ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 จุลศักราช 1166 พิมพ์ตามฉะบับหลวงตรา 3 ดวง/เล่ม 1/ส่วนที่ 2
- นตฺวา พุทฺธํ โลกาทิจฺจํ ธมฺมญฺจาทิจฺจมณฺฑลํ
- จกฺขุมาปุริสํ สํฆนฺตรายํ เตน ฆาฏยึ
- วิฆาติตนฺตรายสฺส โสตฺถิ เม โหตุ สพฺพทา
- ยญฺ จ โลกหิตํ สตฺถํ ธมฺมสตฺถนฺ ติ ปากฏํ
- ภาสิตํ มนุสาเรน มูลภาสาย อาทิโต
- ปรมฺปราภตํ ทานิ รามญฺเญสุ ปติฏฺฐิตํ
- รามญฺญสฺส จ ภาสาย ทุคฺคาฬฺหํ ปุริเสนิห
- ตสฺมา ตํ สามภาสาย รจิสฺสนฺ ตํ สุณาถ เม ติ
อหํ อันว่าข้า นตฺวา ถวายนมัศการแล้ว พุทฺธํ ซึ่งสมเดจ์พระพุทธิเจ้าอันตรัสรู้พระอริยสัจ ๔ โลกาทิจฺจํ อันยังโลกยทังสามให้สว่างดูจดวงพระอาทิตยอันส่องโลกย ธมฺมํจ ซึ่งพระโลกุดรธรรม ๙ ปรการ ๑๐ กับพระบริยัติก็ดี อาทิจฺจมณฺฑลํ อันมีบริมณทลแห่งพระคุณปรดูจบริมณทลแห่งพระอาทิตย สํฆญฺจ ซึ่งพระอัษฎาริยสงฆแลสมมุติสงฆก็ดี จกฺขุมาปุริสํ อันเปนอาริยสัปรุษยผู้มีญาณจักษุ วิฆาฏยึ ขจัดแล้ว อนฺตรายํ ซึ่งอันตราย เตน รตนตฺตยปฺปณามานุภาเวน ด้วยอานุภาพแห่งประนามซึ่งพระรัตนไตรนั้น โสตฺถิ อันความศิริสวัสดิ โหตุ จงมี เม แก่เรา วิฆาติตนฺตรายสฺส อันมีอันตรายอันปรนามพระรัตนไตรขจัดแล้ว สพฺพทา ในกาลทังปวง ยญฺจ สตฺถํ อันว่าคำภีรอันใด โลกหิตํ เปนปรโยชนแก่สัตวโลกย ปากฏํ ปรากฎิ ธมฺมสตฺถํ อิติ ชื่อว่าคำภีรพระธรรมสาตร มนุสาเรน อันพระมโนสารฤๅษี ภาสิตํ กล่าว อาทิโต ในต้น มูลภาสาย ด้วยมคธภาษา ปรมฺปราภตํ อันปรำปราจารยนำสืบกันมา ปติฏฺฐิตํ ตั้งอยู่ รามญฺเญสุ ในรามัญปรเทษ ภาสาย ด้วยภาษา รามญฺญสฺส จ แห่งรามัญก็ดี อิทานิ ในกาลบัดนี้ ปุริเสน อันบุรุษผู้เปนวินิจฉัยอำมาตย ทุคฺคาฬฺหํ จะยังรู้เปนอันยาก อิห สามเทเส ในสยามปรเทษนี้ ตสฺมา เหดุดั่งนั้น อหํ อันว่าข้า รจิสฺสํ จักตกแต่ง ตํธมฺมสตฺถํ ซึ่งคำภีร์พระธรรมสาตรนั้น สามภาสาย ด้วยสยามภาษา ตุมฺเห อันว่าท่านทังหลาย สุณาถ จงฟัง ตํ สตฺถํ ซึ่งคำภีร์พระธรรมสาตรนั้น สนฺติกา แต่สำนักนิ เม แห่งเรา
ตตฺรายมนุปุพพิกถา อยํ อนุปุพฺพิกถา อันว่ากล่าวแต่ต้นให้เปนลำดับไปนี้ ปณฺฑิเตน อันนักปราช
ผู้วินิจฉัยคดี เวทิตพฺพา พึงรู้ ตตฺร ธมฺมสตฺเถ ในคำภีร์พระธรรมสาตรนั้น อิติ ด้วยปรการอันกล่าวไปนี้
กิร ดั่งจได้ฟังมา ในปถมกัลปแรกตั้งแผ่นดินนั้น มีกำแพงจักรวาฬ แลเฃาพระสุเมรุราช แลสัตะปะริภัณทะบรรพตทัง ๗ ทวีปใหญ่ ๔ ทวีปน้อย ๒๐๐๐ มหาสมุท ๔ แลไม้ใหญ่ประจำที่ทัง ๗ คือ ศิริศะพฤกษอันประจำในบุพวิเท่หะ แลไม้กระทุ่มประจำในอะมระโคญานะ แลไม้กรรมพฤกษประจำทวีปอุดรกาโร แลไม้หว้าประจำชมภูทวีป แลไม้แคฝอยประจำในอสูระพิภพ แลไม้งิ้วประจำทวีปสุบรรณราชพิภพ แลไม้ปาริกะชาติอยู่ในดาวดิงษาสวรรค แลในปถมกัลปเกีดกอบัวมีดอกห้า บอกสัญานิมิตรอันจะอุบัติแห่งสมเดจ์พระพุทธิเจ้าทังห้าพระองคอันจได้ตรัสในพัทกัลปนิ้ แลพรหมทังปวงหอมอายดินลงมากินพะสุธารศ ครั้นนานมาทิพยระสาหารก็อันตระธานถอยรศ รูปทิพยที่ปรากฎิก็เสี่อมลง ๆ มิได้คงโดยเพศวิไสยพรหม ครั้นนานมาก็บริโภคชาติษาลีเปนอาหาร สรรพะอันตระธานเสี่อมสิ้น ศักดาเดชเพศพรหมก็หาย กลายเปนเพศบุรุษเพศษัตรี บังเกีดมีฉรรทราค ส้องเสพยอัศธรรม เกีดบุตรนัดดาสืบสืบกันมา แล้วจึ่งตั้งเปนคามเขตเคหา ในที่สานุทิศประเทศต่างต่าง
ครั้งนั้นสมเดจ์พระบรมโพธิสัตวเจ้าได้มาบังเกีดเปนพระมหาบุรุษในต้นพัทกัลป ครั้นอยู่มาก็เกีดวิวาทแก่กัน หาผู้ใดจบังคับบัญชามิได้ ฝูงชนทังหลายมาสะโมสรประชุมพร้อมกัน จึ่งตั้งสมเดจ์พระมหาบุรุษราชเจ้าขึ้นเปนอธิบดีมีพระนามกรชื่อว่าพระเจ้ามหาสมมุติราช กอบไปด้วยสัตะพิธรัตน ๗ ปรการได้ผ่านทวีปทัง ๔
แลอยู่มาเกีดพระราชกุมาร ๔ พระอง แลเชษฐโอรสนั้นได้เสวยราชสมบัติในชมภูทวีป แลพระราชกุมารองคหนึ่งเสวยราชสมบัติในอุดรกาโร แลพระราชกุมารองคหนึ่งได้เสวยราชสมบัติในอมรโคญาณ แลพระราชกุมารองคหนึ่งนั้นเสวยราชสมบัติในบุพวิเท่หะ แลพระราชกุมารทัง ๔ พระองคก็ย่อมเหาะมาเฝ้าพระราชบิดาทุก ๆ วัน
ครั้นนานมาพระราชบิดานั้นชิวงคต แลพระราชกุมารทัง ๔ พระองคก็ต่างองคต่างอยู่ ย่อมมีไม้ตรีจิตไปมาหากัน ครั้นนานมา ๆ ต่างองคต่างนานไปมา ทางพระราชไม้ตรีสำพันทญาติก็ค่อยขาดสูญไปตราบเท้าทุกวันนิ้
