ส้วยถัง/เล่ม ๑/ตอน ๑

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑–๑๓ สารบัญ



พงศาวดารจีน
ส้วยถัง



มีความว่า ครั้งนั้น พระเจ้าจิวอ๋องครองเมืองตังเกียตั้งอยู่ไซปักทิศตะวันตก มีขุนนางคนหนึ่งชื่อ เอียตง พระองค์ตั้งให้เป็นง่วนโซ่ย เอียตงมีน้องชายคนหนึ่งชื่อ เอียหลิม หน้าขาว คิ้วเหลือง สูงเก้าศอก ถือกระบองเหล็กชื่อ ซิวเลงกุน หนักห้าสิบชั่ง เป็นอาวุธ อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าจิวอ๋องให้เอียตงเป็นแม่ทัพ ให้เอียหลิม น้องเอียตง เป็นทัพหน้า พร้อมด้วยไพร่พลรวมหกสิบหมื่น ไปตีเมืองปักฉี เอียตง เอียหลิม พากองทัพไปถึงเมืองเซียงจิว แขวงเมืองปักฉี ตั้งค่ายอยู่ห่างกำแพงเมืองประมาณสามสิบลี้ ในเมืองเซียงจิวนั้นมีขุนนางนายทหารคนหนึ่งชื่อ ซินหยก ซินหยกมีบุตรคนหนึ่งชื่อ ซินอี๋ ซินอี๋มีภรรยาคนหนึ่งชื่อ นางเล่งสีฮูหยิน มีบุตรคนหนึ่งชื่อ ซินฉอง มีฉายาเรียกชื่อว่า ไท้เพ่งหนึง

ฝ่ายชีอ๋อง เจ้าเมืองปักฉี ทราบความว่า ทัพเมืองตังเกียยกมารบเมืองเซียงจิว ก็ยกกองทัพพร้อมสรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธไพร่พลทหารยกมาช่วยเมืองเซียงจิวซึ่งเป็นเมืองหน้าด่าน สู้รบกับกองทัพเอียตงได้เดือนเศษ สู้ทหารเอียตง แม่ทัพจิวอ๋อง ไม่ได้ เมืองเซียงจิวก็แตก ซินหยก ทหารเอก ถูกอาวุธตายในที่รบ ชีอ๋องก็ยกทัพหนีกลับไปจากเมืองเซียงจิว เอียตง แม่ทัพเมืองตังเกีย ยกกองทัพติดตามไปตั้งค่ายห่างกำแพงเมืองซือจิวทางห้าสิบลี้ คนใช้มาแจ้งความกับซินอี๋ ทหารเอก ณ เมืองซือจิวว่า เมื่อเมืองซือจิวแตก ซินหยก บิดาของซินอี๋ ตายในกลางศึก

