ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 จุลศักราช 1166 พิมพ์ตามฉะบับหลวงตรา 3 ดวง/เล่ม 1
งานนี้ยังไม่เสร็จ สามารถดูและร่วมพัฒนาได้ที่ดัชนีนี้: 1 |
![]() |
![]() |
![]() |
เนื่องจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้กำหนดการศึกษาลักษณะวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยไว้ในหลักสูตรชั้นปริญญาโท จึงเป็นการจำเป็นที่จะต้องให้นักศึกษามีบทกฎหมายซึ่งได้ชำระสะสางในรัชกาลที่ ๑ นั้นไว้ค้นคว้าได้โดยสะดวก เพราะบทกฎหมายเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะได้พบเอกสารที่เก่าแก่กว่าก็ตาม ก็ยังคงใช้เป็นหลักฐานสำคัญเพื่อแสวงหาความรู้เรื่องกฎหมายในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ต่อไปอีกนาน
ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นมา ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ ๑ นั้นได้มีผู้จัดพิมพ์ขึ้นหลายครั้งแล้ว ฉะบับที่แพร่หลายที่สุดคือฉะบับของหมอบรัดเลย์ ซึ่งเรียกกันว่ากฎหมายเก่า ๒ เล่ม และฉะบับของเสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯ ทั้งสองฉะบับนี้ในปัจจุบันไม่มีจำหน่ายเสียแล้ว และนับวันจะหายากขึ้นทุกที
ในการที่จะจัดพิมพ์กฎหมายเก่านี้ขึ้นใหม่ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองมีความมุ่งหมายผิดกับท่านผู้จัดพิมพ์ก่อน ๆ ท่านผู้จัดพิมพ์เหล่านั้นมุ่งหมายแต่ฉะเพาะในอันที่จะเผยแผ่ความรู้ในตัวบทกฎหมาย จึงได้แก้ไขอักขรวิธีเสียใหม่ให้สมกับสมัย และบางตอนถึงกับแก้ไขถ้อยคำสำนวนเสียบ้างก็มี กรมหลวงราชบุรีฯ ก็ได้ทรงยึดถือคติอันเดียวกันนี้ โดยได้ทรงตัดทอนบทบัญญัติซึ่งเลิกใช้บังคับแล้วออกเสียด้วย
ในเวลานี้ประมวลกฎหมายใหม่ต่าง ๆ ก็ได้ประกาศใช้จนครบถ้วน ประมวลกฎหมายปี จ.ศ. ๑๑๖๖ จึงมีประโยชน์เพียงในฐานตำนานกฎหมายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ในการจัดพิมพ์ใหม่นี้จึงมีข้อสำคัญที่จะพึงยึดถืออยู่ว่าจะต้องคัดแบบจากตัวบทบัญญัติซึ่งได้ชำระสะสางขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ให้ถูกต้องตามอักขรวิธีที่ใช้ในต้นฉะบับนั้น เพื่อนักศึกษาจักได้ใช้เป็นเครื่องมือค้นคว้าโดยไม่ต้องพึ่งฉะบับเขียนตามแต่จะสามารถทำได้
