ทันใดนั้น เวตาลก็หัวเราะด้วยเสียงอันดังแล้วลื่นหลุดลอยขึ้นไปเกาะอยู่บนต้นไม้อย่างเก่า ห้อยพลางหัวเราะเย้ยอยู่บนกิ่งไม้อันสูง
ฝ่ายพระราชา เมื่อเวตาลหลุดไปได้ถึงสองครั้งเช่นนี้ ก็ทรงพิโรธ ตรัสสั่งพระราชบุตรว่า เมื่อเวตาลตกลงมาถึงดิน ให้ฟันหัวให้ขาดออกไป แล้วทรงปีนขึ้นต้นไม้ จับผมเวตาลกระชากจนหลุดจากกิ่งไม้เกาะ แล้วทิ้งลงมาถึงดิน พระราชบุตรคอยอยู่ข้างล่างก็ฟันด้วยพระแสงดาบถูกหัวเวตาล ดาบบิ่นไป ปรากฏเหมือนหนึ่งฟันหิน พอพระราชาเสด็จลงจากต้นไม้มาถึงดิน ตรัสถามว่า "เองคือใคร" แทบจะยังไม่ทันสุดสำเนียง เวตาลก็หัวเราะแล้วลอยไปเกาะอยู่บนต้นไม้อย่างเก่า
พระวิกรมาทิตย์เสด็จปีนขึ้นและลงหลายครั้งก็ไม่ย่อท้อ ปรากฏความเพียรเหมือนหนึ่งว่าจะยอมปีนขึ้นปีนลงอยู่จนสิ้นยุค แต่ไม่จำเป็นต้องเพียรนานถึงเท่านั้น เพราะเวตาลยอมให้จับในครั้งที่เจ็ดและกล่าวว่า แม้เทวดาก็ขืนใจคนหัวดื้อไม่ได้ ฝ่ายพระราชา เมื่อจับเวตาลไว้ได้ ก็ปลดผ้าผืนหนึ่งออกจากพระองค์ ผูกเป็นย่ามจะใส่เวตาล เวตาลนิ่งดูครู่หนึ่งแล้วถามว่า "ท่านนี้คือใคร ท่านจะทำอะไร"
พระราชาตรัสตอบว่า "เอ็งจงรู้ว่า ข้าคือพระวิกรมาทิตย์ พระราชากรุงอุชชยินี ข้าจะจับตัวเอ็งไปให้คน ๆ หนึ่งซึ่งเห็นสนุกในการเคาะกะโหลกหัวผีเป็นเพลงให้ผีฟัง"
เวตาลทูลตอบว่า "พระองค์ผู้เป็นราชา จงจำภาษิตโบราณไว้ว่า ลิ้นคนนั้นตัดคอคนเสียมากต่อมากแล้ว ข้าพเจ้าจะยอมตามพระหฤทัยพระองค์ และตามเสด็จไปหาบุรุษที่ทำดนตรีด้วยกะโหลกหัวผี พระองค์จะผูกข้าพเจ้าสะพายหลังเหมือนย่ามคนขอทานก็ตามพระประสงค์ แต่พระองค์จงฟังคำข้าพเจ้า จำใส่พระหฤทัยไปตลอดทาง คือ