ส้วยถัง/เล่ม ๑/ตอน ๔

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๕–๓๘ สารบัญ



บัดนี้ จะกล่าวถึงซินซกโป๊ อยู่แขวงซัวตัง เมืองเล็กเซียกุ้ย ฝึกหัดชำนาญในเพลงอาวุธต่าง ๆ มีกำลังและฝีมือเข้มแข็ง ถือกระบองทองแดงสองมือหนักร้อยสามสิบชั่งเป็นอาวุธ ภรรยาชื่อ นางเตียสี มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฮวนโฮ้ว ฉายาชื่อ เกียนอุย ยกของหนักได้ถึงสามร้อยชั่งสี่ร้อยชั่ง อีกคนหนึ่งชื่อ เฮงเป๊กตั๋ง เป็นคนใจกว้างขวาง รูปร่างมีสง่า แข็งแรง มีฝีมือเข้มแข็ง การเกาทัณฑ์ก็ชำนิชำนาญ วันหนึ่ง เฮงเป๊กตั๋งกับซินซกโป๊พูดปรึกษากันว่า ในประตูเมืองเล็กเซียกุ้ยทิศตะวันออก มีคนอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อ กายุนหู คนหนึ่งชื่อ ลิวจิวฉิน คนทั้งสองนี้เป็นคนมีฝีมือ ใจคอโอบอ้อมอารีกว้างขวาง พอใจคบเพื่อนที่มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็ง เฮงเป๊กตั๋งกับซินซกโป๊ก็ไปมาคบหากายุนหู ลิวจิวฉิน เป็นเพื่อนรักอันสนิทอยู่มิได้ขาด ขณะนั้น เมืองแชจิว เมืองชีจิว ฝนแล้ง ข้าวแพง ผู้ร้ายก็ชุกชุมกำเริบเกิดขึ้นหลายแห่งหลายตำบล เล่าฮอง เจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ย ทำหนังสือประกาศปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ เกลี้ยกล่อมผู้มีสติปํญญาและฝีมือเข้ามาเป็นทหารปราบโจรและผู้ร้าย

ทันใดนั้น ฮวนเกียนอุย เพื่อนซินซกโป๊ มาบอกซินซกโป๊ที่บ้านกายุนหูว่า เจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ยปิดหนังสือประกาศเกลี้ยกล่อมคนมีสติปัญญาและฝีมือให้เข้าไปรับอาสาปราบโจรผู้ร้าย น้องได้ไปแจ้งแก่เจ้าเมืองว่า ตัวพี่เป็นคนมีกำลังและฝีมือเข้มแข็ง น้องไม่รู้ว่า พี่จะคิดประการใด ซินซกโป๊จึงว่า พี่ไม่คิดจะทำราชการดอก แต่ครั้งปู่และบิดาของพี่ก็เป็นเชื้อชาติทหาร ได้ทำราชการอาสาแผ่นดินมาหลายครั้งหลายคราว ก็ไม่เห็นได้ดีอย่างไรเลย ซินซกโป๊พูดเท่านั้นก็ลาเพื่อนฝูงกลับไปบ้าน ฮวนเกียนอุยก็ตามซินซกโป๊ไปที่บ้านซินซกโป๊ พบนางเล่งสี มารดาซินซกโป๊ ฮวนเกียนอุยเข้าไปคำนับนางเล่งสี แล้วฮวนเกียนอุยได้เล่าความที่พูดกับซินซกโป๊ให้นางเล่งสีฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ นางเล่งสีได้ฟังฮวนเกียนอุยพูดดังนั้นแล้วว่า การที่จะเป็นขุนนางเล่ามิใช่ง่าย เป็นการยากอยู่ ซินซกโป๊ บุตรเรา ก็มีแต่ฝีมือเท่านั้น ฮวนเกียนอุยจึงตอบว่า ขณะนี้ ซินซกโป๊ก็ยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ ถึงจะยากและง่ายประการใด ก็ต้องอุตส่าห์ทำไปก่อน เผื่อจะได้ดีบ้าง ซินซกโป๊อยู่ห้องใน ออกมาบอกกับมารดาว่า มารดาอย่าได้เชื่อฟังฮวนเกียนฮุยเลย นางเล่งสีจึงว่า ซึ่งฮวนเกียนอุยพูดดังนี้ก็ถูกต้องอยู่ เจ้าทุกวันนี้กินอาหารแล้วก็ไปเที่ยวเล่นเสียเปล่า หาได้การไม่ แต่ครั้งปู่และบิดาก็เป็นชาติเชื้อขุนนางนายทหารทำราชการแผ่นดิน เจ้าก็มีอายุแล้ว ควรจะทำราชการ จึงจะดี ซินซกโป๊มีความกตัญญูต่อมารดา ก็เชื่อฟังมารดา ไม่อาจขัดขืน ฮวนเกียนอุยเห็นซินซกโป๊ยอมทำราชการแล้ว ฮวนเกียนอุยจึงนัดว่า พรุ่งนี้ น้องจึงจะพาพี่ไปหาเจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ย พูดกันเท่านั้นแล้วฮวนเกียอุยก็คำนับลานางเล่งสี ซินซกโป๊ กลับไปบ้าน

ครั้นรุ่งเช้า ฮวนเกียนอุยมาที่บ้านซินซกโป๊ พาซินซกโป๊ไปหาเจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ย กระทำคำนับ แล้วเจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ยจึงถามว่า ตัวท่านหรือชื่อ ซินซกโป๊ ซินซกโป๊ก็รับว่า ข้าพเจ้าชื่อ ซินซกโป๊ เจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ยจึงว่า ดีแล้ว ท่านจงอุตส่าห์ทำราชการกับเราเถิด ต่อไปถ้ามีความชอบเมื่อใด เราจะเลื่อนยศให้ตามสมควร เจ้าเมืองจึงตั้งให้ซินซกโป๊เป็นโตเถา นายทหาร ซินซกโป๊รับที่โตเถสแล้ว ซินซกโป๊ ฮวนเกียนอุย ก็คำนับลาเจ้าเมืองไปบ้านกายุนหู กายุนหูออกมาต้อนรับซินซกโป๊ ฮวนเกียนอุย เข้าไปในบ้าน ให้นั่งในที่อันสมควร แล้วจัดน้ำชามาให้กิน กายุนหูจึงพูดว่า ข้าพเจ้ารู้ว่า ท่านเข้าทำราชการในเมืองเล็กเซียกุ้ย ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอันมาก ซินซกโป๊จึงตอบว่า ข้าพเจ้าหาสู้เต็มใจทำราชการไม่ ด้วยขัดมารดาไม่ได้ดอก จึงต้องจำใจทำราชการ กายุนหูจึงว่า ไหน ๆ ท่านก็ได้ทำราชการแล้ว จะต้องหาพรรคพวกที่มีฝีมือเข้มแข็งไว้เป็นกำลัง จึงจะดี แล้วกายุนหูจึงว่า เวลาวานนี้ ข้าพเจ้าเห็นมีผู้นำเอาม้ามาขายสี่ร้อยม้า ควรจะต้องหาไว้สำหรับตัวบ้าง พูดแล้วกายุนหูก็พาซินซกโป๊ ฮวนเกียนอุย ไปดูม้าสี่ร้อย ซินซกโป๊เลือกดูทั้งสี่ร้อยม้าก็หาชอบใจไม่ สามนายก็พากันมาบ้าน พอถึงบ้านได้ยินเสียงม้าร้องขึ้นที่หลังบ้าน ซินซกโป๊ว่า นั่นเป็นไรเล่า ม้าดีมีอยู่ที่นี่แล้ว กายุนหูจึงถามว่า เหตุไรจึงรู้ว่า ม้าดีเล่า ซินซกโป๊จึงตอบว่า ถ้าม้าดีย่อมมีกระแสเสียงเฉียบแหลมไพเราะ จึงรู้ได้ว่า จะเป็นม้าดีได้ ครั้นพูดกันแล้ว สามนายก็พากันออกไปดูม้าที่หลังบ้าน เห็นม้าอึงเทียนเบ๊ผูกอยู่ ซินซกโป๊เห็นม้านั้นแล้วก็ชอบใจ ซินซกโป๊จึงว่า ม้าตัวนี้ดี กายุนหู ฮวนเกียนอุย จึงว่า ม้าตัวนี้เลี้ยงไว้ประมาณสามเดือนแล้ว เป็นม้าผอม ไม่ดี เหตุใดท่านจึงชอบใจม้าตัวนี้ ซินซกโป๊ก็นิ่งอยู่ กายุนหูจึงว่า ท่านชอบใจแล้ว ข้าพเจ้าจะให้ม้าตัวนี้แก่ท่าน ซินซกโป๊มีความยินดี จึงว่า ขอบใจท่านเป็นอันมาก พูดกันเท่านั้นแล้ว สามนายชวนกันเข้ามาในบ้าน จัดโต๊ะสุรามาเลี้ยงกันเป็นที่สบาย แล้วซินซกโป๊ ฮวนเกียนอุย ก็ต่างคำนับลากลับบ้าน ซินซกโป๊ก็เอาม้านั้นมาเลี้ยงไว้ที่บ้านได้ประมาณครึ่งเดือน ม้านั้นมีกำลังอ้วนพีขึ้น ตั้งแต่นั้นมา ซินซกโป๊กับฮวนเกียนอุยก็เข้ารับราชการจับโจรผู้ร้ายในเมืองเล็กเซียกุ้ย ชื่อเสียงปรากฏโด่งดังเลื่องลือทั่วไปในแขวงเมืองซัวตังทุกตำบล คนที่มีสติปัญญาฝีมือเข้มแข็งในแขวงเมืองซัวตังก็พากันมาคบหาเป็นเพื่อนฝูงของซินซกโป๊เป็นอันมาก

