สามก๊ก/ตอนที่ ๔
สารบัญ ลง
หน้า | ||
เรื่อง | ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
รูป | ||
| ||
| ||
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นเจ้าเมืองปุดไฮนั้นครั้นรู้กิตติศัพท์ว่า ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย จึงแต่งหนังสือลับไปถึงอ้องอุ้นซึ่งอยู่ในเมืองหลวง ในหนังสือนั้นว่า ทุกวันนี้ ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าขบถต่อแผ่นดินดังนี้ หามีผู้ใดคิดการล้างตั๋งโต๊ะเสียไม่ ซึ่งเราออกมาอยู่ครั้งนี้ใช่จะนิ่งนอนใจอยู่หามิได้ อุตส่าห์เกลี้ยกล่อมผู้คนฝึกหัดให้ชำนาญในการสงครามอยู่มิได้ขาดเพราะมีกตัญญู เราจะอาสาแผ่นดินกำจัดตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ ถ้าท่านเห็นพร้อมด้วยเราแล้วจงเร่งคิดการข้างในเถิด เราจะยกกองทำไปทำการ ครั้นอ้องอุ้นได้ทราบในหนังสือนั้นแล้วก็คิดวิตกอยู่มิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่ง เวลาออกจากเฝ้า อ้องอุ้นจึงค่อยว่ากับขุนนางเก่า ๆ ทั้งปวงว่า วันนี้ เราทำการ เชิญท่านไปกินโต๊ะเล่น ณ บ้านเรา ครั้นมาพร้อมกันจึงชวนกันกินโต๊ะเสพสุรา แล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็ตกใจจึงถามว่า ท่านร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งอันใด อ้องอุ้นจึงตอบว่า แต่ตั๋งโต๊ะเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงทำการหยาบช้าแล้วฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียน เรามีความร้อนใจนักอุปมาดังนอนในกองเพลิง เราเล็งไปไม่เห็นผู้ใดจะช่วยคิดทำนุบำรุงให้แผ่นดินเป็นสุขได้ เราจึงร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงได้ฟังก็มีความสงสารต่างคนต่างร้องไห้
แต่โจโฉนั้นลุกขึ้นยืนตบมือหัวเราะแล้วว่า เสียแรงเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน คิดการเท่านี้มิตลอดแล้วสิชวนกันมานั่งร้องไห้ อ้องอุ้นโกรธจึงว่าแก่โจโฉว่า ปู่แลบิดาของตัวก็เป็นขุนนางได้กินเบี้ยหวัดมาแต่ก่อน ตัวหารู้จักคุณแผ่นดินไม่ เราคิดการจะล้างตั๋งโต๊ะเสีย เหตุด้วยทหารตั๋งโต๊ะมีเป็นอันมาก เราคิดยังมิตลอด จึงร้องไห้ เป็นไฉนตัวจึงมาตบมือหัวเราะเย้ยดังนี้ โจโฉจึงตอบว่า ท่านทั้งปวงเป็นขุนนางมาแต่ก่อน คิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินแลจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสียครั้งนี้สิมิได้เล่าชวนกันมานั่งร้องไห้ ข้าพเจ้าจึงหัวเราะเล่น ซึ่งปู่แลบิดาข้าพเจ้าเป็นข้าราชการมาแต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็คิดกตัญญูต่อแผ่นดินอยู่ ทำไมแก่ตั่งโต๊ะนี้จะฆ่าเสียเมื่อใดก็ได้
อ้องอุ้นจึงว่า ที่ตัวว่านี้เรายังไม่เห็นจริง ซึ่งตัวจะคิดฆ่าตั๋งโต๊ะประการใดนั้นจงว่าให้เราประจักษ์ก่อน โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าทำความเพียนไปฝากตัวให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยจนสนิทมาทุกวันนี้ ใช่จะเห็นแก่ลาภสักการสิ่งใดหามิได้ เพราะคิดกตัญญูต่อแผ่นดินจะคิดฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ แต่ขัดสนด้วยอาวุธดีไม่มีถือ ข้าพเจ้ารู้ว่า กระบี่สั้นอย่างดีของท่านมีอยู่ ถ้าท่านเป็นใจด้วยดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอยืมกระบี่สั้นเหน็บซ่อนเข้าไปให้ถึงตัวตั๋งโต๊ะ แล้วจะฆ่าเสีย จึงจะตัดเอาศีรษะมาให้ท่านจงได้ อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงลุกขึ้นคุกเข่าคำนับแล้วรินสุราให้โจโฉ โจโฉรับเอาจอกสุรามาแล้วจึงสาบานตัวว่า ข้าพเจ้าจะขอฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ อ้องอุ้นมีความยินดีจึงเข้าไปหยิบเอากระบี่สั้นออกมาให้โจโฉ โจโฉก็ลาอ้องอุ้นแลขุนนางทั้งปวงไป
ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉจึงเอากระบี่สั้นเหน็บซ่อนเข้าในเสื้อ แล้วไป ณ บ้านตั๋งโต๊ะ จึงถามนายประตูว่า มหาอุปราชอยู่ที่ไหน นายประตูบอกว่า มหาอุปราชอยู่ในตึกที่ดูหนังสือ โจโฉก็ขึ้นไปเห็นตั๋งโต๊ะดูหนังสือ ลิโป้นั้นคอยรับใช้อยู่ ตั๋งโต๊ะแลมาเห็นโจโฉก็ถามว่า เป็นไฉนวันนี้จึงมาสายไป โจโฉบอกว่า ม้าซึ่งข้าพเจ้าขี่นั้นป่วยเท้า จัดหาม้าขี่ก็ยังไม่ได้ จึงมาสายไป ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นจึงสั่งลิโป้ว่า ม้าเขาเอามาให้แต่เมืองซีหลงตัวหนึ่ง จงไปเอาม้ามาให้แก่โจโฉ ลิโป้ไปแล้ว ตั๋งโต๊ะก็เอนลงผินหน้าเข้าไปดูหนังสือข้างผนังตึก โจโฉเห็นดังนั้นก็ดีใจว่าลิโป้ก็ไปแล้ว ทีนี้เห็นจะสมความคิดกูเป็นมั่นคง จึงชักกระบี่สั้นออกแล้วเดินเข้าไปจะฆ่าตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะแลเห็นเงากระจกซึ่งแขวนอยู่ที่ผนังตึกนั้นก็ตกใจ ผินหน้าออกมาถามโจโฉว่า ถอดกระบี่ถือเข้ามาจะทำร้ายกูหรือ พอลิโป้ก็มาถึ