แลพระเชษฐาธิราชผู้เสวยราชสมบัติในชมภูทวีปนั้น ก็มีพระราชกุมารสิบพระองค แลในชมภูวีป[วซ 1] แบ่งเปนสิบเอ็ดส่วน ๆ หนึ่งพระองคอยู่ สิบส่วนนั้นให้พระราชโอรสอยู่องคลส่วน พระราชกุมารผู้ใหญ่นั้นเปนมหาอุปราช อยู่จำเนียรนานมาพระราชบิดาถึงชิวงคต พญาอุปราชก็ได้เสวยราชสมบัติแทนพระบิดานั้น แลพระราชกุมารทัง ๑๐ พระองคก็ไปมาหากันเป็นนิจ ครั้นนานมาพระราชกุมารทังปวงมิได้ไปมาหากัน ต่างองคต่างอยู่ แลอยู่มาพระนัดดาพญามหาสมมุติราชทัง ๑๐ พระองค มีพระราชกุมารองคละสิบพระองคเล่า แลเชษฐกุมารนั้นตั้งเปนอุปราช แลกุมารอันดัพนั้นก็แต่งให้เสวยราชในประเทศต่าง ๆ กัน ครั้นนานมาพระราชบิดาถึงชิวงคต แลพญาอุปราชได้มุรธาภิเศกเอกะราชสมบัติแทนพระราชบิดา ก็ยังไปมาหากันเปนนิจ แลพระมหากระษัตรทังร้อยเอ็ดพระองคนั้นเปนสำพันทญาติราชสุริวงษเดียวกัน ครั้นนานมาต่างองคต่างทรงพระชะราภาพ จะไปมาหากันนั้นมิได้ ต่างองคต่างใช้[วซ 2] ให้แต่มหาอำมาตไปมาจำทูลทางพระราชไม้ตรีสำพันทญาติ แลอำมาตผู้ใหญ่เคยใช้ไปมานั้นก็ถึงกาลทุพลภาพ เจ็ดวันจึ่งไปมาทีหนึ่ง ครั้นอยู่นานมาต่อปีหนึ่งจึ่งไปหนหนึ่ง ตราบเท้าจนไปมาหากันมิได้ จึ่งพระราชบุตรแลพระราชนัดดาอันสืบมานั้นก็มิรู้ว่าเปนพระบวรญาติร่วมราชสุริวงษเดียวกัน ต่างองคต่างอยู่ในประเทศ[วซ 3] นั้น ๆ อะหนึ่งเครี่องศิริราชราชูประโภคก็ต่างกัน วิไสยเพศภาษาก็ต่างกันทังร้อยเอ็ดพระองค จึ่งเปนร้อยเอ็ดภาษาตราบเท้าทุกวันนี้
เมี่อแรกตั้งมหาสมมุติราชสุริวงษนั้น อายุศม์แห่งมนุษได้อะสงไขยหนึ่ง
ครั้งนั้นท้าวมหาพรหมองคหนึ่งชื่อว่าพรหมเทวะจุติจากพรหมโลกย์[2] แล้วลงมาปะฎิสนธิ[วซ 4] กำเนีดในตระกูลมหาอำมาตยซึ่งเปนข้าบาทสมเดจ์พระเจ้ามหาสมมุติราช ครั้นวัฒนาอายุศมสิบห้าปี ก็ได้ที่แทนบิดา นานาเหนสัตวทั้งหลายได้ความทุกขยากลำบากด้วยวิวาทกัน บังเกีดความฉิบหายต่าง ๆ มีปราถนาจะให้สมเดจ์พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมอันประเสรีฐ จึ่งถวายบังคมลาออกไปบวดเปนฤๅษีอยู่หิมวันตประเทศใกล้บรรพตรคูหา จำเรีญเมดตาภาวนาได้อะภิญา ๕ อรรฐสมาบัติ ๘ บริโภคผลพฤกษาเปนอาหาร มีบริวารคือเทพกินรกินรีคนธรรพสุบรรณปักษีวาสุกรีนาคามาบำเรอหพระดาบศด้วยทิพยดุริยสังคีตเปนนิจกาล อยู่มาวันหนึ่งบังเกีดลมพยุะห่าฝนใหญ่ตกลงมา แลเทวบุตรเทวธิดากินรากินรีทังหลายต่างคนปลาศนาการหนีไปสิ้น แต่นางเทพคนธัพกินรีคนหนึ่งเข้ามาใกล้ยังสำนักนิแห่งพรหมเทวะฤๅษีนั้น พระพรหมเทวะฤๅษีมีใจรักใคร่ในนางกินรเทพคนธัพนั้นจนมีครรภได้บุตรคนหนึ่งประกอบด้วยรูปโฉมโนมพรรณอันงาม นามกรชื่อภัทธะระกุมาร ครั้นนานมานางกินรเทพคนธัพนั้นมีครรภบุตรคนหนึ่งอีกเล่า นามกรชื่อว่าเจ้ามโนสารกุมาร บุตรทังสองนั้นย่อมปรกอบด้วยสติปัญา บิดามานดาว่ากล่าวสั่งสอนให้บวดเปนฤๅษี ก็บวดเจรีญฌานได้อะภิญา ๕ อรรฐสมาบัติทั้ง ๘ ประฎิบัดิ[วซ 5] บิดามานดามาตราบเท้าจนบิดามานดาทังสองกระทำกาลกิริยาตาย
ครั้นอยู่มาเพลาวันหนึ่งพระภัทธะระดาบศนั้นก็เหาะไปยังขอบจักรวาฬ ไปเขียนเอาอักษรอันเปนเภทางคประกรแลอาคมเวททังปวงได้แล้ว กลับมาภานะโสารดาบศผู้น้องชายไปยังสำนักนิสมเดจ์พระเจ้ามหาสมมุติราช ถวายคำภีร์เภทางคปรกรแลอาคมเวทนั้นไว้ ส่วนตัวภัทธะระดาบศก็ละเภทฤๅษีออกเปนราชปโรหิตสั่งสอนสมเดจ์พระเจ้ามหาสมมุติราช ฝ่ายมโนสาระดาบศก็ตาม[3] พี่ชายออกทำราชการด้วย จึ่งสมเดจ์พระเจ้ามหาสมมุติราชตั้งมโนสารนั้นให้เปนใหญ่ในที่บังคับบัญชากิจคดีมนุษทังปวง แลมโนสารอำมาตยบังคับเนื้อความทังปวงโดยยุติธรรม แลเทวดาทังหลายก็ปรายสุวรรณรัชฎะ[วซ 6] เข้าตอกดอกไม้เปนเครี่องสการบูชาแก่มะโนสารอำมาตยนั้น
ครั้นอยู่มาบุรุษสองคนกระทำไร่แตงใกล้กัน เมื่อปลูกแตงนั้นเอาดินภูลเปนถนนกลาง แตงก็เลิ้อยพาศผ่านข้ามถนนเข้าติดเนี่องเปนอันเดียวกัน เมี่อเปนผลนั้น บุรุษทังสองต่างคนต่างเกบแตง จึ่งเกีดวิวาทวาทา ภากันมายังมะโนสาระอำมาตยให้บังคับคดีนั้น มะโนสาระอำมาตยจึ่งบังคับว่า ไร่แตงมีถนนกลาง แลแตงอยู่ในไร่ของผู้ใดก็เปนของผู้นั้น มะโนสารอำมาตยบังคับคดีไม่เปนธรรม์ บุรุษผู้หนึ่งมิเตมใจจึ่งเอาคดีไปกราบทูลแก่พญาสมมุติราช ๆ จึ่งใช้อำมาตยผู้หนึ่งไปพิจารณาต้นแตงอันข้ามถนนนั้น จึ่งอำมาตยผู้นั้นเลีกต้นแตงขึ้นดูไปตามปลายยอด จึ่งกลับเอายอดมาไว้ตามต้น