ฝ่ายเล่าฮอง เจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ย เป็นคนโลภเห็นแก่ลาภ ซินซกโป๊จับตัวผู้ร้ายมาส่งให้มากน้อยเท่าใด ผู้ร้ายคนใดมีเงินติดสอยบนบานเสียให้เล่าฮอง เจ้าเมือง เล่าฮองได้เงินทองเป็นสินบนแล้ว ก็ปล่อยตัวผู้ร้ายเสีย ที่ไม่มีเงินทองจะเสียให้เล่าฮอง เล่าฮองก็ให้ซินซกโป๊ ฮวนเกียนอุย คุมคนโทษไปส่งที่เมืองเพงเอี๋ยง เมืองโลจิว ซินซกโป๊ ฮวนเกียนอุย ก็รับคนโทษจากเล่าฮอง เจ้าเมือง แล้วก็ไปคำนับลามารดาและลาภรรยาจัดแจงเสบียงอาหารไปกินตามทาง แล้วสองนายก็พากันคุมคนโทษออกจากเมืองเล็กเซียกุ้ยไป เดินทางมาได้หลายวันถึงเขาลิมทองซัวห่างเมืองเชียงอานห้าสิบลี้ ซินซกโป๊จึงพูดกับฮวนเกียนอุยว่า บนเขานี้มีศาลเทพารักษ์หงอจูซู หงอจูซูคนนี้เมื่อครั้งแผ่นดินเลียดก๊กเป็นคนสัตย์ซื่อต่อเจ้า มีคนนับถือ จึงได้ทำศาลไว้บนเขานี้ ท่านจงคุมคนโทษไปรออยู่ที่นอกด่านลิมทองก๋วนก่อน ตัวเราจะขึ้นไปคำนับเทพารักษ์บนเขานี้ แล้วจึงจะตามไปภายหลัง ฮวนเกียนอุยรับคำซินซกโป๊แล้ว ก็คุมคนโทษไปคอยอยู่ที่นอกด่านลิมทองก๋วนตามที่สัญญากันไว้ ซินซกโป๊ก็ขับม้าถือกระบองสองมือขึ้นไปบนเขาลิมทองซัว ครั้นถึงบนเขาแล้ว ซินซกโป๊เข้าไปทำคำนับเทพารักษ์หงอจูซู แล้วเห็นในศาลเทพารักษ์เป็นที่ร่มเย็น มีลมพัดเฉื่อย ๆ ซินซกโป๊เหนื่อยมา ก็นอนหลับอยู่บนศาลเทพารักษ์

ฝ่ายหลีเอียนพาครอบครัว บุตร และภรรยา บ่าวไพร่ ออกจากเมืองเชียงอานมาถึงเขาลิมทองซัวเป็นเวลาเที่ยง เกียงเสงกับลีเตาจงคุมบ่าวไพร่เดินไปข้างหน้า หลีเอียนคุมครอบครัวเดินมาภายหลัง ขณะนั้น พวกจีนอ๋อง ไทจือ ปลอมเป็นโจรมาคอยแอบซุ่มทำร้ายหลีเอียนอยู่ที่เขาลิมทองซัว พอแลเห็นหลีเอียนกับครอบครัวมาถึง ก็พากันกรูออกมาสกัดทางไว้ เกียนเสงตกใจหนีกลับมาบอกกับหลีเอียนผู้บิดาซึ่งมาข้างหลัง หลีเตาจงต่อสู้พวกโจรอยู่ หลีเอียนได้แจ้งดังนั้นก็แต่งตั้งขึ้นม้าถือทวนไปช่วยหลีเตาจงรบกับพวกโจรซึ่งสกัดทางไว้ พอหลีเอียนไปได้ครึ่งทาง พวกจีนอ๋อง ไทจือ อีกพวกหนึ่งก็เข้าล้อมครอบครัวของหลีเอียนกับตัวหลีเอียนไว้ หลีเอียนรบพุ่งต่อสู้พวกโจร ฆ่าพวกโจรตายหลายคน พวกโจรก็เข็ดขยาดฝีมือหลีเอียน ไม่อาจเข้าใกล้หลีเอียนได้ จีนอ๋อง ไทจือ กับโอบุนฮวยกิบ แอบดูอยู่ เห็นพวกที่ปลอมเป็นโจรทำอันตรายหลีเอียนไม่ได้ จีนอ๋อง ไทจือ กับโอบุนฮวยกิบ เอาผ้าขาวโพกศีรษะเสียไม่ให้จำได้ ขับม้าออกมาช่วยพรรคพวกที่ปลิมเป็นโจรรบกับหลีเอียนเป็นสามารถ ยังทำอันตรายหลีเอียนหาได้ไม่ กำลังรบติดพันกันอยู่

