อธิบายเบ็ดเตล็ดในเรื่องพงศาวดารสยาม/๒๓

จาก วิกิซอร์ซ
อธิบายเรื่องพระมหาอุปราช





คำที่เรียกว่า อุปราช หรือ ยุวราช ตามตำราที่มาจากมัธยมประเทศ จะมาโดยทางข้างพระพุทธศาสนาก็ตาม หรือในทางข้างไสยศาสตร์ก็ตาม ยุติต้องกันว่า เป็นผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินอภิเษกไว้รับรัชทายาท เพราะฉะนั้น โดยปรกติย่อมเป็นสมเด็จพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ในกฎมนเทียรบาลซึ่งตั้งขึ้นครั้งแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถบัญญัติเรื่องอุปราชนี้แปลกอยู่

กฎมนเทียรบาลที่พิมพ์ในบานแพนกว่า ตั้งเมื่อปีชวด จุลศักราช ๗๒๐ คือ ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ นั้นผิด จุลศักราช ๗๒๐ นั้นเป็นปีจอ มิใช่ปีชวด ที่จริงควรจะเป็นปีชวด จุลศักราช ๗๘๐ ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งมีพยานเห็นได้ในกฎหมายนั้นเองที่กล่าวถึงศักดินาต่าง ๆ เป็นของที่ตั้งในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ยังไม่มี

ในกฎมนเทียรบาลว่า "พระราชกุมารอันเกิดจากพระอัครมเหสี คือ หน่อสมเด็จพระพุทธเจ้า พระราชกุมารเกิดจากแม่หยั่วเมืองเป็นพระมหาอุปราช" ดังนี้ ทำให้เข้าใจว่า พระราชกุมารที่จะอภิเษกเป็นรัชทายาทนั้น ถ้าเกิดจากพระอัครมเหสีเรียก "หน่อสมเด็จพระพุทธเจ้า" ถ้าเกิดจากพระมารดาซึ่งมีบรรดาศักดิ์ชั้นรองลงมา จึงเรียกว่า "พระมหาอุปราช" แลมีเรื่องในพระราชพงศาวดารประกอบกฎหมายนี้แห่งหนึ่ง คือ เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงตั้งพระอาทิตยวงศ์ให้เป็นรัชทายาทเมื่อไปครองเมืองพิษณุโลก มีพระนามตามที่เรียกในฉบับหลวงประเสริฐฯ ว่า "สมเด็จหน่อพุทธางกูรเจ้า" ในหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์สองเล่มเรียก "สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร" แต่งพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเรียก "สมเด็จพระบรมราชามหาพุทธางกูร" ที่ถูกข้าพเจ้าเห็นว่า ควรจะเป็น "หน่อสมเด็จพระพุทธเจ้าพระบรมราชา" คือ ตั้งให้เป็น "หน่อสมเด็จพระพุทธเจ้า" ตามกฎหมายนี้เอง มีพระนามที่เป็นเจ้าครองเมืองว่า "พระบรมราชา" อย่างได้เคยมีมาแต่ก่อนหลายพระองค์ แต่การตั้งพระมหาอุปราชในพระราชพงศาวดารปรากฏครั้งแรกในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรงตั้งพระราชโอรสซึ่งฉบับหลวงประเสริฐฯ เรียกว่า "พระเชษฐา" คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ให้เป็นพระมหาอุปราช แต่คำที่ใช้ในหนังสือพระราชพงศาวดารเห็นจะยุติเอาเป็นแน่ไม่ได้ว่า องค์ไหนเป็นหน่อสมเด็จพระพุทธเจ้า องค์ไหนเป็นพระมหาอุปราช เพราะเป็นของแล้วแต่ผู้แต่งหนังสือพระราชพงศาวดารจะเขียนลงไปตามความเข้าใจของตน

