เพราะพ่อแกกลับความคิด แต่วันนั้นมาจนป่านนี้ก็ร่วมเข้า ๘ คืนที่เจ้าเรียมต้องกินแต่น้ำตา เจ้าขวัญเล่าก็คอยหาย หรือมันจะล้มเจ็บลงอีกเพราะแผลนั่นมิใช่เล็กน้อย
นับแต่วันเกิดเหตุมา เจ้าขวัญต้องนอนแซ่วอยู่เพราะพิษแผลทำให้มีไข้ ไปไหนไม่ได้ แม้จะถูกผู้ใหญ่เขียนซักไซ้ไล่เลียงเท่าไร เจ้าขวัญก็ไม่รับ คงยืนคำอยู่แต่ว่าถูกคนแอบฟันผิดตัว และไม่รู้ว่าเปนใคร คอยฟังข่าวทางเจ้าเรียมก็หายเงียบ จนล่วงเข้าวันที่ ๗ บาดแผลค่อยทุเลา พอจะไปไหนมาไหนได้ เจ้าขวัญจึงออกสืบฟังข่าวเจ้าเรียมจนรุ่งขึ้นวันที่ ๘ ก็ได้รับหนังสือลายมือเจ้าเรียมลอบฝากเจ้ารอดน้องชายมาให้ เล่าถึงความทุกข์ยากทรมานที่เจ้าได้รับเพราะเจ้าเริญกับเจ้าจ้อยเปนคนปั่นหัวให้พ่อกลับใจ
พอรู้ว่า ตาเรืองกับอ้ายเริญอ้ายจ้อยหักหลังและทารุณกับเจ้าเรียมคนรัก ก็สุดที่เจ้าขวัญจะระงับโทษะ ลืมความเจ็บ ลืมความกลัว ชิชิ พ่อเรืองนะ มิเสียแรงเปนผู้ใหญ่ พูดจาสับปรับแต่พอพ้นตัว เมื่อไม่สมาแล้ว กูก็ไม่ว่า ยังทำกับเจ้าเรียมอีก นี่ตกลงมันจะหลอกฟันอ้ายขวัญเล่นเปล่า ๆ งั้นหรือ
มันลับดาบอยู่ตั้งแต่บ่าย อ้ายขวัญเจ้าทุ่งยิ้มเหยเมื่อเอามือจับคมดูรู้สึกหนับ ๆ นานแล้วซีนะที่มึงมิไดกินเลือด สนิมขึ้นออกเกรอะ ค่ำนี้แหละ คืนนี้เถอะ กูจะให้มึงดื่มเลือดให้อิ่มทีเดียว
เวลาค่ำเข้าใต้เข้าไฟไปแล้วกระทั่งล่วงมาอีกจนยามเศษ เจ้าจ้อยก็คงยังไม่กลับมา นั่งคุยฟุ้งถึงสมบัติพัศถารไร่นาสาโทอยู่กับตาเรืองกับเจ้าเริญ และมีลูกน้องตามมาเปนเพื่อนด้วยอีก ๒ คน ต่างเสพสุราอาหารกันจนมึนเมาด้วยทุนทรัพย์ของเจ้าจ้อย
เจ้าเรียมถูกล่ามโซ่อยู่ในโรงนาชั้นล่าง จะนั่งนอนไม่เปนศุขสักท่าเดียว ซูบผอมตรอมตรมด้วยความทุกข์ใจ ข้าวปลาไม่เปนอันกิน เสียงที่เจ้าจ้อยคุยโขมงได้ยินชัดทุก ๆ คำ และคำที่สำคัญสกิดใจก็คือ แนะให้พ่อนำเจ้าไปขายไว้ที่บางกอกพอเรื่องเจ้าขวัญสงบเงียบลงสักครึ่งค่อนปี เจ้า