ข้ามไปเนื้อหา

ราชาธิราช (2432)/เล่ม 4

จาก วิกิซอร์ซ
ราชาธิราช
เล่ม ๔
ยี่สิบห้าสตางค์ต่างรู้ท่านผู้ซื้อ
ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะเพราะนักหนา
ราษฎร์เจริญโรงพิมพ์ริมมรรคา
เชิญท่านมาซื้อดูคงรู้ดี
ได้ลงพิมพ์คราวแรกแปลก ๆ เรื่อง
อ่านแล้วเปลื้องความทุกข์เปนศุกขี
ท่านซื้อไปอ่านฟังให้มั่งมี
เจริญศรีศิริสวัสดิ์พิพัฒน์เอย
วัด รัตนโกสินทร์ เกาะ
ศก ๑๐๘

๏ หน้าต้น ๚ะ
๏ ราชาธิราช เล่ม ๔ ๚ะ

ตั้งแต่พระยาน้อยพาตะละแม่ท้าวหนีไปเมืองตะเกิง พระเจ้าช้างเผือกให้ตามไปจับตัวมาได้ทั้งสองคน ให้จำโทษไว้ ไปจนถึงสมิงมะราหูกับพระมหาเทวีทำชู้กัน ๚ะ


ฝ่ายกองทัพพระเจ้าช้างเผือกตั้งอยู่ในหว่างศึกกระหนาบ มิอาจไหวตัวได้ ฝ่ายสมิงมะละคอนซึ่งเปนน้องสมิงเลิกพร้านั้นอยูข้างพระเจ้าช้างเผือก จึงกราบทูลพระเจ้าช้างเผือกว่า พี่ข้าพเจ้าเปนขบถต่อพระองค์ ตัวข้าพเจ้าหาเปนขบถด้วยไม่ ข้าพเจ้าจะขอทำราชการฉลองพระเดชพระคุณไปกว่าจะสิ้นชีวิตร์ บุตร์ภรรยาของข้าพเจ้าจะขอไว้ใต้ลอองธุลีพระบาท ตัวข้าพเจ้าจะขอรับพระราชทานไปอยู่เมืองหลากแหลก จะขอต่อด้วยสมิงเลิกพร้า มิให้สมิงเลิกพร้ามาย่ำยีได้ คำข้าพเจ้ากราบทูลนี้ ถ้าพระองค์มิไว้พระไทย ข้าพเจ้าขอถวายความสัตย์ไว้ จะขอรับพระราชทานโลหิตในพระบาทแห่งพระองค์ ครั้นพระเจ้าช้างเผือกทราบแล้ว ก็ให้มะละคอนกระทำความสัตย์กินโลหิตพระบาท จึงพระทาชทานให้ชื่อว่า สมิงสามปราบ ให้กินเมืองหลากแหลก ครั้นสมิงสามปราบได้กินเมืองหลากแหลกแล้ว สมิงเลิกพร้าผู้พี่รู้ข่าวไป ก็ยกกองทัพมาตีสมิงสามปราบ สมิงสามปราบผู้น้องก็รบต้านทานอยู่ได้ แต่พระเจ้าช้างเผือกให้ไปตีเมืองเมาะตะหมะถึงสองครั้ง ๆ หนึ่ง พระตะเบิดเปนนายทัพไปตี ก็ถูกยาพิศม์ถึงแก่ความตาย กองทัพก็เลิกกลับมา อีกครั้งหนึ่ง ให้ไชยสุระไปตี ก็ถูกเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตาย กองทัพก็เลิกกลับมา ตั้งแต่นั้น ไม่ให้ยกไปตีเลย ตั้งมั่นอยู่ณเมืองวาน ๚ะ

ฝ่ายพระตะบะกับญาติวงษ์ทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองเมาะตะหมะนั้นจึงปรึกษากันว่า พระเจ้าช้างเผือกตั้งมั่นอยู่ณเมืองวาน เราท่านทั้งปวงหาความศุขไม่ ครั้นจะยกกองทัพไปตีโดยกำลัง ก็เห็นจะกระทำมิได้ เราคิดจะไปขอกองทัพพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ยกลงมาช่วยตีกระหนาบ เห็นจะได้มีไชยชำนะฝ่ายเดียว ครั้นคิดพร้อมกันแล้ว จึงให้จัดแจงแหวนพลอยอันมีค่าต่าง ๆ ทองคำ กับสักระหลาดแพรม้วนหนึ่ง ผ้าศรีหร่ำโมรี เปนเครื่องราชบรรณาการ แล้วให้แต่งพระราชสารไปถึงพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ ในพระราชสารนั้นว่า ข้าพเจ้า พระตะบะ ขอน้อมเศียรเกล้าถวายบังคมพระบาทยุคลสมเด็จพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ให้แจ้ง ด้วยแต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้าเปนข้าพระเจ้าช้างเผือกมานานแล้ว ทุกวันนี้ น้ำใจขุ่นหมอง ข้าพเจ้าจะนอนที่ใด ก็ผินเท้าไปข้างพระเจ้าช้างเผือก ผินศีร์ษะมาข้างพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ ฝ่ายพระเจ้าช้างเผือกก็ยกไปตั้งอยู่ณเมืองวาน ได้ทำสงครามรบพุ่งติดพันกันมาหลายครั้ง ยังหาแพ้ชนะกันไม่ ข้าพเจ้าจะขอรับพระราชทานกองทัพสมเด็จพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ยกมาช่วยตั้งอยู่ที่สะเติงเปนทัพกระหนาบ เห็นว่า กองทัพพระเจ้าช้างเผือกจะพ่ายหนีไป ถ้าข้าพเจ้าได้เปนใหญ่ในเมืองเมาะตะหมะแล้ว ชีวิตร์ข้าพเจ้ายังมีอยู่ตราบใด อันเมืองเมาะตะหมะนี้ ข้าพเจ้าขอถวายไว้ใต้ฝ่าพระบาทขึ้นแก่เมืองเชียงใหม่ ๚ะ