ฝ่ายโจโฉก็ตกใจเห็นจะมิสมคิด จึงคุกเข่าลงชูกระบี่ยื่นด้ามเข้าไปให้ตั๋งโต๊ะแล้วแก้ตัวว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะทำร้ายท่านหามิได้ ทุกวันนี้ ท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าจะหาสิ่งใดมาสนองคุณมิได้ มีแต่กระบี่สั้นเล่มนี้มีราคามาก เป็นของปู่ย่าตายายได้ต่อ ๆ กันมาจนถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเอามาสนองคุณท่าน ตั๋งโต๊ะก็เชื่อมิได้สงสัยจึงรับกระบี่มาดูก็เห็นว่าดีจริงจึงส่งให้ลิโป้เก็บไว้ แล้วตั๋งโต๊ะจึงพาโจโฉออกมาดูม้าแล้วว่า ม้านี้ท่านเอาไปขี่เถิด โจโฉได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า กูคิดมาว่าจะทำร้ายตั๋งโต๊ะก็ไม่สมคิด ซึ่งจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไปเกลือกตั๋งโต๊ะรู้ระคายจะฆ่ากูเสีย อย่าเลย กูจะขี่ม้าแล้วหนีไปหาบิดา จึงจะได้คิดการต่อไป แล้วโจโฉจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งท่านให้ม้าใช้ข้าพเจ้าดังนี้พระคุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าจะขอขี่ลองดูฝีเท้าม้าก่อน ตั๋งโต๊ะจึงว่า เครื่องก็ผูกพร้อมอยู่ จะขี่ลองดูก็ตามเถิด โจโฉมีความยินดีนัก จึงขึเนม้าแล้วควบไป ครั้นถึงประตูเมืองฝ่ายทิศตะวันออกจึงบอกแก่นายประตูว่า มหาอุปราชใช้เราไปเป็นการเร็ว โจโฉก็ควบม้าออกไปนอกเมืองหลวง
ฝ่ายลิโป้จึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ซึ่งโจโฉเอากระบี่มานั้นเห็นจะทำร้ายแก่ท่าน หากบุญท่านมีมากจึงรู้ตัว โจโฉจึงแก้ตัวว่าแกล้งเอากระบี่มาให้ท่าน ตั๋งโต๊ะจึงว่า ซึ่งว่านี้เราก็เห็นแคลงใจอยู่ด้วย พอลิยูเข้ามาตั๋งโต๊ะก็เล่าเนื้อความให้ลิยูฟัง ลิยูจึงว่า ข้าพเจ้าก็แคลงอยู่ ขอให้คนไปดูที่บ้านโจโฉอาศัยอยู่นั้น ถ้าพบตัวก็จะเห็นความจริงด้วย แม้ไม่พบก็เห็นว่าโจโฉคิดร้ายต่อท่านแล้วหนีไป ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วยจึงให้คนไปดู ณ บ้านที่โจโฉอยู่ คนใช้กลับมาบอกตั๋งโต๊ะว่า ข้าพเจ้าไม่พบไม่โจโฉ แต่ไปสืบได้ความว่า โจโฉควบม้าออกไปทางประตูตะวันออก บอกนายประตูว่ามหาอุปราชใช้ไปเป็นการเร็ว ลิยูจึงว่า โจโฉคิดร้ายต่อท่านเป็นมั่นคง ครั้นไม่สมความคิดแล้วจึงหนีไป ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงว่า โจโฉนี้เราเลี้ยงเป็นคนสนิทไว้เนื้อเชื่อใจ ควรหรือกลับมาทำร้ายแก่เรา มันเป็นคนหามีกตัญญูไม่ ลิยูจึงว่า ซึ่งโจโฉคิดทำการครั้งนี้ใช่จะคิดแต่ตัวผู้เดียวหามิได้ เห็นจะมีพวกเพื่อนคบคิดกันเป็นหลายจึงทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ จำจะคิดจับโจโฉมาให้ได้ แล้วจะสืบเอาพวกเพื่อนซึ่งร่วมคิดกันฆ่าเสีย จึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม ตั๋งโต๊ะเห็นด้วย จึงให้เขียนรูปโจโฉแล้วแต่งหนังสือไปทุกหัวเมืองว่า ผู้ใดเห็นรูปดังนี้ให้จับสั่งเข้ามา เราจะปูนบำเหน็จ แล้วจะให้เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใดสมรู้ร่วมคิดคบเอาโจโฉซุ่มซ่อนไว้จะให้ลงโทษทั้งบุตรภรรยาถึงสิ้นชีวิต
ฝ่ายโจโฉมาถึงเมืองจงพวน ชาวด่านเห็นรูปโจโฉกับรูปซึ่งเขียนมานั้นเหมือนกัน จึงจับตัวโจโฉส่งเข้าไปให้ตันก๋ง เจ้าเมืองจงพวน ตันก๋งถามว่า ตัวชื่อโจโฉหรือ โจโฉบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ ฮ่องอู เป็นพ่อค้าเที่ยวค้าขายดอก ตันก๋งพิศดูก็จำได้ตระหนัก แล้วว่า ตัวชื่อโจโฉ เป็นไฉนจึงว่าชื่อฮ่องอูเล่า ตัวนี้เจรจาไม่จริง วันนี้ค่ำแล้ว เอาไปใส่คุกไว้ก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงจะบอกส่งขึ้นไปเมืองหลวง ครั้นเวลาเที่ยงคืน ตันก๋งตึงให้ไปเอาตัวโจโฉมา ณ ที่สงัด แล้วถามโจโฉว่า เราได้ยินกิตติศัพท์ว่ามหาอุปราชนั้นมีน้ำใจรักใคร่ท่านอยู่เป็นอันมาก ท่านทำประการใดให้มหาอุปราชขัดเคือง จึงเกิดเหตุหนีมาทั้งนี้ โจโฉจึงตอบว่า ท่านอุปมาดังนกน้อย เป็นไฉนจึงจะมาล่วงรู้ความคิดพญาครุฑ ซึ่งมีหนังสือตั๋งโต๊ะมานั้น ท่านจับตัวเราได้แล้วก็ให้เร่งส่งขึ้นไปยังเมืองหลวงเอาความชอบเถิด อย่าลวงถามมาถึงความคิดเราเลย ตันก๋งได้ฟังดังนั้นก็รู้อัชฌาสัย จึงขับคนทั้งปวงเสียสิ้น แล้วตอบแก่โจโฉว่า ท่านอย่าดูหมิ่นว่าเราความคิดน้อย ทุกวันนี้ ที่เรามาเป็นหัวเมืองจัตวาอยู่นี้เพราะเราขัดสน แลใจนั้นจะคิดหาผู้กล้าหาญซึ่งมีสติปัญญาเป็นหลักจะได้เป็นที่คู่คิดสืบไป โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า แต่ก่อนปู่แลบิดาเราเป็นขุนนางได้กินเบี้ยหวัดอยู่ ครั้งนี้ บ้านเมืองเป็นจลาจลเพราะขันทีสิบคนแลตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้า ครั้นเราจะนิ่งอยู่มิคิดการก็เหมือนหนึ่งหารู้จักคุณแผ่นดินไม่ อันเราไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนี้หวังจะล้างมันเสีย ซึ่งทำไม่สมคิดทั้งนี้ก็เป็นกรรมของเราแลวิบากของอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดิน ตันก๋งจึงถามว่า ซึ่งท่านหนีตั๋งโต๊ะมานี้ จะไปคิดการสิ่งใด โจโฉบอกว่า เราจะหนีไปหาบิดาเรา แล้วจะลอบแต่งเป็นหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงให้ยกทหารมาบรรจบกัน แล้วจะเข้าไปทำการจับตั๋งโต๊ะซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติฆ่าเสีย ตันก๋งได้ยินดังนั้นจึงเข้าถอดเครื่องจำโจโฉออกเสีย จึงเชิญให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้เรายินดีด้วย ราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเป็นสุขก็เพราะสติปัญญาท่าน โจโฉจึงถามว่า ท่านนี้ชื่อใดจึงมียินดีด้วยเรา ตันก๋งจึงบอกว่า เราชื่อ ตันก๋ง เป็นแซ่ตัน เราเห็นท่านนี้มีความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินจึงมีความยินดีด้วย ซึ่งที่ของเราเป็นเจ้าเมืองจงพวนอยู่นี้เราจะทิ้งเสีย จะไปทำการทำนุบำรุงแผ่นดินด้วยท่าน แล้วตันก๋งจึงเข้าไปจัดหาทรัพย์สิ่งของซึ่งมีราคา กับกระบี่ให้โจโฉถือเล่มหนึ่ง ตัวถือเล่มหนึ่ง จึงขี่ม้าคนละตัวแล้วพากันออกจากเมืองในกลางคืนนั้น
ครั้นมาได้สามวันถึงบ้านแห่งหนึ่ง โจโฉจึงบอกแก่ตันก๋งว่า เวลาก็เย็นแล้ว บ้านนี้เกลอของบิดามีอยู่คนหนึ่งชื่อว่า แปะเฉีย เราจะเข้าไปอาศัยนอน จะได้ถามเหตุการณ์ทั้งปวงด้วย แล้วโจโฉก็พาตันก๋งเข้าไปหาแปะเฉีย แปะเฉียเห็นโจโฉจึงบอกว่า บัดนี้ มีหนังสือรับสั่งมาแต่เมืองหลวงว่าให้จับตัวท่านส่งขึ้นไป แลโจโก๋บิดาของตัวนั้นก็หนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว โจโฉจึงเล่าเนื้อความแต่หลังให้แปะเฉียฟังสิ้น แล้วว่า ตันก๋งคนนี้เป็นเจ้าเมืองจงพวน ละราชการเสีย หนีมาคิดการกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้รอดชีวิตเพราะตันก๋ง แปะเฉียได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่ตันก๋งว่า ขอบใจท่านมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ถ้ามิได้ท่าน โจโฉก็ตาย ท่านจงพากันนอนอยู่ที่นี่เถิด ต่อเวลาพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยไป แล้วแปะเฉียก็เข้าไปในเรือน สั่งแก่พ่อครัวว่าให้ทำสุกรแลไก่ แล้วก็กลับออกมาบอกแก่โจโฉว่า สุราที่เรือนี้ไม่มีดี เราจะไปจัดหาสุราที่ดีมาให้กิน ว่าแล้วก็ไป
ฝ่ายพ่อครัวจึงถามกันว่า เราจะมัดก่อนหรือจะฆ่าทีเดียว โจโฉได้ยินว่าดังนั้นก็กริ่งใจจึงปรึกษากับตันก๋งว่า แปะเฉียนี้เป็นแต่เกลอของบิดา เห็นจะไปบอกนายบ้านให้มาจับเรา จึงสั่งไว้แก่คนที่เรือน คนที่เรือนจึงว่าจะมสัดก่อนหรือจะฆ่าทีเดียว ตันก๋งจึงว่า เราไม่รู้จักน้ำใจแปะเฉีย จะประมาณการนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่า เอามันไว้ไม่ได้ ก็ชักกระบี่ออกแล้วก็เข้าไปฟันผู้คนบุตรภรรยาแปะเฉียตายถึงแปดคน ตันก๋งเหลือบไปเห็นสุกรที่เขามัดไว้ก็ตกใจจึงว่า เขามัดสุกรไว้เขาจะฆ่าต่างหาก ท่านมาฆ่าผู้คนบุตรภรรยาแปะเฉียวเสียนั้นผิดนัก โจโฉก็กลัว จึงพาตันก๋งหนีออกจากบ้าน ครั้นไปประมาณยี่สิบเส้นพอพบแปะเฉีย แปะเฉียถามว่า ไม่อยู่กินข้าว จะไปไหนเล่า โจโฉตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นคนผิดอยู่ จะรีบไปให้พ้นภัย ก็ขับม้าไป แล้วก็ได้คิด จึงกลับมาเรียกแปะเฉียว่า จะสั่งความไว้ แปะเฉียก็หยุดอยู่ โจโฉมาถึงเอากระบี่ฟันแปะเฉียตาย ตันก๋งเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก จึงว่าแก่โจโฉว่า เมื่อกี้ท่านฆ่าบุตรภรรยาผู้คนเขาเสียแล้ว บัดนี้ ซ้ำมาฆ่าตัวแปะเฉียอีกเล่า โจโฉจึงตอบว่า เมื่อกี้เราคิดผิดอยู่แล้ว ครั้นจะละไว้ แปะเฉียก็จะโกรธไปบอกนายบ้าน นายบ้านก็จะคุมกันมาตามจับเราส่งขึ้นไปเมืองหลวง เราจึงซ้ำฆ่าแปะเฉียเสีย หวังจะให้เนื้อความสูญไป ตันก๋งจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านมีความคิดผิดเมื่อมิทันรู้ฆ่าบุตรภรรยาผู้คนเขาเสีย ครั้นรู้ตัวว่าผิดแล้วมาซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียอีกฉะนี้ เป็นคนอกตัญญูหาดีไม่ โจโฉจึงว่าแก่ตันก๋งว่า ท่านว่าฉะนี้ก็ชอบกลอยู่ แต่ว่าธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ย่อมจะรักษาตัวมิให้ผู้อื่นคิดร้ายได้ เราจึงทำการทั้งนี้ ว่าแล้วโจโฉก็พาตันก๋งไปถึงที่สำนักแห่งหนึ่ง จึงพากันเข้าไปอาศัยนอนอยู่ ครั้นโจโฉนอนหลับไป ตันก๋งจึงลุกขึ้นรำพึงคิดว่า เสียแรงตัวกูสู้สละสมบัติพัสถานเสีย อุตส่าห์ติดตามโจโฉมา คิดว่าจะเป็นคนดีมีสติปัญญา จะได้อุปถัมภ์กันสืบไป มิรู้โจโฉเป็นคนหยาบช้าสามานย์หามีความกตัญญูต่อผู้มีคุณอุปการะไม่ ครั้นกูสมาคมด้วยโจโฉสืบไปนั้นไม่ควร จำกูจะฆ่าเสียอย่าให้มีภัยไปภายหน้า จึงถอดกระบี่ออกจะฟันโจโฉแล้วถอยหลังคิดว่า เหตุทั้งนี้เพราะแรกนั้นเราชอบใจจึงตามมา ครั้นโจโฉทำผิดจะฆ่าโจโฉเสียนั้นก็หาประโยชน์ไม่ เมื่อมิชอบใจแล้วก็จะเอาตัวรอดหนีดีกว่า ตันก๋งก็ขึ้นม้าหนีไปเมืองตองกุ๋ย
ฝ่ายโจโฉครั้นตื่นขึ้นไม่เห็นตันก๋งแล้วก็คิดว่า ตันก๋งเห็นกูกระทำผิดจึงเอาตัวหนี ครั้นจะอยู่ที่นี่ก็มิได้ ภัยจะมี ก็รีบไปในเวลากลางคืน ครั้นถึงเมืองตันลิวจึงบอกแก่โจโก๋ผู้บิดาตามเนื้อความซึ่งมีมาแต่หลัง ซึ่งข้าพเจ้าหนีมานี้หวังจะขอเงินทองของบิดาที่มีอยู่นั้นจะซื้อม้าแลอาวุธ แล้วจะเกลี้ยกล่อมผู้คนให้ได้มาก แล้วจะทำการสืบไป โจโก๋จึงว่า เงินทองเรามีอยู่บ้าง เห็นจะไม่พอการ เราเห็นคนหนึ่งชื่อ อุยหอง มีทรัพย์สินเป็นอันมาก น้ำใจก็กว้างขวางซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ถ้าได้ไปบอกเนื้อความทั้งปวงก็เห็นจะลงใจด้วย จะให้เงินทองมาจ่ายอาวุธแลม้า จะได้เป็นกำลังสืบไป
โจโฉได้ยินบิดาว่าดังนั้นมีความยินดีนัก จึงให้แต่งโต๊ะแล้วไปเชิญอุยหองมากินโต๊ะ โจโฉจึงบอกเนื้อความแก่อุยหองว่า ทุกวันนี้ ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ แต่ว่ากำลังแลทรัพย์สินข้าพเจ้าน้อยนัก ข้าพเจ้าจึงหนีมา จะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนให้ได้มาก แล้วจะยกเข้าไปทำการล้างตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมีทรัพย์เป็นอันมากแลน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะขอทรัพย์ท่านไปจัดซื้ออาวุธแลม้า จะได้ทำการสืบไป อุยหองได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนักจึงว่า แต่รู้ข่าวว่าเมืองหลวงเป็นจลาจล ก็มาคิดอยู่จะทำนุบำรุงแผ่นดิน แต่หามีผู้จะคิดเป็นหลักไม่ อันซึ่งท่านคิดอ่านทั้งนี้เรายินดีด้วย ทรัพย์ของเราซึ่งมีอยู่นั้นเราจะให้ท่านทำตามปรารถนา โจโฉมีความยินดีนัก จึงทำธงขาวคันหนึ่งแล้วเขียนอักษรลงว่า ให้คนทั้งปวงมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน แล้วปักขึ้นไว้ตรงหน้าบ้าน บรรดาชาวเมืองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันมาหาโจโฉ โจโฉจึงเกลี้ยกล่อมผู้คนได้เป็นอันมาก
ขณะนั้น แฮหัวตุ้น ผู้พี่ แฮหัวเอี๋ยน ผู้น้อง อยู่ ณ เมืองไพก๊ก แลแฮหัวตุ้นเมื่ออายุสิบสี่ปีนั้นไปเรียนการทหารในสำนักอาจารย์ แลมีผู้หนึ่งมาดูหมิ่นอาจารย์ แฮหัวตุ้นโกรธจึงฆ่าผู้นั้นเสียแล้วหนีไปอยู่บ้านนอก ครั้นรู้ข่าวก็เกลี้ยกล่อมผู้คนได้ประมาณพันเศษ จึงพาแฮหัวเอี๋ยนผู้น้องไปเข้าด้วยโจโฉ
แล้วโจหยิน โจหอง พี่น้อง คุมคนได้ประมาณพันเศษ กับงักจิ้น ชาวเมืองยงเป๋ง ลิเตียน ชาวเมืองซันหยง ต่างคนก็มาเข้าด้วยโจโฉ แลอุยหองนั้นเห็นผู้คนมาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉก็มีความยินดีนัก จึงเอาเงินทองมาให้โจโฉซื้อม้าแลอาวุธสำหรับการสงคราม แลชาวเมืองทั้งปวงก็ชวนกันจัดเอาม้าแลอาวุธกับข้าวปลาอาหารมาให้เป็นอันมาก ขณะนั้น โจโฉมีความยินดีนัก จึงให้ปลูกโรงสำหรับเป็นที่ชุมนุมขุนนางแลทหารจะได้ปรึกษาการสงคราม ครั้นเวลาเย็น ให้ทหารซ้อมหัดการอาวุธไว้ให้ชำนาญ
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวซึ่งตั๋งโต๊ะเกลี้ยกล่อมเอาใจตั้งไว้เป็นเจ้าเมืองปุดไฮรู้ข่าวดังนั้นก็ปรึกษาแก่กรมการทั้งปวงว่า เราจะยกไปเข้าด้วยโจโฉ กรมการทั้งปวงเห็นชอบด้วย อ้วนเสี้ยวก็คุมทหารยกไปเข้าด้วยโจโฉประมาณสามหมื่นเศษ ฝ่ายโจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวมาเข้าด้วยก็มีความยินดี จึงปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่า บัดนี้ เราสิจะทำการใหญ่ จำจะแต่งเป็นหนังสือรับสั่งลอบไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง อ้วนเสี้ยวเห็นด้วยจึงแต่งหนังสือว่า มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้โจโฉลอบออกมาประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวงว่า ทุกวันนี้ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลอาณาประชาราษฏรได้ความเดือดร้อน เพราะตั๋งโต๊ะเป็นขบถฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย ยกให้เราเป็นเจ้าแผ่นดินเหมือนเจว็ด ตั้งตัวมันเป็นมหาอุปราช ราชการเมืองทั้งปวงสิทธิ์อยู่แก่ตั๋งโต๊ะสิ้น แลโจโฉมีกตัญญูต่อแผ่นดินสาบานตัวต่อหน้าที่นั่งว่าจะอาสาล้างตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ เราจึงให้โจโฉออกไปประกาศหัวเมืองทั้งปวง ถ้าผู้ใดมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็ให้เข้าคิดอ่านกับโจโฉแล้วยกเข้ามาล้างตั๋งโต๊ะซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติเสียจงได้