บุรุษทังสองก็สรรเสรีญสมเดจ์พระเจ้ามหาสมมุติราชว่า พระองคบังคับบัญชาเปนธรรมแล แลมนุษทังหลายติฉินนินทามะโนสารอำมาตยว่า ถึงแก่อะคติ ๔ ปรการ บังคับคดีมิเปนธรรม เทวดาจึ่งไม่สการบูชาดั่งแต่ก่อนนั้น ด้วยมะโนสารอำมาตยกอบปรด้วยอกุศลจิตร มโนสารอำมาตยจึ่งดำหริว่า เรานี้มีสันดานกอบปรด้วยโมหาคติ ครั้นรำพึงดั่งนั้นก็สังเวศสหลดจิตรคิดอับประหยดอดสูแก่หมู่มนุษทังหลาย แล้วหนีออกไปบวดเปนฤๅษีจำเรีญภาวนา ก็ได้อภิญา ๕ อรรฐสมาบด[วซ 7] ๘ รู้วารจิตรแห่งมนุษทังปวง เหดุดั่งนั้นมนุษทังปวงก็ยินดีด้วยมะโนสารฤๅษี ๆ มีความวิตกที[วซ 8] จะให้พระมหากระษัตรเจ้ากอบปรด้วยทศพิธราชธรรม ๑๐ ปรการ จึ่งเหาะไปยังกำแพงจักรวาฬ เหนบาฬีคำภีร์พระธรรมสาตรอันคำภีรภาพเปนลายลักษรอักษรปรากฎิอยู่ในกำแพงจักรวาฬมีปะริมณฑลที่เท่ากายคชสาร มะโนสารฤๅษีจึ่งกำหนดบาฬีนั้นแม่นยำจำได้แล้วกลับมาแต่งเปนคำภีรพระธรรมสาตร
เหตุดั่งนั้นคำภีรพระธรรมสาตรนี้เปนสมุหบดีธรรมชื่อมโนสาร ๆ ฤๅษีสั่งสอนพระเจ้ามหาสมมุติราช ๆ ก็ตั้งอยู่ในราชธรรม ๑๐ ปรการ ทรงเบญจางคิกะศีลเปนปรกติศีล แลอัษะฎางคิกะศีลเปนอุโบสถศีล เมดตากรุณาแก่สัตวทังปวง แล้วทรงพระอุสาหะมะนะสิการะซึ่งคำภีร์พระธรรมสาตรเปนนิจกาล ทรงประพฤธิธรรม ๔ ปรการ คือพิจารณาซึ่งความชอบความผิดแห่งผู้กระทำให้เปนประโยชน์แลมิได้เปนประโยชน์แก่พระองค ๑ ทะนุกบำรุงซึ่งบุทคลผู้มีศีลสัจ ๑ ปรมูลมาซึ่งพระราชทรัพยโดยยุติธรรม ๑ รักษาพระนครราชเสมาให้ศุขเกษมโดยยุติธรรม ๑ เปน ๔ ประการ แลตั้งอยู่ในราชกิจประเพนีมิได้ฃาด คือเวลาสันทโยบาททรงฟังสังคีตดุริยดนตรี แล้วทรงฟังนิด[วซ 9] นิยายบูราณราชประเพนีในประถมยาม ครั้นมัชฌิมยามทรงฟังยุติธรรมประเพณี ครั้นปัจฉิมยามเสดจ์เข้าที่พระกรลาบันทมบรมศุขไสยาศน์โดยควรแก่เวลา ครั้นตื่นจากที่พระบันทมชำระพระทนต์ บ่ายพระภักตรไปโดยบูรรพทิศ มิให้ดำหรัดตรัสพระราชบริหารด้วยประการใด ๆ อะหนึ่งไม้ศรีพระทนต์นั้นยาวประมาณสิบสององคุลี แลเอาไม้พรรณอันมีหนามอันมียาง ครั้นชำระพระทนต์เสรจ์แล้ว ให้เอาไม้ศรีพระทนต์นั้นไปไว้ยังภูมสถานอันเปนที่บริสุทธิ
อะหนึ่งครั้นสรงพระภักตรแล้ว เสดจ์เข้าที่นมัศการพระศรีรัตนไตรแลเทพยุดาผู้วิเสศแลพระบิดุเรศราชชนนีเสรจ์แล้ว ทรงเครี่องพระราชบิลันทนาลังการะวิภูสิต แย้มพระโอษฐตรัสบริหารสำราญราชหฤไทยแล้ว เสดจ์สถิตยยังพระราชอาศนอันประเสรีฐ ทอดพระเนตรบุทคล ๔ จำพวก คือแพทยแลโหราราชสุริวงษแลบัณฑิตยผู้มีปัญา ตรัสปราไสยด้วยตระกูลทัง ๔ โดยสมควรแล้ว เสดจ์ยังสาระพินิจฉัยพร้อมด้วยหมู่มุกขมนตรีกระวีราชปโรหิตาโหราจารยผู้อยู่ในศีลสัจ ดำรงพระไทยฟังอรรฐคดีซึ่งกระลาการพิจารณาโดยยุติธรรมนั้นเปนแว่นแก้ว แล้วเอาคำภีรพระธรรมสาตรเปนพระเนตร ดูเทศกาลบ้านเมีองโดยสมควรแล้ว จึ่งเอาพระกรเบี้องขวา คือพระสะติสัมปะชัญะ ทรงพระขรรคแก้ว คือพระวิจารณะปัญา วินิจฉัยตัดข้อคดีอนาประชาราษฎรทังปวงโดยยุติธรรม
กล่าวพระราชพงษาวดารสมเดจ์พระเจ้ามหาสมมุติราชแลอุบัติเหดุแห่งคำภีร์พระธรรมสาตรโดยสังเขปก็ยุติแต่เท่านี้
แต่นิ้จักกล่าวลักษณผู้จะเปนกระลาการโดยบาฬีคำภีรพระธรรมสาตรว่า
- ฉนฺทา โทสา ภยา โมหา โย ธมฺมํ อติวตฺตติ
- นิหิยต ตสฺส ยโส กาลปกฺเข ว จนฺทิมา
- ฉนฺทา โทสา ภยา โมหา โย ธมฺมํ นาติวตฺตติ
- อภิวฑฺฒติ ตสฺส ยโส สุกฺกปกฺเข ว จนฺทิมา ติ
แปลเนื้อความว่า โย ปุคฺคโล อันว่าบุทคลผู้ใดผู้เปนกระลาการ อติวตฺตติ ล่วงเสีย ธมฺมํ ซึ่งยุติธรรม ฉนฺทา โทสา ภยา โมหา ด้วยอะคติ ๔ ประการ คือรักษแลโกรธแลกลัวแลหลง แล้วพิจารณาความผิดจากพระธรรมสาตรแลลำเอียงเข้าด้วยฝ่าย โจท
จำเลย อันว่าเกีรยดิยศแลโภคศรีสวัศดิแห่งกระลาการนั้นก็จะถอยเสี่อมสูญไปประดูจพระจันทรในวันกาลปักข จถึงซึ่งเดีอดร้อนเปนอันมาก โย ปุคฺคโล อันว่าบุทคลผู้ใดผู้เปนกระลาการ นาติวตฺตติ บมิได้ล่วงเสีย ธมฺมํ ซึ่งยุติธรรมด้วยอะคติ ๔ ประการดั่งกล่าวแล้ว แลประกอบด้วยศีลสัจ แลพิจารณาข้อคดีแห่งราษฎรทังปวงถูกต้องตามพระธรรมสาตรกล่าวไว้นั้น อันว่าเกีรยดิยศแลโภคสิริสวัสดิมงคลแห่งกระลาการผู้นั้นก็จะจำเรีญขึ้นทุกวันดูจพระจันทรในวันศุขปักข