ฝ่ายพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่รับเครื่องราชบรรณาการแล้ว ก็มีหนังสือตอบมาว่า จะยกกองทัพลงมาช่วยพระตะบะ ครั้นพระเจ้าช้างเผือกแจ้งว่า พระตะบะให้ไปขอกองทัพพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ ๆ จะยกมาช่วยพระตะบะ จึงตรัสปฤกษาด้วยเสนาบดีว่า กองทัพเมืองเชียงใหม่จะยกมาตั้งเมืองสะเติง จะคิดประการใดดี เสนาบดีกราบทูลว่า สงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ด้วยว่ากองทัพเมืองเชียงใหม่ยกลงมาตั้งเมืองสะเติง ถ้ากองทัพยกเข้าตีเปนสองทัพตีกระหนาบเข้ามา พระตะบะจะมีน้ำใจกำเริบ ก็จะตีหักเข้ามาได้ ฝ่ายทัพข้างเราจะขัดสนนัก ขอเชิญเสด็จพระองค์ยกกองทัพไปตั้งเมืองพะโคก่อน ผ่อนเอากำลังไว้ พระเจ้าช้างเผือกจึงตรัสว่า ถ้าเราจะยกไปตั้งเมืองพะโคแล้ว เมืองเมาะตะหมะนี้จะมิได้เปนสิทธิ์แก่พระตะบะหรือ เสนาบดีทั้งปวงจึงทูลว่า ถ้าพระองค์มิยกไป จะตั้งมั่นอยู่ณเมืองวานนี้ ก็เห็นจะได้อยู ข้าพเจ้าจะอุปะมาถวาย อันธรรมดาไฟไหม้ปัถพีร้อน ถึงจะมีของดีเปนที่รัก ก็จำจะเปนรองเท้าเหยียบไป จึงจะหนีเพลิงซึ่งร้อนได้ บัดนี้ ก็มีศึกสงครามมา จะทำอันตรายแก่บ้านเมืองแห่งเรา อันประเพณีศึก จะหย่อนกำลังหารเหือดลงนั้น ก็เปนต้นด้วยโลกีย์เปนที่ตั้ง จึงจะเกิดกำหนัดตัดความหารเหือดลงได้ พระองค์มีพระราชธิดาอยู่ ขอให้แต่งตะละแม่ศรีไปอ่อนน้อมแก่พระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ เห็นการสงครามก็จะเหือดหายไปเปนมั่นคง ๚ะ

ครั้นพระเจ้าช้างเผือกได้ฟังถ้อยคำอำมาตย์แพรจอกราบทูลดังนั้น ก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งพระธิดา แลเครื่องราชบรรณาการ กับช้างพลายห้าช้าง ขึ้นไปถวายพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ ๆ ก็ดีพระไทยหนัก มิได้ยกทัพลงมา แต่พระเจ้าช้างเผือกเสวยราชสมบัติในเมืองเมาะตะหมะได้สิบห้าปี พระตะบะแขงเมืองอยู่ได้หกปี ครั้นอยู่มา ฝ่ายนางจันทมังคละ พระอรรคมเหษีพระเจ้าช้างเผือก ประชวรหนัก จึงกราบทูลพระเจ้าช้างเผือกว่า หลานของข้าพเจ้า คือ มะยีกำกอง คนนี้ ข้าพเจ้ารักดังบุตร์ในอุธร ไปภายน่าพระองค์อย่าได้รังเกียจ ข้าพเจ้าขออะไภยในมะยีกำกองเปนอันขาดทีเดียว พระองค์ทรงพระเม็ตตาแก่ข้าพเจ้าฉันใด จงทรงพระเม็ตตาแก่มะยีกำกองฉันนั้น พระเจ้าช้างเผือก ครั้นได้ทรงฟัง พระองค์มิได้ตรัสประการใด ครั้นอยู่มา นางจันทะมังคะละผู้เปนอรรคมเหษีพระเจ้าช้างเผือกถึงแก่พิลาไลยไปสู่ปะระโลกย์ ครั้งนั้น พอบุตร์อำมาตย์แพรจอนั้นถึงแก่ความตายด้วย แลอำมาตย์แพรจอซึ่งเปนบิดานั้นเปนที่คิดอ่านราชการแก่พระเจ้าช้างเผือก ๆ จึงสั่งให้โกนศีร์ษะสิ้นทั้งเมือง ๚ะ

ฝ่ายพระตะบะรู้ จึงแต่งอายพะบูญ ผู้น้อง คุมไพร่ห้าร้อยโกนศีร์ษะสิ้นทุกคน ให้ปลอมไปปล้นเอาเมืองวาน อายพะบูญจึงยกพลห้าร้อยกับช้างพลายร้อยหนึ่ง ครั้นกลางวันเข้าซุ่มซ่อนอยู่ในป่า กลางคืนก็เร่งรีบไปก่อนสว่าง เวลาเช้าตรู่ ชาวบ้านเมืองเปิดประตู ก็ปลอมเข้าไป นายประตูแลชาวเมืองทั้งปวงหาทันสงไสยไม่ ครั้นเข้าไปในเมืองได้ ก็คุมกันเปนกองทัพไล่ตีทั่วทั้งเมือง ชาวเมืองก็ตื่นแตกกระจัดพรัดพรายไป ๚ะ

ฝ่ายพระเจ้าช้างเผือกเสด็จขึ้นช้างพังตัวหนึ่ง ก็ขับช้างหนีไปแต่กับนายช้างคนหนึ่ง พวกพลทหารตามมิทัน ครั้นถึงคลองอันหนึ่ง ช้างลงข้ามคลอง ติดโคลน ถอนเท้ามิขึ้น นายช้างจึงเข้าแบกเอาพระเจ้าช้างเผือกพารีบเข้าป่าฝ่าพง เมื่อพระเจ้าช้างเผือกอยู่บนหลังนายช้างพาไปนั้น เห็นสิ่งใดก็ถามเนือง ๆ ฝ่ายควานช้างซึ่งแบกพระเจ้าช้างเผือกมานั้นเหนื่อย พระเจ้าช้างเผือกถามสิ่งใด ก็พูดบ้างนิ่งเสียบ้าง ครั้นพระเจ้าช้างเผือกถามเซ้าซี้ไป ก็โกรธ จึงว่าเปนคำฉกรรจ์ว่า พระยาอู่ ผัวมหาเทวี ข้าศึกตามมาไม่เปนทุกข์ มาถามเซ้าซี้อยู่อีกเล่า พระเจ้าอู่ได้ฟังควานช้างว่าดังนั้น ก็ขัดพระไทย มิได้ถามนายช้างต่อไปเลย ครั้นมาถึงตำบลกะยัดแตะ เสนาพฤฒามาตย์ราชปะโรหิตทั้งปวงพาเอาพระอรรคมเหษี พระราชบุตร์ พระราชธิดา แลนางนักสนมทั้งปวงมาทันพระเจ้าช้างเผือกพร้อมกัน พระเจ้าช้างเผือกมิได้เสด็จกลับมาเมืองวาน ยกตรงไปเมืองพะโคทีเดียว ครั้นถึงเมืองพะโคแล้ว พระมหาเทวี ซึ่งเปนพระเจ้าพี่นางอยู่ณเมืองตะเกิง รู้ข่าวไป ก็เสด็จขึ้นมา ครั้นมาถึง ก็เข้ากอดเอาพระเจ้าช้างเผือกผู้เปนพระราชอนุชา ก็ทรงพระกันแสงรักกัน ครั้นส่างโศกแล้ว จึงพระเจ้าช้างเผือกพระราชทานรางวัลแก่ทหารซึ่งตามเสด็จมานั้นตามยศถาศักดิ์โดยสมควร แต่นายช้างผู้เดียวพระเจ้าช้างเผือกมิได้พระราชทานสิ่งอันใด พระมหาเทวีจึงว่า นายช้างนั้นมีคุณแก่พระองค์เปนอันมาก พาพระองค์มาถึงพระนคร ได้ความชอบ น่าจะปูนบำเหน็จให้มากกว่าคนอื่น จึงจะควร พระเจ้าช้างเผือกตรัสว่า คุณมันมีก็จริง แต่ว่าโทษมันกระทำไว้ เมื่อมันพาข้าพเจ้ามากลางทาง มันด่าว่าข้าพเจ้าเปนผัวพระพี่นาง ข้าพเจ้าจะฆ่าเสียอีก เหตุว่ามีคุณได้พามา จึงไม่ประหารชีวิตร์เสีย แต่เท่านี้ก็เปนว่าแทนคุณอยู่แล้ว พระเจ้าช้างเผือกก็มิได้พระราชทานสิ่งใดแก่นายควานช้าง ๚ะ