การจัดพิมพ์กฎหมายเก่าขึ้นนั้นใช่จะเป็นประโยชน์แต่ฉะเพาะนักนีติศาสตร์เท่านั้นก็หาไม่ ยังเป็นคุณแก่นักประวัติศาสตร์ เพราะการศึกษาในวิชาประวัติศาสตร์ย่อมต้องอาศัยพระราชปรารภในกฎหมายและตัวบทกฎหมายเองประกอบด้วย นักโบราณคดีและนักศึกษาโบราณประเพณีของสยามก็เช่นกัน ย่อมได้รับประโยชน์จากบทกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยอาศัยจารีตประเพณี ธรรมนิยม หรือความเชื่อถือต่าง ๆ เป็นหลัก แลจารีตประเพณีเหล่านี้แม้ในรัชกาลที่ ๑ ได้เลิกถือเสียแล้วก็มีบ้าง ประโยชน์อีกข้อหนึ่งได้แก่ประโยชน์ในทางภาษาศาสตร์และวรรณคดี แม้อักขรวิธีและสำนวนโวหารในสมัยโบราณเท่าที่มีอยู่ในตัวบทกฎหมายนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปมากแล้ว เนื่องจากการชำระสะสางหลายต่อหลายครั้งมาแล้วก็ตาม (ซึ่งข้อสมมตินี้มิใช่จะถูกต้องเสมอไป) วิธีเขียนภาษาไทยในสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ยังเป็นประโยชน์แก่นักภาษาศาสตร์อยู่มาก และโดยเหตุที่ต้นฉะบับแห่งบทกฎหมายที่ชำระสะสางในรัชกาลที่ ๑ คือฉะบับตรา ๓ ดวงนั้น อาลักษณ์ได้เขียนโดยความเอาใจใส่ระมัดระวังและสอบทานถึง ๓ ครั้งให้ถูกต้องแล้ว จึงควรที่จะเคารพต่อต้นฉะบับนั้นยิ่งนัก อีกประการหนึ่งกฎหมายเก่าในบางตอนอาจถือได้ว่าเป็นวรรณคดีชิ้นสำคัญซึ่งสมควรจะนับรวมเข้าในตำราวรรณคดีทั้งหลายอันสืบมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ด้วยเหตุผลดั่งกล่าวมานี้ มหาวิทยาลัยจึงได้ให้พิมพ์ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑ นั้นขึ้นใหม่ตามที่เขียนไว้ในฉะบับหลวงตรา ๓ ดวงให้ถูกต้องตามต้นฉะบับ
การจัดพิมพ์ครั้งนี้ได้มอบหมายให้มองซิเออ เอร์. แลงกาต์ ดอกเตอร์กฎหมายฝรั่งเศส สมาชิกวิเศษแห่งเนติบัณฑิตยสภา อาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์กฎหมายไทย (กฎหมายเอกชน) เป็นผู้จัดพิมพ์.
ในการชำระสะสางกฎหมายในรัชกาลที่ ๑ นั้น ปรากฏตามพระราชปรารภซึ่งเขียนไว้ในตอนต้นแห่งฉะบับหลวงทุกฉะบับว่า เมื่อการชำระเสร็จสิ้นแล้ว อาลักษณ์ได้เขียนลงไว้ในสมุด ๓ ชุด เก็บไว้ห้องเครื่องชุดหนึ่ง หอหลวงชุดหนึ่ง และศาลหลวงชุดหนึ่ง ประทับตรา ๓ ดวงทุกเล่ม ตามฉะบับที่ตกทอดมาในสมัยปัจจุบันสันนิษฐานได้ว่าเดิมชุดหนึ่งมี ๔๑ เล่ม ฉะนั้นในครั้งเดิมคงมีฉะบับหลวงตรา ๓ ดวงถึง ๑๒๓ เล่ม ในสมัยปัจจุบันยังเหลืออยู่เพียง ๗๙ เล่ม เก็บอยู่ณกระทรวงยุตติธรรม ๓๗ เล่ม ณหอสมุดแห่งชาติ ๔๒ เล่ม[วซ 1] ส่วนอีก ๔๔ เล่มนั้นไม่ทราบว่าขาดหายไปด้วยประการใด