อธิบายว่า เมี่อคู่ความทังสองค่างมาถึงแล้ว อย่าให้พิจารณาบังคับบัญชาข้อคดีโดยริศหยาอาสัจ ให้มีเมดตาแก่คู่ความทังสองค่างด้วยจิตรอันเสมอ ให้เอาคดีนั้นเปนกิจทุระกังวนแห่งตน ถ้ากระลาการผู้ใดให้กำลังแก่คู่ความผู้เทจ์ กินสีนจ้าง มิได้บังคับบัญชาโดยพระธรรมสาตร อันว่ากระลาการผู้นั้น ครั้นกระทำกาลกิริยาตายแล้ว ก็จะไปไหม้อยู่ในอบายภูม ทนทุกขเวทนาอยู่จิรังกาล เปนเปรตมีเล็บมือใหญ่เท่าใบจอบ มีเปลวไฟลุกรุ่งเรีอง ควักเอารุธิระมังสะแห่งตนบริโภคเปนภักษาหาร ครั้นพ้นจากอบายภูมแล้วมาบังเกีดเปนมนุษ ปาปะกาวะเศสนั้นจตามสนอง มีองคไวยวะวิกลทุพลภาพมีปากเหมนเปนต้น นับด้วยชาติเปนอันมาก
สำแดงลักษณอะคติ ๔ ประการสำหรับกระลาการพิจารณาโดยสงเขปก็ยุติแต่เท่านี้
ทีนี้จักสำแดงเหดุแห่งกระลาการ ๒๔ ประการโดยพระบาฬีมีในพระธรรมสาตรดั่งนี้
- ติมูลโต ติถานโต ติอตฺถโต ตินาลสฺยโต
- ติทฬฺหโต ติอิสฺสโร ติธมฺมโต ติมคฺคโต
- จตุวีสติ เหตุโย มโนสาเรน กิตฺติตา
เหตุโย อันว่าเหดุแห่งกระลาการทังหลาย จตุวีสติ ๒๔ ประการ มโนสาเรน อันมโนสาราจารย กิตฺติตา สำแดงไว้ อิติ ดั่งนี้ ติถานโต คือถานะคดีมีสามประการ ติอตฺถโต คือเจรจาความมีสามประการ ตินาลสฺยโต คือมิใด้[วซ 10] เกียจ์คร้านในความมีสามประการ ติทฬฺฟโต คือให้มั่นในความมีสามประการ ติอิสฺสโร คือเปนอิศรภาพในความมีสามประการ ติธมฺมโต คือกล่าวความโดยธรรมมีสามประการ ติมฺคคโต คืออุบายแห่งคดีมีสามประการ เปนอรรฐติกะมาติกาครบเหดุ ๒๔ แห่งกระลาการดั่งนี้
แต่นี้จะตั้งบทภาชนีแจกตามอรรฐติกะมาติกาในบาฬีพระธรรมสาตรนั้น
ติมูลโต มูลคดีสามประการนั้น อฏฺฏมูโล คือคำร้องฟ้องแลคำให้การเปนมูลคดี ๑ อฏฺฏคาโห คือผู้รับคำร้องฟ้องแลให้การเปนมูลคดี ๑ สามิมูโล คือโจทจำเลยมิได้วิบัดิเปนมูลคดี ๑
ติถานโต ถานะคดีสามประการนั้น ทฺเว ปฏิสวา คือโจทจำเลยรับกันในสำนวนเปนถานะคดี ๑ ทฺเว อตฺตาวิโสธนา คือโจทจำเลยมิรับกันต่อสู้พิสูทเปนถานะคดี ๑ ทฺเว สกฺขูปเทสา คือโจทจำเลยมิรับกันแลอ้างผู้ฌานเปนถานะคดี ๑
ตินาลสฺยโต มิใด้[วซ 10] เกียจคร้านในความมีสามประการนั้น วิรุทฺธโจทนํ คือผู้พิภากษาผิดสำนวนเอาใจใส่ทักท้วง ๑ สตฺตาหพฺภนฺตรปุจฺฉนํ คือถามความในภายใน ๗ วัน ๑ อนาลสฺยคทตํ คือกระลาการเร่งพิจารณาว่ากล่าวให้เสรจ์ตามพระราชกำหนฎ ๑
ติทฬฺหโต ให้มั่นในความมีสามประการนั้น อกฺขรทฬฺโห คือมั่นในลิกขิตเขียนสำนวน ๑ พากฺขฺยาธาโร คือมะนะสิการะ ให้มั่นในถ้อยคำสำนวน ๑ พนฺธิทฬฺโห คือผูกถ้อยคำสำนวนแล้วรักษาไว้ให้มั่น ๑
ติอิสฺสโร เปนอิศรภาพในความมีสามประการนั้น อนุยุญฺชกิสฺสโร คือกระลาการตั้งตนให้เปนอิศรภาพ ๑ โจทจุทิตกิสฺสโร คือเอาตัว โจท
จำเลย เปนอิศรภาพในคดี ๑ เตสํวาทิสฺสโร คือให้ฟังเอาแต่ถ้อยคำสำนวน โจท
จำเลย เปนอิศรภาพในคดี ๑
ติธมฺมโต กล่าวความโดยธรรมมีสามประการ สจฺจธมฺมํ คือวินิจฉัยคดีโดยสัจตามพระธรรมสาตร ๑ อุชุธมฺมํ คือวินิจฉัยคดีโดยซื่อตามพระธรรมสาตร ๑ สมฺมจาริธมฺมํ คือวินิจฉัยคดีโดยอันเสมอตามพระธรรมสาตร ๑
ติมคฺคโต อุบายแห่งคดีมี ๓ ประการนั้น มหามคฺคคมนํ คือดำเนีรตามทางใหญ่ คืออุบายวินิจฉัย มิได้เหนแก่โลกามิศ ๑ สาตมธิคตธมฺมํ คือพิจารณาดูทางใหญ่ คือสึกษาตามคำภีรพระธรรมสาตรให้ชำนาญ ๑
อันว่าเหดุแห่งกระลาการ ๒๔ ก็ยุติโดยอรรฐติกะมาติกาดั่งพรรณนามานี้
ทีนี้จักวิสัชนาซึ่ง มูลคดี
สาขะคดี ตามคำภีรพระธรรมสาตร มีพระบาฬีดั่งนี้
- ตตฺถ อตฺถา ทฺวิธา วุตฺตา มูลสาขปฺปเภทโต
- มูลตฺถา ทฺวิธา วุตฺตา สาขตฺถา จ อเนกธา
อตฺถา อันว่าอรรฐตดีทังหลาย วุตฺตา อันมะโนสารจารย[วซ 11] กล่าว ตตฺถ คณฺเฐ ในคำภีรพระธรรมสาตรนั้น มูลสาขปฺปเภทโต กล่าวโดยประเภท[4] มูลอรรฐแลสาขอรรฐ มูลตฺถา อันว่ามูลคดี อาจริเยน อัน[5] มะโนสาราจารย วุตฺตา กล่าว ทฺวิธา ด้วยประการ ๒ สาขตฺถา อันว่าสาขคดี อาจริเยน อันมะโนสาราจารย วุตฺตา กล่าว อเนกธา ด้วยประการเปนอันมาก แลมูลคดี ๒ ประการนั้นมีบาฬีดั่งนี้
- อกฺขทสฺสา ทสญฺเจว วิวาทา เอกุณตึส
- ทุพฺพิธา ปิ จ มูลตฺถา อาจริเยน กิตฺติตา
แปลเนื้อความว่า มูลตฺถา อันว่ามูลคดีทังหลาย ทุพฺพิธา ปิ จ มีสองประการ อกฺขทสฺสา จ คือมูลคดีแห่งผู้พิภากษาแลกระลาการก็ดี ทส มี ๑๐ ประการ วิวาท จ คือมูลคดีแห่งบุทคลอันเกีดวิวาทกันก็ดี เอกุณตึส มี ๒๙ ประการ อาจริเยน อันมะโนสาราจารย กิตฺติตา สำแดงไว้ อิติ ด้วยประการดั่งนี้