พระมหาเทวีจึงขอเอานายช้างไปเลี้ยงไว้ ศักราชได้ ๗๒๐ ปี พระเจ้าช้างเผือกไปอยู่เมืองพะโค แลเมืองพะโคนั้น แต่ก่อนกษัตริย์ได้เสวยราชสมบัติเปนลำดับกันมาแต่พระเจ้าสักกระทัตร์ จนถึงพระเจ้าดิศราชซึ่งได้สร้างเจดีย์กะลอมปอนนั้น เปนสิบเจ็ดพระองค์ด้วยกัน ครั้นพระยาดิศสวรรคตแล้ว ก็สิ้นเชื้อวงษ์กษัตริย์มา ครั้นอะขะมะมอญได้เปนกษัตริย์ในเมืองพะโค มาจนถึงพระเจ้าตราพระยาได้เปนกษัตริย์ในเมืองพะโค ก็บริบูรณ์ขึ้น ต่อเมื่อพระยาอู่พระเจ้าช้างเผือกยกไปสร้างนครขึ้น จึงคืนคงเปนราชธานีใหญ่ แต่นั้นมา ก็มีเชื้อราชวงษ์ได้เสวยราชย์สืบกันมาตราบเท่าบัดนี้ ๚ะ

ฝ่ายสมิงชีพราย ซึ่งได้กินเมืองทะละนั้น ถึงแก่ความตาย เมืองทะละนั้น พระยาอู่พระเจ้าช้างเผือกพระราชทานให้แก่มะยีกำกอง แลมะละคอน ผู้เปนน้องสมิงเลิกพร้านั้น พระเจ้าช้างเผือกพระราชทานให้กินเมืองหลากแหลก มะสาม ผู้เปนน้องสมิงชีพราย ซึ่งพระเจ้าช้างเผือกให้เปนสมิงสามแหลก ไปกินเมืองตักคลานั้น รู้ข่าวว่า สมิงมังโร บุตร์พระตะบะ ตาย ให้ชาวเมืองนครเพนแลเมืองเมาะตะหมะโกนผมสิ้น จึงจัดแจงทหารสามร้อยคน ให้โกนผมดังชาวเมืองเมาะตะหมะแลเมืองนครเพน แล้วสมิงสามแหลกขี่ช้างนำมาตัวหนึ่งชื่อ พรายปราบ คุมทหารสามร้อยยกไปถึงเมืองวานในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้า ชาวเมืองเปิดประตู ก็ปลอมเข้าไปได้ในเมืองวาน ไล่ฆ่าฟันผู้คนชาวเมืองแตกกระจัดพรัดพรายสิ้น นายสร่วยบ้าน ซึ่งสมิงพระตะบะตั้งไว้ให้รักษาเมืองวาน สมิงสามแหลกจับตัวได้ฆ่าเสีย สมิงสามแหลกก็ตั้งอยู่ณเมืองวาน แล้วมีหนังสือบอกมาถึงพระเจ้าช้างเผือก ๆ ได้ทราบว่า สมิงสามแหลกตีเมืองวานได้ ก็ทรงพระโสมนัศยินดีพระไทยนัก จึงพระราชทานสิ่งของเครื่องสำหรับบรรดาศักดิ์ไปแก่สมิงสามแหลก ๆ ได้กินเมืองวานแต่วันนั้นมา พระยาอู่พระเจ้าช้างเผือกจึงโปรดให้อายทนายสูนั้นไปกินเมืองตักคลาแทนสมิงสามแหลก

ขณะเมื่อพระเจ้าช้างเผือกยังเสด็จอยู่ณเมืองเมาะตะหมะนั้น ยีกองสิน ผู้เปนหลานนางจันทะมังคะละ ตาย พระเจ้าช้างเผือกเอานางมุเตียว ซึ่งพระราชทานให้มังลังกา ผู้เปนยีกองสิน ซึ่งถึงอสัญกรรม คืนมาเลี้ยงเปนพระสนมเอก ให้ชื่อ นางศิริมายา มีราชบุตร์ด้วยพระเจ้าช้างเผือกพระองค์หนึ่ง ลิ้นนั้นรอยเปนจักร์ จึงให้ชื่อ มังสุระมะณีจักร์ นางศิริมายา ผู้เปนพระราชมารดา ถึงแก่สวรรคาไลย แต่มังสุระมะณีจักร์กุมารยังเยาว์อยู่ พระเจ้าช้างเผือกจึงให้มหาเทวี ผู้เปนพระเจ้าพี่นางเธอ เอามังสุระมะณีจักร์กุมารไปเลี้ยงไว้ ครั้นมังสุระมะณีจักร์ทรงพระจำเริญใหญ่ขึ้นมา พระเจ้าช้างเผือกจึงให้ชื่อ พระยาน้อย อยู่มา พระมหาเทวีพาขึ้นไปบนพระราชเรือนหลวง ครั้นพระเจ้าช้างเผือกทอดพระเนตรเห็นแล้ว จึงตรัสแก่พระสนมซึ่งอยู่งานว่า อ้ายพระยาน้อยนี้มันเปนบุตร์ของกูก็จริง แต่ว่ารูปร่างมันหาเหมือนกูไม่ ผมก็หยิก น่องทู่ ตาพอง ลักษณะคนสามหาวหยาบช้าใจฉกรรจ์ แต่พระเจ้าช้างเผือกตรัสประภาษฉะนี้เปนเนือง ๆ ๚ะ