นอกจากฉะบับหลวงตรา ๓ ดวง ๓ ชุดนี้ อาลักษณ์ได้เขียนไว้อีกชุดหนึ่ง เรียกว่าฉะบับรองทรง ยังเหลือตกทอดมาในสมัยปัจจุบันเพียง ๑๗ เล่ม ซึ่งเก็บอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติทั้งหมด ฉะบับรองทรงนี้ผิดกับฉะบับหลวง ๓ ชุดก่อนนั้นโดยไม่มีตรา ๓ ดวงประทับไว้ และในฉะบับหลวงมีอาลักษณ์สอบทาน ๓ คน แต่ในฉะบับรองทรงมีเพียง ๒ คน อนึ่งตามฉะบับหลวงที่ตกทอดมานี้เขียนปีฉลู จ.ศ. ๑๑๖๗ (พ.ศ. ๒๓๔๘) ทุกเล่ม ส่วนฉะบับรองทรงเขียนในปีเถาะ จ.ศ. ๑๑๖๙ (พ.ศ. ๒๓๕๐)[1]
ในการพิมพ์กฎหมายนี้ได้อาศัยฉะบับหลวงตรา ๓ ดวงโดยฉะเพาะ เว้นแต่เมื่อไม่มีฉะบับหลวงเหลืออยู่ จึงพิมพ์ตามฉะบับรองทรง[2]
ในเมื่อเหลือฉะบับหลวงหรือฉะบับรองทรงแต่ฉะบับเดียว ก็พิมพ์ตามโดยมิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เว้นแต่ปรากฏชัดว่าอาลักษณ์เขียนผิดหรือเขียนตก[3] จึงได้พิมพ์เพิ่มเติมและแก้ไขให้ถูกต้อง แต่คงมีเชิงอรรถไว้ ในการตรวจแก้นี้ได้อาศัยฉะบับพิมพ์ของนายโหมด อมาตยกุล (พระยากระสาปน์) เล่มหนึ่ง ซึ่งพิมพ์ปีระกา จ.ศ. ๑๒๑๑ (พ.ศ. ๒๓๙๒) หรือฉะบับของหมอบรัดเล เล่ม ๒ พิมพ์ปีกุน จ.ศ. ๑๒๒๕ (พ.ศ. ๒๔๐๖) และได้สอบทานกับฉะบับที่ใช้ในการพิมพ์นี้เสมอ
ถ้าเหลือหลายฉะบับ ก็ได้เลือกเอาฉะบับหนึ่งมาพิมพ์ตามที่กล่าวไว้นี้ และที่ผิดกับฉะบับอื่นก็แถลงไว้ในเชิงอรรถ เนื่องจากอาลักษณ์ได้เขียนและสอบทานฉะบับหลวงด้วยความระมัดระวัง จึงมีที่แตกต่างแต่เพียงเล็กน้อย โดยมากที่ต่างกันนั้นก็คือการสกดการันต์ เพราะอาลักษณ์ต่างก็เขียนศัพท์ต่างกันตามใจของตนเอง เช่นมิ หมิ มี หรือหมิ ไหม่หรือใหม่ ภูดาษหรือผู้ดาษ ค่าหรือข้า พบ ภบ หรือภพ สารหรือ สาน ฯลฯ เป็นต้น ข้อแตกต่างทางอักษรศาสตร์ที่มีบ่อย ๆ เช่นนี้มิได้หยิบยกขึ้นไว้ในเชิงอรรถ เพราะได้พิมพ์ตัวบทกฎหมายตามที่อาลักษณ์ต่างเขียนไว้[4] ผู้อ่านจึงจะมีโอกาสพบตัวอย่างแห่งวิธีเขียนต่าง ๆ นี้ แต่ข้อต่างอื่น ๆ ได้ทำเชิงอรรถไว้ทุกข้อ
ฉะบับที่ใช้ในการพิมพ์นี้ ได้อ้างตามเครื่องหมายที่ปรากฎอยู่ในบัญชีฉะบับหลวงของนาย ย. บูรเนย์ พิมพ์ไว้ในหนังสือของสยามสมาคม[5]
ในการพิมพ์นี้มิได้เรียงกฎหมายลักษณะต่าง ๆ ตามฉะบับพิมพ์ครั้งก่อน เพราะลำดับลักษณะกฎหมายในฉะบับพิมพ์ครั้งก่อนนั้นหาได้มาจากการปฏิบัติเก่าแก่อันใช้สืบเนื่องกันแต่เนิ่นนานมาไม่ ประการหนึ่งลำดับนี้ไม่ตรงกับลำดับมูลคดีในพระธรรมสาตร์ ทั้งไม่ตรงกับลำดับที่ฉะบับหลวงเรียงใส่ตู้ไว้ จะเห็นได้จากการที่กฎหมายลักษณะลักพาซึ่งในฉะบับหลวงเขียนรวมอยู่กับกฎหมายลักษณะมูลคดีวิวาท ในฉะบับพิมพ์กลับแยกเอาไว้คนละเล่ม ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่าลำดับกฎหมายในฉะบับพิมพ์หาได้อาศัยเรียงลำดับตามฉะบับหลวงไม่ อีกประการหนึ่งฉะบับหลวงที่เหลืออยู่ก็ไม่มีเครื่องหมายอันใดอันจะทำให้เชื่อว่าต้องเรียงตามลำดับอันหนึ่งอันใด