ฝ่ายซินซกโป๊นอนหลับอยู่บนศาลเทพารักษ์ ฝันไปว่า เห็นมีเก๋งสูงแห่งหนึ่ง ซินซกโป๊เดินขึ้นไปบนเก๋งสูง เห็นมีแผ่นศิลาแขวนอยู่แผ่นหนึ่งมีอักษรอยู่สามตัวว่า คีหลินเกาะ สองข้างประตูเก๋งมีตุยหลินห้อยอยู่สองข้าง ข้างหนึ่งมีอักษรเจ็ดตัวว่า ซังกั๋นพะจิ๋นทั่งซี่ไก่ มีใจความว่า กระบองสองมือจะปราบปรามศัตรูในแผ่นดินถัง ข้างหนึ่งมีอักษรว่า ตั้งปิเจ้งเต่อหลีเคียนคุณ มีความว่า กระบองเหล็กสั้นจะประคองแซ่หลีให้เป็นเจ้า กำลังยืนพิเคราะห์ตุยหลินอยู่ ได้ยินเสียงดัง แลไปเห็นเมฆห้าสีลอยอยู่บนอากาศหุ้มมังกรทองไว้ ดูไปข้างทิศตะวันตกเห็นเมฆสีดำ มีมังกรเขียวออกมาจากเมฆตัวหนึ่งมาต่อสู้กับมังกรทอง ซินซกโป๊เห็นมังกรทองจะสู้มังกรเขียวไม่ได้ ขณะนั้น มีเสียงเหมือนคนร้องเรียกว่า ซินซกโป๊ ขณะนี้ทำไมจึงไม่ช่วยกษัตริย์ จะคอยเมื่อไรเล่า ซินซกโป๊ได้ยินดังนั้นก็จับกระบองสองอัน มีกิเลนลอยลงมาให้ซินซกโป๊ขี่ ซินซกโป๊ก็ขับกิเลนเข้าไปถึงมังกรเขียว ซินซกโป๊เอากระบองตีมังกรเขียวหนีไป แล้วซินซกโป๊ได้ยินเสียงม้าร้อง ก็ตกใจตื่นขึ้น รู้ว่า เป็นความฝัน ก็นั่งตรึกตรองเห็นว่า เป็นมงคลกับตัว ก็มีความยินดี คุกเข่าลงคำนับเทพารักษ์หงอจูซู แล้วว่า ถ้าได้จริงดังความฝันนี้ จะมาปลูกศาลให้ใหม่ ขณะนั้น ได้ยินเสียงม้าร้องขึ้นอีก ซินซกโป๊ก็คำนับลาเทพารักษ์ออกมา เห็นม้านั้นกระโดดเต้นอยู่ ซินซกโป๊จับกระบองสองมือโจนขึ้นหลังม้าขับลงมาจากเขาได้ครึ่งทาง เห็นผงคลีฟุ้งขึเน ซินซกโป๊ก็แลลงไปที่เชิงเขา เห็นพวกโจรล้อมพวกขุนนางอยู่ ตัวขุนนางผู้นั้นจวนจะเสียทีกับพวกโจรอยู่แล้ว จึงมาคิดว่า ถ้าเราไม่ช่วยครั้งนี้ พวกโจรก็คงจะฆ่าพวกขุนนางกับครอบครัวเสียหมด จำเราจะลงไปช่วยเอากุศล จึงจะชอบ ซินซกโป๊ก็ควบม้าลงไปถึงเชิงเขา ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า พวกโจรเหล่านี้ไม่กลับความตายหรือ ถ้ารักชีวิตก็รีบหนีไปเสียโดยเร็ว พวกทหารที่ปลอมเป็นโจรเห็นซินซกโป๊ขับม้าร้องตวาดมาแต่ผู้เดียว ก็มิได้มีใจครั่นคร้านซินซกโป๊ ซินซกโป๊ก็ขับม้าเข้าไปกลางหมู่ทหารซึ่งปลอมเป็นโจร พวกโจรก็เข้ามาต่อสู้ซินซกโป๊ ซินซกโป๊เอากระบองทองแดงตีพวกโจรตายลงประมาณเก้าคนสิบคน ขณะนั้น หลีเอียนต่อสู้กับพวกโจรอยู่รอบตัว เหน็ดเหนื่อยเกือบจะสิ้นกำลังอยู่แล้ว หลีเอียนเหลือไปเห็นพวกโจรตกม้าลงหลายคน มีนายทหารคนหนึ่งตีเข้ามาในท่ามกลางพวกโจร หลีเอียนเห็นลักษณะเข้มแข็งองอาจ มือถือกระบองสองอัน ช่วยรบพวกโจรได้พักหนึ่ง ซินซกโป๊เห็นจีนอ๋อง ไทจือ ที่แต่งตัวปลอมเป็นโจร ซินซกโป๊ตีด้วยกระบองลงไปที่ศีรษะจีนอ๋อง ไทจือ แต่จีนอ๋อง ไทจือ ตาไวหลบทัน กระบองถูกที่บ่ามีความเจ็บปวดเป็นสาหัส ร้องด้วยเสียงอันดัง แล้วขับม้าหนีไป โอบุนฮวยกิบกับพวกโจรทั้งปวงเห็นจีนอ๋อง ไทจือ ถูกอาวุธขับม้าหนีไปแล้ว ก็ครั่นคร้ามเกรงฝีมือซินซกโป๊ พากันทิ้งครอบครัวหลีเอียนแตกหนีไปหมด ซินซกโป๊ถามพวกโจรว่า เจ้าอยู่บ้านไหน จึงบันอาจเป็นโจรมาปล้นถึงริมเมืองหลวงเช่นนี้ โจรคนนั้นมีความกลัว จึงอ้อนวอนขอชีวิตไว้ แล้วว่า ข้าพเจ้าหาใช่พวกโจรไม่ ด้วยจีนอ๋อง ไทจือ มีความขัดเคืองกับหลีเอียน จึงปลอมเป็นพวกโจรมาแอบซุ่มคอยทำร้ายหลีเอียนที่ตำบลนี้ เมื่อแต่กี้ท่านตีด้วยกระบองถูกที่บ่านายโจรคนหนึ่งขับม้าหนีไป นายโจรคนนั้น คือ จีนอ๋อง ไทจือ ปลอมเป็นนายโจรมา ซินซกโป๊ก็ปล่อยโจรคนนั้นเสีย จึงคิดว่า จีนอ๋อง ไทจือ กับหลีเอียนไม่ชอบกัน หาใช่กงการของเราไม่ ถ้าจีนอ๋อง ไทจือ รู้ว่า เราออกช่วยหลีเอียนรบครั้งนี้ ชีวิตของเราก็จะเป็นอันตรายเสียเปล่า ๆ แล้วซินซกโป๊ถอดหมวกออกปิดหน้าเสีย ขับม้าตรงไปทางเมืองเชียงอาน

ฝ่ายหลีเอียนแลเห็นซินซกโป๊ขับม้าหนีไป จึงให้หลีเตาจงอยู่รักษาครอบครัว ตัวหลีเอียนขับม้ารีบติตดามซินซกโป๊ ใกล้จะทันจึงร้องเรียกซินซกโป๊ให้หยุดก่อน ข้าพเจ้า หลีเอียน จะคำนับสนองคุณท่าน ซินซกโป๊ก็ไม่หยุด รีบเร่งขับม้าหนีไป เหลียวหลังมาเห็นหลีเอียนยังขับม้าตามมา ซินซกโป๊จึงร้องว่า ท่านอย่าตามมาเลย เราแซ่ ซิน ชื่อ หยง แล้วโบกมือไม่ให้หลีเอียนตามมา ซินซกโป๊ก็รีบขับม้าหนีไปโดยเร็ว หลีเอียนจะติดตามไปก็ไม่ทัน ได้ยินแต่เสียงที่บอกชื่อว่า หยง คำเดียว กับเห็นเอามือโบกห้ามเป็นสำคัญ หลีเอียนจึงคิดว่า ที่ยกมือขึ้นนั้น มือมีห้านิ้วเรียกว่า เหงาเจ้ย กับได้ยินที่บอกปลายคำว่า หยง จึงสำคัญว่า ผู้ที่มาช่วยรบพวกโจรชื่อ เหงาหยง หลีเอียนก็ชักม้ากลับมา พอแลเห็นชายคนหนึ่งขี่ม้าไล่ตามมา หลีเอียนสำคัญว่า พวกโจร หลีเอียนขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไปถูกชายผู้นั้นตกม้าลง แล้วก็ควบม้าเลยไปหาครอบครัว ขณะนั้น มีคนประมาณสี่ห้าคนวิ่งมาร้องไห้ว่า นายข้าพเจ้ามีความผิดสิ่งใด ท่านจึงเอาเกาทัณฑ์ยิงนายข้าพเจ้าตาย หลีเอียนจึงตอบว่า เราหายิงผู้ใดตายไม่ ชายพวกนั้นจึงถอนเอาเกาทัณฑ์ส่งให้หลีเอียนดูว่า มียี่ห้อถังกง เป็นลูกเกาทัณฑ์ของท่าน หลีเอียนเห็นดังนั้นก็ตกใจ หลีเอียนจึงว่า เมื่อเราไล่ตามชายที่มาช่วยรบพวกโจรไปนั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งขับม้าไล่ตามเรามา เราสำคัญคิดว่า เป็นพวกโจร เรายิงเกาทัณฑ์ไปถูกนายเจ้าตาย นายเจ้าชื่อไร แซ่ใด เราจะให้เงินร้อยตำลึง แล้วจะเอาศพมาฝังเสียตามสมควร พวกชายเหล่านั้นจึงบอกว่า นายข้าพเจ้าที่ตายชื่อ เคียนเต๋า อยู่ตำบลยี่เฮียน จะไปเมืองเชียงอานซื้อแพรต่วนมาขาย บัดนี้ ท่านยิงนายข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้าไม่กล้ารับเงินของท่านได้ นายที่สองของข้าพเจ้ายังอยู่อีกคนหนึ่งชื่อ เคียนหล่งสิน ข้าพเจ้าจะกลับไปบอกกับนายข้าพเจ้าที่บ้านให้ทราบเสียก่อน หลีเอียนจึงบอกว่า นายของเจ้าก็ตายเสียแล้ว ที่ไหนจะกลับคืนเป็นขึ้นได้ เจ้าจงกลับไปบอกกับน้องชายของเขาว่า เราผู้ชื่อ ถังกงหลีเอียน ไมได้มีความเจตนาจะให้นายของเจ้าจายเลย เพราะระวังตัวกลัวพวกโจรอยู่ พวกคนใช้ก็ไม่อาจจะว่าประการใด จึงจัดซื้อหีบใส่ศพเคียนเต๋า แล้วพากันกลับไปบ้าน

