สามก๊ก/ตอนที่ ๗
สารบัญ ลง
หน้า | ||
เรื่อง | ||
| ||
| ||
| ||
| ||
รูป | ||
| ||
| ||
| ||
| ||
หน้า ๙๖–๑๑๖ ขึ้น • ลง • สารบัญ
ฝ่ายตั๋งโต๊ะรู้กิตติศัพท์ว่าซุนเกี๋ยนตายแล้วก็มีความยินดีนัก จึงว่าแก่ที่ปรึกษาว่า ซึ่งซุนเกี๋ยนตายเสียนั้น เราค่อยเบาใจมีความสุขขึ้น อุปมาเหมือนบ่งหนามออกจากอกเราได้เล่มหนึ่ง ทุกวันนี้ ผู้ใดยังรู้ว่าอายุซุนเซ็กบุตรซุนเกี๋ยนอายุเท่าใด ลิยูจึงว่า ซุนเซ็กนั้นอายุได้สิบห้าปี ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็เห็นว่ายังเด็กอยู่ มิได้มีสงสัยประการใด ในขณะนั้น ตั๋งโต๊ะยิ่งทำการหยาบช้ากำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน ตั้งตัวให้คนทั้งปวงเรียกว่า ซ่องฮู แปลว่า เป็นบิดาเลี้ยงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าจะไปแห่งใดให้ตั้งกระบวนแห่อย่างพระมหากษัตริย์เสด็จ แล้วตั้งให้ตั๋งห้องผู้น้องเป็นนายทหารกองนอก แต่บรรดาแซ่ตั๋งนั้นเอามาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยสิ้น ตั๋งโต๊ะจึงเกณฑ์ไพร่ยี่สิบห้าหมื่นไปตั้งเมืองอยู่ทางไกลเมืองเตียงฮันสองพันห้าร้อยเส้น กำแพงสูงเท่าเมืองหลวง มีตำหนักใหญ่น้อยหน้าหลัง คลังแลฉางข้าวปลาอาหารนั้นขนเข้าไว้สำหรับจะเลี้ยงทหารกำหนดได้ยี่สิบปี แลเงินทองในท้องพระคลังกับส่วยสัดวัฒนานั้นเอามาไว้ในคลังเมืองใหม่ แล้วให้จัดหญิงรูปงามมาไว้ได้ประมาณแปดร้อยคน แลตั๋งโต๊ะนั้นเดือนหนึ่งบ้างยี่สิบวันบ้างจึงขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองหลวงต้องมารับส่งถึงนอกประตูเมือง แลทางจะขึ้นไปเฝ้านั้นมีที่ประทับเป็นหลายตำบล ในเมืองเตียงฮันนั้นก็มีที่อยู่แห่งหนึ่ง ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ตั๋งโต๊ะออกจากเฝ้า ขุนนางทั้งปวงตามไปส่งถึงนอกประตูเมือง ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปกินโต๊ะ ณ ที่ประทับ
ในขณะนั้น หัวเมืองฝ่ายหนึ่งบอกส่งคนเกลี้ยกล่อมมาประมาณห้าร้อย ตั๋งโต๊ะจึงให้ทหารเอาคนทั้งปวงมาตัดแขนตัดขาบ้าง ตัดหูตัดลิ้นบ้าง ให้ใส่กระทะเหล็กบ้าง คนทั้งปวงยังมิสิ้นใจก็เจ็บปวดร้องครางอื้ออึงไป ขุนนางทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่นั้นแลเห็นก็มีความสงสารนัก บางคนตกใจจนตะเกียบพลัดตกบ้าง จอกสุราพลัดจากมือบ้าง เพราะมีความสังเวช แต่ตั๋งโต๊ะนั้นมิได้มีใจปรานี เสพสุราพลาง ดูพลาง หัวเราะพลาง คนทั้งห้าร้อยนั้นก็ตายสิ้น ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนต่างก็ไป ตั๋งโต๊ะจึงลอบสั่งลิโป้ว่า เราจะให้หาขุนนางมากินโต๊ะพร้อมกันแล้ว เจ้าจงเข้าไปกระซิบแก่เรา เราจะสั่งให้เอาเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย แล้วตัดเอาศีรษะเข้ามา ครั้นถึงวันกำหนดขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะพร้อมกันอยู่ ณ เมืองใหม่ ตั๋งโต๊ะก็นั่งเสพสุราอยู่ด้วย
ฝ่ายลิโป้จึงเข้าไปทำเป็นกระซิบข้างหูตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะทำเป็นหัวเราะแล้วว่า คิดอย่างนี้ดอกหรือ เร่งเอาตัวมันไป ลิโป้ก็เข้าจับเอาตัวเตียวอุ๋นลากออกไป ขุนนางทั้งปวงซึ่งกินโต๊ะอยู่นั้นมิได้แจ้งเนื้อความประการใด ต่างคนต่างนิ่งตะลึงดูกันอยู่ ประเดี๋ยวหนึ่งก็เห็นลิโป้เตาศีรษะเตียวอุ๋นใส่กระบะเข้ามาให้ตั๋งโต๊ะดู ขุนนางทั้งปวงก็ยิ่งตกใจ ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าตกใจ ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะเตียวอุ๋นให้หนังสือลับไปถึงอ้วนสุดให้มาทำร้ายแก่เรา มีผู้รู้จึงบอกหนังสือมา ลิโป้จึงมากระซิบบอกเรา เราจึงให้จับไปฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงมิได้ร่วมคิดด้วยมันก็อย่าได้เป็นทุกข์ จงกินโต๊ะพูดกันเล่นให้สบาย ครั้นกินโต๊ะแล้วขุนนางทั้งปวงก็ลาไป
ฝ่ายอ้องอุ้นกลับมาถึงบ้านจึงคิดว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะให้หาไปกินโต๊ะแล้วเอาเตียวอุ๋นไปฆ่าเสีย เมื่อพิเคราะห์ดูนั้นไม่เห็นเตียวอุ๋นจะคบคิดกับอ้วนสุดให้มาทำร้าย ซึ่งตั๋งโต๊ะคิดผูกพันทำทั้งนี้เพราะจะทำอำนาจมิให้ขุนนางทั้งปวงคิดร้ายสืบไป แลตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าทั้งนี้จะหาผู้ใดจะช่วยคิดล้างตั๋งโต๊ะเสียไม่ อ้องอุ้นคิดรำคาญใจนอนมิหลับ ครั้นเวลาดึก จึงถือไม้เท้าลงไปยืนพิงต้นไม้อยู่ ณ สวนดอกไม้ จึงแลขึ้นไปดูบนอากาศ เห็นดาวเดือนนั้นขุ่นมัวเศร้าหมอง จึงคิดว่า ทุกวันนี้ พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นก็ทอดใจใหญ่แล้วร้องไห้
พอได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่งทอดใจใหญ่อยู่ตรงหน้านั้น อ้องอุ้นจึงเดินเข้าไปดู เห็นนางเตียวเสียน คนขับร้องซึ่งอ้องอุ้นช่วยมาไว้แต่น้อย รูปงาม ขับร้องก็เพราะ อายุได้สิบหกปี อ้องอุ้นมีความเอ็นดูเลี้ยงไว้เป้นบุตรเลี้ยง อ้องอุ้นจึงถามว่า เวลาดึกสงัดถึงเพียงนี้ยังมินอน ลงมาเที่ยวอยู่ในสวนดอกไม้ แล้วทอดใจใหญ่ทุกข์ด้วยไม่เห็นชู้มาหรือ นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้มีชู้มาคอยกันหามิได้ ตัวข้าพเจ้าเป็นทาสี ซึ่งท่านเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นบุตรมาแต่น้อยนั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่า ถ้าท่านมีทุกข์สิ่งใด ข้าพเจ้าจะสนองพระคุณท่าน ถึงมาตรว่าชีวิตจะตายแลกระดูกจะแหลกเป็นผงก็ดี ข้าพเจ้ามิได้เสียดายแก่ชีวิต เมื่อเวลากลางวันนั้น ตั๋งโต๊ะเชิญท่านไปกินโต๊ะแล้วกลับมา ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านนั้นเศร้าหมองยิ่งกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีทุกข์สิ่งใดใหญ่หลวงอยู่ ท่านจึงเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงตามลงมาหวังจะใคร่รู้เหตุ แล้วจะได้คิดอ่านสนองคุณท่านไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต อ้องอุ้นดังนั้นก็คิดว่า ครั้งนี้ แผ่นดินเห็นจะค่อยมีความสุขเพราะเตียวเสียนเป็นมั่นคง จึงพานางเตียวเสียนขึ้นไปบนตึกที่ดูหนังสือนั้นเป็นที่สงัด ให้นางเตียวเสียนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ อ้องอุ้นจึงคุกเข่าลงคำนับ นางเตียวเสียนเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงลงจากเก้าอี้คำนับ แล้วเข้ากอดเอาเท้าอ้องอุ้นไว้ แล้วห้ามว่า ท่านอย่าคำนับข้าพเจ้าผู้บุตรนี้ไม่สมควร อ้องอุ้นจึงตอบว่า เราได้ยินเจ้าว่าทั้งนี้ก็มีความยินดีนัก เราจึงคำนับเจ้า เจ้าจงมีใจเมตตาแก่พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรด้วยเถิด ว่าเท่านี้แล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้ นางเตียวเสียนเห็นดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากว่าจะเอาชีวิตแทนคุณท่าน เป็นไฉนท่านมิบอกเหตุ ซึ่งจะมาร้องไห้อยู่ฉะนี้ ทุกข์ของท่านจะสำเร็จแล้วหรือ อ้องอุ้นจึงว่า ทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เจ้าก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นอุปมาดังฟองไก่อันวางอยู่เหนือหน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรนั้นอุปมาดังหยากเยื่ออันใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้นจะชิงเอาราชสมบัติ หาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรเลี้ยงคนหนึ่งชื่อ ลิโป้ ลิโป้ก็มีฝีมือกล้าหาญ แลน้ำใจตั๋งโต๊ะกับลิโป้นั้นมักยินดีด้วยสตรีรูปงาม ถ้าเจ้าจะช่วยกู้แผ่นดินแล้ว พ่อจะคิดเป็นกลอุบายจะยกเจ้าให้แก่ลิโป้ แล้วจึงจะไปบอกตั๋งโต๊ะให้มารับเจ้าไปเป็นภรรยา เมื่อเจ้าไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะนั้นจงลอบทำกลมารยาต่าง ๆ ให้ลิโป้มีความรักใคร่ในตัวเจ้า แล้วเจ้าจึงลอบบอกตั๋งโต๊ะด้วยกลมารยาความคิดของเจ้า นานไปเห็นตั๋งโต๊ะกับลิโป้จะมีความสงสัยกินแหนงแก่กัน ลิโป้ก็จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เมื่อศัตรูราชสมบัติตายแล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากู้แผ่นดินก็จะมีชื่อปรากฏไปชั่วฟ้าชั่วดิน ซึ่งพ่อคิดทั้งนี้เจ้าจะยอมด้วยหรือประการใด
ฝ่ายนางเตียวเสียนจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้ออกปากไว้ว่าจะสนองคุณท่าน อย่าว่าแต่จะเสียตัวเพียงนี้เลย ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ซึ่งท่านจะคิดประการใดนั้นก็ให้เร่งคิดเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้ไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดกลมารยาให้ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสียจงได้ อ้องอุ้นจึงตอบว่า ถ้าเจ้าจะอาสาแผ่นดินแทนคุณพ่อแล้ว จะคิดการสิ่งใดให้ปิดป้องให้จงดี ถ้าเนื้อความแพร่งพราย ตัวเจ้ากับบิดาแลญาติก็จะพากันตายเสียสิ้น นางเตียวเสียนจึงว่า ความทั้งนี้ถ้าข้าพเจ้าแพร่งพรายแก่ผู้ใด ขอให้ข้าพเจ้าตายด้วยอาวุธต่าง ๆ เถิด อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก
ครั้นเวลารุ่งเช้า อ้องอุ้นจึงจัดเพชรพลอยกับทองคำ แล้วหาช่างมาทำหมวกสำหรับลูกหลวงใส่ แล้วแต่งคนอันสนิทให้ลอบเอาออกไปให้เป็นกำนัลแก่ลิโป้ ลิโป้เห็นหมวกอย่างลูกหลวงก็มีความยินดีนักจึงลอบมาหาอ้องอุ้น ณ บ้าน
ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นเห็นลิโป้มาก็ออกไปรับเข้ามาในตึก อ้องอุ้นเชิญให้ลิโป้กินโต๊ะ ลิโป้กินโต๊ะแล้วตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นแต่นายทหารเอกของมหาอุปราช ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ เป็นไฉนท่านจึงให้เอาของดีไปให้ข้าพเจ้าแลนับถือข้าพเจ้าผู้น้อยไม่สมควร อ้องอุ้นจึงตอบว่า ทุกวันนี้ เราเล็งดูในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวงก็หาผู้ใดเข้มแข็งกล้าหาญเสมอท่านมิได้ ซึ่งเราให้ของแลนับถือท่านทั้งนี้ใช่จะให้ด้วยเกรงบรรดาศักดิ์นั้นหามิได้ เราให้เพราะรักฝีมือในการทหารท่าน ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนัก แล้วอ้องอุ้นรินสุราคำนับส่งให้แก่ลิโป้ จึงพูดจายกยอสรรเสริญตั๋งโต๊ะกับลิโป้เป็นอันมาก แล้วให้ขับคนใช้ผู้ชายนั้นเสียสิ้น เอาแต่ผู้หญิงไว้ใช้สี่คน อ้องอุ้นจึงว่าแก่หญิงนั้นให้ไปเชิญนางเตียวเสียนออกมา หญิงคนใช้สองคนนั้นจึงเข้าไปประคองนางเตียวเสียนออกมา
ลิโป้เห็นนางเตียวเสียนรูปงามจึงถามอ้องอุ้นว่า หญิงคนนี้เป็นบุตรผู้ใด อ้องอุ้นจึงบอกว่า นางเตียวเสียนนี้เป็นบุตรของเรา ทุกวันนี้ เราได้อยู่เย็นเป็นสุขก็เพราะบุญของมหาอุปราชกับท่าน ท่านก็มีความเมตตาแก่เราดังญาติพี่น้อง เราจึงให้หาออกมา หวังจะให้ท่านรู้จักไว้ แล้วอ้องอุ้นจึงให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ลิโป้
ฝ่ายนางเตียวเสียวจึงรินสุราส่งให้ลิโป้แล้วทำทีชายตาไปให้สบตาลิโป้ อ้องอุ้นจึงทำเป็นเมาแล้วว่าแก่นางเตียวเสียนว่า พ่อนี้ชราแล้วกำลังน้อย เสพสุราก็เมา เจ้าจงคำนับแทนพ่อเถิด
ลิโป้จึงเชิญให้นางเตียวเสียนนั่ง นางเตียวเสียนแกล้งทำละอายลิโป้มิได้นั่งลง จึงคำนับบิดาแล้วจะลาเข้าไปที่ข้างใน อ้องอุ้นจึงว่า ลูกเอ๋ย อย่าอายเลย ลิโป้มีความเมตตาแก่เราดังญาติ จงนั่งลงคำนับรินสุราให้เถิด นางเตียวเสียนจึงนั่งลองข้างอ้องอุ้น แล้วรินสุราคำนับให้ลิโป้ทีไรก็ชายหางตาให้สบตาลิโป้แล้วให้ที
ฝ่ายลิโป้รับจอกสุราทีไรก็ชำเลืองไปต้องตานางเตียวเสียนทุกครั้ง ก็มีใจประหวัดยินดีกับนางเตียวเสียวเป็นอันมาก อ้องอุ้นเห็นกิริยาลิโป้พอใจนางเตียวเสียนแล้วจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ตัวเรานี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็จริง แต่ชราแล้ว อุปมาเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง บุตรของเราคนนี้จะยกให้เป็นภรรยาน้อยท่าน จะได้ฝากผีแก่ท่านสืบไป ซึ่งเราว่าทั้งนี้ท่านจะเห็นประการใด ถ้าไม่ควรท่านอย่าถือโทษเลย ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงลุกขึ้นคุกเข่าคำนับอ้องอุ้น แล้วจึงว่า ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้นั้นคุณหาที่สุดไม่ ถึงจะเป็นประการใดข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านสืบไป อ้องอุ้นจึงว่า บุตรเรานี้ก็ได้ให้เป็นสิทธิ์แก่ท่านแล้ว แต่งว่างดอยู่ ให้เราหาวันดีแล้วเมื่อใดจึงจะส่งบุตรเราให้เป็นภรรยาท่าน ลิโป้จึงว่า ตามใจเถิด แล้วลิโป้ลุกขึ้นทำจะลาอ้องอุ้นไป อ้องอุ้นจึงยึดมือไว้ว่า อย่าเพ่อไป ใจเราจะใคร่เชิญให้ท่านอยู่นอนพูดกันเล่นก่อน แต่หากคิดเกรงมหาอุปราชอยู่ ลิโป้จึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ขอบคุณนัก วันนี้ข้าพเจ้ามีธุระอยู่ ต่อสบายวันอื่นจึงจะมาอยู่นอนด้วย แล้วลิโป้ก็ลาอ้องอุ้นกลับไป