ฝ่ายซินอี๋ทราบว่า ซินหยกตายในกลางศึก ก็ร้องไห้มีความอาลัยเศร้าโศกถึงบิดาเป็นอันมาก แล้วซินอี๋คิดจะอาสาชีอ๋องออกไปรบกับทหารเมืองตังเกียแก้แค้นแทนบิดาให้จงได้ ซินอี๋ก็จัดแจงทหารจะออกไปรบกับทหารเมืองตังเกียซึ่งล้อมเมืองอยู่ ชีอ๋องทราบว่า ซินอี๋จะออกไปรบกับข้าศึกซึ่งล้อมเมืองอยู่ จึงให้เกาเซ่งเสี่ยง ขุนนางผู้ใหญ่ ไปห้ามซินอี๋ว่า อย่าให้ซินอี๋ออกไปสู้รบกับข้าศึกเลย ด้วยเห็นกำลังข้าศึกมาก จะเปิดประตูเมืองออกไปอ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์ เพราะเมืองราเป็นเมืองเล็ก ทั้งทหารก็น้อยกว่าข้าศึก ซินอี๋จึงพูดกับเกาเซ่งเสี่ยงว่า ชีอ๋องเห็นจะมีความเกรงกลัวทหารเมืองตังเกีย จึงให้ท่านมาห้ามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีความเกรงกลัวแก่ข้าศึกเลย เกาเซ่งเสี่ยงจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะออกไปสู้รบกับข้าศึกนั้นต้องคิดประมาณดูก่อนด้วยว่า ทหารจิวอ๋องยกมาล้อมเมืองอยู่มากกว่ามาก ประการหนึ่ง เอียหลิม นายทหารเอก มีกำลังฝีมือเข้มแข็ง ใช้กระบองเหล็กยาวหนักร้อยห้าสิบชั่งเป็นอาวุธ ทั้งทแกล้วทหารก็มีมาก ท่านอย่าคิดมานะไปเลย ซินอี๋จึงตอบว่า ข้าพเจ้ากับบิดาข้าพเจ้าก็รับราชการแผ่นดินโดยความซื่อสัตย์สุจริต ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ข้าพเจ้าหาฟังท่านห้ามไม่ แล้วซินอี๋ก็จัดแจงทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินตรวจตรากวดขันทุกแห่ง แล้วซินอี๋กลับมาบ้าน ไปหานางเล่งสีฮูหยินผู้ภรรยา บอกกับนางเล่งสีฮูหยินว่า บิดาอยู่เมืองเซียงจิวแตก แล้วบิดาเราก็ตายในกลางศึก บัดนี้ ทหารเมืองตังเกียยกมาเข้าล้อมเมืองเราถึงริมเชิงกำแพงเมืองอยู่แล้ว บัดนี้ เกงเซ่งเสี่ยง ขุนนางผู้ใหญ่ ก็ไม่คิดต่อสู้ จะออกไปยอมสามิภักดิ์กับข้าศึก บิดาเรากับตัวเราก็เป็นทหารรับราชการอยู่ในเมืองปักฉีมาช้านานแล้ว ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่น้องสาวเราซึ่งเป็นภรรยาล่องโงยไปอยู่เมืองไกล ก็ไม่ทราบข่าวคราวสิ่งใดเลย จนป่านนี้จะเป็นประการใดก็ไม่แจ้ง บัดนี้ ยังมีแต้ไท้เพ่งหนึง บุตรชายของเรา ก็ยังเล็กอยู่ มีอายุแต่เพียงห้าขวบ ขอฝากกับเจ้าด้วยกิมถุย กระบองทองแดง ของเราไว้ต่อไป จะได้ให้บุตรไว้สิบแซ่ซินต่อไป ถึงตัวเราจะตายก็นอนตาหลับ ซินอี๋กับภรรยาพูดสั่งเสียดังนั้นก็ร้องไห้มีความอาลัยเศร้าโศกเป็นอันมาก สั่งเสียกันยังมิทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงทหารข้าศึกตีม้าล่อกลองรบโห่รบดังสนั่นดุจแผ่นดินจะทลาย ด้ยว่าเกาเซ่งเสียงเปิดประตูเมืองออกไปยอมสามิภักดิ์กับข้าศึก ซินอี๋จัดแจงแต่งตัวขึ้นม้าถือทวนออกไปสู้รบกับข้าศึก แลเห็นทหารเมืองตังเกียหนุนเนื่องกันเข้ามาในเมืองดุจคลื่นในมหาสมุทร ซินอี๋มีทหารพรรคพวกร่วมใจอยู่สองร้อยคน ก็คิดเห็นว่า ที่ไหนจะต้านทานต่อสู้ทหารเมืองเอียหลิมทัพหน้าได้ ก็จำเป็นจำใจขับทหารเข้าต่อสู้เป็นตะลุมบอน ทหารซินอี๋สองร้อยคนก็ตายหมด เหลือแต่ซินอี๋คนเดียวสู้รบอยู่กลางทหารเมืองตังเกียจนเสื้อเกราะและอานม้าอาบไปด้วยโลหิตดุจรดด้วยน้ำครั่ง ซินอี๋ถูกเกาทัณฑ์ทั้งตัวก็ยังมานะอุตส่าห์ต่อสู้รบเจ็บปวดเหลือกำลัง แล้วจึงร้องประกาศว่า มิใช่ข้าพเจ้าจะต่อสู้ข้าศึกไม่ได้เมื่อไร เพราะขุนนางกังฉินเปิดประตูเมืองออกไปยอมสามิภักดิ์ต่อข้าศึก ข้าพเจ้าก็สิ้นกำลังแล้วที่จะฉลองคุณเจ้านายต่อไป ซินอี๋มีมานะกัดฟัน ก็ชักกระบี่ออกไล่ฆ่าฟันทหารเมืองตังเกียตายลงอีกสิบสี่สิบห้าคน เอียหลิมก็ขับม้าเข้ามาใกล้ เอาทวนแทงถูกคอซินอี๋ตกม้าตาย อายุซินอี๋ได้สี่สิบสามปี เอียหลิมก็ให้ทหารถอดหมวก และเสื้อเกราะ กับทวนของซินอี๋เก็บไว้ ขณะนั้น ในเมืองซือจิวกำลังชุลมุนวุ่นวาย พวกราษฎรแตกตื่น ด้วยทหารเมืองตังเกียเข้าเมืองได้ นายเล่งสีฮูหยิน ภรรยาซินอี๋ ทราบว่า เมืองแตกแล้ว และสามีก็คงตายแน่ ก็ร้องไห้พลางจัดแจงรวบรวมทรัพย์สิ่งของกับซินอาน พาไท้เพ่งหนึงกับกระบองทองแดงสองอันหนีออกจากบ้าน ขณะนั้น ทหารเมืองตังเกียมากมายเข้ามาในเมือง ราษฎรแตกตื่นวุ่นวายปะปนกัน นางเล่งสีฮูหยิน กับซินอาน คนใช้ พลัดกันไป แต่ไท้เพ่งหนึง ผู้บุตร นางอุ้มไว้ด้วย ด้วยเวลานั้นเป็นเวลากลางคืน ไม่มีที่อาศัย นางเล่งสีฮูหยินกับบุตรก็พากันหลบหลีกฝูงคนลัดแลงแฝงไปถึงถนนเล็กแห่งหนึ่ง เห็นประตูบ้านเปิดอยู่ ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้อยู่ในบ้าน นางเล่งสีฮูหยินเคาะประตูร้องว่า เจ้าประคุณ ใครอยู่ข้างในโปรดกรุณารับข้าพเจ้าแม่ลูกด้วย ในทันใดนั้น เห็นหญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กอายุประมาณสามขวบเปิดประตูออกมารับพานางเล่งสีฮูหยินเข้าไปในบ้าน แล้วปิดประตูเสีย หญิงเจ้าของบ้านจึงถามนางเล่งสีฮูหยินว่า บัดนี้ บ้านเมืองเสีย กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่ ท่านมาแต่ไหน เหตุอย่างไรแม่ลูกจึงมาถึงบ้านข้าพเจ้า นางเล่งสีฮูหยินก็แจ้งความแต่ต้นจนถึงซินอี๋ สามี ตายในกลางศึก ให้หญิงเจ้าของบ้านฟัง แล้วว่า บัดนี้ ข้าพเจ้าหามีที่จะอาศัยไม่ ขอท่านได้กรุณา ขออาศัยพึ่ง พอสงบเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าแม่ลูกจะกราบลาม่านไป หญิงเจ้าของบ้านทราบว่า นางเล่งสีฮูหยินเป็นภรรยาขุนนางนายทหาร จึงบอกนางเล่งสีฮูหยินว่า สามีข้าพเจ้าชื่อ เทียอี๋เต๊ก ถึงแก่กรรมเสียช้านานแล้ว ตัวข้าพเจ้าชื่อ ม็อกสี มีบุตรชายคนหนึ่ง ไม่มีคนอื่นอยู่ในบ้านนี้ดอก ข้าพเจ้าก็เป็นหม้าย ท่านก็เป็นหม้าย ข้าพเจ้าหามีความรังเกียจไม่ จึงบอกนางเล่งสีฮูหยินให้พักอยู่ด้วยกันก่อน เมื่อบ้านเมืองเป็นปรกติเรียบร้อยแล้วจึงค่อยคิดไปอยู่ที่อื่น นางเล่งสีฮูหยินก็มีความยินดีว่า ถ้ามีความเมตตาอุปถัมภ์ข้าพเจ้าแล้ว เป็นพระคุณอย่างยิ่ง นางเล่งสีฮูหยินกับบุตรก็อาศัยอยู่กับนางม็อกสี ครั้นอยู่ได้สามวันสี่วัน เอียตง แม่ทัพ ก็ประกาศให้ราษฎรซึ่งระส่ำระสายแตกหนีกองทัพทิ้งบ้านเมืองลำเนาไปซุ่มซ่อนอยู่ให้กลับคืนเข้ามาอยู่บ้านเรือนตามเดิม ครั้นราษฎรเป็นปรกติเรียบร้อยแล้ว เอียตง แม่ทัพ ก็เก็บทรัพย์สิ่งของในเมืองซือจิวยกกองทัพกลับไปเมืองตัวเกีย แต่ชีอ๋อง เจ้าเมือง เมื่อเมืองซือจิวเสียแก่เอียตง แม่ทัพเมืองตังเกีย แล้ว ไม่ปรากฏว่า จะเป็นและตาย หนีไปทางไหนไม่มีคนรู้