ฝ่ายหลีเอียนก็ขับม้ามาถึงครอบครัว ขณะนั้น นางโตฮูหยิน ภรรยาหลีเอียน ตกใจเมื่อพวกโจรล้อมอยู่เป็นอันมาก ปวดครรภ์จะคลอดบุตร หลีเอียนจะหาที่แหงใดก็ไม่ได้ พอแลไปฟากทางข้างขวาเห็นมีวัดอยู่วัดหนึ่ง หลีเอียนค่อยสิ้นความวิตก จึงพาครอบครัวบ่าวไพร่ไปพักอยู่ที่วัดเซงฮกยี่ หลีเอียนให้คนใช้ไปถามหลวงจีนเจ้าวัดจะขออาศัยอยู่ เจ้าวัดจะยอมให้อยู่หรือไม่ยอม หลวงจีนเจ้าวัดชื่อ งอกง เมื่อได้ทราบดังนั้นก็ออกไปรับครอบครัวหลีเอียนเข้ามาในวัด จัดที่ให้พักอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง หลีเอียนจึงว่าแก่หลวงจีนเจ้าวัดว่า ขอให้ข้าพเจ้ากับครอบครัวพักอาศัยอยู่สักคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นเช้า ข้าพเจ้าจะลาท่านไป สมภารงอกงจึงว่า เชิญท่านอยู่เถิด หาเป็นไรไม่ สมภารพูดแล้วก็ลาถังกงหลีเอียนกลับไป ในเวลากลางคืนวันนั้น หลีเอียนมิได้ถอดเสื้อเกราะ ถือกระบี่นั่งระวังเหตุการณ์อยู่ ไม่อาจจะนอน เกรงกลัวศัตรูจะมาทำร้ายอีก พอเวลาสามยาม มีกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้หอมไปทั้งวัด เป็นที่ชื่นใจและเป็นการอัศจรรย์ด้วย หลีเอียนเดินออกไปข้างนอก เห็นดาวดวงใหญ่ตกลงมากลางวัด นึกประหลาดสงสัยในใจอยู่

ขณะนั้น ชายคนใช้มาบอกหลีเอียนว่า นางโตฮูหยิน ภรรยาท่าน คลอดบุตรเป็นชาย หลีเอียนก็มีความยินดีมาก หลีเอียนเดินกลับมาที่พัก ครั้นรุ่งเช้า หลีเอียนก็จัดดอกไม้ธูปเทียนพากันไปไหว้พระพุทธที่ในโบสถ์ แล้วนิมนต์หลวงจีนเจ้าวัดมาขอโทษ ด้วยว่า บัดนี้ ภรรยาข้าพเจ้ามาคลอดบุตรในวัดของท่าน เป็นที่โสโครกเปื้อนเปรอะในวัด ข้าพเจ้ามีโทษเป็นอันมาก ขอให้ข้าพเจ้าอาศัยอยู่อีกสักเดือนหนึ่ง พอให้ภรรยาข้าพเจ้าแข็งแรงแล้ว ข้าพเจ้าจะลาท่านไป หลวงจีนเจ้าวัดจึงบอกว่า ขอเชิญท่านพักไปก่อนเถิด หาเป็นไรไม่ หลีเอียนจึงคำนับหลวงจีนเจ้าวัด มีความขอบใจหลวงจีนเจ้าวัดเป็นอันมาก หลีเอียนก็กลับไปที่อยู่ อยู่มาวันหนึ่ง หลีเอียนเดินไปเที่ยวเล่นในวัด แลเห็นตุยหลินแขวนอยู่ในวัด ริมตุยหลินเขียนไว้ว่า ลายมือของชาเฉียว หลีเอียนเห็นหนังสือที่ตุยหลิยถ้อยคำก็เพราะลายมือก็งาม หลีเอียนจึงถามหลวงจีนเจ้าวัดว่า ชาเฉียวเป็นคนอย่างไร เป็นบุตรของผู้ใด บ้านเมืองอยู่ไหน มาอยู่ที่วัดนี้แต่เมื่อไร หลวงจีนเจ้าวัดจึงบอกหลีเอียนว่า ชาเฉียวเป็นบุตรขุนนางอยู่ในเมืองฮูเนียกุ้ย หลีเอียนถามหลวงจีนเจ้าวัดว่า ชาเฉียวอยู่ในวัดนี้หรือเปล่า หลวงจีนเจ้าวัดจึงตอบว่า ชาเฉียวอยู่ในวัดนี้ ไม่ได้ไปเที่ยวข้างใน อยู่แต่ในห้องเรียนหนังสือ หลีเอียนขอให้หลวงจีนเจ้าวัดนำไปดู หลวงจีนเจ้าวัดก็นำหลีเอียนไปถึงที่ประตูห้องชาเฉียวที่เรียนหนังสือนั้น ได้ยินเสียงมีผู้ดีดพิณอยู่ ไพเราะนัก หลวงจีนเจ้าวัดจะเรียกให้ชาเฉียวเปิดประตูรับ หลีเอียนว่า งดไว้ก่อนสักครู่หนึ่ง พอสักครู่หนึ่ง เสียงพิณนั้นหยุด หลวงจีนเจ้าวัดจึงเรียกให้เปิดประตูรับ ศิษย์คนหนึ่งจึงเดินออกมาเปิดประตูรับ แล้วถามว่า ผู้ใด หลวงจีนเจ้าวัดตอบว่า เจ้าเมืองไทยหงวนชื่อ หลีเอียน จะมาหา ชาเฉียวได้ยินดังนั้นก็ออกมากระทำคำนับต้อนรับ เชิญหลีเอียนกับหลวงจีนเจ้าวัดเข้าไปในห้อง เชิญให้นั่งที่อันสมควร ชาเฉียวคุกเข่าลงคำนับหลีเอียนกับหลวงจีนเจ้าวัด แล้วชาเฉียวจึงพูดว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า ท่านจะมา มิได้ออกไปต้อนรับท่านโดยสมควร ข้าพเจ้าขออภัยท่านทั้งสองเสียเถิด หลีเอียนจับมือชาเฉียวให้ลุกขึ้น แล้วพิเคราะห์ดูลักษณะชาเฉียว ก็รู้ว่า เป็นผู้มีสติปัญญา หลีเอียนมีความชอบใจชาเฉียวยิ่งนัก หลีเอียนจึงถามชาเฉียวว่า ท่านมีบุตรภรรยาแล้วหรือยัง ชาเฉียวจึงตอบว่า ข้าพเจ้ายังหามีภรรยาไม่ หลีเอียนจึงว่า เรามีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง อายุร่นราวคราวกันกับท่าน จะยกให้เป็นภรรยาของท่าน ท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด ชาเฉียวพูดว่า ซึ่งท่านมีเมตตาเอ็นดูข้าพเจ้านั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะขอปรนนิบัติตามใจท่านทุกประการ หลีเอียนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีเป็นอันมาก พูดดังนั้นแล้วหลีเอียนกับหลวงจีนเจ้าวัดก็ลาชาเฉียวไปที่อยู่ ครั้นหลีเอียนกลับมาถึงที่อยู่ จึงเล่าความให้นางโตฮูหยิน ภรรยา ฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ นางโตฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้หลวงจีนเจ้าวัดเป็นเถ้าแก่หาวันฤกษ์ดีนำสิ่งของมาหมั่นตามประเพณี อยู่ไปประมาณครึ่งเดือน นางโตฮูหยินค่อยแข็งแรงขึ้นแล้ว จึงให้คนใช้ไปบอกชาเฉียวว่า นางโตฮูหยินกับหลีเอียนจะพากันไปเมืองไทยหงวน ชาเฉียวจึงจัดแจงรวบรวมทรัพย์สิ่งของตามหลีเอียนไปเมืองไทยหงวนด้วย ครั้นถึงวันกำหนด หลีเอียน ชาเฉียว ก็พากันไปลาหลวงจีนเจ้าวัด พาครอบครัว บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ไปเมืองไทยหงวน

ฝ่ายซิกซกโป๊ ตั้งแต่ไปรบกับโจร แก้ไขหลีเอียนรอดชีวิตจากจีนอ๋อง ไทจือ ไปได้แล้ว รีบขับม้ามาพบฮวนเกียนอุยที่โรงเตี๊ยมนอกด่านลิมทองก๋วน จึงเล่าความว่า ได้แก้ไขช่วยให้หลีเอียนรอดไปได้ แต่ต้นจนปลายทุกประการ แล้วซิกซกโป๊กับฮวนเกียนอุยพักนอนอยู่ที่โรงเตี๊ยมคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นเช้า กินอาหารแล้ว ซิกซกโป๊กับฮวนเกียนอุยก็แบ่งคนโทษที่จะไปเมืองเพงเอี๋ยงให้ฮวนเกียนอุยคุมไป คนโทษที่จะไปเมืองโลจิวซิกซกโป๊คุมไป สองนายแบ่งคนโทษกันแล้ว ก็ต่างคนต่างคำนับลาแยกทางกันไป