ในกฎหมายทำเนียบศักดินาพลเรือน ซึ่งตั้งในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเหมือนกัน ยังมีตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ถือศักดินาหนึ่งหมื่นคนหนึ่งเรียกว่า "เจ้าพระยามหาอุปราชชาติวรวงศ์ องค์ภักดีบดินทร์ สุรินทรเดโชชัย มไหศุริยศักดิอาญาธิราช" ขุนนางตำแหน่งนี้ได้พบในหนังสือเก่าว่า ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ยังมีตัว แต่จะมีอำนาจหน้าที่อย่างไรไม่ปรากฏที่อื่นนอกจากในหนังสือของมองซิเออร์ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสเข้ามาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวไว้ว่า เจ้าพระยามหาอุปราชเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครในเวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไม่อยู่ แลมีบรรดาศักดิ์สูง นั่งเฝ้าได้ ไม่ต้องหมอบ ได้ความแต่เท่านี้ ตำแหน่งมหาอุปราชที่มีทั้งยศเจ้าแลยศขุนนางดังปรากฏในกฎหมายเช่นนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ประเพณีไทยแต่เดิมมา พระราชกุมารที่จะรับรัชทายาทคงจะเป็นพระมหาอุปราชทั้งนั้น บรรดาศักดิ์หน่อสมเด็จพระพุทธเจ้าแลเจ้าพระยามหาอุปราชเป็นของที่ตั้งขึ้นทีหลัง แต่จะตั้งขึ้นด้วยเหตุใด ข้าพเจ้ายังคิดไม่เห็น

พระมหาอุปราช (จะเรียก "หน่อสมเด็จพระพุทธเจ้า" ก็ตาม หรือเรียก "พระมหาอุปราช" ก็ตาม) ผู้ซึ่งได้รับอภิเษกเป็นรัชทายาทนั้นในชั้นเดิมคงจะเป็นแต่พระราชโอรส แลคงจะมีทุกรัชกาล เว้นเสียแต่ที่มีความขัดข้อง เช่น พระราชโอรสยังทรงพระเยาว์ ไม่ทันตั้ง เป็นต้น พิเคราะห์ดูในพระราชพงศาวดาร ตำแหน่งพระมหาอุปราชมีเค้าอยู่อย่างนี้ คือ

๑.   สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ "มี" สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสเป็นพระมหาอุปราช (ที่ว่า "มี" เพราะไม่ปรากฏว่า ได้ตั้ง)

๒.   สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (เจ้าทองลัน) ทรงพระเยาว์ ยังไม่ทันตั้งเป็นพระมหาอุปราช หรือจะได้ตกลงกันไว้ให้สมเด็จพระราเมศวรเป็นมหาอุปราชก็จะเป็นได้

๓.   สมเด็จพระราเมศวรมีสมเด็จพระรามราชาราชโอรสเป็นพระมหาอุปราช

๔.   สมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ มีแต่ลูกพระสนม ไม่ได้ตั้งพระมหาอุปราช เจ้าอ้ายเจ้ายี่จึงเกิดแย่งราชสมบัติกัน

๕.   สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ตั้งพระราเมศวรราชโอรส คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นพระมหาอุปราช

๖.   สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตั้งพระเชษฐาราชบุตรเป็นพระมหาอุปราช แต่ติดสมเด็จพระบรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาอยู่ จึงไม่ได้ราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่สามปี

๗.   สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ ไม่ได้ตั้งพระมหาอุปราช เพราะราชสมบัติเป็นของพระเชษฐาซึ่งเป็นพระราชอนุชา

๘.   สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ตั้งหน่อสมเด็จพุทธเจ้าพระบรมราชาเป็นพระมหาอุปราช

๙.   สมเด็จพระบรมราชามหาพุทธางกูร (ที่จริงควรเรียก "สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔") พระรัษฎาฯ ยังทรงพระเยาว์ ไม่ทันตั้งเป็นพระมหาอุปราช

๑๐.   สมเด็จพระไชยราชาธิราช พระแก้วฟ้ายังทรงพระเยาว์ ไม่ทันตั้งเป็นพระมหาอุปราช

๑๑.   ขุนวรวงศาธิราช พอได้ราชสมบัติก็ตั้งนายจันบ้านมหาโลกผู้น้องเป็นมหาอุปราช จะเป็นมหาอุปราชอย่างเจ้าหรืออย่างขุนนางรู้ไม่ได้ เป็นได้สองสามวันก็ถูกกำจัดทั้งพี่ทั้งน้อง

