ไม่พอต้านทานข้าศึก ต้องรบพลางถอยพลาง ขณะนั้น สมเด็จพระนเรศวรเสด็จอยู่ที่หนองสาหร่าย ได้ยินเสียงปืนแลได้รับรายงาน ทรงทราบขบวนทัพของข้าศึกที่ยกมาในเช้าวันนั้น ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า จะส่งกำลังไปหนุนกองทัพน่าซึ่งข้าศึกกำลังตีถอยลงมา จะรับไม่อยู่ จึงสั่งขึ้นไปให้กองน่าถอยล่อข้าศึกที่ติดตามให้หลงว่า กองทัพไทยแตกเสียขบวน ส่วนกองทัพหลวงตั้งซุ่มไว้จนข้าศึกไล่ถลำเข้ามา จึงยกตีโอบข้าศึก กองทัพใหญ่ได้รบกันตั้งแต่เวลา ๕ โมงเช้าจนถึงตลุมบอน พอข้าศึกแตกพ่าย ช้างพระที่นั่งก็เรียกมันลุยไล่ข้าศึกเข้าไป
ที่หนังสือพระราชพงษาวดารกล่าวว่า ช้างพระที่นั่งเรียกมันลุยไล่ข้าศึกเข้าไปนั้น ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่อย่างม้าพาห้อ วิไสยช้างโดยปรกติผู้ขี่ต้องขับให้ถึงขนาดจึงจะเข้ารบข้าศึก แต่วันนั้น ช้างพระที่นั่งเกิดตกน้ำมัน เห็นข้าศึกแตกพ่าย ก็วิ่งไล่ไปโดยลำภัง ไม่ต้องขับไส หมายความเท่านี้เอง
ในเวลานั้น กองทัพไทยกำลังรบพุ่งข้าศึกเปนโกลาหล ผงคลีกลุ้มตระหลบ แลไม่เห็นว่าใครเปนใคร ช้างพระที่นั่งสมเด็จพระนเรศวรไล่เข้าไปในกองทัพข้าศึก มีติดตามเสด็จไปทันแต่ช้างพระที่นั่งสมเด็จพระเอกาทศรถ ราชอนุชา กับพวกองครักษ์เดินท้าววิ่งตามไปทันไม่กี่มากน้อย นายมหานุภาพ นายท้ายช้างพระที่นั่งสมเด็จพระนเรศวร หมื่นภักดีศวร กลางช้างสมเด็จพระเอกาทศรถ ถูกปืนข้าศึกตาย สมเด็จพระนเรศวรก็ถูกปืนข้าศึกที่พระหัตถ์หน่อยหนึ่ง พอ