ฝ่ายซิกซกโป๊คุมคนโทษเดินมาได้สามวันถึงเมืองโลจิว ก็นำคนโทษไปมอบให้ผู้คุมเมืองโลจิว ด้วยเจ้าเมืองไม่อยู่ ไปคอยรับหลีเอียน เจ้าเมืองไทยหงวน เพราะเมืองโลจิวขึ้นอยู่ในเมืองไทยหงวน ซิกซกโป๊ต้องรอคอยเจ้าเมืองกลับมาจึงจะได้หนังสือตอบ เพราะต้องมีหนังสือตอบเจ้าเมืองโลจิว ซินซกโป๊จึงจะกลับไปได้ ซิกซกโป๊ต้องพักรอคอยรับหนังสือตอบอยู่ที่เตี๊ยมเฮงเซียวยี่ ซิกซกโป๊กินอาหารวันหนึ่งถึงถังหนึ่ง เฮงเซียวยี่มีทุนบ้างเล็กน้อย ก็ทดรองซื้ออาหารให้ซินซกโป๊กิน จนเงินทองร่อยหรอเปลืองไปมาก เฮงเซียวยี่ กับนางลิวสี ภรรยา ปรึกษากันว่า ตั้งแต่ซินซกโป๊มาอยู่ที่เตี๊ยมเรา ก็ไม่เห็นมีคนมาอาศัยอยู่ เรามีเงินทองอยู่บ้างเล็กน้อย ก็ซื้ออาหารให้ซินซกโป๊กินเกือบจะหมดอยู่แล้ว ครั้นจะออกปากขอเงินซินซกโป๊มาใช้บ้าง ก็โกรงใจซินซกโป๊จะมีความขัดเคือง นางลิวสีจึงว่า ซินซกโป๊คนนี้เขามีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในเมืองซัวตัง เงินเล็กน้อยเท่านี้ทำไมจะไม่มีให้ ถ้าเจ้าเมืองกลับมาเมื่อไร เขาได้หนังสือตอบแล้ว เขาคงคิดเงินให้เรา คงจะไม่ขาดทุนดอก ครั้นอยู่มาได้ประมาณเจ็ดวันแปดวัน เงินทองของเฮงเซียวยี่หมด ไม่มีที่จะทดรองซื้ออาหารให้ซินซกโป๊กินแล้ว เฮงเซียวยี่จึงพูดกับซินซกโป๊ว่า ข้าพเจ้ามีธุระจะพูดกับท่านก็มีความเกรงใจ ซินซกโป๊จึงว่า มีธุระอย่างไร ขอเชิญท่านพูดเถิด อย่าเกรงใจเลย เฮงเซียวยี่จึงว่า ตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่เตี๊ยมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขายของไม่ได้เลย เงินทองที่จะซื้ออาหารก็หมดลงแล้ว ซินซกโป๊จึงว่า ขอบใจท่านเป็นอันมาก ซึ่งท่านทดรองเงินซื้ออาหารมาให้ข้าพเจ้ากิน เงินของข้าพเจ้าก็มีอยู่บ้าง จะเอาให้ท่าน ซินซกโป๊ไปเปิดหีบใส่ของขึ้นดู หาเห็นมีเงินไม่ ก็ตกใจ คิดขึ้นได้ว่า เมื่อแบ่งคนโทษกับฮวนเกียนฮุยที่กลางทาง เงินติดฮวนเกียนอุยไปเสียหมด ยังมีแต่เงินที่มารดาฝากให้มาซื้อเสื้อไปใส่งานแซยิด ยังมีอยู่สิบตำลึง ซินซกโป๊ก็หยิบเอามาผ่อนให้เฮงเซียวยี่สิบตำลึงก่อน เฮงเซียวยี่รับเอาเงินไว้แล้วหาพูดประการใดไม่ ก็ยังเป็นทุกข์อยู่

ครั้นอยู่มาอีกสามวัน ชัวเกียนเต็ก เจ้าเมืองโลจิว ก็กลับมาถึงตำบลเบ๊เถา พวกกรมการในเมืองกับซินซกโป๊ก็ออกไปรับเจ้าเมืองโลจิวเข้ามาในเมืองโลจิว ซินซกโป๊จึงเข้าไปแจ้งความกับเจ้าเมืองโลจิวว่า ข้าพเจ้าจะขอหนังสือตอบท่านกลับไปเมืองเล็กเซียกุ้ย เจ้าเมืองกำลังนอนหลับอยู่ในเกี้ยว ก็ไม่พูดประการใด ซินซกโป๊ก็ลุกขึ้นคิดแต่ในใจว่า ถ้าเราอยู่ช้าไป ค่ากินเปลืองไปทุกวัน จะหาเงินที่ไหนมาใช้ให้เจ้าของเตี๊ยมได้ คิดดังนั้นแล้วซินซกโป๊ก็มีโทสะบังเกิดขึ้น หาทันตรึกตรองไม่ ก็ตรงเข้ายุดเกี้ยวเจ้าเมืองโลจิวที่ขี่มานั้น คนหามเกี้ยวเซไป เจ้าเมืองโลจิวตกใจตื่นขึ้น จึงว่า ใครช่างบังอาจจริง มายุดเกี้ยวเรา จึงสั่งให้ทหารจับตัวซินซกโป๊มาเฆี่ยน ซินซกโป๊ก็คิดได้ว่า ตัวทำผิด ก็ไม่ต่อสู้ ยอมให้ทหารจับตัวลงเฆี่ยนยี่สิบที ซินซกโป๊มีความเจ็บปวดเป็นอันมาก กลับมาที่เตี๊ยม

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ซินซกโป๊ก็ไปหาเจ้าเมืองโลจิว ณ ที่ว่าราชการ ซินซกโป๊จึงคุกเข่าลงคำนับ แล้วพูดว่า เล่าฮอง เจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ย ใช้ให้ข้าพเจ้าคุมคนโทษมาส่ง บัดนี้ ข้าพเจ้ามอบให้แก่ผู้คุมแล้ว ข้าพเจ้าจะขอรับหนังสือตอบกลับไปเมืองเล็กเซียกุ้ย เจ้าเมืองโลจิวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีเป็นอันมาก ด้วยว่า เจ้าเมืองเล็กเซียกุ้ยกับเจ้าเมืองโลจิวเป็นเพื่อนรักกัน จึงว่า เมื่อเวลาวานนี้ เราเฆี่ยนตีเจ้านั้น ข้าขออภัยเสียเถิด แล้วเจ้าเมืองโลจิวหยิบเงินให้ซินซกโป๊เป็นเงินเดินทางสามตำลึงกับหนังสือตอบ ซินซกโป๊รับเงินกับหนังสือแล้ว ก็คำนับลาเจ้าเมืองโลจิวกลับมาเตี๊ยมเฮงเซียวยี่ เห็นเฮงเซียวยี่ เจ้าของโรงเตี๊ยม กำลังคิดบัญชีอยู่ เฮงเซียวยี่เห็นซินซกโป๊กลับมาก็มีความยินดี ซินซกโป๊ให้เฮงเซียวยี่คิดบัญชีดูจะเป็นเงินค่ากินติดค้างซินซกโป๊เท่าใด เฮงเซียวยี่คิดบัญชีแล้วบอกซินซกโป๊ว่า ตั้งแต่แรกท่านมาอยู่ที่เตี๊ยมข้าพเจ้าจนถึงวันที่คิดได้สามสิบสองวัน แต่สองวันนั้นข้าพเจ้าจะลดให้ท่าน คงคิดแต่เพียงสามสิบวันเท่านั้น ค่ากินอยู่ของท่านที่เตี๊ยมข้าพเจ้าวันหนึ่งเป็นเงินหกสลึง คิดรวมเป็นเงินสิบแปดตำลึงจีน ครั้งก่อน ท่านได้ผ่อนให้ข้าพเจ้าแล้วสิบตำลึง ยังคงค้างแปดตำลึง ซินซกโป๊หยิบเงินสามตำลึงที่เจ้าเมืองให้มานั้นใช้ให้เฮงเซียวยี่ เฮงเซียวยี่จึงรับเอาเงินสามตำลึงไว้ แล้วจึงว่า ท่านยังเป็นหนี้เราอยู่อีกห้าตำลึง ขอท่านได้ใช้เงินเสียให้เสร็จเถิด ซินซกโป๊จึงว่า ช้า ๆ ก่อน อย่าเพ่อเร่งเรานักเลย เรายังไม่กลับไปบ้านเมืองดอก เฮงเซียวยี่จึงว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านรับหนังสือตอบแล้ว ไม่เห็นมีธุระสิ่งใดในเมืองนี้อีก ซินซกโป๊จึงว่า เพื่อนเราอีกคนหนึ่งยังไปเมืองเพงเอี๋ยง เงินทองสิ่งของก็ติดไปเสียกับเพื่อนเราหมด เราจะต้องคอยให้เพื่อนเรากลับมาก่อน จึงจะเอาเงินที่เพื่อนของเราใช้ให้จงเต็มตามที่เป็นหนี้ติดค้างท่าน เฮงเซียวยี่มีความขัดเคืองซินซกโป๊ยิ่งนัก จึงว่า ข้าพเจ้าตั้งโรงเตี๊ยมนี้ก็ปรารถนาจะให้คนไปมาอาศัย ท่านจะมาอยู่สักปีหนึ่งก็ยิ่งดีอีก แต่ทุนรอนของเราไม่มีจะทดรองซื้ออาหารให้ท่านกิน ซึ่งท่านพูดดังนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เงินให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฟังถ้อยคำของท่านยังเลื่อนลอยอยู่ ถ้าท่านกลับไปบ้านเสีย จะให้ข้าพเจ้าไปเงินที่ผู้ใด ท่านจะคอยเอาเงินที่เพื่อนของท่านมาให้ข้าพเจ้า ท่านจงเอาหนังสือตอบของท่านมาให้ข้าพเจ้าเสียก่อน ซินซกโป๊ได้ฟังมีความละอายเฮงเซียวยี่ เจ้าของเตี๊ยม ครั้นกินอาหารแล้ว ซินซกโป๊ก็ไปรอคอยฮวนเกียนอุยอยู่ที่ทางร่วมจะไปเมืองเพงเอี๋ยง ไปรอคอยอยู่จนเกือบค่ำก็ไม่เห็นฮวนเกียนอุยกลับมา ซินซกโป๊เดินกลับมาโรงเตี๊ยม เฮงเซียวยี่ เจ้าของเตี๊ยม บอกซินซกโป๊ว่า ห้องของท่านที่อยู่แต่ก่อนนั้น บัดนี้ มีผู้มาว่าเช่าอาศัยอยู่เสียแล้ว ข้าพเจ้ายกที่นอนของท่านไปที่โรงเล็กหลังโรงเตี๊ยม ท่านอาศัยไปก่อนเถิด เมื่อผู้ที่มาเช่าเขาไปแล้ว จึงค่อยมาอยู่ห้องเดิม เฮงเซียวยี่ก็จุดไฟนำซินซกโป๊ไปอยู่ที่โรงเล็กหลังเตี๊ยม ที่นั้นหลังคาโรงก็รั่ว เป็นที่ลำบาก ซินซกโป๊ต้องจำใจอยู่ เข้าไปนอนในโรงเล็กก็ไม่หลับ จึงร้องเพลงเล่น