ฝ่ายนางมุชีพ พระสนมเอก ซึ่งชื่อว่า สะริราชาเทวี นั้น มีพระราชบุตร์ด้วยพระเจ้าช้างเผือกองค์หนึ่งชื่อ พ่อขุนเมือง รูปร่างงาม พระเจ้าช้างเผือกชอบพระไทย มีความเสน่หารักใครมากนัก ฝ่ายนางมุถ่อ พระสนมเอก ซึ่งพระเจ้าช้างเผือกให้ชื่อ นางมหาจันทะเทวี นั้น มีพระราชบุตรีด้วยพระเจ้าช้างเผือกองค์หนึ่งชื่อ ตะละแม่ท้าว แลนางอำเตียว พระสนม มีพระราชบุตรีด้วยพระเจ้าช้างเผือกองค์หนึ่งชื่อ ตะละแม่ศรี ๆ นี้ พระเจ้าช้างเผือกถวายขึ้นไปแก่พระเจ้าเชียงใหม่เมื่อครั้งพระตะบะแข็งเมืองนั้น พระเจ้าเชียงใหม่มิได้เอาพระไทยนำพา ตะละแม่ศรีมีพระไทยเดือดร้อนเปนนิจ รู้ข่าวลงมาถึงพระเจ้าช้างเผือก ๆ ก็ทรงพระวิตกถึงพระราชธิดา มีพระไทยเดือดร้อนนัก จึงทรงพระราชดำริห์ว่า พระราชธิดาของเราไปถวายแก่พระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ แลมาได้ความเดือดร้อนทั้งนี้ ก็เพราะสมิงเลิกพร้าแลพระตะบะคิดมิชอบ ๆ จำจะระงับความโกรธสมิงเลิกพร้า พระตะบะ เสีย เอาใจดีต่อกันทั้งสอง จึงจะคลายความเดือดร้อนทั้งนี้ได้ ทรงพระราชดำริห์แล้ว พระเจ้าช้างเผือกจึงให้มีหนังสือไปถึงพระตะบะแลสมิงเลิกพร้าว่า แต่ก่อน เมืองเมาะตะหมะเปนราชธานีใหญ่ พระเจ้าฟ้ารั่ว ผู้เปนสมเด็จพระอัยกาธิราชแห่งเรา ได้เสวยราชสมบัติเปนพระเจ้าช้างเผือกสืบกันมาถึงเจ็ดพระองค์แล้ว จะได้ยินว่าพระราชบุตร์พระราชนัดดาตกไปเปนข้าท้าวพระยาเมืองใดหามิได้ แลบัดนี้ ตัวท่านทั้งสอง ผู้เปนข้าหลวงเดิมมาแต่ครั้งสมเด็จพระราชบิดาเรา คิดมิชอบ จึงต้องถวายพระราชธิดาเราไปแก่พระมหาราชเจ้าเมืองเชียงใหม่ บัดนี้ อายุเราชรา แม้นถึงแก่สวรรคาลัยแล้ว ลูกเราอันเชื้อวงษ์พระเจ้าช้างเผือกแลเปนเจ้าท่านทั้งหลายไปเปนข้าท่านผู้อื่นได้ทุกข์ยากอยู่ฉะนี้ ท้าวพระยามหากษัตริย์ผู้มีปัญญาทั้งปวงซึ่งได้รู้ จะติเตียนท่านทั้งสองหรือ ๆ จะยกยอสรรเสิญท่าน ฝ่ายหน้าไป ท่านทั้งสองจะคิดประการใดให้บอกมา พระตะบะแลสมิงเลิกพร้า ครั้นได้ฟังพระราชโองการพระเจ้าช้างเผือกให้ไปนั้นแจ้งทุกประการแล้ว จึงมีหนังสือตอบมาถึงพระเจ้าช้างเผือกว่า ข้าพระพุทธเจ้า เลิกพร้า พระตะบะ ทั้งสองนี้ ขอกราบถวายบังคมมาในฝ่าพระบาทยุคลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ด้วยข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองนี้เปนข้าพระพุทธเจ้าอยู่หัว ๆ ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาจนได้เปนดี มีอิศริยยศสมบัติด้วยเดชเดชานุภาพพระเจ้าอยู่หัว ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าทั้งสองก็มีความกะตัญญูต่อใต้ฝ่าพระบาท คิดจะฉลองพระเดชพระคุณอยู่เนือง ๆ แลบัดนี้ มีผู้เอาความมิดีมากล่าวยุยงลงโทษข้าพเจ้า พระผู้เปนเจ้าก็มิได้เอาคดีประภาษแก่ข้าพเจ้าให้เห็นคุณแลโทษประการใด ข้าพเจ้าทั้งสองกลัว จึงคิดกันแขงเมืองไว้ฉะนี้ เพื่อจะรักษาชีวิตร์ข้าพเจ้า ๆ มิได้คิดที่จะชิงราชสมบัติในพระองค์เลย อนึ่ง เมืองเมาะตะหมะแลเมืองมองมะละที่ข้าพเจ้าทั้งสองอยู่นี้ ครั้นพระเจ้าอยู่หัวมิได้ให้มากระทำให้เดือดร้อนแก่ข้าพเจ้าทั้งสองแล้ว สัตรูข้าพเจ้าทั้งสองก็จะเปนสัตรูของพระองค์ สัตรูของพระองค์ก็จะเปนสัตรูข้าพเจ้าทั้งสอง ดุจหนึ่งแต่ก่อนมา ข้าพเจ้าทั้งสองจะขอกินน้ำพระพิพัฒน์สัตยา คงเปนข้าฝ่าพระบาทดุจหนึ่งแต่ก่อนมา แล้วพระราชบุตรีซึ่งตกไปอยู่ในเมืองเชียงใหม่นั้น ตกพนักงานข้าพเจ้าทั้งสองจะขอคิดเอามาถวายจงได้ ๚ะ

