หน้า:ปัญญาส (๑๙) - ๒๔๗๑.pdf/65

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
52
ปัญญาสชาดก

บาทตรัสประภาษมานี้ พระบารมีเป็นที่ยิ่ง ถึงกะนั้น ถ้าหากว่าหม่อมฉันตายเสียได้วันนี้ นับว่าดีกว่าอยู่สู้ทนให้คนนินทาว่าเป็นกาลกัณณีต่อไป

พระเจ้าพรหมทัตต์ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสถามนางจัมปากเทวีซ้ายว่า สุวรรณสังขราชกุมารและนางจันทาเทวี ใครมีโทษและไม่มีโทษ ฯ นางจันทาเทวีนี้แหละมีโทษเป็นกาลกัณณี พระนางจันทาเทวีสะดับคำนางจัมปากเทวีทูลดังนั้น ทรงเสียพระทัยยิ่งนักหนา จึ่งทูลว่า พระมหาราช หม่อมฉันหาเป็นกาลกัณณีไม่ ใครเล่าอยากจะเห็นความสัตย์จริงกับหม่อมฉันบ้าง ถ้าหากพระองค์จะทรงเห็นความชั่วร้ายของผู้ใดไซร้ จงรับสั่งให้ผู้นั้นแสดงโทษของตนด้วยวิธีลุยไฟเป็นทิพพะยานณกาลบัดนี้ พระเจ้าพรหมทัตต์จึ่งตรัสใช้อำมาตย์ให้ก่อกองไฟขึ้นณหน้าพระลาน รับสั่งกะนางจันทาเทวีว่า พระนางน้องจงอธิษฐานสัจจกิริยาแล้วเข้าไปในกองเพลิง ทำให้ปรากฎแก่ตามหาชน

พระนางจันทาเทวีสะดับโองการตรัสดังนั้น จึ่งถวายบังคมบาทพระราชสามีแล้ว เมื่อจะประกาศแก่เทวดา จึ่งทำสัจจาธิษฐานว่า ข้าแต่เทพดารักษาเศวตฉัตร และเทพดาซึ่งสถิตอยู่ณต้นไม้และหย่อมหญ้า ขอเทพดาทั้งหลายจงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นกาลกัณณีสมจริงของนางจัมปากว่าไซร้ ขอเทวดาทั้งหลายจงอย่ารักษาชีวิตข้าพเจ้าไว้เลย ขอให้ข้าพเจ้าตายเสียในขณะลุยไฟ ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นกาลกัณณีไซร้ ขอให้เทวดารักษาข้าพเจ้าไว้ให้ปราศจากชีวิตันตราย นางอธิษฐานแล้วก็เข้าไปนั่งในกองไฟ ทันใดนั้น มีดอกบัวทองผุดขึ้นมารองรับพระนางจันทาเทวีไว้ เปลวอัคคีก็มิได้ไหม้