ครั้นเวลาดึก ภรรยาเฮงเซียวยี่เดินออกไปที่หลังโรงเตี๊ยม ซินซกโป๊ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา ก็นึกว่า เฮงเซียวยี่ ซินซกโป๊จึงร้องไปว่า ท่านหาดีไม่ ตัวเราถึงจะไปจะมาก็ไม่ทำให้มีความลำบากกับท่าน ประการหนึ่ง หนังสือตอบของเรากับม้าก็อยู่ที่ท่านแล้ว หาควรที่จะให้เราได้ความอัปยศถึงเพียงนี้ไม่ ภรรยาเฮงเซียวยี่จึงตอบว่า ท่านอย่าพูดอึงไป ตัวเราเป็นภรรยาเฮงเซียวยี่ ซินซกโป๊จึงว่า ท่านเป็นหญิง ดึกป่านนี้แล้วมาที่นี่หาควรไม่ ภรรยาเฮงเซียวยี่จึงว่า สามีข้าพเจ้าเป็นคนหามีความตรึกตรองไม่ ท่านเป็นหนี้เงินอยู่เล็กน้อย หาควรที่จะทำให้ท่านได้ความลำบากถึงเพียงนี้ไม่ สามีข้าพเจ้าได้ผิดแล้ว ขอท่านผู้มีสติปัญญาจงงดโทษเสียเถิด บัดนี้ สามีข้าพเจ้านอนหลับแล้ว ข้าพเจ้าจัดได้อีแปะสามร้อยแปะ กับนวมกันหนาว เนื้อสุกรชามหนึ่ง มาให้ท่าน ท่านจะได้กินแก้หนาว อีแปะทองแดงนั้นท่านจะได้เอาไว้ซื้อของกินให้เวลาอื่นต่อไป ซินซกโป๊ได้ยินดังนั้นก็คิดถึงตัวที่ได้ความลำบาก เสียใจจนน้ำตาตก จึงว่า ท่านเป็นคนดีมีสติปัญญา เหมือนนางเทียวโป๊ซึ่งให้อาหารฮั่นสินกินมื้อหนึ่ง ฮั่นสินมีวาสนาเป็นซำอ๋องขึ้นแล้ว จึงได้เอาทองพันตำลึงมาแทนคุณ ถึงตัวข้าพเจ้านี้ไม่ได้มีวาสนาเหมือนฮั่นสิน แต่ถ้าต่อไปเบื้องหน้าได้ดีมีชื่อเสียง ก็จะแทนคุณท่านให้ถึงขนาด นางลิวสี ภรรยาเฮงเซียวยี่ จึงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีวาสนา หาได้คิดจะให้ท่านทดแทนคุณข้าพเจ้าไม่ ซินซกโป๊ก็เปิดประตูออกมาข้างนอก นางลิวสีจึงเอาสิ่งของให้ซินซกโป๊แล้วก็ลากลับไป

ซินซกโป๊ได้สิ่งของแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง ซินซกโป๊ได้อีแปะนั้นซื้ออาหารกินอยู่ได้อีกหลายวัน คอยฮวนเกียนอุยก็ไม่เห็นกลับมา หมดเงินที่จะซื้ออาหารกินแล้ว ครั้นจะซื้อของเชื่อเฮงเซียวยี่ ก็มีความละอาย ซินซกโป๊คิดจะเอากระบองทองแดงสองอันสำหรับมือไปขาย ได้เงินมาจะได้ใช้หนี้ที่เฮงเซียวยี่เกี่ยวค้างอยู่ กับจะได้เป็นเสบียงไปกินตามทางกลับไปบ้าน คิดดังนั้นแล้ว ซินซกโป๊ก็ไปบอกเฮงเซียวยี่ว่า เรามีกระบองทองแดงคู่หนึ่ง จะเอาไปขาย เฮงเซียวยี่ว่า ท่านอย่าขายเลย เอาไปจำนำไว้ดีกว่า ได้เงินมาบ้างเล็กน้อยซื้อกินไปพลางก่อน เมื่อเพื่อนของท่านกลับมา คงจะได้เงินมาใช้หนี้ข้าพเจ้า และจะได้ไปไถ่กระบองกลับคืนมา ซินซกโป๊ก็ถือกระบองไปที่โรงจำนำ จะจำนะกระบอง เจ้าของโรงจำนำว่า ข้าพเจ้าไม่รับจำนำเครื่องอาวุธดอก ซินซกโป๊ก็อ้อนวอนจำนำกระบองให้จงได้ เจ้าของโรงจำนำว่า ถ้าคิดเป็นราคาทองแดงจึงจะรับ ซินซกโป๊ก็ยอม เจ้าของโรงจำนำเอากระบองของซินซกโป๊ขึ้นชั่ง ได้น้ำหนักร้อยยี่สิบแปดชั่ง คิดเป็นราคาเงินห้าตำลึง ซินซกโป๊เห็นเงินน้อยนักก็ไม่จำนำกระบอง กลับมาโรงเตี๊ยมพบเฮงเซียวยี่ เฮงเซียวยี่จึงถามว่า ท่านไปจำนำกระบอง เหตุใดจึงถือกระบองกลับมาเล่า ซินซกโป๊จึงตอบว่า เจ้าของโรงจำนำไม่รับเครื่องอาวุธ เราก็เป็นที่ขัดสนอยู่ เฮงเซียวยี่จึงว่า ของสิ่งอื่นของท่านก็มี เอาไปจำนำ เผื่อจะได้บ้างดอกกระมัง ซินซกโป๊จึงว่า เราไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว เฮงเซียวยี่ว่า ท่านกับม้าของท่านจะอดอาหารได้หรือ ข้าพเจ้าก็เป็นที่จนใจอยู่ ซินซกโป๊จึงว่า ม้าของเรามีอยู่ตัวหนึ่ง ใครจะต้องการบ้าง เฮงเซียวยี่จึงว่า มีคนจะต้องการถมไป ท่านนำไปขายที่ตลาดในเมืองโลจิวก็จะขายได้ ซินซกโป๊จึงถามว่า ตลาดขายม้าอยู่ที่ตำบลใด เฮงเซียวยี่บอกว่า อยู่ที่ประตูเมืองทิศตะวันตก ต้องไปแต่เช้ามืด ถ้าสายไป ตลาดจะเลิกเสีย พูดกันแล้วต่างคนก็ต่างไปที่อยู่ ครั้นเวลาเช้ามืด ซินซกโป๊ก็จูงม้าไปขายที่ตลาดริมประตูเมืองทิศตะวันตก ฮกเฮงคงจือ บุตรขุนนาง เดินไปมาอยู่ที่ตลาด เห็นม้าของซินซกโป๊เป็นม้าดี ฮกเฮงคงจือพิเคราะห์ดูรู้จักซินซกโป๊ คิดว่า ซินซกโป๊อยู่เมืองซัวตัง ชื่อเสียงปรากฏมาก เหตุใดจึงมาถึงเมืองนี้ ก็หาได้พูดจาทักทายอย่างไรไม่ ก็เดินไปเสีย

