พริ้งไปเลย เขาได้ตกลงกับตาและยายของผมว่าอีกสองสามวันจะมารับตัวไปฉะนั้นในหัวของผมเวลานี้จึงครวญถึงแต่กรุงเทพฯ อีกไม่กี่วันนี้แล้วอ้ายเรืองพี่เลี้ยงควายจะไปชุบตัวที่กรุงเทพฯละเน้อ ลมยามเย็นพัดพลิ้วมาเต็มบ้าน ผมนึกว่าที่กรุงเทพฯจะมีลมเย็น ๆ อย่างนี้ไหม แต่ถึงมีก็คงไม่มีกลิ่นควายกลิ่นโคลนอย่างที่บ้านเราแน่ๆ ว่าที่กรุงเทพฯมีถนนใหญ่ ๆ มีรถวิ่ง มีบ้านสวยๆ ที่ตึกแถว มีไฟฟ้าสว่างไสว เอาเถอะน่ะ ลงได้ไปละก็จะขอให้น้าเกียรติพาเที่ยวให้ชุ่มเลย
วันในความฝันของผมได้มาถึงแล้ว น้าเกียรติได้มาจากกรุงเทพฯโดยทางเรือผ่านอำเภออุทัยมา เมื่อน้าเกียรติได้มาพูดตกลงเรื่องผมกับตายาย แล้วผมก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯกับน้าเกียรติ ผมมีเสื้อผ้าอย่างเลว ๆ ห่อติดตัวไปเท่าที่มี คิดถึงตายายและใคร ๆ ที่เคยอยู่มาแต่เล็กแต่น้อยก็อดร้องไห้ไม่ได้ แต่ความตื่นกรุงเทพฯ มันทำให้ผมรีบเช็ดน้ำตา กราบลาใครต่อใครแล้วก็ลงเรือไปกับน้าเกียรติ ที่ข้างตลิ่งด้านขวามือผมเห็นเจ้าแฟง ลูกสาวลุงโนดป้ากะออมมันยิ้มให้ผมด้วยดวงหน้าที่เหย ๆ และดวงตามีน้ำตาผมถึงกับสะอึกใจ เจ้าแฟงมีอายุอ่อนกว่าผมสามปี ผมอายุสิบห้าปี เจ้าแฟงมันก็สิบสองปี ด้วยความดีใจที่จะได้ไปกรุงเทพฯ ผมกลับมองมันไปในแง่ที่ว่า มันร้องไห้คงจะไม่ใช่มันคิดถึงผม มันก็เข้าแบบว่าผมได้ไปกรุงเทพฯมันก็อยากไปบ้าง เพราะกรุงเทพฯใคร ๆ ก็อยากไป ผมยิ้มให้มันด้วยหัวใจเบิกบาน เจ้าแฟงมองผมจนลับตา
ถึงอำเภออุทัย น้าเกียรติแวะเยี่ยมเพื่อนหลายคน กว่าจะได้เดินทางมาถึงเมืองอยุธยาก็บ่ายมาก ผมตื่นตาตื่นใจเพราะนานแสนนานจะได้เข้าเมืองสักหน เรือแพสับสน ผู้คนมากผิดกับบ้านทุ่ง เราขึ้นรถไฟค่อนข้างเย็นเป็นรถไฟสายโคราชผ่านมาจากบ้านภาชี มีคนไม่ค่อยมากนัก การขึ้นรถไฟช่างตื่นเต้นพิลึก ได้ดูได้ผ่านทุ่งท่าไปเป็นลำดับอย่างเพลิดเพลิน แต่หมู่บ้านท้องทุ่งบางแห่งช่างเหมือนบ้านที่เคยอยู่ของผมที่มาบโพธิ์ ทำให้ใจผมหวนนึกไปถึงใครต่อใครทางเบื้องหลัง คิดถึงตายาย ผมมาเสียแล้วแก