ครั้นเวลาเช้า อ้องอุ้นก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้เห็นลิโป้เข้ามาด้วยตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าได้ความสุขหาทุกข์ภัยอันตรายสิ่งใดมิได้ก็เพราะบุญของท่านมหาอุปราชคุ้มครองอยู่ ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะทดแทนคุณท่านมิได้ เวลาวันนี้ขอเชิญท่านไปกินโต๊ะ ณ บ้านข้าพเจ้าให้สบายใจ ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ ถ้าไม่ควรก็ขอท่านอย่าได้เอาโทษแก่ข้าพเจ้าเลย ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมิได้รู้กลก็มีความยินดีนัก จึงตอบว่า ซึ่งท่านนับถือเราจะให้เราไปกินโต๊ะ ณ บ้านนั้นก็ขอขอบใจท่าน เวลากลางวันนี้เราจะไป อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ลาตั๋งโต๊ะกลับไปจึงให้แต่งที่กับโต๊ะเตรียมไว้
ครั้นเวลาเที่ยง ตั๋งโต๊ะออกจากที่เฝ้า จึงขึ้นรถแล้วให้ทหารทั้งปวงแห่เป็นกระบวนไป ณ บ้านอ้องอุ้น อ้องอุ้นก็ออกมาคำนับถึงนอกบ้าน แล้วเชิญตั๋งโต๊ะขึ้นไปยังที่แต่งไว้ อ้องอุ้นก็คุกเข่าคำนับอยู่แล้วรินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะรับจอกสุรามากินแล้วว่า ท่านอย่าคุกเข่าคำนับเลย จงนั่งให้เป็นสุขเถิด อ้องอุ้นทำทีอ่อนง้อแล้วพูดจาสรรเสริญตั๋งโต๊ะเป็นอันมาก ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นเสพสุราพลางก็มีความยินดีนัก แลต๋งโต๊ะนั้นกินโต๊ะอยู่กับอ้องอุ้นจนเวลาเย็น แล้วอ้องอุ้นจึงเชิญตั๋งโต๊ะให้เข้าไปนั่งเล่นที่ข้างใน ตั๋งโต๊ะมิได้มีความสงสัยแก่อ้องอุ้น จึงขับทหารทั้งปวงลงไปเสียแผ่นดิน แล้วตั๋งโต๊ะก็เข้าไปที่ข้างใน
อ้องอุ้นจึงว่า เมื่ออายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบห้านั้น ข้าพเจ้าได้เรียนดูดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ แลดาวประจำเมือง กับดาวบริวารทั้งปวงนั้น บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์นั้นเศร้าหมอง แลดาวมหาอุปราชนั้นรัศมีรุ่งเรือง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้นี้จะดับสูญ ราชสมบัตินั้นจะได้แก่ท่านเป็นมั่นคง ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงถามว่า เรานี้จะถึงเศวตฉัตรเจียวหรือ เรายังไม่เห็นด้วย อ้องอุ้นจึงตอบว่า อันอย่างธรรมเนียมโบราณ ถ้าผู้ใดหาบุญแลสติปัญญามิได้ก็ย่อมแพ้แก่ผู้มีบุญแลปัญญาความคิด ข้าพเจ้าเห็นดังนี้ ไฉนท่านจึงว่าไม่เห็นด้วย
ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วตอบว่า ถ้าเราได้ราชสมบัติเหมือนคำท่าน เราจะตั้งท่านให้เป็นมหาอุปราชเป็นบำเหน็จปากซึ่งท่านทำนายนั้น อ้องอุ้นก็ทำยินดี ครั้นเวลาพลบก็ให้จุดเทียนชวาลาแล้วยกโต๊ะมา จึงรินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะ แล้วเรียกนางมโหรีแลนางรำออกมา ให้นางเตียวเสียนบำเรอตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นนางเตียวเสียนนั้นรูปงามรำก็ดี จึงเรียกเข้ามา แล้วถามอ้องอุ้นว่า นางชื่อไร อ้องอุ้นบอกว่า ชื่อนางเตียวเสียน ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้แต่น้อย ตั๋งโต๊ะจึงถามว่า ขับได้หรือไม่ อ้องอุ้นบอกว่า ขับก็เพราะ แล้วให้นางเตียวเสียนขับให้ตั๋งโต๊ะฟัง นางเตียวเสียนก็ขับเป็นเพลงว่า หญิงรูปงามขับเสียงเพราะ ลิ้นจี่แต้มริมฝีปากชูสีขึ้น แลหยกสองอันถึงมาตรว่าไม่แกะเป็นรูปสิ่งใดก็แอบเนื้อเย็นใจ พริกไทยนั้นเมล็ดเล็กก็จริงถ้าลิ้มเข้าไปถึงลิ้นแล้วก็จะมีพิษเผ็ดร้อน ตั๋งโต๊ะได้ฟังนางเตียวเสียนขับมิทันสังเกตในกลสตรีซึ่งขับนั้นก็ชมว่าเพราะ
อ้องอุ้นจึงให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะจึงถามว่า เจ้านี้อายุเท่าใด นางเตียวเสียนบอกว่า อายุข้าพเจ้าได้สิบหกปี ตั๋งโต๊ะเห็นรูปนางเตียวเสียนงามทั้งเสียงก็เพราะก็มีใจประหวัดยินดี ตั๋งโต๊ะยิ้มแล้วจึงว่า เจ้านี้รูปงามดังนางฟ้าหาผู้เสมอมิได้ นางเตียวเสียวได้ยินก็ทำทีให้ตั๋งโต๊ะยวนใจ อ้องอุ้นเห็นดังนั้นจึงคุกเข่าคำนับตั๋งโต๊ะแล้วว่า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะบุญท่าน ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะสนองคุณมิได้ แลนางเตียวเสียนนี้ข้าพเจ้าได้เลี้ยงมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะยกให้แก่ท่านเป็นสิทธิ์ ตั๋งตะได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีจึงตอบว่า ซึ่งท่านมีน้ำใจยกนางเตียวเสียนให้แก่เรานั้น เราจะสนองคุณท่านสืบไป อ้องอุ้นจึงให้จัดแจงข้าวของเสื้อผ้าอย่างดีให้แก่นางเตียวเสียนเป็นอันมาก แล้วให้นางเตียวเสียนขี่เกี้ยวเกณฑ์ผู้คนทั้งปวงให้ไปส่ง ณ ที่อยู่ตั๋งโต๊ะในเมืองหลวงในเวลากลางคืนนั้น
ตั๋งโต๊ะครั้นเห็นอ้องอุ้นแต่งให้คนไปส่งนางเตียวเสียนแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ลาอ้องอุ้นไป อ้องอุ้นก็ตามไปส่งตั๋งโต๊ะถึงที่อยู่แล้วก็ลากับมาถึงกลางทาง พอพบลิโป้ขี่ม้าถือทวนมา ลิโป้จึงยุดเอาชายเสื้ออ้องอุ้นแล้วถามว่า นางเตียวเสียนนั้นตัวยกให้เป็นภรรยาเราแล้ว เป็นไฉนจึงส่งตัวไปให้ตั๋งโต๊ะเล่า แลตัวทำดังนี้ลวงเราหรือประการใด
อ้องอุ้นจึงตอบว่า ที่นี่เป็นกลางทางอยู่ ครั้นจะบอกเนื้อความก็ไม่ควร เชิญท่านไปบ้านข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความทั้งปวงให้แจ้ง ลิโป้ก็ตามมา ณ บ้านอ้องอุ้น อ้องอุ้นจึงพาลิโป้ขึ้นไปบนตึกแล้วแต่งกลแก้ว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธเราเลย เราจะเล่าเนื้อความให้แจ้ง เวลาวานนี้ เราเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฝ่ายมหาอุปราชจึงว่าแก่เราว่า มีกังวล เวลากลางวันจะมาหาเรา เราจึงแต่งที่แลโต๊ะไว้รับ ครั้นมหาอุปราชมาถึงจึงถามเราว่า มีผู้บอกเนื้อความว่าเรายกนางเตียวเสียนผู้บุตรให้แก่ลิโป้ มหาอุปราชมีความยินดีนักจึงมาว่ากล่าวขอเราต่อปากว่าจะให้ท่าน เราก็รับว่าจริง มหาอุปราชว่าจะขอดูตัว เราจึงให้นางเตียวเสียนออกมาคำนับ มหาอุปราชจึงว่า ซึ่งยกนางนี้ให้เป็นภรรยาลิโป้ผู้บุตรนั้นมหาอุปราชมีความยินดีด้วย มหาอุปราชจึงว่าแก่เราว่า ฤกษ์ดีแล้ว จะรับนางไปแต่งงานกับลิโป้ผู้บุตรให้อยู่กินด้วยกันตามประเพณี ซึ่งมหาอุปราชว่าทั้งนี้ท่านคิดดูเถิด เราเป็นผู้น้อยจะอาจขัดได้หรือ เราจึงส่งบุตรให้ไป
ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าโกรธท่านนั้นผิดอยู่ ข้าพเจ้าขออภัยเถิด แล้วลิโป้ก็ลาอ้องอุ้นกลับไปในเวลากลางคืนนั้น ลิโป้มาถึงบ้านคอยตรับฟังกิตติศัพท์ผู้คนพูดจา ซึ่งตั๋งโต๊ะจะแต่งนางเตียวเสียนนั้นก็เงียบอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ลิโป้จึงเดินขึ้นไปบนตึกตั๋งโต๊ะแล้วถามหญิงคนใช้ว่า มหาอุปราชไปไหน หญิงนั้นจึงบอกว่า ท่านไม่รู้หรือ คืนนี้มหาอุปราชได้หญิงรูปงามมา บัดนี้ ยังนอนหลับอยู่ ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงค่อยเดินเข้าไปข้างผนังตึกคอยแอบฟังอยู่ แลนางเตียวเสียนนั้นตื่นก่อนตั๋งโต๊ะ ลุกขึ้นล้างหน้าอยู่ พอแลเห็นเงาเข้ามาตรงหน้าต่างก็เยี่ยมออกไปเห็นลิโป้ นางเตียวเสียนทำเป็นร้องไห้แล้วเอาผ้าเช็ดหน้านั้นเช็ดน้ำตา ลิโป้เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีน้ำใจโกรธตั๋งโต๊ะจึงเดินกลับออกไป
ครั้นตั๋งโต๊ะตื่นขึ้นจึงออกมาที่ข้างหน้า ลิโป้ก็กลับขึ้นไป ตั๋งโต๊ะจึงถามลิโป้ว่า วันนี้มีราชการสิ่งใดบ้าง ลิโป้จึงบอกด้วยเสียงอันดังว่า หามีราชการสิ่งใดไม่ ตั๋งโต๊ะนั่งกินอาหารอยู่ ลิโป้ก็เข้าไปยืนอยู่ข้างหลังตั๋งโต๊ะตามเคย แลนางเตียวเสียนนั้นเผยมู่ลี่ขึ้นเยี่ยมหน้าออกมาครั้งหนึ่งทำทีชายตาไปให้สบตาลิโป้ ลิโป้แลไปเห็นนางเตียวเสียนก็ยิ่งมีความรักขึ้นเป็นอันมาก
ฝ่ายตั๋งโต๊ะเหลือบไปเห็นลิโป้ดูนางเตียวเสียนไปเป็นทีดังนั้น ตั๋งโต๊ะก็มีความหึงสา จึงว่าแก่ลิโป้ว่า วันนี้ไม่มีราชการสิ่งใดแล้ว จะไปบ้านก็ไปเถิด ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงแลไปดูนางเตียวเสียนก็ทอดใจใหญ่แล้วกลับไปบ้าน เมื่อตั๋งโต๊ะได้นางเตียวเสียนมาไว้นั้นมีความรักใคร่ลุ่มหลงไป ไม่ได้ออกว่าราชการกำหนดได้ถึงเดือนเศษ ครั้นตั๋งโต๊ะป่วยลงแล้ว นางเตียวเสียนนั้นแสร้งอุตส่าห์กระทำรักษาพยาบาลปรนนิบัติตั๋งโต๊ะมิให้อนาทรร้อนใจ ตั๋งโต๊ะก็มีความรักนางเตียวเสียนเป็นอันมาก
ครั้นเวลาวันหนึ่ง ลิโป้เข้าไปเยี่ยมถึงที่ข้างใน ตั๋งโต๊ะนั้นนอนหลับอยู่ นางเตียวเสียนเห็นลิโป้เข้า จึงเอนตัวออกไปข้างหลังมุ้ง แล้วทำเป็นกลมารยา เอามือชี้ไปตรงตั๋งโต๊ะ แล้วชี้เข้าที่อกตัวเอง จึงทำเป็นร้องไห้ ลิโป้แจ้งในกิริยาซึ่งนางเตียวเสียนทำนั้นก็ยิ่งมีความเสน่หาอาลัยขึ้นเป็นอันมาก
ฝ่ายตั๋งโต๊ะตื่นขึ้น เห็นลิโป้เข้ามาแลไปดูข้างหลังมุ้งมิได้พริบตา จึงชะโงกไปดูเห็นนางเตียวเสียนยืนดูอยู่ข้างหลังมุ้ง ตั๋งโต๊ะโกรธจึงร้องตวาดว่า อ้ายลิโป้นี้เสียแรงกูไว้ใจรักดังบุตรในอุทร บังอาจหยอกเมียกูได้ แล้วให้หญิงคนใช้ขับลิโป้ลงไปเสียว่า แต่นี้สืบไป อย่าให้เข้ามาที่ข้างใน ลิโป้นั้นได้ความอัปยศน้อยใจก็เดินออกไปจากบ้านตั๋งโต๊ะ ครั้นมาถึงกลางทาง พอพบลิยู ลิโป้จึงเอาเนื้อความซึ่งตั๋งโต๊ะด่าว่านั้นเล่าให้ลิยูฟัง แล้วก็ไปบ้าน ลิยูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจรีบเข้ามาว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านสิจะคิดการใหญ่ เป็นไฉนมาขัดเคืองลิโป้ด้วยความมโนสาเร่เล่า ถ้าลิโป้เอาใจออกหาก ท่านก็จะหวังเอาผู้ใดเป็นกำลังสืบไปเล่า ตั๋งตะได้ยินลิยูว่าก็สะดุ้งใจ จึงว่า ซึ่งลิโป้โกรธเรานั้นท่านจะให้เราคิดประการดี ลิยูจึงว่า ขอให้ท่านหาตัวลิโป้มา จึงเอาเงินทองของดีทั้งปวงให้ แล้วว่ากล่าวปลอบโยนสมัครสมานเสีย เห็นลิโป้จะมีใจปรกติไปแก่ท่าน ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย
ครั้นรุ่งเช้าขึ้น จึงให้คนใช้ไปหาตัวลิโป้มาแล้วว่า เวลาวานนี้ เราป่วยอยู่ให้ร้อนรนในใจ ซึ่งเราได้ว่ากล่าวแก่เจ้าทั้งนั้นอย่าถือโทษเราเลย แล้วตั๋งโต๊ะเอาทองคำสิบชั่ง แพรอย่างดียี่สิบไม้ ให้แก่ลิโป้ ลิโป้ก็คำนับแล้วรับเอาทองกับแพรไว้ แต่นั้นมา ลิโป้ก็ไปมาหาสู่ตั๋งโต๊ะอยู่ตามเคย แต่ใจนั้นระลึถึงนายเตียวเสียนอยู่มิได้ขาด ครั้นอยู่มา ตั๋งโต๊ะคลายป่วยแล้วก็เข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ลิโป้นั้นก็ถือทวนขี่ม้าตามเข้าไปด้วย ในขณะเมื่อตั๋งโต๊ะยังเฝ้าอยู่นั้น ลิโป้จึงขึ้นม้าควบกลับมาบ้านตั๋งโต๊ะ เอาม้าผูกไว้หน้าตึกแล้วถือทวนเข้าไปหานางเตียวเสียนที่ข้างใน นางเตียวเสียนเห็นลิโป้มาก็ทำเป็นมีใจยินดี คำนับแล้วจึงว่า ถ้าจะพูดกันที่นี่เกลือกว่าตั๋งโต๊ะมาพบจะแก้ตัวยาก ท่านจงลงไปคอยข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่นั่งเย็นในสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าจะลงไปตาม ลิโป้ก็ลงไปคอยอยู่ตามสัญญา
ฝ่ายนางเตียวเสียนก็ลงไปตามลิโป้ ครั้นขึ้นไปบนที่นั่งเย็นปากสระ แลนัยน์ตานั้นชำเลืองแลดูต้นทางซึ่งตั๋งโต๊ะจะมานั้น แล้วก็ทำกลอุบายเข้ากอดเอาเท้าลิโป้ไว้แล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าเป็นบุตรเลี้ยงอ้องอุ้น อ้องอุ้นรักข้าพเจ้าเหมือนหนึ่งบุตรในอุทร จึงยกข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาท่าน ข้าพเจ้าก็มีความยินดีด้วย แลมหาอุปราชไปรับข้าพเจ้ามาว่าจะแต่งงานให้อยู่เป็นภรรยาท่าน ครั้นมาถึงที่อยู่ มหาอุปราชมิได้ทำตามคำว่า ทำข่มเหงข้าพเจ้าทั้งนี้ แลในอกข้าพเจ้านี้กรมเป็นหนองอยู่ได้ประมาณเดือนเศษมาแล้ว คิดว่าจะกลั้นใจตายเสียก็ยังมิได้ลาแลแจ้งความทุกข์แก่ท่าน ชีวิตจึงยังคงอยู่ วันนี้ ข้าพเจ้าได้กราบลาแลแจ้งความทุกข์ในอกแล้วก็จะลาตายไปให้พ้นความระกำใจต่อหน้าท่านให้เห็นความสัตย์ข้าพเจ้า ว่าแล้วก็ทำเป็นปีนฝากรงที่นั่งเย็นขึ้นจะโจนน้ำตาย ลิโป้เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงเข้าอุ้มนางเตียวเสียนไว้ ลิโป้ร้องไห้แล้วว่า อันความสัตย์แลความรักของเจ้านั้นเราเห็นประจักษ์อยู่ แต่หากว่ามีที่กีดขวาง เราทั้งสองจึงมิได้ปรับทุกข์กัน นางเตียวเสียนจึงตอบว่า ซึ่งจะทรมานในชาตินี้ก็ยิ่งได้ความลำบากนัก เพราะเจ้ากรรมมาตามทัน ชาตินี้บุญน้อยแล้ว มิได้อยู่ปรนนิบัติท่านผู้สามี ข้าพเจ้าจะขอตายไปให้พ้นความเวทนา