ขณะนั้น มีคนชราคนหนึ่งหาบหญ้ามาในตลาด ม้าของซินซกโป๊อดหญ้ามาหลายวันแล้ว ครั้นเห็นหญ้าก็มีความอยากเป็นกำลัง ก็เอาปากกัดเหนี่ยวหาบหญ้าที่คนชรามากิน คนชราก็ล้มลง ลุกขึ้นแล้วพิเคราะห์ดูม้าเห็นว่า เป็นม้าดี จึงถามซินซกโป๊ว่า ท่านจะขายม้าตัวนี้หรือ ซินซกโป๊บอกว่า ม้าตัวนี้จะขาย คนชราจึงว่า ถ้าท่านนำม้าไปขายที่บ้านยี่เฮียนจึง จึงจะได้ราคามาก ซินซกโป๊จึงว่า เราไม่รู้จักบ้านยี่เฮียนจึง ถ้าท่านนำเราไปขาย ม้านี้ได้ราคา เราจะให้เงินรางวัลท่านสักหนึ่งตำลึง คนชรานั้นก็พาซินซกโป๊ไปบ้านยี่เฮียนจึง เดินไปตามทางคนชราก็เล่าความให้ซินซกโป๊ฟังว่า เจ้าของบ้านยี่เฮียนจึงชื่อ เคียนหล่งสิน เคียนหล่งสินเป็นเศรษฐีที่สอง คนทั้งปวงจึงเรียกว่า ยี่อ้วนวั่ว แปลว่า เป็นเศรษฐีที่สอง เคียนหล่งสินคนนี้เป็นคนใจโอบอ้อมอารี คบหาเพื่อนฝูงที่มีสติปัญญาและมีฝีมือเป็นเพื่อนฝูง จะคอยเลือกหาซื้อม้าที่ดี ๆ ไว้สำหรับให้เพื่อนฝูง ซินซกโป๊จึงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อน เพื่อนฝูงได้เล่าให้ฟังว่า เคียนหล่งสินจะใคร่คบคนที่มีฝีมือเป็นเพื่อนฝูง เรามาอยู่เมืองโลจิวได้กว่าเดือน ลืมไปทีเดียว ครั้งนี้ จะเข้าไปหาเคียนหล่งสิน เสื้อผ้าที่แต่งตัวก็เก่าคร่ำคร่าเป็นที่อัปยศแก่เขานัก เราไปถึงบ้าน อย่าบอกชื่อเราให้เขารู้เลย เป็นแต่คนไปขายม้าก็แล้วกัน คิดดังนั้นแล้วซินซกโป๊กับคนชราก็พากันรีบเดินไป ครั้นถึงคลองริมบ้านยี่เฮียนจึง ซินซกโป๊ก็หยุดอยู่ที่ริมคลอง ใช้ให้คนชราข้ามคลองเข้าไปบอกกับเคียนหล่งสินว่า มีชายผู้หนึ่งนำม้ามาขาย ม้านั้นงามดีนัก เคียนหล่งสินได้ยินดังนั้นก็ให้คนชรานำเคียนหล่งสินข้ามคลองไปดูม้า เห็นม้านั้นงดงาม รูปพรรณโตใหญ่ จึงถามซินซกโป๊ว่า ม้านี้จะขายหรือ ซินซกโป๊ว่า ข้าพเจ้าจะขาย เคียนหล่งสินถามว่า จะคิดเอาราคาเท่าไร ซินซกโป๊จึงบอกว่า ข้าพเจ้าจะขายห้าสิบตำลึงพอได้เงินเป็นเสบียงกลับไปบ้าน เคียนหล่งสินจึงว่า ม้านี้ก็เป็นม้าดีออก แต่เป็นม้าหักแรง จะต้องเลี้ยงดูให้อ้วนพีอีกช้านาน ก็เอาเถิด เราจะตีราคาให้ท่านแต่เพียงสามสิบตำลึง ก็เห็นสมควรแก่ราคาอยู่แล้ว ซินซกโป๊ก็ยอมขายม้านั้นสามสิบตำลึงด้วยเป็นคราวขัดสนอยู่ เคียนหล่งสินก็ให้คนใช้จูงม้าพาตัวซินซกโป๊ไปบ้าน เคียนหล่งสินพิเคราะห์ดูลักษณะรูปร่างซินซกโป๊โตใหญ่องอาจเข้มแข็ง สมควรจะเป็นทหารได้ จึงถามว่า ตัวท่านเห็นจะไม่ใช่คนชาวเมืองนี้ ซินซกโป๊บอกว่า ข้าพเจ้าดป็นคนชาวเมืองซัวตัง เคียนหล่งสินเฉลียวใจคิดขึ้นมาได้ จึงเชิญให้นั่งที่อันสมควร เคียนหล่งสินจึงถามว่า ท่านอยู่เมืองซัวตัง รู้จักซินซกโป๊บ้างหรือไม่ ซินซกโป๊ตอบว่า ข้าพเจ้ารู้จัก ด้วยเป็นคนทำราชการอยู่ด้วยกัน เคียนหล่งสินจึงถามว่า ท่านชื่อไร ซินซกโป๊จึงแกล้งบอกชื่อว่า ข้าพเจ้าชื่อ ฮองฮ่องสิ้น เคียนหล่งสินจึงว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะฝากหนังสือไปถึงซินซกโป๊สักฉบับหนึ่ง ซินซกโป๊จึงว่า ท่านจะฝากหนังสือไปนั้น ข้าพเจ้าจะอยู่คอยรับหนังสือของท่านไปนั้นไม่ได้ ด้วยมีธุระอยู่ เคียนหล่งสินก็ลุกไปหยิบเงินค่าม้ามาให้ซินซกโป๊สามสิบตำลึง ให้เงินไปซื้อเสบียงกินตามทางอีกสามตำลึง จึงฝากหนังสือฉบับหนึ่งกับแพรสองม้วนไปให้ซินซกโป๊ที่เมืองซัวตัง ซินซกโป๊รับสิ่งของแล้วก็คำนับลาเคียนหล่งสินไป

ฝ่ายคนชรามัวนอนหลับอยู่ที่ร้าน เคียนหล่งสินจึงปลุกคนชราให้ลุกขึ้น แล้วบอกว่า ชายที่ขายม้านั้นได้เงินกลับไปแล้ว คนชราได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งตามซินซกโป๊ไปทันที่กลางทาง ซินซกโป๊ก็เอาเงินค่านายหน้าที่ขายม้าได้ตำลึงหนึ่งให้ ชายคนชราได้เงินแล้วก็ลาแยกทางกันไป