ฝ่ายนางเล่งสีฮูหยิน นางม็อกสี อยู่ด้วยกันมาจนอายุไท้เพ่งหนึงได้สิบห้าปี เทียอิดหนึ่ง บุตรนางม็อกสี อายุได้สิบสามปี ก็พาเด็กทั้งสองไปให้ซินแสสอนหนังสือ ซินแสตั้งชื่อ ไท้เพ่งหนึง ชื่อ ซินฉง มีฉายาว่า ซกโป๊ ตั้งชื่อ เทียอิดหนึง ชื่อ เทียกากิม มีฉายาเรียก จือเจียด ครั้นอยู่มา ข้าวในเมืองซิวจิงแพง ราษฎรได้ความอดอยากเดือดร้อนล้มตายเป็นอันมาก เทียกากิมกับบนางม็อกสีสองคนแม่ลูกก็ลานางเล่งสีฮูหยินไปอยู่เมืองเล็กเสีย ต่างคนต่างมีความเศร้าโศกอาลัยกันเป็นอันมาก สั่งเสียกันแล้ว นางม็อกสีกับเทียกากิมก็พากันไป

ฝ่ายเอียตงยกกองทัพกลับไปถึงเมืองตังเกีย เข้าเฝ้าพระเจ้าจิวอ๋อง แจ้งความตามซึ่งได้คุมทหารยกไปตีเมืองเซียงจิว เมืองซือจิว ได้ชัยชนะกลับมาทุกประการ พระเจ้าจิวอ๋องมีความยินดี ก็ปูนบำเหน็จรางวัล แล้วตั้งให้เอียตงเป็นซุยกง ขุนนางผู้ใหญ่ ตั้งแต่นั้นมา หัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือก็ยอมขึ้นกับเมืองตังเกีย เมืองตังเกียได้เป็นเมืองใหญ่ มีอำนาจเลื่องลือแผ่ไปทุกแห่งทุกตำบล

จะกล่าวถึงเอียตง ขุนนางผู้ใหญ่ มีบุตรคนหนึ่งชื่อ เอียเกียน มีลักษณะจักษุเหมือนดวงดาวในอากาศ เป็นคนประหลาดกว่าคนทั้งปวง อยู่มามีหลวงชีคนหนึ่งมาหาเอียตงกับภรรยา แล้วบอกว่า บุตรชายของท่านคนนี้นานไปจะมีบุญมาก แต่ต้องจากบิดามารดาเสียแต่เด็กจึงจะดี ข้าพเจ้าจะรับบุตรของท่านไปสั่งสอนเลี้ยงดู ไปภายหน้าจึงจะได้ดี เอียตงกับภรรยาก็มีความยินดี มอบเอียเกียนผู้บุตรให้หลวงชีไปเป็นศิษย์หลวงชี หลวงชีก็เลี้ยงบุตรเอียตงจนเติบใหญ่ขึ้น ก็พามาส่งเอียตง อยู่ได้ประมาณสี่ปี เอียตงป่วยลง ก็ถึงแก่กรรม

