พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา (2455)/ภาค 1/บท 26
๏จึงเสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตาจารย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์เปนประธาน ปฤกษาพร้อมกันอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเชษฐาธิราชขึ้นราชาภิเศกครอบครองพระนครกรุงศรีอยุทธยาโดยราชประเพณี อยู่มาได้ ๗ วันพระพันปีศรีศิลป์ผู้เปนพระอนุชาทรงพระโกรธว่ามุขมนตรีมิได้ยกราชสมบัติให้ ก็พาพรรคพวกของพระองค์ลอบหนีไปยังเมืองเพ็ชรบุรี ซ่องสุมพวกพลจะยกเข้ามา สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัศทราบเหตุ ให้แต่งกองทัพออกไป พระพันปีศรีศิลป์มิทันได้จัดแจง กองทัพล้อมจับได้ กุมเอามาถวาย ทรงพระกรุณาให้ประหารชีวิตรเสียณวัดโคกพระยา แลชาวเมืองเพ็ชรบุรีที่เปนใจเข้าด้วยพระพันปีศรีศิลป์นั้น ให้เอาตัวเปนตะพุ่นหญ้าช้างทั้งสิ้น อยู่มา ๔ เดือนเศษมารดาเจ้าพระยากลาโหมถึงแก่กาลกิริยา แต่งการศพเสร็จแล้ว เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์ออกไปตั้งการปลงศพณวัดกุฏ ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนผู้ใหญ่ผู้น้อยออกไปช่วย นอนค้างอยู่เปนอันมาก ฝ่ายข้าหลวงเดิมพระเจ้าอยู่หัวกราบทูลยุยงเปนความลับว่า เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์ทำการครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หากเอาการศพเข้ามาบังไว้ เห็นทีจะคิดประทุษฐร้ายต่อพระองค์เปนมั่นคง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้มีวิจารณให้ถ่องแท้ ตกพระไทย ตรัศให้ชาวป้อมล้อมพระราชวังขึ้นประจำน่าที่ แล้วเตรียมทหารในไว้เปนกองกอง จึงดำรัศให้ขุนมหามนตรีออกไปหาตัวเจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์เข้ามา ขณะนั้นจมื่นสรรเพธภักดีสอดหนังสือลับไปก่อนว่า พระโองการจะให้หาเข้ามาดูมวย บัดนี้เตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว เมื่อเจ้าคุณจะเข้ามานั้น ให้คาดเชือกเข้ามาทีเดียว ครั้นขุนมหามนตรีออกไปถึง กราบเรียนว่า พระโองการให้หา เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์แจ้งการซึ่งจมื่นสรรเพธภักดีบอกไปสิ้นอยู่แล้ว จึงว่าขึ้นท่ามกลางขุนนางทั้งปวงว่า เราทำราชการกตัญญูแต่ครั้งพระพุทธเจ้าหลวงมา ท่านทั้งปวงก็แจ้งอยู่สิ้น แลเมื่อพระพุทธเจ้าหลวงสวรรคตแล้ว ถ้าเรารักราชสมบัติ ท่านทั้งหลายเห็นจะพ้นเราเจียวฤๅ ขุนนางทั้งปวงกราบแล้วจึงว่า ราชการทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่เท้าพระกรุณาสิ้น ที่จะมีผู้ใดขัดแขงนั้น ข้าพเจ้าทั้งปวงเห็นไม่มีตัวแล้ว เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์จึงว่า ท่านทั้งปวงจงเห็นจริงด้วยเราเถิด เรากตัญญู คิดว่าเปนลูกเจ้าเข้าแดง จึงเปนต้นคิดอ่านปฤกษามิให้เสียราชประเพณี ยกราชสมบัติถวายแล้ว ยังหามีความดีไม่ ฟังแต่คำคนยุยง กลับจะมาทำร้ายเราผู้มีความชอบต่อแผ่นดินอิกเล่า ท่านทั้งปวงจะทำราชการไปข้างน่า จงเร่งคิดเถิด ขุนนางทั้งนั้นกราบแล้วว่า อันพระกรุณาว่านี้ควรหนักหนา เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์ดูท่วงทีขุนนางทั้งปวง เห็นยังไว้อารมณ์เปนกลางอยู่ มิลงใจเปนแท้ จึงร้องสั่งทลวงฟันให้กุมเอาตัวขุนมหามนตรีแลบ่าวไพร่ซึ่งพายเรือมานั้นไว้ให้สิ้น ทลวงฟันก็กรูกันจับเอาขุนมหามนตรีแลไพร่ไปคุมไว้ ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้น ต่างคนตกใจหน้าซีดลงทุกคน เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์เห็นดังนั้นจึงว่า บัดนี้พระเจ้าแผ่นดินว่าเราทำการประชุมขุนนางพร้อมมูลทั้งนี้คิดการกระบถ ก็ท่านทั้งปวงซึ่งมาช่วยโดยสุจริตนั้นจะมิพลอยเปนกระบถด้วยฤๅ ขุนนางทั้งปวงพร้อมกันกราบเรียนว่า เปนธรรมดาอยู่แล้ว อุประมาเหมือนนิทาน บรมโพธิสัตวเปนนายสำเภา คนทั้งหลายโดยสานไปค้า ใช้ใบไปถึงท่ามกลางมหาสมุท ต้องพยุใหญ่ สำเภาจะอับปางอยู่แล้ว บรมโพธิสัตวจึงคิดว่า ถ้าจะนิ่งอยู่ดังนี้ ก็จะพากันตายเสียสิ้นทั้งสำเภา จึงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า ถ้าอาตมาจะสำเร็จแก่พระบรมโพธิญาณ ขออย่าให้สำเภาอับปางในท้องพระมหาสมุทเลย เดชะอานุภาพบารมีบรมโพธิสัตว สำเภาก็มิได้จลาจล แล่นล่วงไปถึงประเทศธานีซึ่งจะไปค้านั้น ก็เหมือนกาลอันเปนครั้งนี้ ถ้าเท้าพระกรุณานิ่งตาย คนทั้งหลายก็จะพลอยตายด้วย ถ้าเท้าพระกรุณาคิดการรอดจากความตาย คนทั้งปวงก็จะรอดด้วย เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์ได้ฟังขุนนางว่าดังนั้น หัวเราะแล้วว่า เจ้าแผ่นดินว่าเราเปนกระบถแล้ว เราจะทำตามรับสั่ง ท่านทั้งปวงจะว่าประการใด ขุนนางทั้งปวงกราบแล้วจึงว่า ถ้าเท้าพระกรุณาจะทำการใหญ่จริง ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอเอาชีวิตรสนองพระคุณตายก่อน เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์เห็นขุนนางลงใจพร้อมโดยสุจริต ก็จัดแจงเปนหมวดเปนกองกำหนดกฎหมายกันมั่นคง ครั้นเพลาชายสามโมงเศษ จุดเพลิงเผาศพเสร็จแล้ว ได้อุดมฤกษเวลา เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์ก็ลงเรือพร้อมด้วยเรือขุนนางทั้งปวงสักร้อยลำ คนประมาณสามพันเศษ สรรพด้วยเครื่องสาตราาวุธ ล่องมาขึ้นประตูไชย วันนั้นเปนเสารวาร เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์ใส่เสื้อดำกางเกงดำขี่ม้าดำ ขุนนางแลไพร่ตามมาเปนอันมาก ครั้นถึงน่าพระกาล จึงลงจากม้า ตั้งสัตย์อธิษฐานว่า ข้าพเจ้าปราถนาพระโพธิญาณ ถ้าจะสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเปนแท้ จะยกเข้าไปล้างผู้อาสัตย์ ขอให้สำเร็จดังปราถนา เสร็จอธิษฐานแล้ว เวลาพลบค่ำจึงมาตั้งชุมพลอยู่ณวัดสุทธาวาศ ครั้นเพลา ๘ ทุ่ม นั่งคอยฤกษ์พร้อมกัน เห็นพระสาริริกธาตุเสด็จมาแต่ปัจจิมทิศผ่านไปปาจิณทิศ ได้นิมิตรเปนมหามงคลฤกษ์อันประเสริฐ ก็ยกพลมาเข้าประตูมงคลสุนทร ให้ทหารเอาขวานฟันประตูเข้าไปได้ ด้วยเดชะกฤษฎาภินิหารใหญ่ยิ่ง หามีผู้ใดจะออกต่อต้านมิได้ ก็กรูกันเข้าไปถึงท้องสนามใน ข้าหลวงเดิมซึ่งนอนเวรประจำซองร้องกราบทูลเข้าไปว่า เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์ยกเข้ามาได้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินได้ฟัง ตกพระไทยนัก มิได้คิดอ่านที่จะต่อสู้ ออกจากพระราชวังกับพวกข้าหลวงเดิม ลงเรือพระที่นั่งหนีไป เจ้าพระยากลาโหมเข้าในพระราชวังได้ รู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินหนี สั่งให้พระยาเดโช พระยาท้ายน้ำ ไปตามแต่ในเพลากลางคืนวันนั้น รุ่งขึ้นเช้าพระยาเดโช พระยาท้ายน้ำ ทันพระเจ้าแผ่นดินณปากโมกน้อย ล้อมจับมาได้ เจ้าพระยากลาโหมสุริวงษ์สั่งให้เอาไปสำเร็จโทษตามประเพณีกระษัตริย์ พระเชษฐาธิราชอยู่ในราชสมบัติปีหนึ่งกับเจ็ดเดือน.