พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) (2502)/บทที่ 3
ครั้นถึงศักราช ๗๓๒ ปีจอโทศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเข้ามาแต่เมืองสุพรรณบุรี เสนาบดีกราบทูลว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จเข้ามา สมเด็จพระราเมศวรก็ออกอัญเชิญเสด็จเข้ามาพระนคร ถวายราชสมบัติ แล้วถวายบังคมลาขึ้นไปลพบุรี[1] ดังเก่า
ศักราช ๗๓๓ ปีกุนตรีนิศก สมเด็จพระบรมราชาเจ้า[2] เสด็จไปเอาเมืองฝ่ายเหนือ แลได้เมืองเหนือทั้งปวง
ศักราช ๗๓๔ ปีชวดจัตวาศก เสด็จไปเอาเมืองนครพังคาแลเมืองแซงเซรา
ศักราช ๗๓๕ ปีฉลูเบญจศก เสด็จไปเอาเมืองช้ากังราว แลพญาไช้แก้ว พระยากำแหงเจ้าเมือง ออกต่อรบท่าน ท่านได้ตัวพญาไช้แก้วตาย แต่พญากำแหงแลไพร่พลทั้งปวงหนีเข้าเมืองได้ ทัพหลวงก็เสด็จกลับคืนมาพระนคร
ศักราช ๗๓๖ ปีขาลฉศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า พระมหาเถรธรรมากัลญาณ แรกสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุฝ่ายบุรพทิศหน้าพระบันชั้นสิงห์สูง ๑๙ วา ยอดนภศูลสูง ๓ วา
ศักราช ๗๓๗ ปีเถาะสัปตศก เสด็จไปเอาเมืองพิษณุโลก แลได้ตัวขุนสามแก้วเจ้าเมือง กวาดครัวอพยพมาเป็นอันมาก
ศักราช ๗๓๘ ปีมะโรงอัฐศก เสด็จไปเอาเมืองช้ากังราวได้ พญากำแหงแลท้าวผากองคิดกันว่าจะยอทัพหลวง ทำมิได้ ท้าวผากองเลิกทัพหนี เสด็จยกทัพหลวงตามตี ทัพท้าวผากองแตก ได้ท้าวพญาเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แล้วทัพหลวงเสด็จกลับคืน
ศักราช ๗๔๐ ปีมะเมียสัมเรทธิศก ไปเอาเมืองช้ากังราวเล่า ครั้งนั้นมหาธรรมราชาออกมาถวายบังคม
ศักราช ๗๔๒ ปีวอกโทศก[3] เสด็จไปเอาเมืองเชียงใหม่ แลให้เข้าปล้นเมืองนครลำปางมิได้ จึงแต่งหนังสือให้เข้าไปแก่หมื่นนครให้เจ้าเมืองนครลำปางออกมาถวายบังคม แลทัพหลวงเสด็จกลับคืน
ศักราช ๗๔๔[4] ปีจอจัตวาศก สมเด็จบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จสวรรคต อยู่ในราชสมบัติ ๑๓ ปี