พระเจ้าช้างเผือก ครั้นได้ฟังสมิงพระตะบะแลสมิงเลิกพร้าว่าดังนั้น ก็มีพระไทยยินดีนัก จึงพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัตยาไปให้แก่สมิงพระตะบะแลสมิงเลิกพร้า แล้วก็มิได้กระทำการยุทธนารบพุ่งกันสืบไปเลย ครั้นอยู่มา พระตะบะให้แต่งเครื่องราชบรรณาการ ทองคำหนักสามชั่ง ช้างพลายสี่ช้าง สมิงเลิกพร้าให้จัดทองคำหนักสามชั่ง ช้างพลายสี่ช้าง พระเจ้าช้างเผือกให้แต่งกำมะหยี่ สักหลาด ผ้าเขียนกาษาแลตะรางยกเปนตัวนาค แล้วให้เสวกคุมเครื่องราชบรรณาการขึ้นไปถวายแก่พระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ ในหนังสือนั้นว่า ข้าพเจ้าสมิงเลิกพร้า สมิงพระตะบะ ขอกราบถวายบังคมมายังฝ่าพระบาท สมเด็จพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ ให้ทรงทราบ เดิมเปนกำม์เข้าดลใจแห่งข้าพเจ้าให้เชื่อฟังถ้อยคำคนยุยง จึงได้รบพุ่งผิดกันกับพระเจ้าช้างเผือก ผู้เปนเจ้าของข้าพเจ้าทั้งสอง จนพระเจ้าช้างเผือกวิโยคพลัดพรากจากราชธานี ต้องถวายพระราชธิดามาพระนครเชียงใหม่นั้น ก็เพราะข้าพเจ้าทั้งสอง แลบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งสองคิดเห็นคุณแลโทษแล้ว ๚ะ

ฝ่ายพระเจ้าช้างเผือก็มิได้มีพระไทยพิโรธแก่ข้าพเจ้าทั้งสองแล้ว แลแผ่นดินเมืองพะโค เมืองเมาะตะหมะ ก็เปนฉันข้าเจ้ากัน ปรกติดุจหนึ่งแต่ก่อนแล้ว แลทุกวันนี้ ข้าพเจ้าทั้งสองวิตกอยู่ด้วยตะละแม่ศรี ซึ่งเปนพระลูกเจ้าของข้าพเจ้าทั้งสองนั้น ต้องพลัดพรากจากพระนครเพราะข้าพเจ้าทั้งสอง มิทุกข์ก็เหมือนทุกข์ มิยากก็เหมือนยาก ข้าพเจ้าทั้งสองขอรับพระราชทานตะละแม่ศรี พระราชธิดา คืนไปถวายพระเจ้าช้างเผือก จะได้พร้อมด้วยพระญาติวงษ์ทั้งปวง แลเมืองพะโคกับเมืองเชียงใหม่ทางพระราชไมตรีก็จะภิญโยภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป ครั้นพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ได้ฟังในลักษณอักษรซึ่งสมิงพระตะบะแลสมิงเลิกพร้าให้มานั้น จึงตรัสแก่เสนาบดีมนตรีมุขทั้งปวงว่า ซึ่งสมิงพระพระตะบะแลสมิงเลิกพร้าว่ามาทั้งนี้ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เสนาบดีทั้งปวงจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณาประภาษตรัสปฤกษาด้วยเนื้อความข้อนี้ พระคุณหาที่สุดมิได้ สุดสติปัญญาข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงจะกราบทูล ซึ่งจะโปรดมิโปรดนั้น แล้วแต่พระองค์จะทรงพระดำริห์ตามพระราชประเพณี ๚ะ

ฝ่ายพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ได้ทรงฟังเสนาบดีทูลดังนั้น จึงตรัสว่า ซึ่งพระเจ้าช้างเผือกนั้นก็มิได้เปนเมืองขึ้นแก่เรา แลสะละอาไลยถวายพระราชธิดามานั้น เหตุด้วยสมิงเลิกพร้าแลสมิงพระตะบะ เจ้ากับข้า พิโรธแก่กัน บัดนี้ ข้ากับเจ้าทั้งสองฝ่ายเขาดีด้วยแล้ว ๆ สมิงทั้งสองให้มีหนังสือมาขอ ครั้นจะมิให้ไป บัดนี้เล่า ก็จะเสียทางพระราชไมตรีด้วยนางผู้เดียว ประการหนึ่ง พระราชธิดาพระเจ้าช้างเผือกเล่าก็มิได้เปนที่จำเริญอัชฌาไศรยแห่งเรานัก ควรจะให้พระราชธิดาพระเจ้าช้างเผือกคืนไปตามสมิงเลิกพร้า สมิงพระตะบะ ให้มีหนังสือมาขอ จึงจะควร พระเจ้าเชียงใหม่ก็ให้รับเครื่องราชบรรณาการไว้ แล้วก็ส่งตะละแม่ศรีลงมากับเสนาบดียังเมืองพะโค ขณะนั้น พระเจ้าช้างเผือกจึงยกสมิงสามปราบ น้องสมิงเลิกพร้า ออกจากเมืองหลากแหลก โปรดให้ไปกินเมืองกริบ ให้เจ้าหานเกิดกินเมืองหลากแหลกแทนสมิงสามปราบ ๚ะ

ฝ่ายพระยาน้อยซึ่งพระมหาเทวีเอามาเลี้ยงไว้ ครั้นจำเริญวัยขึ้นมา ก็มีใจฉกรรจ์นัก พระเจ้าช้างเผือกเห็นดังนั้นก็ว่าแก่มหาเทวีว่า ทุกวันนี้ ถ้าหาบุญข้าไม่ พระยาน้อยนี้ลักษณผมหยิก ตาพอง น่องทู่ ข้าเห็นใจมันฉกรรจ์นัก เผื่อแลพระยาน้อยจะได้ราชสมบัติเปนเจ้าแผ่นดินนั้น ท่านผู้เปนพี่ข้ากับนางนักสนมสมณะพราหมณาจาริย์อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะได้ความเดือดร้อนหนัก แลจะมีผู้ใดรักใคร่พระยาน้อยนั้นหามิได้ เพราะใจนั้นจะปราศจากศรัทธาในพระสาศนา ฝ่ายพ่อขุนเมืองรูปก็งาม เจรจาก็เพราะ เปนมัทธุรศวาจาอ่อนหวาน มีใจประกอบไปด้วยความกรุณา แม้นข้าหาบุญไม่ จงให้พ่อขวัญเมืองผู้เดียวนี้ครองราชสมบัติเถิด สมณะพราหมณาจาริย์อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้อาไศรยอยู่เย็นเปนศุข ท่านผู้เปนพี่ก็จะได้เปนศุข ดุจหนึ่งปัญจะมหานะทีเปนที่อาไศรยแห่งสัตว์ ความทั้งนี้ พระเจ้าช้างเผือกได้ตรัสแก่มหาเทวีเนือง ๆ อยู่มา พระยาน้อย กับตะละแม่ท้าว อันเปนพระราชบุตรีพระเจ้าช้างเผือก แต่ว่าต่างมารดากับพระยาน้อย ได้ร่วมรักสมัคคะสังวาศด้วยกัน แล้วเกรงพระราชอาญา พากันหนีไปยังเมืองตะเกิง ๚ะ