เกิดมาชาติหน้าข้าพเจ้าจะขอเป็นภรรยาท่าน จะปรนนิบัติรักษาท่านตามความปรารถนาข้าพเจ้า ลิโป้จึงปลอบว่า เจ้าจะมาด่วนตีตนตายไปก่อนไข้นั้นไม่ควร จงฟังคำเราว่าเถิด ในชาตินี้ถ้าเรามิได้เจ้ามาเป็นภรรยาเราก็ไม่ขออยู่เป็นชายสืบไปเลย นางเตียวเสียนจึงตอบว่า แต่ข้าพเจ้าทนทุกข์ทรมานมานี้ถึงเดือนเศษแล้ว แลความระกำใจในอกวันหนึ่งนั้นอุปมาช้าเหมือนกึ่งขวบปี ถ้าท่านเมตตาจะเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นภรรยาอยู่ จะคิดผ่อนผันประการใดก็ขอให้ท่านเร่งคิด ลิโป้จึงตอบว่า เราตามตั๋งโต๊ะเข้าไปในวัง ครั้นเห็นได้ทีจึงกลับออกมาหาเจ้า มิได้บอกตั๋งโต๊ะว่าจะไปแห่งใด เกลือกตั๋งโต๊ะไม่เห็นจะมีความสงสัยเรา เราจะลาเจ้ารีบกลับไปก่อน นางเตียวเสียนจึงตอบว่า ถ้าท่านกลัวอ้ายศัตรูเฒ่าอยู่ฉะนี้ ท่านจะไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าสืบไปแล้ว
ลิโป้จึงว่า ของดให้เราไปตรึกตรองการก่อน นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นจึงแกล้งว่า ข้าพเจ้าได้ยินลือชาปรากฏแต่ชื่อท่านดังเสียงฟ้า ข้าพเจ้าเอามือปิดหูไว้ ด้วยกลัวอำนาจว่าเข้มแข็งกล้าหาญในการสงครามหาผู้ใดเสมอมิได้ บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นแลฟังวาจาของท่านั้นไม่สมกับคำลือ เมื่อพิเคราะห์ดูเห็นว่า ท่านกลัวอำนาจตั๋งโต๊ะเป็นอันมากอยู่ฉะนี้ เห็นจะคิดการไปมิตลอดเสียแล้ว แลนางเตียวเสียนก็ทำเป็นร้องไห้ ปลิดมือลิโป้เสียจะโจนน้ำตาย ลิโป้ได้ฟังดังนั้นมีความละอายใจนัก จึงเอาทวนพิงไว้กับฝากรง แล้วปลอบโยนเล้าโลมนางเตียวเสียนอยู่เป็นช้านาน
ฝ่ายตั๋งโต๊ะเมื่อเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่นั้นเหลียวดูไม่เห็นลิโป้ก็คิดกริ่งใจ พอเสด็จเข้า ตั๋งโต๊ะก็รีบมา ณ บ้าน เห็นม้าลิโป้ผูกอยู่หน้าตึก ก็ขึ้นไปบนตึก มิได้เห็นลิโป้ จึงเดินเข้าไปที่ข้างใน มิได้เห็นนางเตียวเสียน จึงถามหญิงทั้งปวง หญิงทั้งปวงบอกว่า นางเตียวเสียนลงไปชมสวนดอกไม้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็ยิ่งสะดุ้งใจคิดว่า ชะรอยอ้ายลิโป้มาอยู่ที่นั้นด้วย ก็ตามลงไปถึงประตูสวน
ฝ่ายนางเตียวเสียนเหลือบเห็นตั๋งโต๊ะมาก็ทำทีจะโจนน้ำตาย ลิโป้ก็เข้าอุ้มไว้ ครั้นตั๋งโต๊ะมาถึงที่นั่งเย็น แลเห็นลิโป้เข้าอุ้มนางเตียวเสียน นางเตียวเสียนดิ้นปลิดมือลิโป้อยู่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมิได้รู้กลมารยาแห่งสตรี ก็มีใจโกรธลิป็เป็นอันมาก จึงร้องตวาดด้วยเสียงว่า เหม่ อ้ายลิโป้
ฝ่ายลิโป้เหลียวมาเห็นตั๋งโต๊ะก็กลัว ไม่ทันฉวยเอาทวยก็โดดลงวิ่งหนีไป แลตั๋งโต๊ะฉวยเอาทวนของลิโป้ซึ่งพิงอยู่นั้นไล่ตามไป จึงเอาทวนนั้นพุ่งลิโป้ก็มิได้ถูก แลลิโป้นั้นวิ่งหนีออกนอกประตูสวนได้ ตั๋งโต๊ะวิ่งไปฉวยเอาทวนได้แล้วไล่ตามไปถึงประตูสวนดอกไม้ แลลิยูนั้นรู้จะเข้าไปห้ามก็วิ่งมาโดนตั๋งโต๊ะล้มลง ลิยูก็เข้าประคองเอาตั๋งโต๊ะขึ้นไปบนตึก ตั๋งโต๊ะจึงถามลิยูว่า ท่านวิ่งเข้ามานี้ด้วยเหตุสิ่งใด ลิยูตอบว่า ข้าพเจ้าตามท่านออกมาจากเฝ้า มาถึงประตูตึก จะลากลับไปบ้าน พอไปถึงประตูท้ายสวน แลเห็นลิโป้วิ่งร้องออกมาว่ามหาอุปราชจะฆ่าเสีย ข้าพเจ้าจึงวิ่งเข้ามาหวังจะห้ามท่าน พอโดนท่านเข้านั้นข้าพเจ้าขออภัยเถิด ตั๋งโต๊ะจึงว่าแก่ลิยูว่า ลิโป้นั้นเป็นคนหามีกตัญญูไม่ เสียแรงเราเลี้ยงเป็นบุตร ควรหรือมาทำหยาบช้าแก่นายเตียวเสียนซึ่งเป็นภรรยาเรา เราจำจะฆ่าลิโป้เสียจึงจะหายความแค้น ลิยูจึงว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านจะฆ่าลิโป้เสียนั้นข้าพเจ้านี้เห็นมิบังควร ข้าพเจ้าจะเปรียบเนื้อความให้ท่านฟังข้อหนึ่ง ครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองฌ้อซ้องอ๋องรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองหนึ่งมีลูกสาวงามจึงให้คนไปขอ เจ้าเมืองนั้นมิยอมให้ ฌ้อซ้องอ๋องก็โกรธ จึงให้เจียวหยอง ทหารเอก คุมทหารไปตีเมืองนั้นได้ เจียงหยองจึงเอาลูกสาวมาถวายแก่ฌ้อซ้องอ๋อง ฌ้อซ้องอ๋องจึงว่าแก่เจียวหยองว่า ท่านมีความชอบไปตีเมืองได้ จะเอานางมาให้แก่เรานั้นเราหายินดีไม่ ควรท่านจะเอาไว้เป็นภรรยาเถิด ฌ้อซ้องอ๋องก็ยกนางนั้นให้แก่เจียวหยองตามมีความชอบ เจียงหยองก็มีความยินดีคิดกตัญญูต่อฌ้อซ้องอ๋อง
ครั้นอยู่มา มีศึกล้อมเมืองไว้เป็นสามารถ หาผู้ใดจะรับอาสาออกรบด้วยข้าศึกมิได้ เจียวหยองมีความภักดีต่อฌ้อซ้องอ๋องรับอาสาออกตีข้าศึกแตกไป[1] แลลิโป้เป็นทหารเอก แล้วท่านก็เลี้ยงเป็นบุตรไว้เนื้อเชื่อใจอยู่ ควรที่จะบำรุงน้ำใจลิโป้ไว้ แลท่านจะมาเห็นแก่หญิงคนเดียวนี้ด้วยอันใด ขอให้ยกนางเตียวเสียนให้เป็นภรรยาลิโป้จึงจะควร ลิโป้ก็จะมีใจภักดีไปต่อท่าน ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่งดให้เราตรึกตรองดูก่อน ลิยูก็กลับไปบ้าน
ขณะเมื่อตั๋งโต๊ะกับลิยูว่ากันนั้น นางเตียวเสียนก็มาแอบฟังอยู่ที่ข้างใน ครั้นลิยูกลับไปแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงเข้าไปถามนางเตียวเสียนว่า ตัวกับลิโป้เป็นชู้กันหรือ นางเตียวเสียนได้ยินดังนั้นก็ทำเป็นร้องไห้แล้วบอกว่า เวลาวันนี้ข้าพเจ้าลงไปชมสวนดอกไม้ ลิโป้ลอบเข้ามาข้างใน ข้าพเจ้ามิได้แจ้ง ต่อลิโป้มาใกล้ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าถือทวนเข้ามาด้วย ข้าพเจ้ากลัวเข้าแอบที่นั่งเย็น ครั้นลิโป้เห็นจึงว่าแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าเป็นบุตรมหาอุปราช ตัวท่านก็เป็นภรรยามหาอุปราช จะกลัวข้าไย แล้วลิโป้ก็พูดเกี้ยวพานเป็นข้อหยาบช้า ข้าพเจ้าด่าว่าก็มิฟัง ขืนจะมาต้องตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าโกรธจะโจนน้ำตาย ลิโป้ก็ยุดตัวข้าพเจ้าไว้ พอท่านมาถึงเข้า หาไม่ลิโป้จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าได้ แลลิโป้ทำทั้งนี้ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก
ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นแล้วจึงตอบว่า ลิโป้นั้นมีความรักเจ้าเป็นอันมากนัก เราจะยกเจ้าให้เป็นภรรยาลิโป้ตามความปรารถนา นางเตียวเสียนได้ฟังทำตกใจร้องไห้แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิง อุตส่าห์รักษาตัวมาจนได้เป็นภรรยามหาอุปราช ข้าพเจ้าก็เหมือนมารดาลิโป้ แลท่านจะยกข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาลิโป้ผู้บุตรท่าน ข้าพเจ้ามายอม อุปมาเหมือนท่านเขียนรูปนกยูงแล้วเอาหมึกมาทาให้ดำเสียสีไปฉะนี้ ข้าพเจ้าได้ความอัปยศนัก ซึ่งจะครองชีวิตอยู่ดูหน้าคนสืบไปนั้นไม่ได้ แล้วก็ทำเป็นลุกขึ้นชักเอากระบี่ซึ่งแขวนอยู่นั้นมาจะเชือดคอตาย
ตั๋งโต้ะเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าชิงกระบี่ไว้แล้วก็ปลอบว่า ซึ่งเราว่าทั้งนี้เป็นคำหยอกเจ้าเล่นดอก นางเตียวเสียนจึงซบหน้าลงกับตักตั๋งโต๊ะแล้วทำเป็นร้องไห้ว่า อันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะลิยูมีความรักลิโป้จึงคิดอ่านให้ท่านยกข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาลิโป้ เห็นว่า ลิยูหามีความรักท่านแลเอ็นดูข้าพเจ้าไม่ ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ถึงลิยูจะว่าประการใดเราก็มิได้ฟังคำ แล้วนางเตียวเสียนจึงว่า ซึ่งจะอยู่ในที่นี้สืบไปนั้น ลิโป้จะทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าก็จะซ้ำได้ความอายยิ่งกว่าแต่ก่อน ขอท่านยกออกไปอยู่ ณ เมืองใหม่ ข้าพเจ้าจึงจะพ้นภัย ตั๋งโต้ะเห็นชอบด้วยจึงว่า พรุ่งนี้เราจะยกไป
ครั้นเวลารุ่งเช้า ลิยูจึงเข้าไปว่าแก่ตั๋งโต๊ะว่า วันนี้ดีแล้ว ท่านจะยกนางเตียวเสียนให้เป็นภรรยาลิโป้ก็ให้เร่งทำการตามฤกษ์ดีเถิด ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ลิโป้เป็นบุตรของเรา นางเตียวเสียนก็ได้เป็นภรรยาเราแล้ว แลซึ่งจะยกให้เป็นภรรยาลิโป้นั้นผิดอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ซึ่งลิโป้ได้เกี้ยวพานเย้าหยอกนางเตียวเสียนได้ความละอายนัก เราก็ยกโทษให้เสียแล้ว แลเนื้อความทั้งนี้ท่านจงออกไปบอกลิโป้ให้แจ้งเถิด ลิยูจึงตอบว่า ซึ่งท่านมิฟังคำข้าพเจ้า แลการซึ่งคิดไว้นั้นเห็นจะเสียท่วงทีเพราะหญิงคนนี้ ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ซึ่งท่านจะขืนให้เราเอาภรรยายกให้แก่ลิโป้นั้น เราไม่ฟังคำท่านแล้ว ถ้าท่านมีใจรักลิโป้อยู่ จงเอาภรรยาท่านมายกให้แก่ลิโป้เองเถิด แต่นี้สืบไปอย่าให้ผู้ใดเอาเนื้อความข้อนี้มาซ้ำว่าฉะนี้อีก ถ้าผู้ใดมิฟัง เราจะตัดศีรษะเสีย ลิยูได้ฟังดังนั้นจึงลาลุกเดินออกมา แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงซึ่งมาหาตั๋งโต๊ะอยู่นั้นว่า เราท่านทั้งนี้จะพากันฉิบหายเพราะอีเตียวเสียนคนนี้เป็นมั่นคง ว่าแล้วลิยูก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายตั๋งโต๊ะก็ให้จัดแจงทหาร แล้วพานางเตียวเสียนขึ้นรถไปอยู่เมืองใหม่ แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ตามไปส่งตั๋งโต๊ะถึงนอกประตูเมือง แลนางเตียวเสียนนั้นแลไปเห็นลิโป้ยืนอยู่กับเหล่าขุนนาง ก็แสร้งแลไปให้สบตาลิโป้แล้วทำกิริยาเป็นโศกเศร้า ลิโป้เห็นดังนั้นก็มีความทุกข์ยืนดูตะลึงไปจนลับตาแล้วทอดใจใหญ่ อ้องอุ้นเห็นเข้าจึงยุดมือลิโป้ไว้แล้วถามว่า มหาอุปราชออกไปแล้ว ตัวท่านนี้มีกังวลสิ่งใด ท่านจึงไม่ไปตาม แล้วอ้องอุ้นบอกว่า เรานี้ป่วยอยู่เป็นหลายวัน มิได้มาหามหาอุปราช แล้วมิได้พบท่าน วันนี้เรารู้ข่าวว่ามหาอุปราชจะกลับออกมาอยู่เมืองใหม่ เราจึงอุตส่าห์ออกมาส่ง แลเราเห็นท่านไม่สู้สบายนั้นมีทุกข์สิ่งใดหรือ ลิโป้จึงตอบว่า ซึ่งมีเหตุได้ทุกข์ร้อนทั้งนี้ก็เพราะนางเตียวเสียนบุตรของท่าน อ้องอุ้นทำอุบายถามว่า ตั๋งโต๊ะยังไม่แต่งงานให้ท่านอยู่กับนางเตียวเสียนหรือ ลิโป้จึงตอบว่า ตั๋งโต๊ะมิได้ให้แก่เรา มันเอาไว้เป็นภรรยามันแล้ว อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นทำตกใจแล้วจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่านี้เราไม่เห็นจริง มหาอุปราชหรือจะเป็นดังนั้น ลิโป้จึงเอาเนื้อความแต่หลังเล่าให้อ้องอุ้นฟังทุกประการ อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นทำกระทืบเท้าลงแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชทำดังนี้อุปมาดังสัตว์เดียรัจฉาน แล้วอ้องอุ้นก็พาลิโป้กลับมา ณ บ้าน ขึ้นไปบนตึกที่ดูหนังสือ แล้วให้แต่งโต๊ะ เชิญให้ลิโป้เสพสุราอยู่ อ้องอุ้นจึงว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อบุตรเราซึ่งเป็นภรรยาท่าน ท่านกับเราได้ความอัปยศแก่คนทั้งปวงเป็นอันมาก แต่ตัวเรานี้ชราแล้ว ชีวิตเราจะอยู่ไปสักกี่วัน เราคิดเอ็นดูแก่ท่าน ด้วยคนทั้งปวงนับถืออยู่ว่าท่านนี้มีฝีมือกล้าหาญ ซึ่งตั๋งโต๊ะทำดังนี้คนทั้งปวงก็จะติเตียนท่าน ลิโป้ฟังดังนั้นก็โกรธเอามือตบโต๊ะลงแล้วว่า ซึ่งอ้ายตั๋งโต๊ะมันเป็นศัตรูทำดังนี้ ข้าพเจ้าจะขอแก้แค้นฆ่ามันเสียให้จงได้ อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นทำเป็นเอามือปิดปากลิโป้ไว้แล้วห้ามว่า ท่านอย่ากล่าวคำดังนี้ จะพาเราได้ความผิดด้วย ลิโป้จึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเกิดมานี้ก็ถือว่ามีฝีมือกล้าหาญมิได้คิดจะอยู่ในอำนาจผู้ใด อ้องอุ้นจึงว่า อันความคิดแลฝีมือของท่านซึ่งจะอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยนั้นไม่ควร อุปมาเหมือนแก้วได้แก่วานร
ลิโป้จึงตอบว่า แต่ข้าพเจ้ามีความแค้นคิดจะฆ่าอ้ายศัตรูเฒ่าก็ได้ถึงเดือนเศษแล้ว แต่คิดรั้งรออดใจอยู่ ด้วยได้เรียกว่าบิดาแล้ว ครั้นจะฆ่าเสีย กลัวคนจะครหานินทาได้ อ้องอุ้นจึงตอบว่า ตัวเป็นแซ่ลิ ตั๋งโต๊ะนั้นเป็นแซ่ตั๋ง จะนับถือว่าเป็นบิดาด้วยอันใด เมื่อตั๋งโต๊ะเอาทวนพุ่งจะฆ่าท่านนั้นมิได้คิดว่าเป็นบุตร ซึ่งท่านจะกลัวนินทานั้นไม่ชอบ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสะดุ้งขึ้นจึงตอบว่า ความข้อนี้หากท่านว่าออกมา หาไม่ข้าพเจ้าก็คิดมิถึง
อ้องอุ้นได้ฟังดังนั้นก็คิดเห็นว่า ลิโป้เอาใจออกหากจากตั๋งโต๊ะเป็นมั่นคงอยู่ แล้วจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ทุกวันนี้ ตั๋งโต๊ะเป็นศัตรูราชสมบัติ ท่านก็ย่อมแจ้งอยู่กับใจ ซึ่งท่านทำราชการอยู่ในตั๋งโต๊ะก็มีความชอบเป็นอันมาก ตั๋งโต๊ะจะได้ปูนบำเหน็จให้เป็นขุนนางตำแหน่งใดก็หามิได้ ถ้าท่านสัตย์ซื่อต่อพระมหากษัตริย์ตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียแล้ว ท่านจะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่มีชื่อในกฎหมายพระราชพงศาวดารสืบไป