ฝ่ายพระเจ้าจิวอ๋องก็โปรดให้เอียเกียนเป็นที่แทนบิดา ครั้นเอียเกียนได้เป็นที่ซุยกงแทนบิดา ก็มีความยินดี

ฝ่ายพระเจ้าจิวอ๋องเห็นลักษณะเอียเกียนเป็นคนผิดประหลาด ก็มีความรังเกียจว่า ไปภายหน้าจะเป็นศัตรูราชสมบัติขึ้น จึงให้หมอมาดูลักษณะเอียเกียน หมอพิเคราะห์ดูลักษณะเห็นเอียเกียนจะเป็นคนมีบุญ ก็ไม่อาจแจ้งความกับพระเจ้าจิวอ๋อง คิดจะใคร่มาสามิภักดิ์อยู่กับเอียเกียน จึงคิดเพทุบายทูลยักเยื้องไป ความนั้นสงบนิ่งอยู่ ครั้นอยู่มา เอียเกียนทราบว่า พระเจ้าจิวอ๋องมีความสงสัยเอียเกียนจะเป็นศัตรู เอียเกียนก็ยกบุตรสาวของเอียเกียนให้เป็นภรรยาไทจือ บุตรพระเจ้าจิวอ๋อง ได้เป็นที่กุยฮุย ครั้นอยู่มา พระเจ้าจิวอ๋องถึงแก่กรรมลง ไทจือยังหนุ่มอยู่ เอียเกียนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ก็ชิงเอาสมบัติของพระเจ้าจิวอ๋อง ครองเมืองตังเกีย เปลี่ยนนามเมืองเรียกว่า เมืองซุย ตั้งตัวขึ้นเป็นซุยบุ๋นเต้ ตั้งนางโกสีเป็นฮองเฮา ตั้งเอียหยง บุตรใหญ่ เป็นไทจือ ตั้งเอียกวง บุตรที่สอง เป็นจีนอ๋อง ตั้งเอียหลิม ผู้เป็นอา เป็นที่โกซัวอ๋อง มีขุนนางฝ่ายบุ๋นชื่อ ลี้เต็กหลิม หนึ่ง เกาหลุย หนึ่ง โซอุ้ย หนึ่ง ขุนนางฝ่ายบู๊ คือ เอียซู หนึ่ง ลิก๊กเหียน หนึ่ง โฮยัดปิด หนึ่ง ฮั่นกิมโฮ้ว หนึ่ง พร้อมด้วยขุนนางข้าราชการฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ครบตามตำแหน่งแล้ว พระเจ้าซุยบุ๋นเต้ตั้งอยู่ในยุติธรรมมาหลายปี อยู่มาวันหนึ่ง ทรงคิดว่า จะใคร่แผ่อาณาเขตออกไปให้กว้างขวาง คิดจะยกกองทัพไปตีเมืองน่ำตั๋น แต่ยังหาได้ปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไม่ เป็นแต่ให้คนสนิทแต่งเป็นพ่อค้าให้ไปสืบค้นตรวจดีและร้ายเมืองน่ำตั๋น

