พระราชบัญญัติยกเลิกวิธีพิจารณาโจรผู้ร้ายตามจารีตนครบาล ลงวันที่ 1 มีนาคม ร.ศ. 115
มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า วิธีพิจารณาโจรผู้ร้ายตามจารีตนครบาลซึ่งมีอยู่ในพระราชกำหนดกฎหมายตั้งมาแต่ปางก่อน คือ ในลักษณโจร เปนต้น แม้ผู้ต้องหาว่าเปนโจรผู้ร้ายมีข้อพิรุทธ์ฤๅมีผู้ร้ายให้การทอดซัดหลายปาก ถ้าแลผู้ต้องหาไม่รับ ผู้พิพากษาอาจจะใช้อาญาด้วยเครื่องเฆี่ยนเปนต้นกระทำแก่ผู้ต้องหาแลต้นซัดตามกฎหมายในกระบวนพิจารณากว่าจะได้ความเปนสัจฤๅมิเปนสัจประการใดดังนี้
ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า การที่ชำระฟอกซักผู้ต้องหาว่าเปนโจรผู้ร้ายด้วยใช้อาญาตามจารีตนครบาลนั้น แม้ในพระราชกำหนดกฎหมายมีข้อความจำกัดไว้เปนหลายประการเพื่อจะให้กระทำแต่เมื่อมีหลักฐานเปนสำคัญแล้วก็ดี ยังเปนเหตุให้เกิดการเสื่อมเสียในกระบวนพิจารณาได้มาก เพราะเหตุที่ผู้พิพากษาอาจจะพลาดพลั้งหลงลงอาญาแก่ผู้ไม่มีผิดให้เกิดบาปกรรมเปนต้น แลที่สุดแม้ถ้อยคำซึ่งผู้ต้องอาญาจะให้การประการใดที่จะฟังเอาเปนหลักฐานถ่องแท้ในทางยุติธรรมก็ฟังไม่ได้ ด้วยถ้อยคำเช่นนั้นอาจจะเปนคำสัจจริงฤๅคำเท็จซึ่งจำต้องกล่าวเพื่อจะให้พ้นทุกขเวทนาก็เปนได้ทั้งสองสถาน
ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า หลักฐานในทางพิจารณาอรรถคดีโดยยุติธรรมก็ย่อมอาศรัยสักขีพยานเปนใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งอื่น แลการพิจารณาความโจรผู้ร้ายแลคดีมีโทษหลวงทั้งปวงทุกวันนี้ ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขลักษณกระบวนพิจารณาแลลักษณพยานให้ดีขึ้น อาจจะชำระถ้อยความเอาความเท็จจริงได้รวดเร็วสดวกแก่แต่ก่อน ไม่จำเปนจะต้องใช้พิจารณาโดยจารีตนครบาลอันมีทางเสื่อมเสียยุติธรรมดังได้กล่าวมาแล้วนั้นอีกต่อไป
เพราะฉนั้น จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราเปนพระราชบัญญัติสืบไปว่า
มาตรา๑ให้ยกเลิกข้อความในกฎหมายซึ่งมีรายบทไว้ในตรางนี้ คือ
ลักษณ | บท | ว่าด้วย | |||||||
โจร | มาตรา | ๒๗ | เฆี่ยนถามโจร | ||||||
" | " | ๒๘ | " | " | |||||
" | " | ๒๙ | " | " | |||||
" | " | ๓๑ | " | " | |||||
" | " | ๓๔ | " | " | |||||
" | " | ๓๕ | " | " | |||||
" | " | ๓๖ | " | " | |||||
" | " | ๔๑ | จำ ๕ แล ๓ ประการโจรณคุก | ||||||
ตระลาการ | " | ๘ | มัดโยงคู่ความไม่ให้สมุด | ||||||
" | " | ๑๗ | ตบปากคู่ความ | ||||||
" | " | ๒๐ | ทวนคนกลาง | ||||||
" | " | ๒๑ | จำคาผู้ลเมิดกลางคัน | ||||||
" | " | ๓๑ | จำขื่อคาผู้ขาดผัด | ||||||
" | " | ๓๗ | จำขื่อผู้ไม่ลงเล็บสำนวน | ||||||
" | " | ๓๙ | จำขื่อผู้ขัดไม่ไปสืบ | ||||||
" | " | ๔๑ | จำขื่อผู้ขัดหมาย | ||||||
" | " | ๔๘ | มัดแช่น้ำตากแดดเร่งสินไหม | ||||||
" | " | ๕๒ | ตบปากผู้อุทธรณ์เกินกำหนด | ||||||
" | " | ๕๔ | มัดแช่น้ำตากแดดผู้ไม่ยอมทำผัด | ||||||
" | " | ๖๗ | จำขื่อผู้ฃาดนัด | ||||||
" | " | ๘๙ | จำขื่อแลทวนลูกความไม่ยอมแก้ความ | ||||||
" | " | ๑๐๙ | สับเสี่ยงผู้ฟ้องให้ส่งลูกสาว | ||||||
อุทธรณ์ | " | ๑๑ | สับเสี่ยงผู้ฟ้อง | ||||||
กฎ ๓๖ ข้อ | กฎ | ๗ | ตบปากลูกความผู้เถียง | ||||||
" | " | ๓๖ | จำขื่อผู้ร้ายที่ยังไม่รับ | ||||||
พระราช กำหนดเก่า |
" | ๔ | เฆี่ยน ๓ ยก | ||||||
" | " | ๖ | จำตัวจำนำไว้ณคุก | ||||||
" | " | ๕๒ | จำตากแดดผู้ฃาดผัด |
มาตรา๒ห้ามมิให้ข้าราชการผู้หนึ่งผู้ใดลงอาญาด้วยเครื่องเฆี่ยน เครื่องจำ ฤๅเครื่องทรมานอย่างอื่น แก่ร่างกายผู้ต้องหาว่าเปนโจรผู้ร้าย เพื่อจะฟอกซักเอาคำให้การด้วยประการหนึ่งประการใด แม้ขืนทำผิดพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้ถือว่า ผู้นั้นทำนอกทำเหนือพระราชโองการ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดกฎหมาย ให้ลงพระราชอาญาตามโทษานุโทษ
มาตรา๓ในการที่จะพิพากษาคดีมีโทษนั้น ให้ผู้พิพากษาพิเคราะห์เอาตามหลักฐานแลสักขีพยานบรรดามีในคดีนั้น ๆ ถ้าเห็นมีหลักฐานมั่นคงว่า ผู้ต้องหาเปนโจรผู้ร้าย ถึงจะรับเปนสัจฤๅมิรับประการใด ก็ให้พิพากษาโทษไปตามพระราชบัญญัติลักษณพยาน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๓ นั้นทุกประการ
ประกาศมาณวันที่ ๑ มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๕ เปนวันที่ ๑๐๓๓๘ ในรัชกาลปัตยุบันนี้
บรรณานุกรม
[แก้ไข]- "พระราชบัญญัติยกเลิกวิธีพิจารณาโจรผู้ร้ายตามจารีตนครบาล ลงวันที่ 1 มีนาคม ร.ศ. 115". (2439, 8 มีนาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 13, ตอน 48. หน้า 573–576.
งานนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นงานตามมาตรา 7 (2) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของประเทศไทย ซึ่งบัญญัติว่า
- "มาตรา 7 สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
- (1)ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
- (2)รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
- (3)ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
- (4)คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
- (5)คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตาม (1) ถึง (4) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น จัดทำขึ้น"