ต้องทำงานหนัก ตาคงออกเลี้ยงควายเอง พอนึกถึงเรื่องควายหัวใจก็วูบไปถึงอีเด็กรุ่นน้องคือเจ้าแฟง เมื่อตอนสายที่จะจากมามันร้องไห้อยู่ข้างตลิ่ง ตอนนั้นผมคิดว่ามันร้องไห้เพราะอยากมากรุงเทพฯบ้าง แต่ตอนนี้เป็นเวลาพระอาทิตย์ต่ำเรี่ยดิน ใจผมอ่อนระโหย นกกาต่างบินกันเป็นหมู่กลับรัง แต่ผมซิกำลังจากรัง ผมก็ร้องไห้ออกมาสุดที่จะทนทานได้ แม้จะพยายามอดกลั้นก็ไม่ไหว ทั้งกลัวอายคนบนรถและกลัวน้าเกียรติจะดุเอา พยายามทำหน้าให้ดี แต่น้ำตามันก็ไหลอาบหน้า ภาพของเจ้าแฟนที่มันยิ้มกับผมด้วยน้ำตาช่างติดตาผมผมเกิดสงสารมันใจแทบขาด มันต้องคิดถึงผมจริง ๆ คิดถึงเพื่อนที่เคยเลี้ยงควายด้วยกันถูกใจกัน แต่ตอนนั้นผมตื่นการมากรุงเทพฯ จึงไม่เห็นใจมัน กลับมีใจเบิกบานแทนที่จะเวทนามันมันเป็นหญิงที่ไหนจะได้มีโอกาสวาสนาได้มากรุงเทพฯ มันก็จะต้องก้มหน้าอยู่กับท้องนา จงอยู่กับวัวๆ ควายๆ อยู่ในบางนั้นจนโตเท่าควาย บัดนี้มันได้เสียเพื่อนไปแล้ว คือผมที่จากมันมาทั้ง ๆ ก็ไม่ได้พูดจาล่ำลาปลอบใจมันเลย ยิ่งพระอาทิตย์จะลับฟ้าน้ำตาผมก็ไหลหนัก คิดถึงตาถึงยาย แก้หวังดีแก่ผมจึงยอมให้ผมมาหาความเจริญเอาข้างหน้า ต้องการให้ผมปราดเปรื่องอย่างน้าเกียรติบ้าง อนิจจาแกทั้งสองต้องทำงานหนัก และคอยเวลาพ้นทหารของหลานชายอีกคนที่จะได้ฝากผีฝากไข้
น้าเกียรติเห็นผมร้องไห้แล้ว แต่แกทำเมิน ๆ แล้วตั้งหน้าคิดเรื่องข้างหน้าว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรบ้าง กรุงเทพฯนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร รถไฟได้เข้าเทียบสถานีหัวลำโพงกรุงเทพฯก็ค่ำพอดี ผมตกใจและตื่นเต้นนัก สถานีที่นี่ใหญ่จริง ๆ ผิดกว่าอยุธยา ผมชักงกเงิ่นซิ่วห่อผ้าเดินตามน้าเกียรติปะปนไปกับฝูงชน พอออกมาหน้าสถานีผมยิ่งขนพอง เพราะเห็นรถมาก ไฟฟ้าสว่างไปทั้งถนน ตึกแถวเรียงรายไฟพรึบไปทั้งนั้นคล้ายมีงาน น้าเกียรติจูงมือผมเข้าร้านอาหารแถวนั้นเอง แกสั่งอาหารอะไรบ้างผมไม่ภาษาเลย
นั่งคอยสักครู่ก็มีผู้เอาอาหารมาให้ ทั้งของผมและของน้าเกียรติ