หน้า:ฎ ๒๕๖๑-๐๗-๒๕.djvu/2

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว

มาตรา ๓๒๖ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จำคุกกระทงละ ๑ ปี รวม ๒ กระทง เป็นจำคุก ๒ ปี ข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใส่ความ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ต่อพันตรีสมศักดิ์ ศรีมงคล และจำเลยใส่ความพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ต่อพันตรีสมศักดิ์อีก สําหรับความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการ แทนพระองค์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์ คดีในความผิดฐานดังกล่าวจึงเป็นอันยุติไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยว่ากระทำความผิดฐานนี้ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในชั้นนี้มีว่า โจทก์มีอํานาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ เป็นความผิดในภาค ๒ ลักษณะ ๑ ของประมวลกฎหมายอาญา อันเป็นความผิดเกี่ยวกับ ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ซึ่งพันตรีสมศักดิ์เป็นผู้กล่าวโทษให้ดําเนินคดีแก่จำเลยโดยชอบแล้ว แต่คดีไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้เนื่องจากไม่ครบองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ คดีเป็นอันยุติไปตามคําพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว แต่อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยพูดใส่ความพระองค์ท่านทั้งสองจริง อันเป็นความผิดต่อส่วนตัวฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ เมื่อความผิดทั้งสองฐานเป็นความผิดที่รวมการกระทำหลายอย่างซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองและมีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของรัฐ ซึ่งรัฐมีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของรัฐ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เช่นนี้ การกล่าวโทษในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนไว้โดยชอบแล้ว จึงเท่ากับมีการสอบสวนโดยชอบในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วย ดังนั้น เมื่อมีการสอบสวนความผิดทั้งสองฐานแล้ว โจทก์ย่อมมีอํานาจฟ้องความผิดทั้งสองฐาน และศาลมีอํานาจลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น