ฝ่ายซินซกโป๊มาถึงโรงเตี๊ยมในเมืองโลจิว ก็ไปซื้อสุรากินนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยม ขณะนั้น ชายสองคนเดินเข้ามา ซินซกโป๊จำคนหน้าได้ว่า ชื่อ เฮงเป๊กตั๋ง เฮงเป๊กตั๋งคนนี้ที่ปาจูหงวน มีฝีมือยิงเกาทัณฑ์แม่นนัก คนที่เดินมาข้างหลังนั้นหารู้จักชื่อไม่ เฮงเป๊กตั๋งจึงทักซินซกโป๊ว่า ท่านนี้ดูเหมือนซินซกโป๊ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ ซินซกโป๊ก็ลุกขึ้นมาเชิญเฮงเป๊กตั๋งเข้ามานั่งสนทนากัน เฮงเป๊กตั๋งพิเคราะห์ดูเห็นเสื้อกางเกงของซินซกโป๊เก่า จึงถามซินซกโป๊ว่า ท่านอยู่เมืองซัวตั๋ง ชื่อเสียงโด่งดังเลื่องลือทุกแห่งทุกตำบล เหตุใดท่านจึงเศร้าโศกซูบผอมไป ซินซกโป๊จึงเล่าความตามซึ่งได้คุมคนโทษมากับฮวนเกียนอุย แยกทางกันไป และได้รับความลำบากอยู่ในเมืองโลจิว จนต้องเอาม้าไปขายให้เคียนหล่งสิน เคียนหล่งสินถามชื่อเรา เราก็หาบอกความจริงไม่ เล่าให้เฮงเป๊กตั๋งฟังทุกประการ เฮงเป๊กตั๋งจึงว่า เหตุใดจึงไม่บอกชื่อกับเคียนหล่งสินให้รู้จัก เคียนหล่งสินเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้า ถ้าท่านบอกชื่อเสียโดยตรงแล้ว เคียนหล่งสินก็คงจะไม่เอาม้าของท่าน คงจะให้เงินทองแก่ท่าน เพราะเคียนหล่งสินอยากรู้จักกับท่าน แล้วเฮงเป๊กตั๋งก็ชวนซินซกโป๊ให้ไปหาเคียนหล่งสินที่บ้าน ซินซกโป๊จึงว่า เมื่อแต่กี้ เราไปขายม้าให้เคียนหล่งสิน แล้วแกล้งบอกชื่อเสียงให้ผิดไป ครั้นจะไปหาเขาอีก ก็ดูหาควรไม่ เราก็ได้เงินทองมาบ้างแล้ว พอจะเป็นเสบียงกลับไปบ้านได้ ต่อไปภายหน้าจึงค่อยมาหาเคียนหล่งสินใหม่ คงจะได้คบกันเป็นเพื่อนฝูงอยู่เอง เฮงเป๊กตั๋งก็ให้ซินซกโป๊กับเจียเองเตงรู้จักกัน แล้วสามนายก็พากันกินโต๊ะเสพสุราอยู่จนดึก แล้วซินซกโป๊จะลาเฮงเป๊กตั๋ง เจียเองเตง กลับไปที่อยู่ เฮงเป๊กตั๋งจึงถามว่า ท่านพักอยู่ตำบลใด ซินซกโป๊จึงบอกว่า เราพักอยู่ที่เตี๊ยมเฮงเซียวยี่ ซินซกโป๊ กับเฮงเป๊กตั๋ง เจียเองเตง ต่างคนก็คำนับลากัน เฮงเป๊กตั๋งกับเจียเองเตงก็ไปบ้านเคียนหล่งสิน ซินซกโป๊กลับไปโรงเตี๊ยมเฮงเซียวยี่ ครั้นถึงโรงเตี๊ยมเฮงเซียวยี่ ก็เอาเงินให้เฮงเซียวยี่ตามบัญชีที่ติดค้างกันอยู่ในเวลาก่อน ครั้นเสร็จแล้ว ซินซกโป๊ได้หนังสือตอบ กับห่อผ้าสิ่งของ จับกระบองสองมือ เข้าไปลาภรรยาเฮงเซียวยี่ แล้วก็รีบไปเสียในเวลากลางคืนนั้น ด้วยเกรงเฮงเป๊กตั๋งกับเจียเองเตงจะไปบอกกับเคียนหล่งสินจะมาพบปะเข้า

ฝ่ายเฮงเป๊กตั๋งกับเจียเองเตงไปบ้านเคียนหล่งสิน เคียนหล่งสินรู้ก็ออกมารับสองนาย ก็พากันเข้าไปในบ้าน จัดแจงให้นั่งที่สมควร แล้วเฮงเป๊กตั๋งจึงพูดกับเคียนหล่งสินว่า วันนี้ ท่านทำการผิดไปหน่อยหนึ่ง เคียนหล่งสินจึงตอบว่า ในวันนี้เราหาได้ทำการผิดอย่างไรไม่ คำซึ่งท่านพูดนี้ท่านได้ยินมาแต่ข่างไหน เฮงเป๊กตั๋งยิ้มอยู่ จึงว่า วันนี้ ท่านได้ซื้อม้าไว้บ้างหรือเปล่า เคียนหล่งสินจึงว่า ข้าพเจ้าซื้อไว้ม้าหนึ่ง เป็นม้าดี แล้วถามเฮงเป๊กตั๋ง เจียเองเตงว่า ท่านรู้มาแต่ไหน เฮงเป๊กตั๋งจึงพูดขึ้นว่า เห็นแก่ลาภเล็กน้อย เสียเงินสามสิบตำลึงก็ได้ม้าดีใช้ตัวหนึ่ง ม้าตัวนี้จะทำให้ท่านเสียชื่อเสียงไป คนที่ขายม้านั้นมีน้ำใจโกรธท่าน เคียนหล่งสินว่า เหตุใดท่านจึงรู้ เฮงเป๊กตั๋งจึงว่า เมื่อแต่กี้ได้พบกับคนที่ขายม้าบอกกับข้าพเจ้า จึงได้ทราบ เคียนหล่งสินจึงว่า เหตุใดท่านจึงรู้จักคนนั้นเล่า เฮงเป๊กตั๋งจึงว่า อย่าว่าแต่ข้าพเจ้ารู้จักเลย คนทั้งแผ่นดินก็ย่อมรู้จัก เว้นแต่ท่านได้พบปะแล้วหารู้จักไม่ เคียนหล่งสินจึงว่า ข้าพเจ้าคิดว่า คนผู้นั้นเป็นคนเลว เฮงเป๊กตั๋งจึงว่า ท่านซื้อม้าไว้แล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ถามชื่อและแซ่ให้รู้จักไว้ เคียนหล่งสินจึงว่า เราได้ถามแล้ว คนผู้นั้นก็บอกว่า เป็นชาวเมืองซัวตัง เล็กเซียกุ้ย เราจึงถามว่า รู้จักซินซกโป๊หรือเปล่า คนผู้นั้นตอบว่า เขารู้จัก ได้ทำราชการอยู่กับซินซกโป๊ด้วยกัน เฮงเป๊กตั๋งก็ลุกขึ้นตบมือหัวเราะ บอกกับเคียนหล่งสินว่า ชายผู้นั้นแหละชื่อ ซินซกโป๊ ที่ท่านอยากจะรู้จัก เคียนหล่งสินได้ฟังดังนั้นก็มีความเสียใจว่า เหตุใดซินซกโป๊จึงไม่บอกชื่อเราตามตรง บัดนี้ ซินซกโป๊อยู่ที่ไหน เฮงเป๊กตั๋งจึงบอกว่า ซินซกโป๊ไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเฮงเซียวยี่ เคียนหล่งสินจัดแจงจะออกไปตามซินซกโป๊ในเดี๋ยวนั้น เฮงเป๊กตั๋ง เจียเองเตง จึงห้ามเคียนหล่งสินว่า เวลานี้มืดค่ำดึกดื่นแล้ว จะเข้าไปในเมืองไม่ได้ สามนายก็เสพสุราสนทนากันอยู่จนสว่าง ครั้นรุ่งขึ้นเช้า สามนายก็ขึ้นม้าไปตามซินซกโป๊ที่โรงเตี๊ยมเฮงเซียวยี่ เฮงเซียวยี่เห็นสามนายมาที่โรงเตี๊ยม เฮงเซียวยี่ก็ออกมาคำนับต้อนรับเป็นอันดี เคียนหล่งสินจึงถามเฮงเซียวยี่ว่า ซินซกโป๊อยู่ข้างในหรือเปล่า เฮงเซียวยี่จึงบอกว่า ท่านมาช้าไป ซินซกโป๊ไปเสียแต่เมื่อเวลากลางคืนนี้แล้ว สามนายคิดจะรีบไปตามซินซกโป๊ พอออกไปตามได้หน่อยหนึ่ง แลเห็นบ่าววิ่งตามมาบอกว่า เคียนเต๋า พี่ชายของเคียนหล่งสิน ถูกถังกงหลีเอียนเอาเกาทัณฑ์ยิงตายเสียที่เขาลิมทองซัวแล้ว บัดนี้ ศพพี่ชายของท่านข้าพเจ้าได้เอามาไว้ที่บ้านแล้ว เคียนหล่งสินได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้เศร้าโศกอาลัยถึงพี่ชายเป็นอันมาก จึงพูดกับเฮงเป๊กตั๋งว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะไปตามซินซกโป๊ ไปไม่ได้แล้ว จะต้องรีบไปจัดการศพพี่ชายข้าพเจ้า ถ้าท่านได้ไปถึงซัวตัง ขอให้ท่านคำนับซินซกโป๊ขออภัยแทนข้าพเจ้าด้วย สามนายสั่งเสียกันแล้ว ต่างคนก็ต่างลากันไป




ตอน ๓ ขึ้น ตอน ๕