ครั้นหัวเมืองทั้งสิบห้าเมืองใหญ่นั้น คือ อ้วนสุด เจ้าเมืองลำหยง หนึ่ง ฮันฮก เจ้าเมืองกิจิ๋ว หนึ่ง ขงมอ เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว หนึ่ง เล่าต้าย เจ้าเมืองอิวจิ๋ว หนึ่ง อองของ เจ้าเมืองโห้หลาย หนึ่ง เตียวเมา เจ้าเมืองตันลิว หนึ่ง เตียวโป้ เจ้าเมืองตองกุ๋น หนึ่ง อ้วนอุ๋ย เจ้าเมืองซุนหยง หนึ่ง เปาสิ้น เจ้าเมืองเจปัก หนึ่ง ขงเล่ง เจ้าเมืองปักไฮ หนึ่ง เตียวเถียว เจ้าเมืองก่องเล่ง หนึ่ง โตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋ว หนึ่ง ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง หนึ่ง เตียนเอี๋ยน เจ้าเมืองเสียงต๋ง หนึ่ง ซุนเกี๋ยน เจ้าเมืองเตียงสา หนึ่ง รู้ในหนังสือรับสั่งก็มีความยินดี จึงคุมทหารเมืองละหมื่นบ้างสองหมื่นบ้างยกไปเข้าด้วยโจโฉเป็นสิบหกหัวเมืองทั้งอ้วนเสี้ยว โจโฉจึงยกกองทัพทั้งปวงไป ณ แดนเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายกองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเป๋ง ครั้นรู้รับสั่งดังนั้นก็จัดทหารได้ประมาณหมื่นห้าพันยกมาถึงเมืองเพงงวนก๋วนซึ่งเล่าปี่รักษาอยู่
ฝ่ายเล่าปี่รู้ว่ากองซุนจ้านยกมาก็พากวนอูกับเตียวหุยออกไปหาถึงนอกเมือง กองซุนจ้านเห็นเล่าปี่มาก็ดีใจจึงถามว่า ซึ่งตามด้วยสองคนนั้นชื่อใด แลมานี่จะไปไหน เล่าปี่บอกว่า นั้นชื่อกวนอู เตียวหุย เป็นทหารม้าถือเกาทัณฑ์ แลน้องข้าพเจ้าสองคนนี้กล้าหาญได้เป็นกำลังข้าพเจ้า แลท่านได้มีคุณแก่ข้าพเจ้าแต่ก่อน ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านยกมาทางนี้จึงออกมารับ หวังจะเชิญท่านเข้าไปพักทหารอยู่ในเมืองสักเวลาหนึ่ง กองซุนจ้านได้ฟังก็ระลึกได้ว่ากวนอู เตียวหุย แล้วก็เข้าไปในเมือง จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า กวนอู เตียวหุยนี้ก็ได้ไปช่วยทำการรบโจรโพกผ้าเหลือง หาผู้ใดว่ากล่าวความชอบไม่ จึงเป็นทหารเลวอยู่ฉะนี้ กองซุนจ้านจึงเล่าในหนังสือรับสั่งซึ่งโจโฉออกมาประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวงนั้นให้เล่าปี่ฟังสิ้น แล้วชวนเล่าปี่ว่า ทุกวันนี้ ท่านได้เป็นเจ้าเมืองก็เป็นแต่เมืองน้อย ครั้งนี้จงไปกับเราเถิด ถ้าสำเร็จราชการ ตัวท่านแลน้องทั้งสองคนนั้นก็จะได้เป็นเจ้าเมืองเอกขึ้น เล่าปี่มีความยินดีรับคำกองซุนจ้าน เตียวหุยจึงว่า ครั้งไปรบโจรโพกผ้าเหลืองนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ตั๋งโต๊ะหยาบช้ามิรู้จักคุณคน ข้าจะฆ่าเสีย พี่ห้ามไว้ ถ้ามพี่มิห้ามข้าจะเกิดเหตุใหญ่ถึงเพียงนี้หรือ กวนอูจึงห้ามเตียวหุยว่า อย่าว่าเลย ซึ่งจะไปกับกองซุนจ้านนั้นข้าก็มีความยินดีด้วย เล่าปี่จึงให้จัดแจงทหารซึ่งเป็นคนสนิทพร้อมแล้ว กองซุนจ้าน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็ยกทหารไปถึงที่ซึ่งโจโฉตั้งทัพอยู่ ณ แดนเมืองหลวง
ฝ่ายโจโฉกับหัวเมืองทั้งปวงจึงให้ตั้งค่ายเรียงกันไปทางไกลประมาณสองร้อยเส้น แลโจโฉจึงให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญหัวเมืองทั้งปวงมากินโต๊ะพร้อมกัน แล้วก็ให้ยกเข้าตีเอาเมืองลกเอี๋ยง อองของจึงว่า บัดนี้ เราทั้งปวงมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งมาทำการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ไม่มีผู้ใดถืออาญาสิทธิ์เป็นผู้ใหญ่งบังคับบัญชานายทัพนายกองทั้งปวง ซึ่งจะยกเข้าตีนั้นเรายังไม่เห็นด้วย โจโฉฟังดังนั้นก็เห้นชอบจึงว่า อ้วนเสี้ยวนี้เป็นคนมีตระกูลเชื้อขุนนางมาถึงสี่ชั่วห้าชั่วคนแล้ว ควรจะให้เป็นนายทัพใหญ่ถืออาชญาสิทธิ์บังคับบัญชานายทัพนายกอง อ้วนเสี้ยวไม่ยอม หัวเมืองทั้งปวงจึงว่า ถ้าอ้วนเสี้ยวไม่ยอมเป็นนายทัพใหญ่แล้ว ซึ่งจะจัดหาผู้ใดนอกนั้นเห็นขัดสน อ้วนเสี้ยวเห็นหัวเมืองจะแก่งแย่งกันก็รับเป็นแม่ทัพใหญ่ โจโฉจึงให้ปลูกโรงใหญ่สำหรับอ้วนเสี้ยวออกว่าราชการในค่าย ครั้นถึงวันฤกษ์ดี จึงเชิญให้อ้วนเสี้ยวขึ้นนั่งที่สมควร