"โยคีได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึ่งแบกทารกผู้บุตรขึ้นบ่าแล้วออกเดิรตามนางผู้ภริยา นางก็นำตรงเข้ากรุงอุชชยินี เข้ายังท้องพระโรงในเวลาที่พระราชาประทับอยู่ พระราชาเสด็จอยู่ท่ามกลางอำมาตย์มนตรี ทอดพระเนตรเห็นนางวสันตเสนานำโยคีแบกทารกเข้ามา ก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า 'อโห. หญิงเวศยาไปพาโยคีแบกทารกมาแล้ว'
"พวกอำมาตย์มนตรีพร้อมกันทูลว่า 'พระองค์ตรัสถูกแท้ หญิงคนนี้เจียวรับจะไปพาโยคีมา นางรับจะทำอันใดก็ทำอันนั้นสำเร็จแล้วทุกประการ'
"พระราชาได้ทรงฟังก็ทรงพระสรวล ผู้ที่เฝ้าอยู่ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ประหนึ่งโยคีเป็นเครื่องสนุกอย่างใหญ่ ฝ่ายโยคี เมื่อได้ยินพระราชาตรัสแลได้ยินคนอื่น ๆ พูดแล้วหัวเราะเกรียวกราวดังนั้น ก็คิดว่า พวกนี้เจียวแต่งนางไปล่อเราให้เสียผลแห่งตบะที่ได้บำเพ็ญมา ครั้นรู้สึกเช่นนั้นแล้ว ก็แบกลูกขึ้นบ่า สาปคนทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้น แล้วออกจากท้องพระโรงไป คำที่โยคีสาปนั้นไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเสียตบะเสียแล้ว
"ครั้นโยคีกลับไปถึงป่า ก็ฆ่าบุตรของตนเสีย แล้วเริ่มทำตบะใหม่ มาตรหมายจะแก้แค้นพระราชบิดาแห่งพระองค์ บัดนี้ พระราชบิดาก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว โยคีตั้งหน้าจะทำร้ายพระองค์ต่อไป หวังจะเอาเลือดพระราชาและพระราชบุตรเป็นเครื่องบูชานางทุรคา เพื่อได้รับความเป็นใหญ่ในโลกเป็นรางวัล"
ปัถพีบาลเล่าเรื่องจบแล้วก็ทูลพระวิกรมาทิตย์ว่า "ข้าพเจ้าได้กล่าวสัญญาแล้วว่า จะช่วยชีวิตพระองค์ พระองค์จงฟังข้าพเจ้าเถิด ต่อไปนี้ จงระวังพระองค์ อย่าเชื่อคำผู้มีสำนักในหมู่คนตาย แลทรง