หลวงจีนห้าตำลึง เต็งเซงเห็นดังนั้นจึงถามว่า ท่านทั้งสองแซ่ไร ชื่อไร อยู่บ้านเมืองไหน ขอให้ข้าพเจ้าทราบด้วย เตียตงบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองยูซือกุ้ย แซ่ เตีย ชื่อ ตง เต็งเซงจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงท่านปรากฏมาช้านานแล้วว่า เป็นคนซื่อตรง แต่ยังไม่ได้พบสนทนากับท่าน ท่านคนนั้นเป็นพี่น้องของท่านหรือ เตียตงจึงบอกว่า เป็นชาวเมืองซุนเทียนฮู แซ่ หลี ชื่อ หงี ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ต่างแซ่ต่างเมืองก็จริง แต่ได้สาบานเป็นพี่น้องกัน แล้วเตียตงก็พิเคราะห์ดูลักษณะเต็กเซง เห็นเป็นคนมีตระกูล จึงถามว่า ท่านเป็นชาวเมืองไหน แซ่ใด ชื่อไร ขอแจ้งความให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง เต็กเซงจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองไซหอ แซ่ เต็ก ชื่อ เซง เตียจงจึงถามว่า ที่เมืองไซหอมีขุนนางคนหนึ่งชื่อ เต็กก๊วง เป็นคนมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ประกอบด้วยความเมตตาราษฎร ราษฎรชาวเมืองพากันสรรเสริญมิได้ขาด เต็กก๊วงนั้นวงศ์ญาติของท่านด้วยหรือไม่ เต็กเซงก็บอกว่า เต็กก๊วงนั้นคือบิดาข้าพเจ้า เตียตง หลีหงี ได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วจึงแจ้งว่า ข้าพเจ้าทั้งสองหารู้จักท่านไม่ ขอเชิญท่านไปบ้านข้าพเจ้าเถิด จะได้สนทนากันตามสบาย เต็กเซงก็ยอมไปด้วยเตียตง หลีหงี เตียตง หลีหงี เดินมากับเต็กเซงถึงหน้าบ้านจิวเซงซึ่งเป็นคนเคยรับซื้อของเตียตง หลีหงี เตียตง หลีหงี ก็เชิญเต็กเซงเข้าไปในบ้านจิวเซง เชิญนั่งที่สมควร แล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าทั้งสองอยากหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ แล้วก็อยากคบคนที่มีฝีมือเข้มแข็ง ข้าพเจ้าได้พบท่านวันนี้มีความยินดีนัก ซึ่งท่านจะไปเมืองหลวงนั้นมีกิจธุระข้อใด เต็กเซงเล่าตั้งแต่น้ำท่วมตำบลเซียวเอียงตี๋ จนเฮงเซียนเล่าโจ๊ช่วยชีวิตไว้ และได้เรียนพิชัยสงคราม และหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้ บัดนี้ จะไปเมืองหลวง ปรารถนาจะสืบหาวงศ์ญาติ จึงได้มาพบท่าน เตียตง หลีหงี ได้ฟังก็มีความยินดีเป็นอันมาก จึงว่า ท่านมีความรู้และฝีมือเข้มแข็ง ข้าพเจ้าทั้งสองอยากจะสาบานเป็นพี่น้องกับท่าน ท่านจะยอมหรือไม่ เต็กเซงจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนอนาถาไร้ญาติ เมื่อเวลาวานนี้ ท่านได้สงเคราะห์ข้าพเจ้า มีบุญคุณอยู่กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก บัดนี้ จะมาสาบานเป็นพี่น้องกับข้าพเจ้านั้น เห็นเหลือเกินนัก เตียตง หลีหงี จึงว่า ท่านเป็นถึงบุตรขุนนาง ไม่ควรที่จะพูดจาถ่อมตัวเลย เต็กเซงจึงว่า เมื่อไม่รังเกียจว่ายากจนแล้วก็ตามใจเถิด เตียตง หลีหงี จัดของคำนับเทพยดา เสร็จแล้วทั้งสามนายก็ออกวาจาสาบานว่า ข้าพเจ้าทั้งสามคนขอสาบานเป็นพี่น้องกันสืบไปเมื่อหน้า ผู้ใดมีทุกข์สุขก็ไม่ทิ้งกัน ขอเทพยดาจงเป็นทิพยพยานแก่ข้าพเจ้าทั้งสามเถิด ครั้นสาบานแล้วก็ให้เต็งเซงเป็นพี่ใหญ่ เตียตงเป็นพี่ที่สอง หลีหงีเป็นน้องที่สาม แล้วจัดโต๊ะเลี้ยงกันตามสมควร เตียตงจึงสั่งจิวเซงว่า ถ้าเต็กเซงจะต้องการข้าวของเงินทองเท่าใด อย่าให้ขัดขืน ตั้งแต่นั้นมา เต็กเซงก็ค่อยมีความสุข พำนักอยู่ที่บ้านจิวเซง