ครั้งนั้น พระเจ้าตันอาวจู๊ครองเมืองน่ำตั๋นอยู่ก๊กหนึ่ง มีอัธยาศัยเรียบร้อยเฉลียวฉลาดกว่าคนทั้งปวง แต่ไปหลงรักนางเตียวลีหัว นางขงกุยปิน กุยฮุยทั้งสอง มิได้ออกว่าราชการบ้านเมือง ฟังแต่เครื่องดนตรีขับร้องกินโต๊ะเสพสุราอยู่เป็นเนืองนิตย์ หาได้เอาใจใส่ในราชการบ้านเมือง ครั้งนั้น มีขุนนางสองคนชื่อ คงหวม คังจง เป็นคนสอพลอประจบประแจง พระเจ้าตันอาวจู๊ก็ลุ่มหลงฟั่นเฝืออยู่แต่อิสตรีฝ่ายใน ละเลยราชการบ้านเมืองเสีย กิตติศัพท์ซึ่งพระเจ้าตันอาวจู๊มิได้เอาพระทัยบำรุงรักษาบ้านเมืองหลงอยู่ด้วยอิสตรีทราบถึงพระเจ้าซุยบุ๋นเต้อยู่เนือง ๆ เวลาวันหนึ่ง พระเจ้าซุยบุ๋นเต้เสด็จออกว่าราชการ ตรัสเรียกเอียซู ขุนนางผู้ใหญ่ เข้ามาปรึกษาว่า เราจะยกกองทัพไปตีเมืองน่ำตั๋น แต่คิดเกรงเมืองปักฮั่นจะยกกองทัพมาตีเมืองเรา ขณะเมื่อปรึกษากันอยู่นั้น จีนอ๋องเอียกวงคุกเข่าลงกราบทูลว่า เมืองน่ำตั๋น พระเจ้าตัวอาวจู๊ลุ่มหลงอยู่ด้วยอิสตรี บ้านเมืองก็ร่วงโรย เป็นท่วงทีอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาเป็นแม่ทัพยกทหารไปตีเมืองน่ำตั๋นมาถวายให้จงได้ แต่เอียกวงคนนี้ไม่มีฝีมืออย่างใด แต่เอียกวงจะใคร่ได้เป็นที่ไทจือ คิดจะแย่งที่ไทจือของพี่ชายอยู่เสมอ ด้วยเอียหยงที่เป็นไทจือเป็นคนมีความกตัญญู แต่ทำการมักเฉื่อยชา และนิสัยเป็นคนอ่อนแอ เอียกวงจึงขันรับอาสาไปตีเมืองน่ำตั๋น ปรารถนาว่า จะชนะได้บ้านเมืองมา มีความชอบมาก ก็จะได้หาเหตุใส่โทษไทจือให้หลุดถอน ตัวก็จะได้เป็นไทจือ ประการหนึ่ง ขุนนางฝ่ายทหารที่มีฝีมือก็จะได้อยู่ในอำนาจ เป็นกำลังที่จะคิดการต่อไปเบื้องหน้า เมื่อเอียกวงเข้าไปรับอาสาต่อหน้าที่นั่งดังนั้น พระเจ้าซุยบุ๋นเต้กริ่งพระทัยอยู่ ยังหาได้ตรัสประการใดไม่ ขณะนั้น ขุนนางพนักงานนำกราบทูลว่า ล่อโงยยกกองทัพมาตีเมืองโฮ้ปักเอ๊กจิว พระเจ้าซุยบุ๋นเต้ได้ฟังก็รับสั่งให้เอียหลิมยกกองทัพไปปราบล่อโงย แล้วให้จีนอ๋องเอียกวงเป็นแม่ทัพฝ่ายซ้าย เอียซูเป็นแม่ทัพฝ่ายขวา เกาหลุยหลีเอียนเป็นซือม้าปลัดทัพ รวมไพร่พลยี่สิบหมื่น โฮยัดปิด ฮั่นคิมโฮ้ว เป็นทัพหน้า ยกไปตีเมืองน่ำตั๋น แม่ทัพนายกองพร้อมกันกราบถวายบังคมลายกกองทัพไป จีนอ๋อง เอียซู ยกกองทัพไปถึงหัวเมืองด่านทาง ก็ไม่มีผู้ใดต่อสู้ เปิดประตูเมืองออกยอมสามิภักดิ์กับกองทัพเมืองซุย กองทัพเมืองซุยยกล่วงเลยเข้าไปใกล้ถึงเมืองหลวง หัวเมืองรายทางก็มีหนังสือบอกเข้าไปยังเมืองหลวง คังจง คงหวม ขุนนางทั้งสอง ก็ปิดเนื้อความเสีย หานำขึ้นกราบทูลพระเจ้าตันอาวจู๊ไม่ มีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ อ่วมเหียน เป็นที่ปัดเซียะ จะขอเข้าเฝ้า ก็ไม่ได้เฝ้า ด้วยพระเจ้าตันอาวจู๊มิได้เสด็จออกว่าราชการเลย อ่วมเหียนคอยเฝ้าอยู่เป็นหลายวัน ก็ไม่เสด็จออก จนกองทัพเมืองซุยยกมาถึงเมืองกวางเหลง ฮั่นกิมโฮ้ว โฮยัดปิด นายทัพหน้า ยกทหารข้ามแม่น้ำเมืองกวางเหลงมาใกล้ตำบลไฉเจียะ มีทหารรักษาด่านชื่อ จือเกียน จือเกียนจะยกทหารออกต่อสู้ หาทันที่จะออกไปไม่ พอกองทัพทั้งสองถึงตำบลไฉเจียะเสียก่อน จือเกียนก็พาทหารหนีไปเมืองเจียเถาเสียริมเมืองหลวง

ขณะนั้น พระเจ้าตันอาวจู๊ไม่เสด็จออก จือเกียนคอยเฝ้าตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงเวลาเย็นจึงได้เฝ้า กราบทูลความว่า เมืองซุยยกกองทัพใหญ่มาจนถึงตำบลไฉเจียะใกล้เมืองหลวงแล้ว พระเจ้าตันอาวจู๊รับสั่งว่า ต่อเวลาพรุ่งนี้จึงค่อยปรึกษาคิดอ่านกัน แล้วพระเจ้าตันอาวจู๊ก็เสด็จขึ้น ครั้นรุ่งขึ้นก็ไม่เสด็จออก กำลังมัวเมาสุราและหลงเพลิดเพลินอยู่ด้วยสตรี ถึงสามวันจึงได้เสด็จออก จึงรับสั่งให้เซียวม่อฮอ ยิ่มต๋ง ขุนนางนายทหารทั้งสองคน จัดแจงทหารเข้าเป็นกองทัพยกไป ครั้นยกมาถึงตำบลเล่งซัว ปะทะทัพโฮยัดปิด แม่ทัพหน้าเมืองซวย นายทัพทั้งสองฝ่ายยกกองทัพเข้ารบกัน เซียวม่อฮอถือง้าวใหญ่ขับม้าออกหน้าเข้ารบกับโฮยัดปิด โฮยัดปิดถือทวนขับม้าเข้ารบกันได้สิบห้าเพลง โฮยัดปิดตวาดด้วยเสียงอันดัง แล้วเอาทวนแทงถูกเซียวม่อฮอตกม้าตาย กองทัพเมืองน่ำตั๋นแตก ยิ่มต๋งก็หนีกลับเข้ามาเฝ้าพระเจ้าตันอาวจู๊ ทูลความซึ่งเซียวม่อฮอตายกับเสียทหารเป็นอันมาก พระเจ้าตันอาวจู๊ทรงทราบแล้วก็ไม่ทรงขัดเคืองกริ้วโกรธประการใด รับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาทองคำมาสองหีบ พระราชทานให้ยิ่มต๋ง แล้วรับสั่งให้ยิ่มต๋งตระเตรียมทหารยกออกไปรบอีก ยิ่มต๋งกราบถวายบังคมลา คุมทหารออกไปถึงตำบลเจียะเกียะกัง พบกองทัพฮั่นคิมโฮ้วยกมาถึงตำบลนั้น ยิ่มต๋งก็ไม่คิดจะต่อสู้ เข้ายอมสามิภักดิ์กับฮั่นคิมโฮ้ว ฮั่นคิมโฮ้วก็ให้ยิ่มต๋งนำกองทัพฮั่นคิมโฮ้วยกเข้ามาถึงเจียะเถาเสียในเมืองหลวงได้ ราษฎรไพร่บ้านพลเมืองพากันตกใจแตกตื่นหนีไป