ฝ่ายพระเจ้าช้างเผือกให้ตามไปทัน จับตัวได้ตำบลเมาะญัด ก็พามาถวายพระเจ้าช้างเผือก ๆ ก็ให้จำไว้ทั้งสองคน อยู่มา พระมหาเทวีขอโทษพระยาน้อยกับตะละแม่ท้าวแก่พระเจ้าช้างเผือก ๆ ก็โปรดให้พระมหาเทวีสั่งให้พระยาน้อยกับตะละแม่ท้าวพ้นโทษอยู่ด้วยกัน พระราชทานผู้คนให้แต่พอใช้สรอย พระเจ้าช้างเผือกมิได้นำพา พระราชทานส่วยสาอากรให้แต่พอกิน แลเมื่อพระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ส่งตะละแม่ศรีมายังเมืองพะโคนั้น อยู่มา สมิงมะราหู ผู้เปนบุตร์ไชยสุระ ไชยสุระคนนี้เปนผัวพระมหาเทวี พระเจ้าช้างเผือกให้เปนแม่ทัพยกไปรบพระตะบะณเมืองเมาะตะหมะ ถูกเกาทัณฑ์ตายนั้น จึงให้โมะ ผู้พี่ เอาทองร้อยชั่งไปหาสมิงมาสมิตร์มำมะรา เปนคนสนิทของพระเจ้าช้างเผือก ว่า ให้ช่วยกราบทูลขอตะละแม่ศรีให้แก่สมิงมะราหู สมิงมาสมิตร์มำมะราก็รับเอาทองร้อยชั่งเข้าไปถวายแก่พระเจ้าช้างเผือก กราบทูลขอตะละแม่ศรี พระราชธิดา ให้แก่สมิงมะราหู พระเจ้าช้างเผือกครั้นได้ทรงฟังสมิงมาสมิตร์มำมะราทูลดังนั้นก็เห็นชอบด้วย เมื่อพระเจ้าช้างเผือกจะโปรดให้ตะละแม่ศรีแก่สมิงมะราหูนั้น จึงตรัสปฤกษาเสนาบดีทั้งปวงว่า ตะละแม่ศรี บุตรีเรา ครั้งนี้ ข้าไทขบถต่อเรา ๆ จึงเอาลูกเราไปให้แก่พระมหาราชเจ้าเชียงใหม่ ลูกเราก็ได้ความยาก เหตุว่าบุญลูกเรามี จึงได้กลับมาถึงเรา บัดนี้ เราคิดว่า จะยกตะละแม่ศรีให้แก่บุตร์ผู้ซึ่งมีบิดามารดานั้น เกลือกจะทำย่ำยีข่มเหงลูกเรา ๆ คนนี้มีความชอบอยู่ อนึ่ง สมิงมะราหูคนนี้เปนลูกไชยสุระ ๆ ผู้บิดา ได้อาษาเราถึงขนาด รบพุ่งก็ตายกับฅอช้าง แลมีคุณต่อเรา สมิงมะราหูนี้พ่อแม่หาไม่ เปนลูกกำพร้าอยู่กับฝ่าตีนเรา เห็นว่า จะกลัวเกรงเราหนัก สมิงมะราหูนี้เราจะให้อยู่กับตะละแม่ศรี ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เสนาบดีกราบทูลพระกรุณาว่า เห็นด้วยพระเจ้าช้างเผือก จึงให้ปลูกตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง พร้อมด้วยเครื่องใช้สรอย เสร็จแล้วให้หาฤกษ์ ครั้นได้ฤกษ์แล้ว กระทำวิวาหะมงคลสมิงมะราหูกับตะละแม่ศรี มีมะโหระสพถ้วนเจ็ดวัน แล้วพระเจ้าช้างเผือกก็หลั่งน้ำให้แก่สมิงมะราหู ครั้นทำการวิวาหะเสร็จแล้ว พระเจ้าช้างเผือกก็เสด็จไปนมัสการพระสารีริกะบรมธาตุอันชื่อว่า ยักกะอะศุก ณ เมืองตะเกิง พระสารีริกบรมธาตุก็สำแดงพระยะมะกะปราฏิหารฉ้อพรรณรังศรีมีเปนคู่ ๆ ถึงเจ็ดวัน พระเจ้าช้างเผือกกับพระมหาเทวีมุขมนตรีทั้งปวงนั้น ครั้นเห็นพระสารีริกบรมธาตุทำปราฏิหาร ก็โสมนัศยินดีกระทำสักการะบูชา มีการมะโหระสพใหญ่หลวงบูชาพระบรมธาตุเปนอันมาก ๚ะ

ขณะนั้น มีหนังสือมาแต่เมืองพะโคว่า สมิงสามปราบกินเมืองกริบเปนขบถ พระเจ้าช้างเผือกได้ทรงทราบแล้วก็เสด็จลงมาเมืองพะโค พระมหาเทวี แลพระยาน้อย กับสมิงมะราหู อยู่ในเมืองตะเกิง ครั้นพระเจ้าช้างเผือกเสด็จมาถึงเมืองพะโคแล้ว ก็ให้หาท้าวพระยาเสนามนตรีทั้งปวงมาประชุมกัน ปฤกษาว่า เราจะยกไปเอง จึงสมิงทะโยกคะราชกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์จะเสด็จไปเองนั้นมิชอบ ลูกหลวงหลานหลวงทั้งปวงนั้นก็ยังมีอยู่ ชอบแต่งให้มุขมนตรีผู้น้อยผู้ใหญ่ที่มีสติปัญญาเปนแม่ทัพยกไป แล้วแต่งลูกหลวงหลานหลวงให้กำกับไปด้วย เหตุว่าสมิงสามปราบกินเมืองกริบ เปนแต่ผู้น้อย อันพระองค์จะเสด็จไปเองนั้นมิควร ครั้นสมิงทะโยกคะราชทูลดังนั้น พระเจ้าช้างเผือกก็ทรงเห็นด้วย จึงให้หาพระมหาเทวี พระยาน้อย สมิงมะราหู มายังเมืองพะโค ก็แต่งสมิงมะราหูเปนแม่ทัพ คุมพลโยธาทหารช้างม้าทั้งปวง จะให้ไปจับเอาตัวสมิงสามปราบ กองทัพยังมิทันจะยกไป พอมีหนังสือบอกมาว่า สมิงสามปราบฟ้าผ่าตายแล้ว ๚ะ