แลมูลคดีแห่งผู้พิภากษาแลกระลาการ ๑๐ ประการนั้นมีบาฬีในพระธรรมสาตรว่า
- อินฺทภาโส ธมฺนานุญฺโญ สกฺขิ จ สกฺขิเฉทโก
- อญฺญมญฺญปฏิภาโส ปฏิภาณญฺจ เฉทโก
- อฏฺฏคาโห อฏฺฏกูโฏ ทณฺโฑ โจทกเฉทโก
- อกฺขทสฺสา ทสญฺเจว เอเต มูลา ปกิตฺติตา
แปลว่า เอเต มูลา อันว่ามูลคดีทังหลายนี้ อกฺขทสฺสา คือมูลคดีแห่งผู้พิภากษาแลกระลาการ ทสญฺเจว ๑๐ ประการ อินฺทภาโส คือลักษณแห่งหลักอินทภาษประการ ๑ ธมฺมานุญฺโญ คือลักษณพระธรรมนูญประการ ๑ สกฺขิ จ คือลักษณแห่งพญาณประการ ๑ สกฺขิเฉทโก คือลักษณตัดพญาณประการ ๑ อญฺญมญฺญปฏิภาโส คือลักษณแก้ต่างว่าต่างกันประการ ๑ ปฏิภาณญฺจ เฉทโก คือลักษณตัดสำนวนประการ ๑ อฏฺฏคาโห คือลักษณรับฟ้องได้มิได้ประการ ๑ อฏฺฏกูโฏ คือลักษณประวิงความไว้ให้ช้า[6] ประการ ๑ ทณฺโฑ คือลักษณกรมศักดิ์ประการ ๑ โจทกเฉทโก คือลักษณตัดฟ้องประการ ๑ อาจริเยน อันมะโนสาราจารย ปกิตฺติตา สำแดงไว้
ในลักษณอันชื่อว่าอินทภาษนั้นมีบาฬีว่า
- อินฺโทวาเท ปิ วิญูญูนํ ฐิตานํ สจฺจสีลสฺมึ
- ตุลานํ มชฺฌภูตานํ อคตานมฺปิ อคฺคตึ
- ลกฺขโณ อกฺขทสฺสานํ อินฺทภาโส ติ วุจฺจเร
แปลเนื้อความว่า ลกฺขโณ อันว่าลักษณ อกฺขทสฺสานํ แห่งผู้พิภากษาแลกระลาการทังหลาย วิญฺญูนํ อันรู้สิ้น อินฺโทวาเท ปิ แม้นในโอวาทแห่งสมเดจ์อินทราธิราช ฐิตานํ ตั้งอยู่[7] สจฺจสีลสฺมึ ในสัจแลศีล ๕
๘ ตุลานํ มีอาการะอันเที่ยงตรงดั่งตราชูแลบันทัด มชฺฌภูตานํ มีจิตรมัทยมหย่างกลาง อคตานํ ปิ มิได้ถึง อคฺคตึ ซึ่งอะคดีธรรม ๔ ประการ วจฺจเร[วซ 12] อันมะโนสารอาจารยกล่าว อินฺทภาโส อิติ ชื่อว่าหลักอินทภาษ
ในลักษณอันชื่อว่าพระธรรมนูญนั้นมีบาฬีว่า
- โย กิญฺจาปิ วิจารโณ ธมฺมานุรูปลญฺจนํ
- อวหาราทฺยตฺถานํ โส ธมฺมานุญฺโญ ติ วุจฺจเร
แปลว่า โย สภาโว อันว่าสภาวะอันใด วิจารโณ พิเคราะดู ธมฺมานุรูปลญฺจนํ ซึ่งกิริยาอันประทับฟ้องโดยสมควรแก่ตระทรวงแล้วส่งไป อวหาราทฺยตฺถานํ แก่ตระทรวงความทังหลาย มีตระทรวงนครบาลเปนต้น กิญฺจาปิ แม้นโดยแท้ โส สภาโว อันว่าสะภาวะประทับความควรแก่[8] ตระทรวงโดยธรรมนั้น วุจฺจเร อันมะโนสาราจารยกล่าวไว้ ธมฺมานุญฺโญ อิติ[9] ชื่อว่าพระธรรมนูญ
ในลักษณอันชื่อว่าสักขินั้นมีบาฬีว่า
- โย จายํ ปิ สจฺจภูโต[10] ยุตฺโต สกฺขิ ติ นามโก
- โส ปิ ธมฺโม วิวาทานํ กงฺขฉินฺทนิทสฺสโน
แปลว่า โย จ อยํ ปิ ธมฺโม แม้นอันว่าสภาวะอันใด สจฺจภูโต มีสภาวะรู้เหนได้ยินโดยจริง กงฺขฉินฺทนิทสฺสโน อันสำแดงซึ่งข้อความให้ขาดสงใสย วิวาทานํ แห่งชนทังหลายอันวิวาทกัน โส ปิ ธมฺโม แม้นอันว่าสภาวะนั้น สกฺขิ[11] ติ นามโก มีชื่อ ๆ ว่าสักขี ยุตฺโต สมควร
ในลักษณอันชื่อว่าสักขีเฉทกนั้นมีบาฬีว่า
- วิมฺหาปนาทิโก ธมฺโม สกฺขิฉินฺโน ติ กิตฺติโต
- ปฏิปกฺขสภาโว โส สกฺขิโน ปิ วิธํสโน
แปลว่า โย ธมฺโม อันว่าสภาวะอันใด วิมฺหาปนาทิโก มีสภาวะจะยังพญาณให้สะดุ้งตกใจ แลจะให้พิศวงงงงวยเปนต้น สกฺขิฉินฺโน ติ กิตฺติโต อันมะโนสาราจารยสำแดง ชื่อว่าสักขีเฉทก โส ธมฺโม อันว่าสภาวะนั้น ปฏิปกฺขสภาโว เปนข้าศึกแท้ สกฺขิโน แก่บุทคลอันเปนพญาณ วิธํสโน จะกำจัดเสีย สกฺขิโน ซึ่งพญาณ
ในลักษณอันชื่อว่าอัญมัญญะปฎิภาษนั้นมีบาฬีว่า
- โย ปติกถนสีโล ปฏิวจนวจฺจโน
- อญฺญมญฺญปติภาโส ปิตาปุตฺตาทิโก จ โส
แปลว่า โย ชโน อันว่าบุทคลผู้ใด ปิตาปุตฺตาทิโก มีบิดาแลบุตรเปนต้น ปติกถนสีโล มีปรกติร้องฟ้องต่างกันก็ดี ปติวจนวจฺจโน มีปรกติให้การแก้ความต่างกันก็ดี โส ชโน อันว่าบุทคลผู้นั้น อญฺญมญฺญปฏิภาโส ชื่อว่าอัญมัญญะปฎิภาษ ภวติ มี
ในลักษณอันชื่อว่าปฎิภาณ[วซ 13] เฉทกนั้นมีพระบาฬีว่า
- ยํ โจจุทกวจนํ ปฏิวากฺยสฺส ฉินฺทนํ
- ตมฺปิ เยว ปฏิภาณเฉทโก ติ ปกิตฺติตํ
แปลว่า ยํ โจจุทกวจนํ[12] อันว่าด้วยคำแห่ง โจท
จำเลย อันใด ฉินฺทนํ มีกิริยาอันตัดเสีย ปฏิวากฺยสฺส ซึ่งสำนวน ตํ ปิ เอว วจนํ แม้นอันว่าคำนั้นแท้จริง ปกิตฺติตํ อันมะโนสาราจารยสำแดง ปฏิภาณเฉทโก อิติ ชื่อว่าปฎิภาณ[วซ 13] เฉทก
ในลักษณอันชื่อว่าอรรฐคาหะนั้นมีพระบาฬีว่า
- มูลอตฺถปฺปติคาโห โย ยุตฺตายุตฺตาชานโก
- โส คหิตตฺถมูโล อฏฺฏคาโห ติ วุจฺจเร
แปลว่า โย ชโน อันว่าบุทคลผู้ใด ยุตฺตายุตฺตชานโก มีปรกติรู้ซึ่งลักษณะอันควรแลมิได้ควร มูลอตฺถปฺปฏิคาโห รับเอาซึ่งคำฟ้อง โส จ ชโน อันว่าบุทคลผู้นั้น คหิตตฺถมูโล มีฟ้องอันควรจะรับแลรับไว้ วุจฺจเร อันมะโนสาราจารยกล่าว อฏฺฏคาโห อิติ ชื่อว่าลักษณรับฟ้อง