ฝ่ายพระเจ้าตันอาวจู๊เสด็จออก ณ ที่ว่าราชการ คอยฟังข่าวกองทัพที่ยกออกไปรบกับข้าศึก พอทอดพระเนตรเห็นทหารเมืองซุยถืออาวุธยกเข้ามาในพระราชวังได้แล้ว ก็ตกพระทัย ลงจากพระที่นั่งจะเสด็จหนีไป อ่วมเหียน ขุนนางผู้ใหญ่ ยุดข้อพระหัตถ์ไว้ว่า พระองค์อย่าหนีไปเลย พวกข้าศึกคงจะไม่ทำอันตรายดอก พระเจ้าตันอาวจู๊รับสั่งว่า ซึ่งจะคอยอยู่นั้นไม่ได้ ต้องหลบหนีไปเสียให้พ้นภัยอันตรายก่อน รับสั่งดังนั้นแล้วก็รีบเสด็จหนีข้าศึกเข้าไปในเก๋งข้างในไปหานางเตียวลีฮัว นางขงกุยปิน กุยฮุยทั้งสอง รับสั่งว่า บัดนี้ ทหารเมืองซุยยกมาตีเมืองเราแตกแล้ว เจ้ากับเราต้องคิดอ่านหนีข้าศึกไปด้วยกัน ตรัสดังนั้นแล้ว พระหัตถ์ขวาจูงข้อมือนางเตียวลีฮัว พระหัตถ์ซ้ายจูงข้อมือนางขงกุยปิน พากันหนีไปถึงบ่อเกงเอียงแจ๊ในพระราชวังข้างใน ได้ยินเสียงทหารเมืองซุยโห่ร้องอื้ออึงเข้ามาในพระราชวัง พระเจ้าตันอาวจู๊จึงตรัสกับนางทั้งสองว่า เราหนีข้าศึกไปไม่พ้นแล้ว เจ้ากับเราต้องตายตรงนี้เถิด รับสั่งดังนั้นแล้วก็ชวนนางกุยฮุยทั้งสองโดดลงไปอยู่ในบ่อเกงเอียงแจ๊หมายจะให้ถึงแก่ความตาย แต่น้ำในบ่อเกงเอียงแจ๊ตื้น พระองค์กับกุยฮุยทั้งสองซ่อนตัวอยู่ในบ่อนั้นได้ครึ่งวัน ก็ได้ยินเสียงทหารเมืองซุยเข้ามาในพระราชวังเก็บค้นทรัพย์สิ่งของ จับนางสนมกำนัลในวัง เสียงอื้ออึงอยู่