๑๒.   สมเด็จพระมหาจักรพรรดิตั้งขุนพิเรนทรเทพเป็นพระมหาธรรมราชาไปครองเมืองพิษณุโลก เข้าใจว่า ตั้งไปเป็นเจ้าครองเมืองตามแบบซึ่งเคยมีมาแต่ก่อน ทำนองเป็นพระเจ้าประเทศราช มิใช่เป็นรัชทายาท เพราะสมเด็จพระมหาจักรพรรดิมีพระราเมศวรแลสมเด็จพระมหินทราธิราชเป็นราชโอรสอยู่ถึงสองพระองค์ คงปลงพระทัยให้ในสองพระองค์นี้เป็นผู้รับรัชทายาท แต่ไม่ตั้งให้ออกไปครองเมือง เอาไว้ทำราชการในราชธานีทั้งสองพระองค์

ที่สมเด็จพระมหาจักพรรดิเอาพระราเมศวรกับสมเด็จพระมหินทราธิราชไว้ในราชธานี บางทีจะเป็นด้วยเหตุเหล่านี้ คือ ประเพณีที่ตั้งเจ้านายไปครองเมือง แม้เป็นประโยชน์อยู่ในเวลากำลังแผ่พระราชอาณาจักรก็มีข้อเสียสำคัญที่มักเกิดเหตุแย่งชิงราชสมบัติกัน ความจำเป็นที่ต้องมีเจ้าปกครองยังมีแต่เมืองพิษณุโลกซึ่งเป็นราชธานีฝ่ายเหนือเมืองเดียว จึงตั้งพระมหาธรรมราชาไปครองโดยยกย่องความชอบ แลโดยเป็นชาวเมืองพิษณุโลกเข้าพระทัยการงานทางนั้นอยู่ หรืออีกอย่างหนึ่ง จะไม่สู้ไว้พระทัยพระมหาธรรมราชานัก ไม่อยากจะแยกกำลังในราชธานีไปให้น้อย จึงเอาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอไว้เป็นกำลังในราชธานี แต่ก็คงจะได้ตั้งแต่งให้มีกำลังแลพระเกียรติยศขึ้น ไม่ให้พระราชโอรสที่จะรับรัชทายาทเลวกว่าพระราชบุตรเขยเป็นแน่ สังเกตดูโดยพระนามที่ตั้งให้เป็นพระราเมศวร (เหมือนกับผู้รับรัชทายาทแต่ก่อนมา) พระองค์หนึ่ง เป็นพระมหินทรฯ พระองค์หนึ่ง น่าเข้าใจว่า จะยกย่องให้มีพระเกียรติยศเป็นพระมหาอุปราช ทำนองที่เรียกกันในชั้นหลังว่า พระบัณฑูรใหญ่ พระบัณฑูรน้อย แต่ในครั้งนั้นจะเรียกอย่างไรแลให้กำลังวังชาอย่างไรทราบไม่ได้

ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ประเพณีที่มีเจ้านายซึ่งทรงศักดิ์สูงสุดสองพระองค์อยู่ในราชธานี ที่เขมรเรียกว่า มหาอุปโยราช แลมหาอุปราช ก็ดี ที่ไทยเราเรียก พระบัณฑูรใหญ่ พระบัณฑูรน้อย ก็ดี วังหน้า วังหลัง ก็ดี น่าจะมีขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเป็นปฐม

มีความกล่าวไว้ในหนังสือพงศาวดารเขมรแห่งหนึ่งว่า "จุลศักราช ๙๔๖ (ตรงรัชกาลของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช) ศก วอกนักษัตร แต่พระองค์ (นักพระสัฏฐา) ทรงราชย์มาได้เก้าปี พระชันษาได้สามสิบสามปี พระองค์สบพระราชหฤทัยด้วยสมเด็จพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ ให้ทรงราชย์เป็นเสด็จ คือ กษัตริย์ ทั้งสองพระองค์ พระราชบุตรผู้พี่นั้นปีวอก พระชันษาได้สิบเอ็ดปี ได้อภิเษกทรงน้ำสังข์สรงพระเกศทรงพระนารายณ์ทรงพระขรรค์ ทรงพระนาม พระบาทสมเด็จเสด็จพระชัยเชษฐาธิราชรามาธิบดี พระราชบุตรผู้น้อยนั้นปีชวด พระชันษาได้หกปี อภิเษกทรงน้ำสังข์สรงพระเกศทรงพระนารายณ์ทรงพระขรรค์ ทรงพระนาม พระบาทสมเด็จบรมราชาธิราชรามาธิบดี พระบาทบรมบพิตรทั้งสามพระองค์ทรงราชย์" ดังนี้ เขมรชอบเอาอย่างไทยเป็นปรกติ เห็นได้ตั้งแต่พระนามพระเจ้ากรุงกัมพูชาตลอดมาก็เอาอย่างพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา จะถ่ายแบบสมเด็จพระมหาจักรพรรดิตั้งพระราเมศวรกับพระมหินทรฯ ไปอภิเษกราชโอรสทั้งสององค์นั้นบ้างดอกกระมัง ดูเวลาศักราชก็พอต่อกันดี