ลิโป้ได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับอ้องอุ้นแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาแผ่นดินแลแก้แค้นฆ่าอ้ายตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ ท่านอย่าสงสัยข้าพเจ้าเลย อ้องอุ้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดบำรุงแผ่นดินดังนี้ก็ชอบใจแล้ว แต่เกรงอยู่ว่าท่านกับเรานี้จะคิดการไปมิตลอดก็จะพากันตายเสีย ลิโป้ได้ยินดังนั้นจึงชักเอากระบี่มาแทงข้อมือเอาโลหิตใส่ลงในจอกสุราแล้วสาบานว่า ถ้าข้าพเจ้ามิได้ฆ่าอ้ายตั๋งโต๊ะเสียเหมือนคำว่านี้ ขอให้อาวุธต่าง ๆ สังหารข้าพเจ้าเถิด แล้วก็เอาสุรานั้นกินเข้าไป อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับลิโป้แล้วว่า ครั้งนี้พระมหากษัตริย์แลอาณาประชาราษฎรจะได้อยู่เย็นเป็นสุขก็เพราะสติปัญญาของท่าน แลจะทำการได้เมื่อใดเราจึงจะบอกให้ท่านแจ้ง ลิโป้ก็ลาไป
ฝ่ายอ้องอุ้นจึงให้หาซุนซุยกับอุยอ๋วนซึ่งเป็นที่ปรึกษามาบอกเหตุซึ่งคิดกับลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียนั้นทุกประการ อุยอ๋วนจึงว่า ซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระประชวรนั้น ตั๋งโต๊ะก็แจ้งอยู่ บัดนี้ คลายพระประชวรขึ้นได้สองวันแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยังมิได้แจ้ง ขอให้จัดหาคนซึ่งมีสติปัญญาไปบอกแก่ตั๋งโต๊ะว่า รับสั่งให้หาเข้ามาจะปรึกษาราชการข้อใหญ่ แล้วให้แต่งเป็นหนังสือรับสั่งลอบให้ลิโป้คุมทหารซุ่มอยู่ข้างที่เสด็จออก ถ้าตั๋งโต๊ะเข้ามา ให้มีสัญญาณกัน แล้วการซึ่งคิดไว้นั้นก็จะทำได้สะดวก ซุนซุยจึงว่า ซึ่งคิดทั้งนี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่จะหาผู้ใดซึ่งถือรับสั่งออกไปหาตั๋งโต๊ะได้ อุยอ๋วนจึงตอบว่า ลิซกนั้นทำราชการมีความชอบอยู่ ตั๋งโต๊ะก็มิได้พิดทูลให้เลื่อนที่ขึ้นไปหามิได้ ลิซกนั้นก็มีความน้อยใจอยู่ ถ้าให้ลิซกถือรับสั่งไป เห็นตั๋งโต๊ะจะไม่มีความสงสัย อ้องอุ้นเห็นชอบด้วย จึงให้ลิโป้มา แล้วบอกเนื้อความซึ่งปรึกษากันนั้นให้ฟังทุกประการ ลิโป้เห็นชอบด้วย แล้วจึงว่า อันลิซกนั้นได้ไปเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้าเมื่อครั้งอยู่กับเต๊งหงวน ถ้าลิซกมิไปแลทำเนื้อความให้แพร่งพรายออก ข้าพเจ้าจึงจะฆ่าลิซกเสีย อ้องอุ้นกับลิโป้จึงให้ไปหาลิซกมา ลิโป้จึงว่าแก่ลิซกว่า เมื่อครั้งเราอยู่กับเต๊งหงวนนั้นท่านได้เกลี้ยกล่อมให้เราฆ่าเต๊งหงวนเสียชักชวนให้เรามาอยู่กับตั๋งโต๊ะ บัดนี้ เราเห็นตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน แลเราทั้งปวงคิดอ่านจะกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย เราจะให้ท่านถือรับสั่งออกไปหาตัวตั๋งโต๊ะเข้ามาแล้วเราจะฆ่าเสีย ท่านจะยอมไปหรือไม่ไป
ลิซกได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ทุกวันนี้ เราคิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะอยู่ แต่ยังหาผู้ช่วยดำริการมิได้ ซึ่งท่านว่าทั้งนี้เรามีความยินดีนัก จะขอรับอาสาไปหาตั๋งโต๊ะเข้ามา ขณะนั้น ลิซกจึงเอาลูกเกาทัณฑ์มาหักเป็นสองท่อนแล้วจึงสาบานตัวว่า ถ้าเนื้อความนี้เรามิได้ทำตาม แลกลับเอาไปแพร่งพรายให้ตั๋งโต๊ะรู้ ขอให้ตัวเราขาดออกเป็นสองท่อนด้วยอาวุธต่าง ๆ เหมือนเราหักลูกเกาทัณฑ์นี้เถิด อ้องอุ้นได้ฟังลิซกว่าดังนั้นก็มีความยินดี จึงลุกขึ้นคำนับแล้วตอบว่า ซึ่งท่านสุจริตต่อแผ่นดินจะทำการทั้งนี้ ถ้าสำเร็จแล้วท่านก็จะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่
ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า อ้องอุ้นจึงแต่งหนังสือรับสั่งแล้วให้เกณฑ์ทหารม้ายี่สิบให้ไปด้วยลิซก ลิซกมาถึงหน้าเมืองใหม่ ทหารคนหนึ่งจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะรู้ก็ออกมาคำนับหนังสือแล้วพาลิซกเข้าไปในเมืองใหม่ ลิซกจึงบอกแก่ตั๋งโต๊ะว่า บัดนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระประชวรอยู่ หาผู้ใดจะว่าราชการมิได้ ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันให้มาเชิญมหาอุปราชเข้าไปจะมอบราชสมบัติให้ ตั๋งโต๊ะจึงถามลิซกว่า ซึ่งขุนนางทั้งปวงปรึกษากันฉะนี้ ท่านได้ยินอ้องอุ้นนั้นว่าประการใดบ้าง ลิซกจึงบอกว่า ซึ่งจะมอบราชสมบัติให้แก่ท่านนี้ อ้องอุ้นเป็นผู้เสนอ ขุนนางทั้งปวงจึงเห็นด้วย บัดนี้ อ้องอุ้นก็จัดแจงตราสำหรับว่าราชการเมืองไว้ให้ท่าน
ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงบอกแก่ลิซกว่า เวลาคืนนี้ เรานิมิตฝันว่ามีมังกรตัวหนึ่งมาเกี่ยวกระหวัดอยู่รอบกายเรา ครั้นเวลาวันนี้ มีข่าวดีมาถึงเรา จำเราจะยกไปเมืองหลวง แลลิซกได้ถือรับสั่งมาหาเราก็มีความชอบอยู่ ถ้าเราได้ราชสมบัติแล้วจะตั้งให้ท่านเป็นอัครมหาเสนาผู้ใหญ่ ลิซกทำทีประหนึ่งว่าจะรับเอา ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียวคุมทหารสามพันอยู่รักษาเมือง ตั๋งโต๊ะนั้นไปหามารดาแล้วบอกว่า บัดนี้ ขุนนางทั้งปวงปรึกษาจะมอบราชสมบัติให้แก่ข้าพเจ้า แลบัดนี้ ข้าพเจ้าจะเข้าไปครองราชย์สมบัติแล้ว ท่านผู้เป็นมารดาก็จะได้เป็นหองไทฮอ แปลภาษาไทยว่า สมเด็จพระพันปีหลวง มารดาจึงตอบว่า ตัวแม่ก็แก่ชราแล้ว อายุได้ถึงเก้าสิบเศษ แม่ได้พึ่งบุญเจ้าก็ค่อยมีความสุขมา ครั้งนี้แม่ให้ประหลาดใจ ด้วยเขม่นไปทั่วทั้งกาย แลใจก็ให้สะดุ้งตกประหม่ามาเป็นหลายเวลาแล้ว ซึ่งเจ้าจะเข้าไปนั้นให้คิดการระมัดตัวจงดี
ตั๋งโต๊ะจึงตอบว่า ซึ่งมารดาเป็นเช่นนั้น เพราะบุญจะมาถึงแล้ว จึงเผอิญให้เป็นทั้งนี้ แล้วตั๋งโต๊ะก็ลามารดาไปหานางเตียวเสียน จึงเอาเนื้อความทั้งนั้นเล่าให้ฟังแล้วว่า ถ้าเราได้ครองราชสมบัติแล้ว เราจะให้เจ้าเป็นมเหสีฝ่ายซ้าย นางเตียวเสียนคำนับแล้วทำเป็นยินดี ตั๋งโต๊ะให้จัดแจงทหารแล้วขึ้นรถยกไปทางประมาณสามร้อยเส้น เพลารถซึ่งตั๋งโต๊ะขี่นั้นหัก ตั๋งโต๊ะจึงขึ้นม้าไปทางประมาณร้อยหนึ่ง ม้านั้นมีพยศ บังเหียนขาด ตั๋งโต๊ะจึงเหลียวหลังมาถามลิซกว่า ซึ่งเพลารถหักแลม้ามีพยศบังเหียนขาดฉะนี้ ท่านยังเห็นดีแลร้ายประการใด ลิซกจึงตอบว่า ซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้เพราะมหาอุปราชจะได้ครองราชสมบัติแลจะได้ทรงรถประดับด้วยหยกกับม้าที่นั่ง ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นมิได้รู้กลมารยาก็มีความยินดี ครั้นมาถึงประตูเมืองหลวง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ออกมารับตั๋งโต๊ะ แต่ลิยูนั้นป่วยอยู่มิได้มารับ ตั๋งโต๊ะก็เข้าไปในที่อยู่