ฝ่ายพวกทหารเมืองซุยเห็นนางเจียเกงฮองเฮากับไทจือนั่งร้องไห้อยู่ในเก๋ง ทหารเมืองซุยเที่ยวค้นดูก็ไม่เห็นพระเจ้าตันอาวจู๊ ทหารเมืองซุยจึงร้องตวาดถามทางสนมว่า เห็นพระเจ้าตันอาวจู๊เสด็จหนีไปอยู่แห่งใด ถ้าไม่บอกตามจริงก็จะฆ่าเสีย นางสนมกลัวทหารเมืองซุย จึงบอกตามจริงว่า เมื่อแต่กี้นี้ เห็นพระเจ้าตันอาวจู๊เสด็จอยู่ที่บ่อเกงเอียงแจ๊ เห็นจะโจนลงในบ่อตายเสียแล้ว ท่านจงไปค้นดูเอาเถิด ทหารเมืองซุยก็พากันมาดูที่บ่องเกงเอียงแจ๊ เห็นในบ่อนั้นมืดอยู่ จึงเอาขอลงไปควานค้นในบ่อ ก็ไม่พบปะสิ่งใด ทหารเมืองซุยจึงเอาก้อนศิลาทิ้งลงไป พระเจ้าตันอาวจู๊เห็นทหารเมืองซุยเอาก้อนศิลาทิ้งลงมา จึงรับสั่งขึ้นไปว่า ตัวเราอยู่ที่นี่แล้ว จงเอาเชือกหย่อนลงมาเถิด เราจะขึ้นไปโดยดี ทหารเมืองซุยได้ยินก็เอาเชือกหย่อนลงไปรับพระเจ้าตันอาวจู๊ พระเจ้าตันอาวจู๊กับนางกุยฮุยทั้งสองก็จับเชือกไว้มั่นคง แล้วรับสั่งว่า ให้ชักเชือกขึ้นโดยดี อย่าให้เป็นอันตราย เราจะให้เงินทองเป็นรางวัลให้จงมาก ทหารเมืองซุยก็ชักเชือกขึ้นไม่ได้ ด้วยพระเจ้าตันอาวจู๊กับกุยฮุยทั้งสองพากันยุดเชือกจะขึ้นมา จึงหนักอยู่ ทหารเมืองซุยชักเชือกถึงสี่คนก็ไม่ขึ้น จึงคิดว่า ชะรอยจะเป็นกระดูกผู้มีบุญ จึงหนักถึงเพียงนี้ ทหารเมืองซุยก็เรียกพวกกันมาช่วยอีกหลายคน แล้วช่วยกันชัก พระเจ้าตันอาวจู๊กับกุยฮุยทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อได้โดยสะดวก จึงพาตัวพระเจ้าตันอาวจู๊กับกุยฮุยทั้งสองไปหาฮั่นคิมโฮ้ว โฮยัดปิด แม่ทัพหน้าทั้งสอง พระเจ้าตันอาวจู๊กระทำคำนับนายทหารทั้งสองโดยความเกรงกลัว นายทหารทั้งสองก็หัวเราะว่า ท่านอย่าเกรงกลัวเราเลย แล้วก็ให้ทหารพาตัวพระเจ้าตันอาวจู๊กับกุยฮุยทั้งสองไปขังไว้ที่เต็กกาเต้ย ตำหนักข้างใน ให้ทหารรักษาไว้เป็นกวดขัน

ฝ่ายจีนอ๋อง แม่ทัพฝ่ายซ้าย ทราบว่า เกี้ยนฆัง เมืองหลวง แตก พระเจ้าตันอาวจู๊ทหารเมืองซุยก็จับตัวได้แล้ว จึงสั่งให้ราษฎรซึ่งระส่ำระสายแตกตื่นทิ้งครอบครัวเสียหนีกองทัพไปให้กลับมาอยู่บ้านเรือนทำมาหากินตามภูมิลำเนาดังแต่ก่อน และประกาศไม่ให้ทหารเมืองซุยกระทำข่มเหงเบียดเบียนราษฎรเก็บเอาทรัพย์สิ่งของแย่งชิงเอามาเป็นประโยชน์ ราษฎรรู้หมายประกาศห้ามทหารเมืองซุยไม่ให้ทำร้ายแล้ว ก็พากันเข้ามาอยู่ตามภูมิลำเนาที่บ้านเรือนเป็นปรกติ อยู่มาได้สามวัน จีนอ๋องทราบว่า นางกุยฮุยทั้งสองมีลักษณะงดงาม อยากจะใคร่ได้เป็นภรรยา จึงใช้ให้เกาเต๊กหง บุตรเกาหลุย เข้าไปในเมืองเกี้ยนฆังรับนางกุยฮุยทั้งสองมา เกาเต๊กหงคำนับลาจีนอ๋องเข้าไปในเมืองเกี้ยนฆัง ก็เข้าไปหาเกาหลุยผู้บิดา บอกเกาหลุยตามซึ่งจีนอ๋องใช้มาทุกประการ แล้วเกาหลุยจึงว่า จีนอ๋องเป็นถึงแม่ทัพ ตีเมืองเกี้ยนฆังได้ ปรารถนาจะให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งจะฟั่นเฝืออยู่ด้วยเรื่องอิสตรีเป็นอารมณ์อย่างนี้หาสมควรไม่ เกาหลุยก็หายอมส่งตัวกุยฮุยทั้งสองมอบให้เกาเต๊งหงนำไปให้แก่จีนอ๋องไม่ เกาเต๊กหงจึงว่ากับบิดาว่า จีนอ๋องเป็นแม่ทัพ มีอาญาสิทธิ์ ซึ่งบิดาขัดขวางนางทั้งสองไว้นั้นก็จะเป็นที่ขัดใจกับจีนอ๋องดอกกระมัง หลีเอียนจึงพูดกับเกาหลุยว่า นางเตียวลีฮัวและนางขงกุยปินสองคนนี้เป็นหญิงไม่ดี เมืองน่ำตั๋นเสียเมืองก็เพราะเจ้าแผ่นดินลุ่มหลงไปด้วยนางทั้งสอง ถ้านางกุยฮุยทั้งสองตกไปอยู่ในเมืองซุย ก็จะทำให้บ้านเมืองยับเยินสูญเสียไป จำเราจะฆ่านางกุยฮุยทั้งสองเสียดีกว่า อย่าให้ไปถึงเจ้านายของเราเลย เกาหลุยจึงว่ากับหลีเอียนว่า ซึ่งท่านพูดดังนี้สมควรนัก เกาเต๊กหงก็อ้อนวอนไว้มิให้ฆ่ากุยฮุยทั้งสองเสีย หลีเอียนก็หาเชื่อฟังไม่ ให้ทหารจับตัวนางกุยฮุยทั้งสองไปฆ่าเสียที่นอกเมือง ทหารได้รับคำสั่งแล้วก็พานางทั้งสองไปถึงนอกเมือง ก็ตัดศีรษะนางทั้งสองตามสั่ง เมื่อหลีเอียนฆ่านางทั้งสองเสียแล้ว ราษฎรไพร่บ้านพลเมืองก็พากันสรรเสริญและมีความยินดีแทบทุกตัวคน