ครั้นเมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชได้ราชสมบัติ ก็มีสมเด็จพระราชโอรสสองพระองค์เหมือนกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จึงอภิเษกเป็นสมเด็จพระนเรศวรพระองค์หนึ่ง เป็นสมเด็จพระเอกาทศรถพระองค์หนึ่ง เป็นพระมหาอุปราชทำนองพระบัณฑูรใหญ่ พระบัณฑูรน้อย อย่างที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ทรงตั้งพระราเมศวรแลพระมหินทรฯ มาแต่ก่อน สมเด็จพระเอกาทศรถจะได้มีพระเกียรติยศเป็นพระมหาอุปราชพระองค์น้อยมาแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชแล้ว เมื่อสมเด็จพระนเรศวรผ่านพิภพ ถ้าคงประเพณีอยู่อย่างแต่ก่อน ก็คงให้สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกเป็นพระเจ้าประเทศราชอย่างสมเด็จพระราชบิดาแลพระองค์เองได้เคยครองมา แต่สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงเลิกประเพณีที่ตั้งเจ้าใหญ่ไปครองเมืองเสียในครั้งนั้น (แลมิได้มีต่อมาอีก) ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเอกาทศรถได้เป็นพระบัณฑูรมาด้วยกัน แลได้ทำศึกสงครามอย่างเพื่อน เป็นเพื่อนตายกู้บ้านกู้เมืองมาด้วยกัน จึงดำรัสให้สมเด็จพระเอกาทศรถเป็นพระมหาอุปราชอย่างวิสามัญ มีพระเกียรติยศแลใช้พระราชโองการเหมือนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

ในหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัดกล่าวถึงเรื่องสมเด็จพระเอกาทศรถว่า เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชสวรรคตนั้น สมเด็จพระนเรศวรถูกไปอยู่เป็นตัวจำนำที่เมืองหงสาวดี ทางนี้ข้าราชการจึงยกราชสมบัติถวายสมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระเอกาทศรถไม่รับราชสมบัติ ว่า สมเด็จพระเชษฐาธิราชยังมีอยู่ จะรักษาราชสมบัติไว้ถวาย ครั้นสมเด็จพระนเรศวรหนีกลับมาได้ สมเด็จพระเอกาทศรถจึงถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระนเรศวร ถ้าเรื่องจริงเป็นอย่างว่าในหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัด ก็เป็นเหตุอันสมควรแท้ทีเดียวที่สมเด็จพระนเรศวรจะทรงยกย่องสมเด็จพระเอกาทศรถอย่างเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง แต่หลักฐานมีมั่นคงว่า เรื่องจริงมิได้เป็นอย่างว่าในหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัด ความจริงสมเด็จพระนเรศวรเสด็จอยู่ในเมืองไทยตลอดรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช แลเมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชสวรรคต ได้ทำสงครามกับหงสาวดีหลายครั้งมาแล้ว จะเป็นตัวจำนำอยู่ในเมืองหงสาวดีในเวลานั้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะฉะนั้น ข้อควรสังเกตในพระราชพงศาวดารมีแต่ว่า สมเด็จพระเอกาทศรถเป็นพระมหาอุปราชพระองค์แรกที่เป็นพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดิน แลเป็นพระมหาอุปราชพระองค์เดียวในชั้นกรุงเก่าที่มีเกียรติยศอย่างเป็นพระเจ้าแผ่นดิน