ในลักษณอันชื่อว่าอรรฎกูฎ[วซ 14] คือประวิงความนั้น มีพระบาฬีว่า
- โย จายํ อกฺขปฺรวตฺโต อฏฺฏเมว ปฺรวตฺตเย
- โส นโร อฏฺฏปฺรวตฺโต อฏฺฏกูโฏ ติ วุจฺจเร
แปลว่า โย จ อยํ นโร อันว่าบุทคลผู้ใด อกฺขปฺรวตฺโต ประวิงความไว้ ปฺรวตฺตเย ประวิง อฏฺฏํ เอว ซึ่งเนื้อความแท้จริง โส นโร อันว่าบุทคลผู้นั้น อฏฺฏปรฺวตฺโต แกล้งประวิงความไว้ให้ช้า วุจฺจเร อันมะโนสาราจารยกล่าว อฏฺฏกูโฏ อิติ ชื่อว่าอรรฎกูฎ
ในลักษณอันชื่อว่าทัณทนั้นมีพระบาฬีว่า
- ทณฺฑาภิปตฺติการณํ ยํ สพฺเพสํ ปราชีนํ
- ตมฺปิ ปติตทณฺฑํ ทณฺโฑ นามา ติ กิตฺติตํ
แปลว่า ยํ ทณฺฑาภิปตฺติการณํ อันว่ากิริยาทอดซึ่งอาช
าแล สินไหม
พิไนย อันใด สพฺเพสํ ปราชีนํ แก่บุทคลทังหลายผู้แพ้คดี ตมฺปิ ปติตทณฺฑํ อันว่าลักษณอันทอดซึ่งอาช
าแล สีนไหม
พิไนย นั้น กิตฺติตํ อันอาจารยกล่าว ทณฺโฑ นาม อิติ ชื่อว่าลักษณทัณท
ในลักษณอันชื่อว่าโจทะกะเฉทะกะนั้นมีพระบาฬีว่า
- ปริหารวจนํ ยํ โจทกานมุกฺโกฏิกํ
- สพฺพนฺตํ ธมฺมสาเตน โจทจฺเฉทกมุทฺทิเส
แปลว่า ยํ ปริหารวจนํ อันว่าคำแห่งจำเลยอันใด อุโกฏิกํ มีปรกติตัดฟ้อง โจทกานํ แห่งบุทคลทังหลายอันเปนโจท อาจริโย อันว่ามะโนสาราจารย อุทฺทิเส สำแดง ตํ วจนํ ซึ่งคำนั้น สพฺพํ ทังปวง โจทจฺเฉทกํ ชื่อว่าโจทกะเฉท ธมฺมสาเตน โดยคำภีรพระธรรมสาตร
ลักษณกล่าวบทภาชนีแห่งมูลคดีผู้พิภากษาแลกระลาการมี ๑๐ ประการโดยสงเขปก็ยุติแต่เท่านี้
ทีนี้จะสำแดงเอกุณะดึงษมูลคดีวิวาท ๒๙ ประการโดยบาฬีมีในพระธรรมสาตรดั่งนี้
- อิณฺณญฺจ รญฺโญ ธนโจรหารํ
- อธมฺมทายชฺชวิภตฺตภาคํ
- ปรสฺส ทานํ คหณํ ปุเนว
- ภตฺติกฺก อกฺขปฺปติจารธูตา
- ภณฺฑญฺจ เกยฺยาวิกยาวหารํ
- เขตฺตาทิ อารามวนาทิถานํ
- ทาสี จ ทาสํ ปหรญฺจ ขุํสา
- ชายมฺปตีกสฺส วิปตฺติเภทา
- สงฺคามโทสา ปิ จ ราชทุฏฺโฐ
- ราชาณสุงฺกาทิวิวาทปตฺโต
- ปรมฺปเสยฺโห ปิ จ อตฺต อาณมฺ
- อีตียกาโร วิวิโธ ปเรสมฺ
- ถานาวิติกฺกมฺมพลาเกเรน
- ปุตฺตาทิ อาทาคมนา สเหว
- เหตุมฺปฏิจฺจ อธิการณํ วา
- อคฺฆาปนายู จ ธนูปนิกฺขา
- อาถพฺพนิกา ปิ จ ภณฺฑแทยฺยํ
- เต ตาวกาลีก คณีวิภาคํ
- ปญฺจูทรนฺตํ ตุ วิวาทมูลา
- เอกุณตึสาทิวิธา ปิ วุตฺตา
แปลเนื้อความว่า สพฺเพ ปิ วิวาทมูลา แม้นอันว่ามูลคดีวิวาทอันให้บังเกีดความทังปวง เอกุณตึสาทิวิธา ปิ แม้นมีประการ ๒๙ เปนต้น
อิณฺณํ ธนญฺเจ คือลักษณวิวาทด้วยกู้นี่ถือสีนกันเปนมูลประการ ๑
รญฺโญ ธนโจรหารํ คือลักษณวิวาทด้วยลักฉ้อบังประบัดผลัดเปลี่ยนพระราชทรัพยเปนมูลประการ ๑
อธมฺมทายชฺชวิภตฺตภาคํ คือลักษณวิวาทด้วยแบ่งปันมรฎกมิได้เปนธรรมเปนมูลประการ ๑
ปรสฺส ทานํ คหณํ ปุเนว คือลักษณวิวาทด้วยให้ทรัพยแก่ท่านแล้วกลับคืนเปนมูลประการ ๑
ภตฺติกา จ คือลักษณวิวาทด้วยเปนลูกจ้างท่านแลวานท่านใช้เปนมูลประการ ๑
อกฺขปฺปติจารธูต จ คือลักษณวิวาทด้วยเปนักเลงเล่นเบี้ยเล่นสะกาเปนต้นเปนมูลประการ ๑
ภณฺฑญฺจ เกยฺยาวิกยญฺจ คือลักษณวิวาทด้วยซื้อฃายกันเปนมูลประการ ๑
อวหารญฺจ คือลักษณวิวาทด้วยโจรเปนมูลประการ ๑
เขตฺตาทิถานญฺจ คือลักษณวิวาทด้วยที่บ้านที่นาเปนมูลประการ ๑
อารามวนาทิถานญฺจ คือลักษณวิวาทด้วยที่ไร่ที่สวนแลป่าพึ่งเปนมูลประการ ๑
ทาสีทาสญฺจ คือลักษณวิวาทด้วยทาษสีนไถ่แลทาษเชลยทาษหญิงเปนมูลประการ ๑
ปหรญฺจ ขุํสา คือลักษณวิวาทด้วยตบด้วยตีด่าแลสบประมาตท่านเปนมูลประการ ๑
ชายมฺปตีกสฺส วิปตติเภท คือลักษณวิวาทด้วยอธิกรผัวเมียเปนมูลประการ ๑
สงฺคามโทสา ปิ จ คือลักษณวิวาทด้วยการณรงคสงครามเปนมูลประการ ๑
ราชทุฏโฐจ คือลักษณกระทบต่อแผ่นดินเปนมูลประการ ๑
ราชาณญฺจ คือลักษณวิวาทด้วยล่วงพระราชบัญหญัติเปนมูลประการ ๑
สุงฺกาทิวิวาทปตฺโต จ คือลักษณวิวาทด้วยพระราชทรัพยอากรขนอรตระหลาดเปนต้นเปนมูลประการ ๑
ปรมฺปเสยฺโห ปิ จ อตฺต อาณฺม คือลักษณวิวาทด้วยข่มเหงท่านเปนมูลประการ ๑
อีตียกาโร คือลักษณวิวาทด้วยกระหนาบคาบเกี่ยวให้เปนเสนียดแก่กันเปนมูลประการ ๑
ถานาวิติกฺกมฺมพลากเรน คือลักษณวิวาทด้วยอุกรุกกันเปนมูลประการ ๑
ปุตฺตาทิอาทาคมนา สเหว คือลักษณวิวาทด้วยพาบุตรท่านไปเปนต้นเปนมูลประการ ๑
เหตุมฺปฏิจฺจ อธิการณํ[13] วา คือลักษณวิวาทด้วยความสาเหดุเปนมูลประการ ๑