ฝ่ายลิโป้ก็เข้ามาเยือนแล้วคำนับ ตั๋งโต๊ะจึงว่า ถ้าเราได้ราชสมบัติเราจะให้ท่านเป็นใหญ่คุมทหารทั้งปวง ลิโป้ได้ฟังดังนั้นทำเป็นยินดีรับคำตั๋งโต๊ะแล้วลาไป
ครั้นเวลาค่ำเดือนหงาย เด็กลูกชาวบ้านสามสิบคนชวนกันเล่นอยู่หน้าบ้านตั๋งโต๊ะแล้วทำเพลงเป็นใจความว่า หญ้าเหล่านี้มีใบเขียวสดชุ่มอยู่ เห็นไม่ช้าประมาณเก้าวันสิบวันก็จะตาย ฝ่ายตั๋งโต๊ะได้ยินเด็กทำเพลงเสียงดังนั้นร้องไห้ ตั๋งโต๊ะคิดประหลาดจึงหาลิซกมาถามว่า ซึ่งเด็กทำเพลงเป็นเสียงร้องไห้ดังนี้ ท่านเห็นดีแลร้ายประการใด ลิซกจึงตอบว่า ซึ่งเด็กทำเพลงดังนี้เป็นศุภนิมิตของท่านใหญ่หลวง เพราะแซ่เล่าจะสาบสูญแล้ว แซ่ตั๋งจะรุ่งเรืองสืบไป ตั๋งโต๊ะได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้า แต่งตัวแล้วขึ้นรถจะเข้าไปในพระราชวัง
ครั้นมาถึงกลางทางพอพบโต้หยิน โต้หยินนั้นใส่เสื้อเขียว หมวกขาว มือถือไม้รวก แล้วเอาผ้านางเอี๋ยวยาวแปดศอกผูกทำธง มีอักษรอยู่ต้นธงตัวหนึ่งว่า เคา ปลายธงตัวหนึ่งว่า เคา ทั้งสองนั้นประสมกันเรียกว่า ลี่ แปลภาษาไทยว่า แซ่ลี ผ้าขาวนั้นภาษาจีนเรียกว่า โป้ ซึ่งโต้หยินทำปริศนาดังนี้ว่า ลิโป้จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย แลตั๋งโต๊ะมิได้รู้ในปริศนาแต่มีความสงสัยจึงถามลิซกว่า ซึ่งโต้หยินทำทั้งนี้ท่านยังเห็นประการใด ลิซกนั้นแจ้งในปริศนาอยู่จึงอุบายบอกตั๋งโต๊ะว่า โต้หยินทำทั้งนี้เพราะเสียจริตอยู่ จะถือเอาว่าดีแลร้ายนั้นมิได้ แล้วลิซกก็ให้ทหารขับโต้หยินเสียให้ไกลทาง ครั้นตั๋งโต๊ะเข้าไปถึงประตูวัง ลิซกจึงอุบายให้ตั๋งโต๊ะห้ามทหารไว้แต่นอก แล้วลิซกนำรถตั๋งโต๊ะเข้าไปในลับแลที่เฝ้า ตั๋งโต๊ะแลเห็นขุนนางถือกระบี่อยู่ทุกคน ตั๋งโต๊ะตกใจถามลิซกว่า เหตุใดขุนนางจึงถือกระบี่อยู่ฉะนั้น ลิซกมิได้ตอบประการใด ก็เร่งขับรถเข้าไปในที่เสด็จออก
อ้องอุ้นเห็นดังนั้นจึงร้องประกาศว่า ศัตรูราชสมบัติมาถึงแล้ว เป็นไฉนทหารเราจึงมิได้ลงมือเล่า ฝ่ายทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นได้ยินเสียงอ้องอุ้นร้องดังนั้นก็ชวนกันออกมาเอาทวนแทงตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะเห็นหลบลงอยู่ในรถแล้วร้องเรียกให้ลิโป้ช่วย แลลิโป้นั้นก็ออกมาจึงตอบว่า ตัวเป็นศัตรูราชสมบัติ เป็นไฉนร้องให้กูช่วย แล้วลิโป้เอาทวนแทงตั๋งโต๊ะถูกที่คอตกรถตาย ลิซกนั้นก็ตัดศีรษะตั๋งโต๊ะแล้วร้องประกาศว่า ทีนี้ศัตรูราชสมบัติตายแล้ว แผ่นดินจะเป็นสุข แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มีความยินดีนัก ลิโป้จึงร้องว่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าทั้งนี้เพราะฟังคำลิยู ผู้ใดจะอาสาไปจับตัวลิยูมาได้
ฝ่ายลิซกก็รับอาสาไปจับตัวลิยูกับบุตรภรรยาพรรคพวกพี่น้องมาสิ้น อ้องอุ้นจึงให้เอาบุตรภรรยาพรรคพวกไปฆ่าเสีย แล้วสั่งให้เอาศพตั๋งโต๊ะไปตระเวนรอบเมืองเอามาประจานไว้ที่สามแพร่งให้ทหารอยู่รักษา แล้วผู้รักษานั้นจึงฟั่นชุดใส่ลงที่สะดือแล้วเอาเพลิงจุดตามต่างตะเกียงประจานไว้ แลอาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงนั้นมีใจเจ็บแค้นชวยกันมาด่าว่าศพตั๋งโต๊ะ แล้วเอามือชี้ชกศีรษะบ้าง เอาเท้าถีบบ้าง จนศพนั้นแหลกละเอียดเปื่อยไป
ฝ่ายอ้องอุ้นจึงให้ลิโป้ ลิซก ห้องหูโก๋ สามนายคุมทหารห้าหมื่นไปฆ่าพรรคพวกตั๋งโต๊ะซึ่งอยู่ ณ เมืองใหม่เสียให้สิ้นเชิง แล้วให้ริบทรัพย์สินของนั้นมา แลลิฮุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียวซึ่งตั๋งโต๊ะให้อยู่รักษาเมืองใหม่ครั้นรู้เนื้อความดังนั้นก็พาทหารสามพันหนีไปอยู่เมืองเชียงไส
ฝ่ายลิโป้ กับลิซก ห้องหูโก๋ ครั้นมาถึงเมืองใหม่ ลิโป้นั้นเข้าไปเอาตัวนางเตียวเสียนมาไว้ แล้วฆ่ามารดากับญาติพี่น้องพรรคพวกตั๋งโต๊ะเสียสิ้น แต่หญิงแปดร้อยนั้นส่งให้บิดามารดาพี่น้องรับไป แล้วเก็บเอาทรัพย์สิ่งของตั๋งโต๊ะนั้นบรรทุกเกวียนเป็นอันมากคุมเอาเข้าไปให้อ้องอุ้นในเมืองหลวง อ้องอุ้นจึงเอาทรัพย์สิ่งของทั้งนั้นแจกให้แก่ทหารทั้งปวง แล้วจึงว่าแก่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยว่า บัดนี้ ศัตรูราชสมบัติก็ตายแล้ว แผ่นดินจะมีความสุขสืบไป เราจงชวนกันเล่นให้สบายเถิด แล้วก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางทั้งปวง
ในขณะนั้น มีทหารมาบอกอ้องอุ้นว่า มีขุนนางคนหนึ่งชื่อ ซัวหยง มาร้องไห้รักศพตั๋งโต๊ะอยู่ อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารทั้งปวงไปจับตัวซัวหยงมาถามว่า ตัวเป็นขุนนางมาร้องไห้รักตั๋งโต๊ะนั้น ตัวเข้าด้วยศัตรูราชสมบัติหรือ ซัวหยงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าจะได้เข้าด้วยผู้ผิดนั้นหามิได้ ซึ่งข้าพเจ้ามาร้องไห้รักตั๋งโต๊ะนั้นเพราะคิดถึงคุณตั๋งโต๊ะว่าเอาข้าพเจ้ามาตั้งเป็นขุนนาง แลซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดทั้งนี้ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้ทำราชการสนองแผ่นดินสืบไป แลขุนน่งทั้งปวงซึ่งได้เห็นใจซัวหยงสัตย์ซื่อจึงชวนกันขอโทษไว้ ม้าหยิดจึงค่อยกระซิบบอกแก่อ้องอุ้นว่า ซัวหยงนี้เป็นคนมีสติปัญญา ทำราชการสัตย์ซื่อ มีคนรักเป็นอันมาก ถ้าท่านจะฆ่าเสียตามโทษผิดนั้นก็ควรอยู่ แต่ราษฎรทั้งปวงจะครหานินทาท่าน อ้องอุ้นจึงตอบว่า บ้านเมืองเป็นจลาจลพึ่งสงบลงวันนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ แลซัวหยงนั้นมีสติปัญญาก็จริง แต่จะให้เป็นขุนนางปรึกษาราชการด้วยเรานั้นไม่ได้ กฎหมายทั้งปวงจะฟั่นเฟือนไป ม้าหยิดได้ยินดังนั้นก็ถอยออกมาแล้วว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ธรรมดาแผ่นดินถ้าหาผู้มีสติปัญญามิได้ เมืองนั้นก็จะพลันมีอันตรายหายืดยาวไม่ อ้องอุ้นจึงให้เอาตัวซัวหยงไปจำคุกไว้ แล้วลอบสั่งให้ผู้คุมจำตรากตรำเสียให้ตาย ขุนนางทั้งปวงรู้ว่าซัวหยงตายแล้วก็มีความสงสารเป็นอันมาก
เชิงอรรถ
[แก้ไข]- ↑ มีในเรื่องเลียดก๊ก