ที่ว่า กระทำโดยเจตนา นั้น ท่านอธิบายว่า บุคคลกระทำโดยตั้งใจ แลประสงค์ต่อผลหรืออาจจะแลเห็นผลแห่งการที่กระทำนั้นได้ อย่างนี้ชื่อว่า กระทำโดยเจตนา
ที่ว่า กระทำโดยประมาท นั้น ท่านอธิบายว่า บุคคลกระทำโดยมิได้ตั้งใจ แต่กระทำโดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังว่าต่อไปนี้ คือ
(๑)กระทำโดยปราศจากความรมัดระวังอันควรเปนวิไสยของปรกติชนก็ดี
(๒)ผู้หาเลี้ยงชีพด้วยศิลปสาตร์ในกิจการอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น เปนหมอ หรือเปนช่าง เปนต้น ละเลยการอันควรต้องทำให้ดีในทางศิลปสาตร์นั้นเสียก็ดี
(๓)ทำฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อบังคับหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี
เหล่านี้ถึงกระทำโดยมิได้ตั้งใจ ท่านก็ว่า กระทำโดยฐานประมาท
ถ้าผู้ใดที่เจตนาจะกระทำร้ายแก่ผู้หนึ่งไปกระทำผิดตัวโดยหลงก็ตาม หรือโดยพลั้งพลาดก็ตาม ท่านว่า มันควรรับอาญาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นฐานทำโดยเจตนา
บุคคลที่กระทำความผิด ไม่รู้กฎหมาย ท่านว่า จะเอาความที่ไม่รู้กฎหมายมาแก้ตัวเพื่อให้พ้นผิดนั้นไม่ได้เลย
ผู้ใดกระทำผิดในเวลาวิกลจริตอันเกิดแต่สัญญาวิปลาศก็ตาม เกิดแต่พยาธิก็ตาม ถ้าปรากฎว่า มันไม่สามารถจะรู้ผิดชอบหรือยับยั้งได้ในเวลาที่กระทำผิดเพราะเหตุวิกลจริตนั้นไซ้ ท่านว่า อย่าให้เอาโทษแก่มันเลย
แต่ถ้าศาลพิเคราะห์เห็นว่า จะปละปล่อยผู้วิกลจริตนั้นไป อาจจะเกิดเหตุภยันตรายแก่ผู้อื่น จะสั่งให้ส่งตัวมันให้เจ้าพนักงานกักขังรักษาไว้ในโรงพยาบาลสำหรับคนวิกลจริตหรือเอาไปคุมขังรักษาไว้ในที่อื่นเพื่อป้องกันภยันตรายอย่าให้มีแก่สาธารณชนก็ได้
ผู้ใดกระทำผิดในเวลาวิกลจริตอันเกิดแต่สัญญาวิปลาศก็ตาม เกิดแต่พยาธิก็ตาม ถ้าปรากฎว่า ในเวลากระทำนั้น มันยังมีสติพอจะรู้ผิดชอบหรือยับยั้งได้ ท่านว่า มันควรต้องมีโทษ แต่ศาลจะเห็นสมควรลดหย่อนอาญาให้เบาลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้
ความวิกลจริตเพราะเสพย์สุรายาเมานั้น ท่านมิให้นับว่า ต้องด้วยความยกเว้นหรือลดหย่อนผ่อนโทษตามที่ว่ามาในมาตรา ๔๖