ฝ่ายเกาเต๊กหงจะรับนางกุยฮุยทั้งสองมาก็ไม่ได้ตามคำจีนอ๋องสั่งเพราะหลีเอียนฆ่าตายเสียแล้ว เกาเต๊กหงก็ลาเกาหลุยกับหลีเอียนกลับไป ณ ค่ายจีนอ๋อง จีนอ๋องเห็นเกาเต๊กหงกลับออกมาจากในเมืองเกี้ยนฆังก็มีความยินดี นึกว่า เกาเต๊กหงคงได้นางทั้งสองออกมาให้ตามความปรารถนา จีนอ๋องจึงถามเกาเต๊กหงว่า ท่านได้นางเตียวลีฮัวกับนางขงกุยปินมาแล้วหรือ เกาเต๊กหงครั้นจะบอกความจริงก็กลัวจีนอ๋องจะขัดเคืองเกาหลุยผู้บิดา จึงกล่าวความใส่โทษหลีเอียนแต่ผู้เดียวว่า เมื่อท่านใช้ให้ข้าพเจ้าไปรับนางกุยฮุยทั้งสองนั้น เกาหลุยผู้บิดาข้าพเจ้าก็มิได้ขัดขวาง เตรียมรถกับนางสาวใช้สิบคนจะส่งตัวนางกุยฮุยทั้งสองออกมาให้ท่าน แต่หลีเอียนขัดขวางไว้ จีนอ๋องจึงถามเกาเต๊กหงว่า หลีเอียนขัดขวางไว้ด้วยเหตุอย่างไร เกาเต๊กหงแจ้งความกับจีนอ๋องว่า หลีเอียนว่า นางกุยฮุยทั้งสองนี้เป็นหญิงกาลกิณี กระทำให้บ้านเมืองเกี้ยนฆังสาบสูญเสียไปก็เพราะหญิงทั้งสองนี้ หลีเอียนก็ฆ่านางทั้งสองเสียแล้ว จีนอ๋องได้ฟังดังนั้นก็สะดุ้งขึ้นทั้งตัว มีความเสียใจยิ่งนัก จึงพูดว่า บิดาเจ้าก็อยู่ที่นั้น ทำไมจึงไม่ทัดทานห้ามปรามหลีเอียนเล่า เกาเต๊กหงว่า ข้าพเจ้ากับบิดาข้าพเจ้าได้ห้ามปรามหลีเอียนถึงสามครั้ง หลีเอียนก็ไม่ฟัง กลับว่า ข้าพเจ้ากับบิดาข้าพเจ้าจะนำเอาสตรีทั้งสองคนนี้มาให้เจ้านาย เจ้านายจะหลงใหลไปด้วยนางทั้งสอง ให้เป็นที่เสื่อมเสียไปต่าง ๆ จีนอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความขัดเคืองหลีเอียนเป็นอันมาก จึงว่า ชะรอยหลีเอียนใคร่ได้นางทั้งสองไว้เป็นภรรยา ครั้นเราให้ท่านเข้าไปรับ ก็หาสมความปรารถนาของหลีเอียนไม่ หลีเอียนจึงแกล้งฆ่านางทั้งสองเสีย จีนอ๋องคิดขัดเคืองพยาบาทหลีเอียนอยู่เป็นอันมาก และหลีเอียนคนนี้ชาติเป็นมังกรทองลงมาเกิด มีนมสามเต้า ภรรยาชื่อ นางโตสี เป็นหลานของจิวอ๋อง เจ้าเมืองตังเกีย มาแต่ก่อน หลีเอียนคนนี้รูปร่างสะสวย เมื่อครั้งปราบเล่มหมึงติ้น รบกับพวกโจร หลีเอียนยิงเกาทัณฑ์เจ็ดสิบสองที ถูกพวกโจรตายเจ็ดสิบสองคน ตั้งแต่นั้นมา จึงมีอำนาจมาก ชื่อเสียงปรากฏยิ่งนัก ครั้งตีเมืองเกี้ยนฆังแตก ฆ่านางกุยหุยทั้งสอง กังคังจง คงหวม ขุนนางกังฉินอีกสองคน จัดแจงบ้านเมือง เอาทรัพย์สิ่งของบำเหน็จรางวัลแก่ทหารทั้งปวงตามสมควรแก่ความชอบ จัดการบ้านเมืองเรียบร้อย แต่มีความผิดใจอยู่กับจีนอ๋อง แม่ทัพ ด้วยเรื่องฆ่านางกุยฮุยทั้งสอง ครั้นจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว เก็บทรัพย์สิ่งของทองเงินของมีราคานำมาให้จีนอ๋อง แล้วจีนอ๋อง แม่ทัพนายกองทั้งปวง ก็พากันยกกองทัพกลับมาเมืองซุย แต่พระเจ้าตัวอาวจู๊หาได้ปรากฏว่าเป็นและตายประการใดไม่ เป็นแต่ปรากฏว่า พระเจ้าตันอาวจู๊ต้องขังอยู่ที่เต๊กกาเต้ยเท่านั้น



ขึ้น ตอน ๒