พระเจ้าช้างเผือกได้ฟังดังนั้น ก็มีพระไทยยินดีนัก จึงตรัสแก่เสนาบดีมุขมนตรีทั้งปวงว่า ตัวเราเปนกษัตริย์ ตั้งอยู่ในธรรมสุจริตโดยพระราชวัตตานุวัตร์ แลน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของเรานี้ดุจมีจิตร์วิญญาณ ด้วยเทพยดารักษาพระพุทธสาศนาอะภิบาลรักษาเรา ถ้าผู้ใดถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้วมิได้ซื่อตรง ประทุษฐร้ายต่อเรา ก็ถึงแก่ความฉิบหายดุจอ้ายมะละคอน ด้วยเทพยดาอาเภท ใช่ระดูฝน ๆ ตกฟ้าผ่าตาย ท่านทั้งหลายเห็นแล้วหรือ อ้ายมะละคอนนี้จะขอรบด้วยสมิงเลิกพร้าผู้พี่นั้น แล้วมันขอไปกินเมืองหลากแหลก แลกินน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเรา ๆ ก็แทงโลหิตในเท้าให้กินต่างน้ำพระพิพัฒน์สัตยา แล้วก็ให้ชื่อเปน สมิงสามปราบ ให้ไปกินเมืองหลากแหลก เมื่อแลตั้งสวามิภักดิ์ต่อเราโดยสุจริตแล้ว ก็จะจำเริญอายุวัณะศุขะพะลสมบัติบริบูรณ์ขึ้นภายหน้า แลเมืองหลากแหลกกับเมืองมองมะละใกล้กัน สมิงเลิกพร้ากับอ้ายมะละคอนไซ้เปนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน เกลือกภายน่าไปมันจะคิดเปนอันเดียวกันเล่า ก็จะทำให้ยากแก่ลูกหลานเรา ๆ สงไสยอยู่ดังนี้ เราจึงยกมันออกจากเมืองหลากแหลก ให้ไปกินเมืองกริบ แลมันมิได้คิดถึงน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแห่งเราผู้เปนกษัตราธิราช เราก็ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมเที่ยงดุจเขาพระยาสิเนรุราช เราก็มิได้ทำอันตรายแก่อ้ายมะละคอน ๆ ก็เปนอันตรายไปเอง ครั้นอยู่มา พระเจ้าช้างเผือกให้สร้างสระใหญ่สระหนึ่งอยู่ในเมือง แล้วก็ให้พระอรรคมเหษี พระราชบุตรา พระราชบุตรี พระราชนัดดา แลพระราชวงษานุวงษ์ทั้งปวงไปกระทำการกุศล แล้วก็เล่นน้ำในสระนั้น ๚ะ

ขณะเมื่อพระเจ้าช้างเผือกเสด็จไปเล่นน้ำในสระนั้น ฝ่ายพระมหาเทวีกับสมิงมะราหูลงเล่นน้ำด้วยกัน พระมหาเทวีนั้นใส่ใจรักใคร่สมิงมะราหู จึงเด็ดเอาดอกบัวซ่อนเหน็บพระอุระไว้ แล้วทรงห่มพระภูษาทับไว้ เห็นคนทั้งปวงเมินไป ก็หยิบดอกบัวที่พระอุระทิ้งเอาสมิงมะราหู ๆ เห็นดังนั้นก็นิ่งไว้แต่ในใจ ครั้นพระเจ้าช้างเผือกสรงน้ำแล้ว ก็เสด็จมาพระราชวัง อยู่มา พระมหาเทวีแต่งหมากดิบควักไส้ในเสีย แล้วก็เอาปูนใส่ในหมากนั้น ฝานน่าหมากปิดไว้ ก็ใส่พานทองคำจำหลักเปนรูปราชสีห์ส่งให้สมิงมะราหู ๆ กินหมากนั้น ปูนก็ไหม้ปาก พระมหาเทวีก็ทรงพระสรวล เสนามุขมนตรีทั้งปวงรู้เหตุนั้นแล้วก็เจรจาด้วยกันว่า พระมหาเทวีทำดังนี้มิชอบ คนทั้งปวงก็สอนทารกให้ขับว่า ปะดอยตุงเจิงทาสา แยกแสกกองมอกเตือนเทิง ๆ ลิคะมาระสมิตะ ปลอมฉำระปะวะสะมะงอม สมิงมะราหูเตาะมอยนายกะเตาะปอนสมิดอนมอนทิน เด็กทั้งหลายขับดังนี้ แปลเปนคำไทยว่า ในเมืองตะเกิง พระบรมธาตุพระพุทธเจ้าผุดขึ้น สมิงมะราหู พระมหาเทวี หลายเขยกับป้าเมีย จะใคร่ลอบรักกัน สมิงมะราหูแลพระเจ้าช้างเผือกจะร่วมเขนยกัน ส่วนสมิงมะราหูกับพระยาน้อยเปนพี่เขยน้องเมียกัน รักกันหนัก อยู่มา ตะละแม่ท้าว ภรรยาพระยาน้อย มีครรภ์ ประสูตร์พระราชบุตร์เปนพระราชกุมาร แลทำข่ายทองรองรับให้พระราชกุมารตกลงในข่ายทอง ครั้นสรงน้ำชำระแล้ว สมเด็จพระเจ้าช้างเผือกก็รับพระราชกุมารนั้นด้วยพระหัดถ์ของพระองค์ ทรงพระโสมนัศยินดีหนัก แล้วตรัสว่า หลานเรานี้จะให้ชื่อ พ่อลาวแก่นท้าว ครั้นพระองค์ให้ชื่อพระเจ้าหลานแล้ว ก็ตรัสแก่มุขมนตรีทั้งปวงว่า เมื่อขณะพระพี่เรา ตละจันทะมังคะละ สมพบในปราสาท ก็ทำข่ายทองรองรับขณะสมพบนั้น พอมีจันทรุปะราคา สมเด็จพระราชบิดาจึงถามโหราราชปะโรหิตทั้งหลายว่า จะให้นามพระลูกเราเปนประการใดดี โหรราชปะโรหิตทั้งปวงจึงกราบทูลว่า พระราชบุตรีอันสมภพในข่ายทอง พอมีจันทรุปะราคาดังนี้ ขอให้พระนามชื่อว่า ตละจันทะมังคะละ จึงพระราชบิดาเราให้ชื่อ จันทะมังคะละ เพราะเหตุดังนี้ พี่เรา พระมหาเทวีเล่า ขณะเมื่อสมพบนั้นก็เปนอัศจรรย์ ด้วยสมบัติพระราชบิดาสร้างกุฎีถวายพระสงฆ์เจ็ดหลังแล้วในวันเดียว แล้วมีผู้นำเอาผลมะเดื่อใหญ่ประมาณสามกำมาถวาย แลผลมะเดื่อนั้นภาษารามัญเรียกว่า วิ อาไศรยตัว วิ อักษร กับกุฎี จึงถวายพระนามชื่อว่า วิหารเทวี ครั้นอยู่มา เราผู้เปนอนุชาได้ปราบดาภิเษก คนทั้งปวงจึงเรียกพระเจ้าพี่เรานั้นว่า พระมหาเทวี เหตุว่าเปนพระเจ้าพี่นางเธอ ส่วนตัวเรา พระราชบิดาให้นามชื่อว่า พระยาอู่ บัดนี้ หลานเราได้สมพบในวันเสาร์ เราให้ชื่อหลานเราว่า พ่อลาวแก่นท้าว เพราะเหตุดังนี้

อยู่มา สมิงมะราหูแลพระมหาเทวีร่วมรักกัน ชาวเมืองพะโคก็รู้สิ้น จึงสอนทารกให้ขับว่า มินเทืองฉุดกองเทืองเตินกะนายพราวพะยุสะ มิก่อจิมตะรุณพลายเตาะพะบายตละเทวีเชือง ชาวเมืองพะโคทั้งปวงก็สอนทารกให้ขับตอบกันว่า นกสะตือใซ้ขึ้นไข่ไว้ในต้นไม้อันคาอันซุ่ม อันสัตรีแก่จะใคร่ได้สามีหนุ่ม ถันยุคลนั้นไซ้ยานลงถึงรั้งผ้า ชาวเมืองทั้งปวงก็สอนทารกให้ขับดังนี้ ๚ะ

ฝ่ายพระมหาเทวี ครั้นได้เปนชู้กันกับสมิงมะราหูแล้ว ก็คิดจะเอาราชสมบัติให้แก่สมิงมะราหู ๆ กับพระยาน้อยถ้อยทีก็ไปมาหาเล่นด้วยกันเนือง ๆ อยู่มาในเวลาวันหนึ่ง สมิงมะราหูแลพระยาน้อยเล่นสะกากันณะตำหนักพระมหาเทวี สมิงมะราหูแพ้แก่พระยาน้อย สมิงมะราหูก็โกรธ ตีลูกสะกานั้นให้กระจายสิ้นทั้งกระดาน พระยาน้อยเห็นสมิงมะราหูทำดังนั้นก็ขัดพระไทย มิได้ว่าสิ่งใด ก็ลุกกลับไปตำหนัก ครั้นพระมหาเทวีรู้ จึงว่าแก่สมิงมะราหูว่า การเราคิดไว้เปนความลับใหญ่หลวงนัก จะมิให้แพร่งพราย เหตุไฉนจึงมาด่วนทำเกินเลยต่อพระยาน้อยให้เขาขัดใจดังนี้ ผิดหนักหนา ที่ไหนพระยาน้อยจะไว้วางใจเล่า แลการที่คิดไว้ก็จะแพร่งพรายไป เจ้าจงไปขอสมัคสะมาพระยาน้อยเสีย อย่าให้มีความสงไสยต่อไป แล้วจงพาพระยาน้อยมาเรือนเรา ๆ จะคิดอุบายให้เจ้ากับพระยาน้อยทำสัตย์กินเลือดอกกัน พระยาน้อยจึงวางใจ ไม่มีความสงไสย แต่เมื่อที่เจ้าจะกินเลือกอกพระยาน้อยนั้น หน่วงไว้ให้ช้า จึงแกล้งพัดให้เทียนดับ แล้วเจ้าจงเทโลหิตในจอกนั้นเสีย เราจะเอาน้ำขมิ้นกับปูนกลั่นใส่จอก แล้วจึงค่อยกินให้พระยาน้อยเห็น ขณะเมื่อคิดกันนั้น รู้แต่มหาเทวี กับสมิงมะราหู กับตะละแม่ศรี สามคนด้วยกัน แล้วสมิงมะราหูก็ไปหาพระยาน้อยณเรือน จึงว่าแก่พระยาน้อยว่า ตัวข้าพเจ้านี้เปนข้าพระองค์ เมื่อเล่นสะกา ข้าพเจ้าได้โกรธนั้น มิชอบ ความผิดใหญ่หลวงหนัก ภายน่าไปเห็นจะจำไว้กับพระไทย จงได้กรุณาอย่าถือโทษข้าพเจ้าเลย พระยาน้อยจึงตอบว่า ซึ่งพี่ทำดังนั้นเปนแต่การเล่น ข้าหาโกรธไม่ อย่าวิตกเลย สมิงมะราหูจึงตอบว่า ซึ่งพระองค์อดโทษข้าพเจ้านั้นดีหนักหนา อยู่ตวันเย็นหน่อยหนึ่ง สมิงมะราหูชวนพระยาน้อยทรงเสลี่ยงเดียวกันมาณตำหนักสมิงมะราหู ๆ กับพระยาน้อยพูดจาดีด้วยกันแล้ว พระมหาเทวีจึงเพโทบายว่ากับพระยาน้อยแลสมิงมะราหู ทุกวันนี้ พระเจ้าช้างเผือกก็ชะราแล้ว ฝ่ายป้านี้วิตกหนักหนา สืบไปภายน่า เกลือกข้าไทยทั้งสองฝ่ายมันจะยุยง ก็จะมีความแคลงแหนงกัน เจ้าทั้งสองจงมีสัตย์ไว้ต่อกัน ป้าจะได้ฝากผีด้วย ๚ะ


๏ จบเล่ม ๔ สมุดไทย ๚ะ

๏ เล่ม ๕ ยังมีต่อไป ๚ะ

แจ้งความ

โรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ ตำบลถนนสำเพ็ง ตอนวัดเกาะ จำหน่ายหนังสือประโลมโลก, ธรรมะ, สุภาสิตต่าง ๆ และรับพิมพ์หนังสือ เช่น ก๊าศ, ตั๋ว, ฎีกา, ใบเสร็จ, แบบฟอร์ม ฯลฯ ทำเล่มสมุดเดินทองอย่างงาม ๆ หรือจะว่าให้ทำเปนพิเศษก็ได้ สิ่งของที่กล่าวมาแล้วนี้ รับรองว่า จะทำให้อย่างประณีตและเร็วทันกับความประสงค์ ทั้งหล่อตัวอักษรพิมพ์จำหน่าย จะคิดราคาอย่างย่อมเยา

เพราะฉนั้น ถ้าท่านมีความประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เชิญท่านไปลองซื้อหรือจ้างพิมพ์ ท่านจึงจะทราบได้ว่า ที่โรงพิมพ์ราษฎร์เจริญคิดราคาพอสมควร.