อคฺฆาปนายู จ คือลักษณวิวาทด้วยขาดข้าตามกระเสียนอายุศม์ชายหญิงเปนมูลประการ ๑
ธนูปนิกฺขา คือลักษณวิวาทด้วยฝากทรัพยไว้แก่ท่านเปนมูลประการ ๑
อาถพฺพนิกา ปิ จ คือลักษณวิวาทด้วยกระทำกฤดิยาคมมีชะมบจะกละเปนต้นเปนมูลประการ ๑
ภณฺฑเทยฺยํ จ คือลักษณวิวาทด้วยเช่าของท่านไปเปนมูลประการ ๑
ตาวกาลีญฺจ คือลักษณวิวาทด้วยยืมของท่านไปใช้เปนมูลประการ ๑
คณีวิภาคญฺจ คือลักษณวิวาทด้วยปันหมูชาเปนมูลประการ ๑
ปญฺจทูรนฺตํ คือลักษณวิวาทเกีดความด้วยรื้อความขึ้นว่าใหม่คืออุทรเปนมูลประการ ๑
โปรากวีนา อันนักปราช
ในก่อน วุตฺตา กล่าวไว้ วรธมฺมาสาตฺเถ ในคำภีรพระธรรมสาตรอันประเสรีฐ นิจจํตุ เที่ยง
สำแดงซึ่งเอกูณดึงษมูลคดีวิวาท ๒๙ ประการโดยสงเขปก็ยุติแต่เท่านี้
ทีนี้จักสำแดงสาขคดีมีประการเปนอันมากโดยพระบาฬีดั่งนี้
- สาขตฺถนาเมน ปเภทภินฺนา
- อเนกธา สา วรปุญฺญวนฺเต
- นาจารวีจารณสมฺปชญฺเญ
- น รฏฺฐวฑฺเฒน หิตตฺถินา วา
- โปราณราเชน นรินฺทรามา
- ธิปตฺติเยนาภิปรกฺกเมน
- ญาณานุสาเรน ปิ ธมฺมสาตฺถํ
- มาตฺราภิธยฺเยน ปติฏฺฐิตา เต
แปลเนิ้อความว่า สา อตฺถา อันว่าสาขคดีนั้น ปเภทภินฺนา ต่างต่างกันโดยประเภท ชื่อว่าสาขคดี มีประการเปนอันมาก คือลักษณพระราชกำหนฎบทพระอายการแลพระราชบัญหญัติซึ่งจัดเปนพระราชสาตรทังปวง เต อตฺถา อันว่าสาขคดีทังหลายดั่งพรรณามานี้ โปราณราเชน อันบูราณราชกระษัตร วรปุญฺญวนฺเตน มีบุญญาภินิหารสมภารบารมีเปนอธิบดีประชากรผจญข้าศึกเสรจ์แล้ว แลเปนอิศรภาพในบวรเสวตรฉัตร กอบประด้วยศีลสัจวัดฎะประฎีบัดิเปนอันดี มีสะติสัมปะชัญะแลพระวิจารณญาณ มีพระราชหฤไทยประสงคจะให้พระนครขอบเขตขันทเสมาในพระราชอาณาจักรจำเรีญศุขสถาพรเขษมสำราญ หิตตฺถินา มีความปราถนาจะให้เปนหิตานุหิตประโยชน์ทั่วทวยราษฎรทังปวง ปรกฺกเมน ทรงพระอุสาหะพิจารณาคำนึงตามคำภีรพระธรรมสาตร มาตฺราภิเธยฺเยน[14] แล้ว มีพระราชบัญหญัติดัดแปลงตกแต่งตั้งเปนพระราชกำหนฎบทพระอายการไว้โดยมาตราเปนอันมากทุกทุกลำดับกระษัตรมาตราบเท้าทุกวันนี้ ตสฺมา เหดุดั่งนั้น ปณฺฑิโต นักปราช
[15] ผู้มีปัญาเปนกระลาการผู้พิจารณาตัดสีนข้อคดีทังปวงพึงมีอุสาหดูตามพระราชบัญหญัติแห่งบุราณราชกระษัตรซึ่งตั้งไว้โดยมาตราเปนอันมากนั้นเถีด
กล่าวสาขคดีตามบาฬีพระธรรมสาตรโดยสงเขปแต่เท่านี้
- เย โมหมูเลน ตเมน ฉนฺนา
- โลภาธิมุตฺตา หินวีริยา จ
- คณฺฐํ อิมํ ธมฺมสตฺถาภิเธยฺยํ
- โลเภ ปุเร อคฺคติลกฺกภูตํ
- ปติฏฺฐถมฺภํ รตนามยํ ว
- อสิกฺขยนฺตา ปคุณํ ธุวํ จ
- อฏฺฏํ ชนานํ ปิ วินิจฺฉยนฺติ
- อชานมานา ผลถานุปตฺติ
- โมหนฺติ ตมฺหิ ภณเน ปิ สพฺเพ
- อนฺธาว คชฺชา วิจราวเน เต
- นาสํ คตา เส อิธ ชาตุโมหา
- ตสฺมา หิ โปโส กุสโล มตีมา
- รญฺโญ ภโฏ ปากฏนามเธยฺโย
- สจฺเจ ปติฏฺฐาย มหากุลชฺโช
- สทฺโธ ตุ สีโล ปรเมตฺตจิตตํ
- ปวตฺตยนฺโต สกโล ปิ นิจฺจํ
- สิกฺเขยฺยมีมํ มหตา คุเณน
- อุเปตรูปํ ธมฺมสาตฺถวฺหยนฺติ
แปลเนื้อความตามอรรฐาธิบายว่า เย นรา อันว่านรชาติจำพวกใดผู้จะเปนแว่นแก้วอันวิเสศฉลองพระเนตรพระมหากระษัตรตัดสีนข้อคดีอนาประชาราษ คือเปนผู้ภากษาแลกระลาการ โมหมูเลน ตเมน ฉนฺนา มีมืดคือโมหะ หาวิจาระณะปัญามิได้ กำบังซึ่งปัญาจักษุมิได้เหนซึ่งประโยชน์ในอิทโลกย์แลปะระโลกยประโยชน์ตนแลผู้อื่น มีจ้าวแห่งตนเปนต้น โลภาธิมุตฺตา มีจิตรกำหนดในลาภะสะการสิโหลกโลกามิศต่างต่าง แลมิได้วินิจฉัยข้อคดีโดยยุติธรรมประเพนีตามคำภีรพระธรรมสาตร ลุะอำนาดแก่อะคติ ๔ มีฉันทาคะติเปนต้น โดยไนยดั่งพรรณามานั้น หินวีริยา จ แล้วสิ้นอุสาหะมิได้พากเพียรที่จะร่ำเรียนไต่ถาม คณฺฐํ อิมํ ธมฺมสตฺถาภิเธยฺยํ ซึ่งคำภีรพระธรรมสาตรอันอาจให้มีปัญาจักษุเปนยอดคำภีรโมลีเฉลีมโลกย์ ปติฏฺฐถมฺภํ รตนามยํว ประดูจดั่งหลักแก้ววิเชียรมณีอันเทพยดาผู้วิเสศ คือพระมะโนสาระฤๅษี มีเมดตาเปน[16] บุเรจาริกนำมาแต่ขอบเขาจักรวาฬประดิษฐานไว้ เพี่อจะให้เปนหิตานุหิตะประโยชน์แก่ประชาชนทังหลายอันบังเกีดมูลคะดีวิวาทกันต่างต่าง ตสฺมา เหดุดั่งนั้นบุทคลผู้เปนกระลาการ อสิกฺขยนฺตา ปคุณํ ธุวํ จ มิได้สึกสาให้รู้เหดุ ๒๔ ประการซึ่งจัดเปนอรรฐติกะมาฏิกา แลมูลคดี ๑๐ มีหลักอินทภาษเปนอาทิ มีพรหมธรรม์ คือกรมศักดิ์บทปรับ เปนปริโยสารสำหรับกระลาการ แลมูลคดีวิวาทแห่งราษฎรทังหลายอันจะบังเกีดเปนข้อความขึ้นมี ๒๙ ประการ แลสาขคดี คือกิ่งความ มีตามคำภีรพระธรรมสาตรอันบูราณราชกระษัตรบัญหญัติเปนบทมาตราไว้ มีไนยเปนอันมากนั้น ให้แม่นยำชำนาญขึ้นปากขึ้นใจ เมื่อมิได้รู้เหดุผลต้นปลายแห่งคุณโทษผลประโยชน์อันควรมิควรดั่งนี้ แลจะวินิจฉัยคดีแห่งประชาชนทังปวงมีแต่โมหันทการหากหุ้มห่อไว้มิให้บังเกีดปะสาทจักษุ คือวิจารณะปัญา อนฺธา ว คชฺชา วิจรา วเน เต อันว่ากลบุตรทังหลายผู้เปนกระลาการจำพวกนั้น ถึงแม้นมาทว่าจะมีอายุศม์ร้อยปี ถึงจะมีโวหารว่ากล่าวแต่ภอพาลชนนับถือก็ดี นักปราช