โดยเหตุเหล่านี้ ในการพิมพ์ครั้งนี้จึงได้พยายามเรียงลำดับกฎหมายตรา ๓ ดวงเพื่อให้สะดวกในการค้นหา ซึ่งจะได้พิมพ์เป็น ๓ เล่ม ในเล่ม ๑ รวมบทกฎหมายลักษณะทั่วไป กฎมณเฑียรบาล กฎหมายลักษณะปกครอง กฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลและพิจารณาคดี กล่าวคือบรรดาบทกฎหมายซึ่งเรียกว่ากฎหมายมหาชนในสมัยปัจจุบัน ในเล่ม ๒ รวมกฎหมายเอกชน และกฎหมายอาญา ส่วนเล่ม ๓ รวมกฎหมายซึ่งมิได้จัดอยู่ตามมูลคดี เช่นกฎหมายพระสงฆ์ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดเก่า ฯลฯ ซึ่งโดยมากเป็นบทกฎหมายที่ไม่สู้เก่าแก่เช่นกฎหมายที่รวมไว้ในเล่ม ๑ และเล่ม ๒
บทกฎหมายนเรียกตามชื่อที่เขียนอยู่หน้าปกสมุดฉะบับตรา ๓ ดวง ซึ่งบางบทผิดกับชื่อที่ได้เรียกกันมาตามฉะบับพิมพ์ เช่นกฎหมายที่เรียกกันว่า “กรมศักดิ์” และ “ลักษณะมูลคดีวิวาท” ตามฉะบับพิมพ์นั้น ณที่นี้ก็เรียกชื่อว่าพระไอยการพรมศักดิและพระไอยการบานผแนกตามชื่อในต้นฉะบับ ส่วนจ่าหน้าเรื่องนั้นก็ถือเอาตามชื่อย่อที่มีไว้ที่สันแห่งสมุด
ในการพิมพ์นี้ได้ขึ้นหัวข้อใหม่ตามสมควรอนุโลมตามอย่างเสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯ ทั้งได้มีเลขเรียงลำดับจนจบลักษณะกฎหมายนั้น เลขนี้เขียนเป็นเลขอาหรับเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการเพิ่มเติมของผู้พิมพ์ ในการลงเลขใหม่นี้ โดยมากก็ได้จัดเรียงให้เหมือนกับฉะบับของเสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯ เท่าที่จะทำได้ เมื่อจำเป็นจะต้องเปลี่ยน ก็ทำเป็นตารางแสดงไว้ในตอนท้ายเล่ม
ในฉะบับหลวงคำภาษาบาลีเขียนเป็นตัวหนังสือขอม ในการพิมพ์คราวนี้จึงได้ใช้ตัวพิมพ์บาง (ชะนิดที่เรียกว่าวัชชรินทร์) เพื่อให้เห็นชัดขึ้นทำนองฉะบับหลวง
ในการจัดพิมพ์กฎหมายตรา ๓ ดวงนี้ย่อมจะมีที่ผิดตกบกพร่องอยู่บ้าง เมื่อพิมพ์เสร็จแล้ว ก็ได้สอบทานกับต้นฉะบับอีกครั้งหนึ่ง และลงไว้ในใบบอกแก้คำผิด จึงขอผู้อ่านได้โปรดตรวจแก้ตามนั้น และถ้ายังมีข้อคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ก็ขอได้โปรดให้อภัยด้วย
