หน้า:พระราชพงษาวดารฯ ฉบับหลวงประเสริฐฯ - ๒๔๕๐.pdf/20

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้ตรวจสอบแล้ว
๑๗

ดินไหว แล้วจึงยกทัพหลวงเสด็จไปเถิงเมืองแกรง แล้วจึงทัพหลวงเสด็จกลับคืนมาพระนครศรีอยุทธยา ฝ่ายเมืองพิศณุโลกนั้น อยู่ในวัน ๑๐ ค่ำ เกิดอัศจรรย์ แม่น้ำซายหัวเมืองพิศณุโลกนั้นป่วนขึ้นสูงกว่าพื้นน้ำนั้น ๓ ศอก อนึ่ง เห็นสัตรีภาพผู้หนึ่ง หน้าประดุจหน้าช้าง แลทรงสัณฐานประดุจงวงช้าง แลหูนั้นใหญ่ นั่งอยู่ณวัดประสาทหัวเมืองพิศณุโลก อนึ่ง ช้างใหญ่ตัวหนึ่งยืนอยู่ณท้องสนามนั้นอยู่ก็ล้มลงตายกับที่บัดเดี๋ยวนั้น อนึ่ง เห็นตักแตนบินมาณอากาศเปนอันมาก แลบังแสงพระอาทิตย์บดมา แล้วก็บินกระจัดกระจายสูญไป ในปีเดียวนั้น ให้เทครัวเมืองเหนือทั้งปวงลงมายังกรุงพระนครศรีอยุทธยา ในปีเดียวนั้น พระเจ้าหงษาให้พระเจ้าสาวถีแลพระญาพสิมยกพลลงมายังกรุงพระนคร แลณวัน ค่ำ เพลาเที่ยงคืนแล้ว ๒ นาฬิกา ๙ บาท เสด็จพยุหบาตราไปตั้งทัพตำบลสามขนอน ครั้งนั้น เศิกหงษาแตกพ่ายหนีไป อนึ่ง ม้าตัวหนึ่งตกลูก แลศีรษะม้านั้นเปนศีรษะเดียว แต่ตัวม้านั้นเปน ๒ ตัว แลเท้าม้านั้นตัวละสี่เท้า ประดุจชิงศีรษะแก่กัน.

ศักราช ๙๔๗ ระกาศก พระเจ้าสาวถียกพลลงมาครั้งหนึ่งเล่า ตั้งทัพตำบลสะเกษ แลตั้งอยู่แต่ณเดือนยี่เถิงเดือนสี่ ครั้นเถิงวัน ค่ำ เวลารุ่งแล้ว ๔ นาฬิกาบาท เสด็จพยุหบาตราตั้งทัพไชยตำบลหล่มพลี แลณวัน ๑๐ ฯ  ค่ำ เสด็จจากทัพไชยโดยทางชลมารคไปทางป่าโมก มีนกกระทุงบินมาทั้งซ้ายขวาเปนอันมากนำหน้าเรือพระที่นั่งไป ครั้นเถิงวัน ๑๔ ค่ำ เสด็จทรงช้างพระที่นั่งพลายมงคลทวีปออกดาช้างม้าทั้งปวงอยู่ณริมน้ำ แลพระอาทิตย์ทรงกลด แลรัศมีกลดนั้นส่องลงมาต้องช้างพระที่นั่ง มีทรง