ผู้มีปัญาจะสรรเสรีญหามิได้ เหดุวินิจฉัยฟั่นเฟีอนเหมีอนคชาตาบอดอันเที่ยวอยู่ในป่า ถึงซึ่งกาลพินาศฉิบหาย เหดุโมหาคะติ ตสฺมา หิ โปโส กุสโล มตีมา เหดุดั่งนั้นนักปราช
ผู้เกีด กอบด้วยสกุลวงษอะภิชาติ เปนข้าบาทมุลิกากร มีถานันดรอันปรากฎิเลื่องชื่อฦๅนามในสำนักนิพระมหากระษัตรพึง[17] ตั้งตนไว้ให้พระองควางพระไทยต่างพระเนตรพระกรรณ์ ด้วยมีสันดานอันซื่อ แลตั้งอยู่ในศีล ๕ ประการ ศีล ๘ ประการ แลวะจีสัจสุริต คิดกลัวบาปละอายบาป เปนหิริโอตัปธรรมโลกยบาลราศรี มีศรัทธาเชื่อผลศีลผลทานการกุศลแลคุณพระศรีรัตนไตรย ปวตฺตยนฺโต สกโล ปิ นิจฺจํ พึงตั้งเมดตาจิตรเปนบุเรจาริกในสัตวทังปวง แลมีกะตัญุตาสวามีภักดิจงรักษในพรมหากระษัตรซึ่งเปนจ้าวแห่งตน อันทรงบำเพญผลโพทธิญาณ สิกฺเขยฺยมีมํ มหาตา คุเณน เมื่อมีสันดานจิตรคิดถึงพระคุณพระมหากระษัตรดั่งนี้แล้ว พึงอุสาหะศึกสาเล่าเรียนให้รอบรู้ ดูแลเอาใจใส่ในคำภีรพระธรรมสาตร อันอาจให้มีคุณวิเสศ คือเปนพระเนตรแห่งพระมหากระษัตร จะได้ตัดข้อคดีแห่งอนาประชาราษฎรในขอบเขตขันทเสมาพระราชอาณาจักรให้ปราศจากหลักตอเสี้ยนหนาม คือความมูลวิวาทแห่งพาลชาติบุทคลอันมีสันดานเปนทุจริต ให้เปนหิตานุหิตประโยชน์สิ้นมูลวิวาททุกข ปรกอบศุขสถาพรเกษมสารในกาลทุกเมี่อ
- ↑ พิมพ์ตามฉะบับหลวง L1 ยังเหลืออีกสองฉะบับครบถ้วน คือ L1x (ก) และ L1y (ข)
- ↑ ก: พรหมมะโลกย
- ↑ ก: คำว่า ก็ตาม ขาดไป
- ↑ ในต้นฉะบับ คำว่า โดยประ ลบเสีย เพิ่มตาม ก และ ข
- ↑ ในต้นฉะบับ คำว่า อัน ลบเสีย เพิ่มตาม ก และ ข
- ↑ ในต้นฉะบับ คำว่า ไว้ให้ช้า ลบเสีย เพิ่มตาม ก และ ข
- ↑ ในต้นฉะบับ คำว่า ตั้งอยู่ ลบเสีย เพิ่มตาม ก และ ข
- ↑ ในต้นฉะบับ คำว่า ควรแก่ ลบเสีย เพิ่มตาม ก และ ข
- ↑ ในต้นฉะบับ คำว่า อิติ ลบเสีย เพิ่มตาม ก และ ข
- ↑ ทั้งสามฉะบับว่า สจฺจํภูโต
- ↑ ก และ ข: สกฺขี
- ↑ ทั้งสามฉะบับว่า โจทวจนํ
- ↑ ก: อธิกรณํ
- ↑ ก: มาตฺราภิธยฺเยน
- ↑ ก: อันนักปราช
- ↑ ก: คำว่า เปน ขาดไป
- ↑ ในต้นฉะบับ คำว่า พึง ลบเสีย เพิ่มตาม ก และ ข
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “วีป” เป็น “ทวีป” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้เพิ่มเชิงอรรถดังนี้ “ต้นฉะบับและ ข เขียนว่า ไช้ แก้ตาม ก” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “ประเทศ” เป็น “ประเทษ” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “ปะฎิสนธิ” เป็น “ปะฏิสนธิ” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “ประฎิบัดิ” เป็น “ประฏิบัดิ” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “รัชฎะ” เป็น “รัชฏะ” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “สมาบด” เป็น “สมาบัดิ” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “ที” เป็น “ที่” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “นิด” เป็น “นิต” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ 10.0 10.1 มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “ใด้” เป็น “ได้” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “มะโนสารจารย” เป็น “มะโนสาราจารย” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “วจฺจเร” เป็น “วุจฺจเร” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ 13.0 13.1 มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “ปฎิภาณ” เป็น “ปฏิภาณ” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “อรรฎกูฎ” เป็น “อรรฏกูฏ” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)