ในที่สุดนี้ผู้จัดพิมพ์ขอแสดงความขอบใจนาย ย. บูรเนย์ ผู้ซึ่งได้ช่วยออกความเห็นและคำปรึกษา เป็นประโยชน์แก่การพิมพ์เป็นอย่างยิ่ง กับขอขอบใจนายสนั่น ภมรสูต ผู้ที่ได้ช่วยคัดสำเนาฉะบับหลวง อันเป็นปัจจัยให้การพิมพ์กฎหมายนี้ได้สำเร็จผลลุล่วงไปโดยสะดวก และขอขอบใจนางสาวเชิดชื่น[วซ 2] พุทธิแพทย์ ที่ได้ช่วยเหลือเอาใจใส่ทำคำบอกแก้คำผิดให้ ซึ่งนับว่าเป็นการบรรเทาภาระของผู้จัดพิมพ์หาน้อยไม่
สารบาญ | ||||
ประกาศพระราชปรารภ |
หน้า | ๑ | ||
พระธรรมสาตร |
” | ๗ | ||
หลักอินทภาษ |
” | ๓๕ | ||
กฎมณเทิยรบาล |
” | ๕๘ | ||
พระธรรมนูน |
” | ๑๓๐ | ||
พระไอยการพรมศักดิ |
” | ๑๖๑ | ||
พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน |
” | ๑๗๘ | ||
พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง |
” | ๒๒๙ | ||
พระไอยการบานผแนก |
” | ๒๗๒ | ||
พระไอยการลักษณรับฟ้อง |
” | ๒๙๔ | ||
พระไอยการลักษณภญาน |
” | ๓๒๘ | ||
พีสูทดำน้ำ พีสูทลุยเพลิง |
” | ๓๕๘ | ||
พระไอยการลักษณตระลาการ |
” | ๓๗๕ | ||
พระไอยการลักษณอุธร |
” | ๔๒๔ | ||
นามอาลักษณ์ผู้ชุบและสถานที่เก็บแห่งต้นฉะบับ |
” | ๔๔๑ | ||
ตารางเทียบเลขมาตราระหว่างฉะบับพิมพ์นี้กับฉะบับพิมพ์ของกรมหลวงราชบุรีฯ |
” | ๔๔๒ | ||
ใบบอกแก้คำผิด |
” | ๔๔๓ |
- ↑ มีฉะบับรองทรงที่เหลืออยู่ฉะบับหนึ่งซึ่งต่างกับฉะบับอื่น คือฉะบับที่มีกฎหมายลักษณะทาส ฉะบับนี้เขียนในปีฉลู จ.ศ. ๑๑๖๗ และมีอาลักษณ์สอบทาน ๓ คน ดุจเดียวกันกับฉะบับหลวง ผิดกันแต่ไม่ได้ประทับตรา ๓ ดวงเท่านั้น
- ↑ กฎหมายที่ไม่มีฉะบับหลวงเหลืออยู่เลย มีแต่ฉะบับรองทรงนั้น มีแต่ ๒ บท คือกรมศักดิ์ และลักษณะทาส
- ↑ ที่ว่าอาลักษณ์เขียนผิดนั้นคือที่อาลักษณ์เขียนเผลอไป ถ้าหากได้รู้สึกตัวก็คงจะได้แก้เอง ฉะนั้นเมื่ออาลักษณ์คนใดเขียนคำ ๆ หนึ่งหลายอย่างต่างกัน เช่นเขียนเนี้อและเนื้อ สกรรและสกัน กระทรวงและตระทรวง ขายและฃาย เงินและเงีน เป็นต้นดั่งนี้ เห็นว่าไม่ควรแก้ เพราะเป็นการเขียนตามความรู้สึกของอาลักษณ์คนนั้น หาใช่เขียนผิดไม่
- ↑ ชื่ออาลักษณ์เหล่านี้ได้แถลงไว้ในตารางตอนท้ายเล่ม
- ↑ J. Burnay, Inventaire des Manuscrits Juridiques Siamois, Journal of the Siam Society, vol. XXIII, XXIV, XXV.
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้ “แก้จำนวนที่แถลงไว้ว่า 79 เล่ม เป็น 80 เล่ม เก็บอยู่ณ⟨หอ⟩สมุดแห่งชาติ 43 เล่ม” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ มีใบบอกแก้คำผิดให้แก้ “เชิดชื่น” เป็น “เชื้อชื่น” (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)