แล้วโจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองก็เอากระบี่แลตราสำหรับนายทัพใหญ่มอบให้อ้วนเสี้ยว แล้วโจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองจึงจุดธูปเทียนขึ้นทำการสักการบูชาบวงสรวงเทพารักษ์แล้วถือน้ำพิพัฒน์สัจจาว่าจะสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินสืบไป โจโฉจึงรินสุราคำนับให้หัวเมืองทั้งปวงกินแล้วว่า เราจะทำสงครามใหญ่ครั้งนี้ อย่าได้คิดแก่งแย่งกันให้เสียราชการ จงมีใจประนอมกัน การทั้งปวงจึงจะสำเร็จ อ้วนเสี้ยวจึงว่า สติปัญญาเราก็เป็นประมาณ ซึ่งท่านทั้งปวงปรึกษาให้เราเป็นนายทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์ เราก็จะทำไปตามสติปัญญา อันอย่างธรรมเนียมกฎพิชัยสงครามนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดผิดเราจะให้ลงโทษโดยพระอัยการศึก ท่านทั้งปวงอย่าได้น้อยใจเรา โจโฉกับสิบเจ็ดหัวเมืองก็รับว่า ข้าพเจ้าจะทำตาม อ้วนเสี้ยวจึงให้อ้วนสุดผู้น้องเป็นทัพลำเลียงสำหรับส่งเสบียงนายทัพนายกองทั้งปวงอย่าให้ขาดได้ แล้วให้ซุนเกี๋ยนเป็นกองทัพหน้าคุมทหารไปตีด่านกิสุยก๋วน ซุนเกี๋ยนก็ยกไปตั้งค่ายประชิดด่าน
ฝ่ายนายด่านเห็นดังนั้นจึงแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ลิยูครั้นรู้หนังสือนั้นแล้วก็เอาไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะตกใจจึงปรึกษาลิยูว่า ครั้งนี้จะได้ใครอาสาออกไปจับซุนเกี๋ยนมาฆ่าเสียได้ ลิโป้จึงว่า ซึ่งหัวเมืองยกมาทั้งนี้เปรียบเหมือนแมลงเม่า ข้าพเจ้าขออาสายกกองทัพออกไปฆ่าเสีย อย่าให้ท่านวิตกเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจขึ้นจึงว่า ทุกวันนี้ เราได้ลิโป้ไว้เป็นบุตร ถึงมาตรว่าจะได้ทหารอื่นมาไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่าลิโป้
ขณะนั้น ทหารคนหนึ่งชื่อ ฮัวหยง กิริยาดังเสือ สูงหกศอกเศษ ครั้นได้ยินลิโป้ว่าจะอาสาดังนั้นจึงคุกเข่าลงคำนับตั๋งโต๊ะแล้วว่า ซึ่งจะฆ่าไก่แลจะเอามีดฆ่าโคมาฆ่านั้นไม่ควร ซึ่งการทั้งนี้เป็นแต่หัวเมืองยกมา อันลิโป้ผู้บุตรท่านจะยกออกไปรบด้วยข้าศึกนั้นเห็นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดเอาศีรษะหัวเมืองทั้งปวงมาให้จงได้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงให้ฮัวหยงเลื่อนที่เป็นนายทหารใหญ่ แล้วจัดนายทหารให้ห้าหมื่น กับลิซก หนึ่ง โฮจิ้น หนึ่ง เตียวหงิม หนึ่ง เป็นสี่นายทั้งฮัวหยง ให้ยกออกไป ฝ่ายฮัวหยงกับทหารสามคนคุมพลห้าหมื่นรีบออกไปตั้งรับอยู่ ณ ด่านกิสุยก๋วน
ขณะนั้น เปาสิ้นซึ่งอยู่ในกองทัพอ้วนเสี้ยวจึงคิดว่า ซุนเกี๋ยนเป็นกองหน้ายกไปตีด่านเมืองหลวงนั้น ถ้าได้ทีก็มีความชอบแต่ตัวซุนเกี๋ยน จึงแต่งให้เปาต๋งผู้น้องคุมทหารยกไปทางหนึ่ง ให้เร่งคิดเอาด่านเมืองหลวงให้ได้ก่อน ความชอบจึงจะมีแก่เรา เปาต๋งก็รีบยกทัพไป ครั้นถึงด่านแล้วก็ให้ทหารเข้าตีก่อนทัพซุนเกี๋ยน
ฝ่ายฮัวหยงเห็นดังนั้น ก็คุมทหารห้าร้อยเปิดประตูด่านออกไป จึงร้องว่า เปาต๋งนี้เป็นพวกโจรมารบกูหรือ เปาต๋งได้ยินดังนั้นก็แลไปดูเห็นฮัวหยงก็ตกใจกลัวชักม้าบ่ายหน้ากลับไป ฮัวหยงขับม้าไล่ตามแล้วเอาง้าวฟันถูกเปาต๋งตกม้าตาย จับได้ทหารเป็นอันมาก แล้วให้ตัดเอาศีรษะเปาต๋งใส่ถึงบอกหนังสือส่งขึ้นไปให้ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะมีความยินดีจึงแต่งหนังสือลงมาปูนบำเหน็จให้ฮัวหยงเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่
ฝ่ายซุนเกี๋ยนนั้นมีทหารเอกไปด้วยสี่คน ชื่อ เทียเภา ถือทวน หนึ่ง อุยกาย ถือกระบอกเหล็กสี่เหลี่ยม หนึ่ง ฮันต๋ง ถือง้าว หนึ่ง โจเมา ถือกระบี่สองมือ หนึ่ง ซุนเกี๋ยนแต่งตัวใส่เกราะแล้วถือง้าวใหญ่พวกทหารออกมาหน้าด่านแล้วร้องว่า อ้ายพวกขบถ มึงเร่งเปิดประตูออกมาเข้าเกลี้ยกล่อมกูจงเร็ว ถ้าช้าอยู่กูจะหักเข้าไปตัดศีรษะเสียให้สิ้น โฮจิ้นได้ยินดังนั้นจึงว่าแก่ฮัวหยงว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารห้าพันจะอาสาออกไปตี ฮัวหยงเห็นชอบด้วยก็จัดทหารให้โฮจิ้น โฮจิ้นก็ยกทหารเปิดประตูออกไป
ฝ่ายเทียเภาเห็นโฮจิ้นออกมา จึงขับม้ารำเพลงทวนออกไปรบด้วยโฮจิ้นได้เจ็ดเพลง เทียเภาเอาทวนแทงถูกคอโฮจิ้นตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็ไล่ฟันทหารโฮจิ้นเข้าไปจนถึงเชิงกำแพง
ฝ่ายฮัวหยงเห็นดังนั้นก็ให้ทหารบนหน้าที่เชิงเทินยิงเกาทัณฑ์ทิ้งก้อนศิลาลงไปดังห่าฝน ซุนเกี๋ยนเห็นจะเข้าหักเอายังมิได้ ก็ให้ถอยทหารมาตั้งค่ายอยู่ตำบลเลียงตุ๋ง จึงแต่งหนังสือตามซึ่งได้รบพุ่งนั้นไปให้อ้วนเสี้ยวแจ้ง แล้วบอกไปถึงอ้วนสุดว่า ในกองทัพนี้ขาดเสบียง ให้อ้วนสุดเร่งส่งลำเลียงมาให้จงได้
ขณะเมื่อหนังสือมานั้น ทหารอ้วนสุดคนหนึ่งจึงว่าแก่อ้วนสุดว่า ซุนเกี๋ยนคนนี้เมื่ออยู่ในเมืองกังตั๋งนั้นอุปมาดังเสือตัวหนึ่ง แลตั๋งโต๊ะนั้นอุปมาดังหมี ครั้งนี้ ซุนเกี๋ยนยกไปทำการเป็นกองหน้า ถ้าตีได้เมืองหลวงก็จะจับตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย ซุนเกี๋ยนก็จะกำเริบขึ้น ซึ่งจะฆ่าหมีเสียตัวหนึ่ง เสือจะร้ายขึ้นนั้น จะเห็นชอบข้างไหน ข้าพเจ้าคิดว่า นิ่งเสีย อย่าส่งเสบียงเลย ทหารในกองทัพซุนเกี๋ยนก็จะอิดโรยระส่ำระสายลงเหมือนเสือหากำลังมิได้ อ้วนสุดเห็นชอบด้วยก็มิได้ส่งเสบียง แลในกองทัพซุนเกี๋ยนก็อดข้าวปลาอาหาร ทหารทั้งปวงก็อิดโรยไป
ฝ่ายคนสอดแนมครั้นรู้ดังนั้นก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ลิซก ลิซกจึงไปบอกแก่ฮัวหยงว่า บัดนี้ ในกองทัพซุนเกี๋ยนนั้นทหารทั้งปวงอดข้าวปลาอาหารอิดโรยอยู่แล้ว เวลาค่ำวันนี้ ข้าพเจ้าจะคุมทหารอ้อมไปเข้าข้างหลังค่ายซุนเกี๋ยน ขอให้ท่านยกเข้าข้างหน้าค่าย จะตีกระหยาบเข้าไปปล้นเอาค่าย เห็นจะจับตัวซุนเกี๋ยนได้โดยง่าย ฮัวหยงเห็นชอบด้วยจึงจัดแจงทหารเตรียมไว้เป็นสองกอง ครั้นเวลาค่ำ จึงเปิดประตูยกทหารออกไปเป็นสองกองตามซึ่งคิดไว้นั้น ขณะเมื่อยกไปถึงค่ายซุนเกี๋ยนนั้นเป็นเวลาสองยามเศษ ฮัวหยงจึงให้ทหารตีกลองโห่ร้องเข้าปล้นเอาค่าย
ฝ่ายซุนเกี๋ยนตกใจแต่งตัวใส่เกราะแล้วขึ้นม้าถือง้าวออกมารบกับฮัวหยงได้แปดเพลง แล้วซุนเกี๋ยนแลไปเห็นแสงเพลิงข้างหลังค่ายนั้นสว่างขึ้น แลทหารในค่ายแตกตื่นล้มตายเป็นอันมาก แต่โจเมานั้นขี่ม้าตามซุนเกี๋ยนอยู่
ฝ่ายทหารฮัวหยงเข้าล้อมไว้ ซุนเกี๋ยนกับเมาจึงฝ่าฟันทหารออกไปได้ ฮัวหยงขับม้าตาม ซุนเกี๋ยนยิงเกาทัณฑ์มา ฮัวหยงรับลูกเกาทัณฑ์ได้ทั้งสองดอก แล้วซุนเกี๋ยนขึ้นเกาทัณฑ์จะยิงซ้ำ คันเกาทัณฑ์หัก ซุนเกี๋ยนกับโจเมาก็ควบม้าหนีไป ฮัวหยงก็ขับม้าตาม โจเมาจึงว่ากับซุนเกี๋ยนว่า หมวกซึ่งท่านใส่นั้นฝ่ายศัตรูจำได้ถนัด จงถอดมาเปลี่ยนให้ข้าพเจ้าเสียเถิด ซุนเกี๋ยนก็ถอดหมวกออกมาเปลี่ยนกันใส่ แล้วควบม้าแยกทางกันไป
ฝ่ายฮัวหยงกับทหารทั้งปวงควบม้าตามไป มิได้รู้ว่าซุนเกี๋ยนไปแห่งใด จำสำคัญได้แต่หมวก ฮัวหยงคิดว่าซุนเกี๋ยนก็รีบควบม้าไล่โจเมาไป ฝ่ายโจเมาเห็นจวนตัวเข้าจึงถอดหมวกสวมตอไม้ไว้ แล้วก็รีบควบม้าหนีเข้าป่า ขณะเมื่อฮัวหยงไล่ไปนั้นเป็นเวลากลางคืน มิได้รู้กลโจเมา เห็นสำคัญแต่หมวก จึงให้ทหารเข้าล้อมตอไม้นั้นไว้ แลทหารทั้งปวงก็เอาเกาทัณฑ์ยิงตอไม้อยู่เป็นช้านาน ครั้นเห็นไม่ไหวติง ฮัวหยงจึงพาทหารเข้าไปดู ก็เห็นหมวกสวมตอไม้อยู่
ฝ่ายโจเมาครั้นหนีเข้าอยู่ในป่าหยุดม้าดู เห็นฮัวหยงกับทหารหลงล้อมตอไม้ไว้ โจเมาจึงชักม้ากลับหลังจะฟันฮัวหยง ฮัวหยงเหลือบเห็นจึงชักม้ากลับหน้ามาร้องตวาดแล้วเอาง้าวฟันถูกโจเมาตัดขาดออกสองท่อนตาย ครั้นเวลารุ่งเช้า ฮัวหยงก็คุมทหารกลับเข้าไปด่านเมืองหลวง
ฝ่ายเทียเภา อุยกาย ฮันต๋ง กับทหารทั้งปวงซึ่งเหลือแตกไปนั้นพบซุนเกี๋ยน ซุนเกี๋ยนจึงพากลับมา ณ ค่ายเลียงต๋ง แล้วบอกหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวตามซึ่งได้รบพุ่ง อ้วนเสี้ยวแจ้งในหนังสือนั้นมีความเศร้าหมองนัก จึงหาหัวเมืองมาปรึกษาว่า ซุนเกี๋ยนนี้เป็นทหารกล้าแข็ง ซึ่งเสียทีแก่ฮัวหยงดังนี้จะคิดประการใด อนึ่ง เปาสิ้นลอบใช้เปาต๋งไปชิงรบจนตัวตายแลเสียทหารไปเป็นอันมาก นายทัพนายกองทั้งปวงยังมิได้ว่าประการใด
ขณะนั้น อ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยยืนอยู่ข้างหลังกองซุนจ้าน ทั้งสามคนนี้รูปร่างโตใหญ่ เห็นกิริยาดังยิ้มเยาะ จึงถามกองซุนจ้านว่า สามคนซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนั้นชื่อใด กองซุนจ้านจึงจูงมือเล่าปี่ออกไปยืนข้างหน้าแล้วบอกว่า คนนี้ชื่อเล่าปี่ เป็นเพื่อนศิษย์เรียนหนังสือกับข้าพเจ้ามาแต่ก่อน บัดนี้ ได้เป็นเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน
โจโฉจึงว่า เล่าปี่คนนี้ครั้งโจรโพกผ้าเหลืองนั้นก็ได้ไปช่วยรบ กองซุนจ้านจึงว่า อันเล่าปี่นี้เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ มีความชอบต่อแผ่นดินมาหลายครั้ง แล้วกองซุนจ้านให้เล่าปี่คำนับอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวเชิญให้เล่าปี่มานั่งที่สมควร แลกวนอูกับเตียวหุยก็เข้าไปยืนอยู่หลังเล่าปี่
ฝ่ายฮัวหยงนั้นคุมทหารออกไปถึงหน้าค่ายอ้วนเสี้ยว จึงให้ทหารเอาไม้ยาวเสียบหมวกซุนเกี๋ยนแกว่งขึ้นร้องประกาศว่า อ้ายเหล่าหัวเมืองซึ่งเป็นขบถแต่งให้ซุนเกี๋ยนยกไปรบนั้น กูก็ตีแตกฆ่าทหารเสียเป็นอันมากแล้ว บัดนี้ ใครซึ่งเป็นตัวนายเร่งยกออกมารบกัน ม้าใช้ได้ยินดังนั้นก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวจึงปรึกษาแก่นายทัพนายกองว่า ฮัวหยงออกมาทำดังนี้ ผู้ใดจะอาสาไปด้วยได้ ยูสิดทหารอ้วนสุดจึงรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปรบด้วยฮัวหยง อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็เกณฑ์ทหารให้ยูสิด ยูสิดยกทหารออกไปรบด้วยฮัวหยงได้สามเพลง ฮัวเหยงเอาง้าวฟันยูสิดตกม้าตาย ม้าใช้จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวกับหัวเมืองทั้งปวงปรึกษากันว่า ครั้งนี้ ใครจะอาสาออกไปรบด้วยฮัวหยงได้
ฝ่ายฮันฮก เจ้าเมืองกิจิ๋ว จึงว่า ข้าพเจ้ามีทหารเอกคนหนึ่งชื่อ พัวหอง จะขออาสาไปตัดเอาศีรษะฮัวหยงมาให้จงได้ อ้วนเสี้ยวมีความยินดีจึงเกณฑ์ทหารให้ พัวหองแต่งตัวใส่เกราะแล้วขี่ม้าถือขวานใหญ่เป็นอาวุธยกทหารออกไปรบด้วยฮัวหยงสามเพลง ฮัวหยงเอาง้าวฟันถูกพัวหองตกม้าตาย ม้าใช้ก็รีบเอาเนื้อความไปแจ้งแก่อ้วนเสี้ยว แลนายทัพนายกองทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ตกใจ อ้วนเสี้ยวจึงว่า ทหารเอกของเราสองคนชื่อ งันเหลียง บุนทิว ก็ยังไม่เห็นมา ถ้ามาแล้วก็จะกลัวอะไรกับฮัวหยง ครั้งนี้ จะได้ใครอาสาออกไป
ขณะนั้น กวนอูจึงว่าแก่อ้วนเสี้ยวว่า ข้าพเจ้าจะอาสาไปตัดศีรษะฮัวหยงมาให้ท่าน อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นจึงถามว่า ซึ่งรับอาสานั้นเป็นทหารที่ตำแหน่งใด กองซุนจ้านจึงบอกว่า คนนี้ชื่อ กวนอู ผู้น้องเล่าปี่ เป็นทหารม้าถือเกาทัณฑ์
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวได้ยินกองซุนจ้านว่าดังนั้นก็โกรธจึงตวาดว่า กวนอูเป็นแต่ทหารม้าเลว มาดูหมิ่นนายทัพนายกองหัวเมืองทั้งปวง บังอาจเข้ารับอาสา แลทหารหัวเมืองทั้งปวงมีอยู่เป็นอันมากพอจะทำการศึกสืบไป จึงให้ทหารขับกวนอูออกไปเสีย
โจโฉจึงห้ามอ้วนเสี้ยวว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธก่อน ท่วงทีกวนอูนี้จะมีฝีมือกล้าหาญอยู่จึงขันอาสา ถ้าไม่สมดังปากว่าจึงจะเอาโทษถึงตาย อ้วนเสี้ยวจึงว่า กวนอูเป็นทหารเลว ครั้นจะให้ออกไปรบกับฮัวหยง ฮัวหยงก็จะหัวเราะเย้ยเล่นว่าในกองทัพเรานี้ไม่มีทหารเอกแล้ว โจโฉจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นรูปร่างกวนอูนี้โตใหญ่คมสันอยู่ เห็นสมเป็นทหารเอก ฮัวหยงจะไม่รู้ว่าทหารเลว กวนอูจึงว่า ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ศีรษะฮัวหยงมา ขอท่านจงเอาศีรษะข้าพเจ้าไว้แทนเถิด อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีจึงเกณฑ์ทหารให้กวนอู โจโฉจึงให้อุ่นสุราแล้วรินใส่จอกยื่นให้กวนอู กวนอูคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ทหารเลว ซึ่งท่านจะให้สุรากินนั้นขอให้ท่านงดไว้ก่อน เมื่อใดข้าพเจ้าออกไปได้ศีรษะฮัวหยงมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะรับเอาสุราของท่านกิน แล้วกวนอูขี่ม้าถือง้าวออกไปรบด้วยฮัวหยง
ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้นได้ยินเสียงกลองแลม้าล่ออื้ออึงก็ชวนกันออกไปดูกวนอูจะรบกับฮัวหยง ครั้นออกไปถึงประตูค่ายก็เห็นกวนอูหิ้วเอาศีรษะฮัวหยงกลับเข้ามาทิ้งไว้ตรงหน้าค่าย นายทัพนายกองทั้งปวงเห็นก็ดีใจจึงพากวนอูเข้าไปในค่าย โจโฉจึงเอาจอกสุรานั้นมาคำนับแล้วส่งให้กวนอู กวนอูคำนับตอบแล้วรับเอาจอกสุรานั้นมากิน สุรานั้นยังอุ่นอยู่
ขณะนั้น เตียวหุยจึงว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า กวนอูพี่ข้าพเจ้าได้อาสาตัดศีรษะฮัวหยงมาให้แล้ว ข้าพเจ้าผู้น้องจะขออาสาตีเข้าไปในเมืองหลวงแล้วจะจับเอาตั๋งโต๊ะมาให้ท่าน อ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงร้องตวาดแล้วว่า บรรดานายทัพนายกองทั้งปวงมิได้ปรึกษาว่ากล่าวประการใด ตัวนี้เป็นแต่ทหารเลวองอาจเข้ามาจะอาสาหักหน้าผู้ใหญ่ ทั้งนี้ เห็นเป็นคนหยาบช้านัก ให้ขับออกไปเสียนอกที่ชุมนุมขุนนาง
โจโฉจึงว่า อันอย่างธรรมเนียมศึกนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบในการสงครามก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดกระทำความผิดก็จะลงโทษ ซึ่งจะมาถืออิสริยยศในท่ามกลางศึกดังนี้ไม่สมควร อ้วนเสี้ยวจึงตอบว่า ถ้าจะนับถือทหารเลวเป็นเอกฉะนี้ไซร้ เราไม่ทำการสืบไปแล้ว จะยกทหารกลับไปเมือง โจโฉจึงว่า ขัดข้องกันแต่เนื้อความเพียงนี้จะละการใหญ่เสียนั้นไม่ควร แล้วให้กองซุนจ้านพาเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยกลับไป ณ ค่ายที่อยู่ โจโฉจึงให้เอาสุราเป็ดไก่ไปมอบให้กำนัลเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย