เสภาพระราชพงศาวดาร
ตอนที่ ๑ เรื่องตีเมืองขอม
[แก้ไข]๏ กราบบังคมสมเด็จบดินทร์สูร พระยศอย่างปางนารายณ์วายุกูล มาเพิ่มภูลภิญโญในโลกา ทุกประเทศเขตรขอบมานอบน้อม สพรั่งพร้อมเปนศุขทุกภาษา ขอเดชะพระคุณกรุณา ด้วยเสภาถวายนิยายความ ฯ
๏ จะกล่าวพงศาวดารกาลแต่หลัง เมื่อแรกตั้งอยุธยาภาษาสยาม ท้าวอู่ทองท่านอุส่าห์พยายาม ชีพ่อพราหมณ์ปโรหิตคิดพร้อมกัน มีจดหมายลายลักษณ์ศักราช เจ็ดร้อยสิบสองคาดเปนข้อขัน ปีขาลโทศกตกสำคัญ เดือนห้าวันศุกร์ขึ้นหกค่ำควร เพลาสามนาฬิกากับเก้าบาท ตั้งพิธีไสยสาตรพระอิศวร ได้สังขทักษิณาวัฏมงคลควร ใต้ต้นหมันตามกระบวนแต่บุราณ เปนมหามงคลเลิศประเสริฐศักดิ์ สร้างปราสาทสำนักไพฑูรย์สถาน สำเร็จแล้วจึงให้สร้างปรางปราการ ชื่อไพชยนต์ทิพพิมานอลงการ์ แล้วสร้างพระที่นั่งใหญ่ไอสวรรย์ สามปราสาทเสร็จพลันด้วยหรรษา ท้าวอู่ทองครองเสวยสวรรยา พระชัณษาสามสิบเจ็ดเสร็จสมปอง ชีพ่อพราหมณ์ถวายนามตามที่ พระรามาธิบดีไม่มีสอง นามบุรีศรีอยุธยาครอง ให้ถูกต้องตามนามพระรามา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ จุลจักรจอมทศทิศา บำรุงเมืองเรืองฤทธิ์อิศรา ฝูงประชาชมชื่นทุกคืนวัน มีเมืองขึ้นสิบหกพระบุรี คือเมืองตะนาวศรี นครสวรรค์ เมืองชวา มละกา พิจิตรนั้น เมืองสวรรคโลก ศุโขทัย เมาะลำเลิงบุรี ศรีธรรมราช ทั้งสงขลามาภิวาทไม่ขาดได้ พิษณุโลก กำแพงเพ็ชร เมืองพิชัย ทวายใหญ่ เมาะตมะ จันทบูร แสนอุดมสมพงษ์วงศ์กระษัตริย์ เจ้าจังหวัดราเชนทร์นเรนทร์สูร โภชนาสาลีบริบูรณ์ ยิ่งเพิ่มพูนผาศุกทุกนิรันดร์ ทรงรำพึงถึงองค์พระเชษฐา ร่วมครรภาอัคเรศนรังสรรค์ จำจะให้ไปบำรุงกรุงสุพรรณ ด้วยท่านนั้นสิร่วมสุริวงศ์ อนึ่งราชกุมารชาญศักดา องค์พระราเมศวรควรประสงค์ จำเริญไวยใหญ่ยิ่งประยูรวงศ์ ควรดำรงเมืองลพบุรี ดำริห์พลางทางออกพระโรงรัตน์ ตั้งกษัตริย์ขนานนามต้องตามที่ เฉลิมเดชเชษฐาธิบดี ให้เปนที่พระบรมราชา ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงสุพรรณ พระราเมศวรนั้นก็หรรษา ต่างองค์ทรงคำนับรับบัญชา แล้วลีลาไปสู่พระบูรี ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช มิ่งมงกุฎอยุธเยศจำเริญศรี สถิตย์แท่นแสนสำราญดาลฤดี ด้วยบุรีขอมคดประทษร้าย จำจะให้ราชบุตรสุดสงสาร ไปรอนราญไล่ริบให้ฉิบหาย เสด็จออกพระโรงคัลพรรณราย แล้วเผยผายสิงหนาทประภาษมา เฮ้ยเสนีย์รีบร้อนจรโดยด่วน บอกพระราเมศวรมาหน่อยหวา ตำรวจรับพระโองการคลานออกมา ลงนาวารีบไปดังใจจง วันหนึ่งก็ถึงลพบุรี อัญชลีทูลความตามประสงค์ ว่าพระทรงฤทธิ์บิตุรงค์ เชิญเสด็จเสร็จลงไปกรุงไกร ฯ
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช ฟังอำมาตย์ทูลแจ้งแถลงไข ให้จัดเรือเร็วพลันในทันใด รีบครรไลคืนหนึ่งถึงบุรี ประทับจอดทอดท่าน่าตำหนัก ขึ้นเฝ้าองค์หริรักษรังษี น้อมประนมบังคมคัลอัญชลี สถิตย์ที่พระโรงรัตน์ชัชวาลย์ ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ทอดพระเนตรแลมาตรงน่าฉาน เห็นลูกยามาประนตบทมาลย์ มีโองการทักทายภิปรายเปรย นี่แน่ เจ้าเยาวยอดปิโยรส อ้ายขอมคดดูถูกนะลูกเอ๋ย พ่อสุดแสนแค้นใจไม่เสบย แม้นละเลยจะกระเจิงละเลิงใจ เจ้าแก้วตายาจิตรของปิตุเรศ ไปเหยียบเขตรดับเข็ญให้เย็นใส จักประหารผลาญชีวันให้บรรไลย จะได้ฤๅฤๅมิได้ให้ว่ามา ฯ
๏ ครานั้นพระโอรสยศยง ศิโรราบกราบลงแล้วทูลว่า ซึ่งข้อขอมคบคิดจิตรพาลา จะอาสามิให้เคืองเบื้องบทมาลย์ ฯ
๏ ครานั้นพระภูเบนทร์นิเรนทร์สูร ได้ฟังทูลตบพระหัตถ์อยู่ฉัดฉาน จึงเอื้อนอรรถตรัสมาไม่ช้านาน จงจัดการรีบร้อนอย่านอนใจ พลของเราห้าวหาญชำนาญยุทธ เจียนจะขุดกัมพุชาก็ว่าได้ อย่าถอยหลังรั้งรอไปพ่อไป แม้นมีไชยพ่อจะภูลรางวัลครัน ฯ
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช เคารพรับอภิวาทขมีขมัน มาเกณฑ์พวกโยธาได้ห้าพัน ล้วนฉกรรจ์แข็งข้อจะต่อตี ทั้งอาจองคงทนด้วยมนต์เวท แสนวิเศษฤทธิไกรชาญไชยศรี ถืออาวุธครบมือล้วนฦๅดี โพกแพรสีแสดเสียดประเจียดรัด บ้างก็ผูกลูกสะกดตะกรุดคาด ล้วนองอาจโล่ห์เขนก็เจนจัด มาพร้อมพรั่งนั่งเบียดเยียดยัด สารวัดตรวจตราพลากร ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงยศ เอกโอรสชาญไชยดังไกรสร เสด็จเข้าที่สรงอลงกรณ์ แล้วสอดซ้อนเครื่องทรงณรงค์ครบ ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพจับพระแสง โดยตำแหน่งสงครามตามขนบ มาทูลลาบิตุรงค์ทรงพิภพ ประนมนบคอยสดับรับโองการ ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงราชย์ สถิตย์อาศน์รจนามุกดาหาร เห็นพระปิยะบุตรสุดสำราญ จึงมีรศพจมานประภาษมา เจ้าดวงใจพ่อจะไปกัมพุชประเทศ ระวังเหตุกลศึกฤกหนักหนา จะหยุดยั้งจงระวังพระกายา ไม่ได้ท่าแล้วอย่าหาญเข้าราญรอน ชื่อว่าศึกแล้วอย่านึกประมาทหมิ่น คอยประคิ่นจดจำเอาคำสอน อย่าให้อายขายหน้าประชากร จงถาวรสวัสดีอย่ามีไภย รีบปรามปราบราบเตียนที่เสี้ยนหนาม ดังองค์รามดับเข็ญให้เย็นใส จงมีโชคไชยะชนะไภย ให้สมในมโนรถหมดทุกอัน ยื่นพระแสงสาตราอาญาสิทธิ์ ใครคดคิดเข่นฆ่าให้อาสัญ จงอุดมสมศุขทุกนิรันดร์ ซึ่งไภยันตร์สิ่งใดอย่าใกล้กราย ฯ
๏ ครานั้นพระโอรสยศยง กราบลงแทบบาทพระฤๅสาย เคารพรับพรพลางแล้วย่างกราย ผันผายมาทรงคชาธาร ได้มหาพิชัยฤกษ์ให้เลิกทัพ โห่รับแซ่เสียงสำเนียงขาน ลั่นฆ้องหึ่งอึงออกนอกทวาร เสียงสะท้านลั่นเลื่อนสเทื้อนสทึก ทหารธงโบกธงตรงไปน่า เสียงช้างม้าเริงร้องอยู่กองกึก ทวยหาญขานโห่โอฬารฦก อึกกะทึกข้ามทุ่งพ้นกรุงไกร ประทับร้อนนอนค้างกลางอารัญ หลายวันตั้งพลับพลาหยุดอาไศรย เลี้ยวลัดตัดทุ่งเดินมุ่งไป ถึงเวียงไชยกัมพูชาพอราตรี มิทันตั้งค่ายคูอยู่สำนัก สั่งให้พักพลทหารชายไชยศรี ขึ้นประทับพลับพลาพนาลี ให้โยธีล้อมรอบเปนขอบคัน ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ทรงนัครา กัมพูชาธิราชรังสรรค์ รู้เรื่องราวข่าวศึกฮึกฉกรรจ์ มาบุกบันตั้งประชิดติดภารา แสนพิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท ดำรัสเรียกอุปราชโอรสา กับข้าเฝ้าเจ้าพระยาและพระยา มาปฤกษาสงครามตามทำนอง จะผ่อนผันฉันใดไฉนเล่า ภาราเราเกิดวุ่นจะขุ่นหมอง จะคิดอ่านการศึกเร่งตรึกตรอง ใครเห็นช่องฉันใดให้ว่ามา ฯ
๏ ครานั้นเจ้าพระยาอุปราช เคารพรับอภิวาทแล้วทูลว่า ซึ่งทัพไทยเดินบกยกกันมา ขออาสามิให้เคืองเบื้องบทมาลย์ จะหักโหมโจมจับสัปรยุทธ ให้ม้วยมุดยับแยกถึงแตกฉาน ซึ่งทัพมาล้าเมื่อยเดินเหนื่อยนาน ถึงสถานมิทันยั้งตั้งกระบวน จะหักหาญรานทำค่ำวันนี้ เห็นจะมีไชยาสักห้าส่วน ไม่มีค่ายถ่ายเทคงเรรวน ใคร่ครวญเห็นจะได้ดังใจปอง ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงกัมพูชา ได้ฟังว่าเปรมปริ่มค่อยยิ้มย่อง จึงเอื้อนอรรถตรัสความตามทำนอง ดีแล้วลูกถูกต้องคลองฤไทย แล้วผินภักตร์ถามบรรดาพวกข้าเฝ้า ซึ่งลูกเราว่าเห็นเป็นไฉน จะได้ช่องคล่องจิตรเหมือนคิดไว้ ฤๅเห็นเป็นอย่างไรให้ว่ามา ฯ
๏ ฝ่ายว่าข้าเฝ้าเหล่าพวกขอม ต่างเห็นพร้อมเพรียงกันยิ่งหรรษา จึงกราบทูลตามมูลกิจจา ซึ่งตรัสมาต้องที่เห็นดีนัก ด้วยทัพไทยไพร่นายยังไรเรี่ย ทำลายเสียจู่โจมรีบโหมหัก อย่าให้ตั้งค่ายมั่นขยันนัก แม้นหน่วงหนักนิ่งไว้ไม่สู้ดี ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงกัมพุชประเทศ สดับเหตุปรีดิ์เปรมเกษมศรี ทรงสำรวลสรวญร่าแล้วพาที เหวยเสนีตรวจตราพลากร แล้วตรัสสั่งอุปราชรชโอรส จงคุมทศทวยหาญชาญสมร ไปโจมทัพจับไทยไพรีรอน จงถาวรกูลสวัสดิ์กำจัดไภย ฯ
๏ ครานั้นพระอุปราชราชบุตร์ เกษมสุดยินดีจะมีไหน บังคมลามาเตรียมพลไกร จำนวนไพร่โยธาหมื่นห้าพัน ถึงยามสองกองทัพไม่สับสน ดำเนินพลออกทวารปราการกั้น ห้ามมิให้เฮฮาพูดจากัน ถึงกองทัพฉับพลันในทันที ให้ยิงปืนครื้นครึกเสียงกึกก้อง โห่ร้องเลื่อนลั่นสนั่นมี่ ดาบดั้งพรั่งพร้อมล้อมวารี ต้อนตีทัพมาไม่รารอ ฯ
๏ ครานั้นแม่กองสองทหาร อลหม่านตกใจเอ๊ะใครหนอ ฉวยดาบโดดโลดไล่ไม่ย่อท้อ ร้องรับพ่อพวกเราเอาให้ตาย หมู่ทหารราญรัญรับสัปรยุทธ ปรายอาวุธหอกดาบกำซายสาย พวกขอมแขงแทงกระทั่งพุงทลาย ไทยตาแตกตื่นเสียงครื้นครึก เขมรโดดโลดไล่พวกไทยล่า มัวหลับตาเสียกระบวนเมื่อจวนดึก ขอมกระทำซ้ำเติมโห่เหิมฮึก อึกกะทึกรบรับจนทัพไชย ฯ
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช ทรงไสยาศน์ในพลับพลาที่อาไศรย เสียงครั่นครื้นตื่นพลันในทันใด ตกพระไทยผลันผลุนหมุนออกมา เห็นพลเมืองเนืองหนุนขนาบไร่ กองทัพไทยย่อหย่อนอ่อนหนักหนา แสนพิโรธโดดกลับเข้าพลับพลา ทรงสาตราวิ่งวางออกกลางทัพ ขับพหลพลไกรไล่ตระหลบ ใครไม่รบหลกเลี่ยงจะเสียงสับ ทหารกลัวตัวตายเข้ารายรับ ทั้งสองทัพแขงขันประจัญบาน ต่างกำแหงแรงเริงในเชิงยุทธ ฤทธิรุทฟันฟาดกันฉาดฉาน พวกขอมอ่อนหย่อนยืนไม่ทนทาน ไทยทหารฮึกโห่เปนโกลา ฯ
๏ ครานั้นมหาอุปราช กริ้วตวาดพลนิกายทั้งซ้ายขวา ต้อนกระตุ้นหนุนซ้ำกระหน่ำมา พวกโยธาร้อนตัวกลัวความตาย ฟันแทงแย้งยุทธอาวุธสั้น แขงขันต่อตีไม่หนีหาย ทั้งสองข้างต่างระทมบ้างล้มตาย ไพร่นายกลิ้งกลาดอนาถใจ ฯ
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช องอาจมิได้พรั่นประหวั่นไหว ทรงม้าร่ารับด้วยฉับไว ต้อนไพรพลทหารเข้าราญรบ ทั้งสองข้างต่างแขงกำแหงฮึก อึกกะทึกกรูเกรียวเลี้ยวตระหลบ ข้างทัพไทยไพร่น้อยต้องถอยทบ พวกขอมรบบุกบันประจัญบาน จนเพลาฟ้าขาวเช้าตรู่ตรู่ ยังเกรียวกรูฮึกโห่ด้วยโมหานธ์ ไพร่ยิ่งตายนายต้อนเข้ารอนราญ อลหม่านจนสว่างขึ้นรางรอง ฯ
๏ ฝ่ายว่าพระราเมศวรราช องอจมิได้หลบสยบสยอง แต่เห็นพลน้อยกว่าท่าเปนรอง จำจะต้องผ่อนพักไว้สักที ดำริห์พลางทางให้โบกธงทัพ รอรับรบไปแต่ไม่หนี เขมรโห่โกลาตามราวี พวกไทยตีถอยทนร่นมาพราง ฯ
๏ ครานั้นอุปราชราชบุตร เห็นสิ้นสุดแดนเมืองเครื่องขัดขวาง จะติดตามข้ามเขตรประเทศทาง ก็เหินห่างเวียงชัยไม่ชอบกล ไม่มีกองลำเลียงเลี้ยงทหาร ทางกันดารสารพัดจะขัดสน ก็เลิกทัพกลับจรไม่ร้อนรน ประมาทตนมิได้คิดจะติดตาม ฯ
๏ ฝ่ายพระราเมศวรสุริยวงศ์ ให้พักพวกจัตุรงค์กลางสนาม แล้วชุมนุมเสนาปฤกษาความ แม้นวู่วามเล่าก็เห็นจะเปนรอง พลเรามาห้าพันถึงกลั่นกล้า ก็น้อยกว่าสิบเอาหนึ่งไม่ถึงสอง จึงรอราล่าให้ใจคนอง คงจะต้องแก้เผ็ดไม่เข็ดมือ บอกขอพลคนเพิ่มเติมมาใหม่ ไม่มีไชยแล้วพากันกลับอย่านับถือ ได้เรียนรู้สู้เขาเอาให้ฦๅ แต่งหนังสือบอกพลันให้ทันที ฯ
๏ ครานั้นข้าเฝ้าเหล่าทหาร กราบกรานเห็นพร้อน้อมเกษี แต่งหนังสือปิดตราไม่ราวี ให้เสนีสิบม้ารีบคลาไคล ฯ
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช ให้เคลื่อนพยุหบาตรทั้งน้อยใหญ่ ประทับอยู่เขตแคว้นแดนกรุงไกร ตั้งพระไทยท่าทัพอยุธยา ฯ
๏ ครานั้นเสนีปรีชาชาญ จำทูลสารทรงยศโอรสา แรมร้อนนอนในพนาวา ถึงกรุงศรีอยุธยาด้วยฉับพลัน ก็เข้าในนักเรศเขตรสถาน แจ้งสารเสนีขมีขมัน ถึงเวลามาเตรียมอยู่พร้อมกัน คอยเฝ้าองค์ทรงธรรม์พระโรงไชย ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช เนานิเวศน์ปรางทองอันผ่องใส แสนสำราญบานราชหฤไทย อนงค์ในเคียงคู่เข้าอยู่งาน บ้างหมอบเมียงเคียงคอยชม้อยม้วน เปนนวลนวลน่าชมสมสัณฐาน บ้างกล่อมขับรับเพลงบรรเลงลาน พระสำราญรื่นเริงบรรเทิงใจ พอสายแสงสุริยาภานุมาศ ยุรยาตรออกพระโรงวินิจฉัย สถิตย์แท่นเนาวรัตน์ใต้ฉัตรไชย เสนาในหมอบเฝ้าเปนเหล่ากัน เสียงประโคมโครมครึกพิฦกก้อง ตามทำนองขันติยราชสังสรรค์ ดังจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงสุบรรณ ผันพระภักตร์ซักถามความบุรี ฯ
๏ ครานั้นพระยามหาอำมาตย์ อภิวาททูลความไปเต็มที่ ขอเดชะพระองค์ทรงธรณี อันชีวีอยู่ใต้พระบาทา บัดนี้พระโอรสยศยง ให้ขุนโจรจัตุรงค์แม่กองน่า กับหลวงศักดิเสนีศรีเสนา นำสารมาเคารพอภิวันท์ พอทูลเสร็จคลี่สารอ่านถวาย บรรยายโดยคดีขมีขมัน อ่านจบนบนิ้วบังคมคัล ตรงหน้าบัลลังก์รัตน์ชัชวาลย์ ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ดำรงวัง ได้ทรงฟังอึ้งอั้นไม่บรรหาร คนึงนึกตรึกตราเปนช้านาน มีโองการสิงหนาทประภาษมา เอออะไรลูกเราช่างเบาจิตร แพ้ความคิดข้าศึกนึกขายหน้า ทำให้เสียท่วงทีในปรีชา ดีแต่กล้าดื้อดื้อถือทนง จนเสียพระศรีสวัสดิ์น่าขัดแค้น เข้าเขตแดนอรินไยมาใหลหลง ไม่ระวังเนื้อตัวมัวทนง อ้ายขอมคงเหิมฮึกนึกดูเบา ครั้นจะนิ่งทิ้งไว้ให้กำเริบ จะโตเติบใหญ่เยี่ยมแทบเทียมเขา เขม้นหมายหยิ่งเย่อลเมอเมา โอรสเราหมิ่นประมาทถึงพลาดพลั้ง จำจะให้พระบรมราชา ยกโยธาตามไปดังใจหวัง ทำลายล้างภาราเข้าผ่าพัง คงได้ดังมโนรถหมดโพยไภย เหวยมหามนตรีขมีขมัน ไปสุพรรณภาราอย่าช้าได้ เชิญเสด็จเชษฐามาไวไว จึงรีบไปเร็วหวาอย่าช้าที ฯ
๏ ครานั้นตำรวจในได้รับสั่ง ถวายบังคมคล้อยถอยจากที่ เรียกฝีพายบ่ายหน้าลงวารี ไม่รอรีคืนหนึ่งก็ถึงพลัน ประทับท่าคลาไคลขึ้นไปเฝ้า ก้มเกล้าอัญชลีขมีขมัน ทูลว่าองค์พระทรงยศทศธรรม์ ให้เชิญเสด็จผายผันยังกรุงไกร ฯ
๏ ครานั้นพระบรมราชา ฟังเสนาทูลแจ้งแถลงไข สั่งให้จัดนาวาแล้วคลาไคล คืนหนึ่งถึงในอยุธยา เรือที่นั่งเข้าประทับกับฉนวน เสด็จด่วนแห่แหนแน่นหนา ครั้นถึงวังยั้งกระบวนด่วนลีลา เข้าพระโรงรัตนาในทันที ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ทอดพระเนตรปรีดิ์เปรมเกษมศรี เห็นเชษฐาสุริวงษ์ทรงยินดี เชิญสถิตย์ร่วมที่บัลลังก์รัตน์ ต่างองค์คำนับอภิวาท ร่วมอาศน์อดิเรกเสวตรฉัตร มนตรีเข้าเฝ้าเบียดกันเยียดยัด สองกระษัตริย์ปราไสกันไปมา ฯ
๏ ครานั้นฝ่ายพระนรินทร์ปิ่นประเทศ อยุธเยศยอดสยามภาษา ตรัสประภาษตามราชกิจจา พระนัดดาท่านไปปราบไพรี เสียฤทธิ์เหลวแหลกต้องแตกทัพ ระยำยับไพร่พลก็ป่นปี้ ท่านเอนดูกู้ภักตร์ไว้สักที ช่วยขยี้เหยียบยำให้ทำลาย ฯ
๏ ครานั้นพระบรมราชา สำรวลร่าทูลไปดังใจหมาย ศึกเพียงนี้มิพอที่จะวุ่นวาย พระหลานชายพ่ายแพ้ขอแก้มือ ทำไมกับทัพเขมรเดนเขาเลือก มีแต่เปลือกสู้ไทยจะได้ฤๅ เสียแต่หย่อนอ่อนหัดไม่ฟัดปรือ ได้ลงมือแม้นไม่สรรพไม่กลับมา อย่าได้ทรงพระวิตกยกธุระ ศึกนี้จะขอคำนับรับอาสา แต่ไพร่พลของข้าเจ้าไม่เอามา รับประทานโยธาสักหมื่นปลาย ฯ
๏ ครานั้นพระภูเบนทร์นเรนทร์สูร ยิ่งเพิ่มภูลสำราญรมย์ด้วยสมหมาย สำรวลเรียงเสียงประสานบานสบาย แล้วผันผายพจนารถ์ประภาษพลัน เหวยเสนีกรีธาพยุหะ ให้แด่พระเจ้าพี่ขมีขมัน จะยกไปกัมพูชาอีกห้าวัน ให้เกณฑ์กันไว้หวาอย่าช้าที ประภาษพลางทางเชิญพระเชษฐา เข้าปรางค์ปราปรีดิ์เปรมเกษมศรี ทรงเสวยโภชนาสาลี สถิตย์ที่มณเฑียรวิเชียรพราย ฯ
๏ ครานั้นเจ้าพระยามหาอำมาตย์ ผู้รับราชโองการให้บัตรหมาย กะเกณฑ์พวกพหลพลนิกาย แต่ตัวนายยี่สิบถ้วนกระบวนจร กองอาสาหกเหล่าเข้าบรรจบ เคยรุกรบห้าวหาญชาญสมร ไพร่สามหมื่นมีฝีมือฦๅขจร เคยราญรอนยืนยงคงกระพัน ทั้งคชาม้ามิ่งสิ่งละร้อย หมอควานคอยขับขี่ดีขยัน จ่ายอาวุธเสื้อผ้าสารพัน มาพร้อมกันเข้ากระบวนถ้วนทุกกอง ฯ
๏ ครานั้นพระบรมราชา ครั้นโยธาพร้อมพรั่งกันทั้งผอง สดวกได้ฤกษ์ยามตามทำนอง เข้าสู่ห้องแต่งองค์ทรงอาวุธ ทูลลาองค์พงศ์นรินทร์ปิ่นประเทศ พระทรงเดชยินดีเป็นที่สุด ทรงอำนวยพรประสิทธิ์ฤทธิรุท จงโค่นขุดให้แหลกแตกทำลาย ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงสุพรรณ รับพรจรจรัลด้วยจวนสาย เสด็จทรงช้างบัลลังก์ที่นั่งพลาย ให้คลี่คลายทัพโห่เปนโกลา ประโคมแซ่แตรสังข์ดังสนั่น พลขันธ์แลหลามงามสง่า เสียงครื้นครึกกึกก้องกลองประดา กระบวนน่านำออกนอกปราการ ข้ามทุ่งมุ่งหมายออกชายป่า โยธาโห่ร้าวฉาวฉาน หลายวันดั้นเดินในดงตาล ถึงสถานกองทัพที่พลับพลา ฯ
๏ ครานั้นพระเมศวรปรเมศ ทอดพระเนตรทัพใหญ่ใจหรรษา แจ้งว่าองค์ทรงฤทธิปิตุลา รีบไคลคลามารับในฉับไว ประนตนั่งบังคมประนมหัตถ์ เชิญกระษัตริย์สู่พลับพลาที่อาไศรย ทั้งโยธาทหารสำราญใจ เข้าเฝ้าไทพร้อมพรั่งดังบัญชา ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงสุพรรณ สรวลสันต์ตรัสถามตามกังขา ยังไรพ่อหน่อกระษัตริย์ผู้นัดดา ยกออกมาเสียไชยแก่ไพรี พระองค์ทรงฤทธิคิดวิตก ให้ลุงยกตามตะบึงจนถึงที่ ทำไฉนจึงได้เปลี้ยเสียท่วงที แจ้งคดีเดิมไปจะใคร่ฟัง ฯ
๏ ครานั้นพระราเมศวรราช อภิวาททูลไปดังใจหวัง ตั้งแต่ต้นจนล่าเข้าป่ารัง เหลือกำลังพลน้อยจึงถอยมา มันทั้งเมืองเนื่องหนุนขนาบไล่ จึงเสียไชยปัจจามิตรผิดนักหนา ขอพระองค์ทรงฤทธิ์ปิตุลา ให้นัดดาแก้กลได้พ้นอาย ฯ
๏ ครานั้นพระบรมราชา สำรวลร่าตอบไปดังใจหมาย ลุงมาด้วยจะได้ช่วยพระหลานชาย จะผันผายพรุ่งนี้ไปตีทัพ พระรามราชรับรองเปนกองน่า คุมโยธาล้วนฉกรรจ์ห้าพันสรรพ มีเกียกกายยกรบัตรปลัดทัพ โดยตำหรับสงครามตามมีมา ตรัสพลางสายัณห์ลงทันใด พลไกรพรั่งพร้อมล้อมแน่นหนา ตีฆ้องกองไฟใกล้พลับพลา คอยตรวจตรานั่งยามตามทำนอง ฯ
๏ ครั้นรุ่งรางส่างแสงสุริยา ไก่ป่าขานขันสนั่นก้อง น้ำค้างพรมลมชายปลายลออง ดุเหว่าร้องเร่งรัดพระสุริยง ผกากานบานแย้มแซมสาโรช ริมเขื่อนโขดบรรพตาป่าระหง แสงหิรัญพรรณรายขึ้นชายดง จัตุรงค์ต่างตื่นฟื้นกายา จัดแจงแต่งกายทั้งนายไพร่ ประจำให้เข้ากระบวนไว้ถ้วนหน้า บ้างผูกช้างพระที่นั่งอลังการ์ มารอท่ารับองค์พระทรงธรรม์ ฯ
๏ ครานั้นพระบรมราชา ชวนกระษัตริย์นัดดาขมีขมัน ประดับองค์ทรงสรรพแล้วฉับพลัน จรจรัลมาเกยรัตน์ตระบัดใจ สองพระองค์เสร็จทรงช้างที่นั่ง พร้อมสพรั่งคนแห่แลไสว โห่สนั่นครั่นครื้นยิงปีนไฟ จากค่ายใหญ่เกรียวตรงเข้าดงดอน ถึงประเทศเขตรทุ่งกรุงกัมพุช ไม่ยั้งหยุดทวยหาญชาญสมร พอราตรีอ้อมล้อมนคร โห่สท้อนปล้นปีนตีนกำแพง เสียงสนั่นครั่นครื้นยิงปืนตับ เข้ารบรับผ่าพังกำแพงแขง จุดปืนไฟไล่ล้างกันกลางแปลง ยื้อแย่งเย่าเรือนเกลื่อนทำลาย ฯ
๏ ครานั้นพระเจ้ากรุงกัมพูชา มัวหลับตาองอาจประมาทหมาย รู้สึกตนวนเวียนสิเจียนตาย ก็วุ่นวายหนีออกนอกบุรี ราษฎรร้อนจิตรไม่คิดสู้ ต่างเกรียวกรูพาลูกแลเมียหนี โยธาไทยไล่ลัดสกัดตี เสียงโศกีแซ่เสียงทั้งเวียงไชย ผัวผลัดเมียเมียพรากจากลูกผัว วิ่งแต่ตัวผู้เดียวเที่ยวร้องไห้ พวกกองทัพจับมัดด้วยขัดใจ ยกมือไหว้ท่วมหัวกลัวเต็มที ฯ
๏ ครานั้นพระบรมราชา กับกระษัตริย์นัดดาจำเริญศรี ครั้นมีไชยได้โดยสดวกดี สั่งโยธีเที่ยวประกาศราษฎร ผู้ที่มาอ่อนน้อมยอมโดยดี จะให้อยู่บุรีสโมสร ที่สู้รบหลบลี้หนีซอกซอน จงกวาดต้อนรอมชอมไปพร้อมกัน รับสั่งพลางทางพานัดดาราช เที่ยวประพาศทั่วไปในไอสวรรย์ ประทับอยู่กัมพูชาสิบห้าวัน พระทรงธรรม์กลับมายังธานี ฯ
หมดความ ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒ เรื่องศึกหงสาวดี
[แก้ไข]๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ มหาจักรพรรดิราชานาถนาถา เฉลิมวงศ์มงกุฎอยุธยา บำรุงราษฎร์สาสนาให้ถาวร พระปกเกล้าชาวบุรีเปนที่ชื่น สำราญรื่นร่มโพธิ์สโมสร มีคชาพาหนะนรินทร ห้ากุญชรเผือกผู้คู่บารมี กับเผือกพังทั้งสองล้วนผ่องแผ้ว ชาติช้างแก้วเกิดสำหรับกับกรุงศรี เปนเจ็ดช้างต่างนามล้วนงามดี อยู่โรงที่ริมปราสาทในราชวัง ตั้งพานทองรองหญ้าผลาผล ผ้ารัดกัมพลนั้นปกหลัง พเนกฟูกผูกม่านเพดานบัง หมอควานทั้งพราหมณ์กล่อมอยู่พร้อมเพรียง บ่ายสามโมงลงน้ำนำกลองชนะ ปิ๋งเปิงปะเปิงครื่มกระหึ่มเสียง เครื่องสูงสำหรับช้างสองข้างเคียง พร้อมเพรียงเพราะพระบารมี อุดมทั้งโภไคยไอสูรย์ เพิ่มภูลภิญโญดังโกสีย์ ทั้งเหนือใต้ไพร่ฟ้าประชาชี ล้วนมั่งคั่งมั่งมีต่างปรีดา อาณาจักรนัคเรศประเทศราช พึ่งพระบาทบุญฤทธิ์ทุกทิศา ทุกถิ่นฐานบ้านเมืองเลื่องฦๅชา พระเจ้าช้างเผือกมหาจักรพรรดิ ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเหล่าทหาร ต่างเริงร่านการศึกพร้อมฝึกหัด ยิงปืนทั้งช้างม้าฝึกสารพัด สนามน่าจักรวรรดิหัดทุกวัน ฯ
๏ จะกลับกล่าวถึงพระเจ้าเมืองหงษา เปนปิ่นรามัญประเทศทุกเขตรขัณฑ์ พม่าทวายฝ่ายลาวเมื่อคราวนั้น อภิวันท์หงษาพึ่งบารมี เธอทราบเรื่องเมืองไทยที่ใหญ่กว้าง มีเจ็ดช้างเผือกอยู่บุรีศรี คิดจะใคร่ได้มาไว้ธานี ให้มนตรีคิดอ่านแต่งสารตรา ฯ
๏ ครั้นเสร็จสรรพพับผนิดปิดตราแล้ว ใส่กล่องแก้วมรกฎตามยศถา ให้สมิงโยคราชมาตยา คุมไพร่ห้าสิบตรงเข้าดงตาล ยี่สิบวันดั้นเดินตามแผนที่ ถึงเจดีย์สามองค์ลงทางบ้านด่าน พบขุนพลพามาในป่าลาน เข้าแจ้งเรื่องเมืองกาญจนบุรี ฯ
๏ ฝ่ายผู้รั้งปลัดยกรบัตรแจ้ง ให้ขุนแพ่งรีบพามากรุงศรี นำเข้าหาเจ้าพระยาจักรี พร้อมอยู่ที่ศาลาว่าราชการ ให้มอญล่ามถามซักตระหนักแน่ อ่านเขียนเปลี่ยนแปลพระราชสาร เปนคำไทยได้ระเบียบแล้วเทียบทาน พนักงานนำเข้าคอยเฝ้าพลัน ฯ
๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช ปิ่นปักนัคเรศรังสรรค์ สถิตย์แท่นแม้นมหาเวชายันต์ เสมอชั้นบัณฑุกัมพล์อัมรินทร์ สาวสุรางค์นางบำเรอเสนอบาท บำรุงราชรู้เชิงบรรเทิงถวิล บ้างร้องรับขับขานประสานพิณ บำเรอปิ่นปัถพีให้ปรีดา ครั้นสายแสงสุริกาญจน์พระผ่านเกล้า เสด็จเข้าที่สรงทรงภูษา ประดับเครื่องเรืององค์อลงการ์ ออกข้างน่าพนักงานไขม่านทอง เสด็จเหนือพระที่นั่งบัลลังก์อาศน์ พร้อมมหาดเล็กฟังรับสั่งสนอง ประโคมดังสังข์แตรเสียงแซ่ซ้อง มโหรทึกกึกก้องท้องพระโรง ฝ่ายข้าเฝ้าเหล่าขุนนางต่างตำแหน่ง ก็ตกแต่งกายาล้วนอ่าโถง นุ่งสมปักชักกลีบจับจีบโจง เข้าพระโรงบังคมก้มกราบกราน ฯ
๏ เจ้าพระยาจักรีศรีสมุหะ ขอเดชะทูลความตามราชสาร เบิกทูตเข้าเฝ้าประนตบทมาลย์ อาลักษณ์พนักงานอ่านสารตรา ฯ
๏ ในลักษณพระราชสารสวัสดิ์ จอมกระษัตริย์ซึ่งดำรงเมืองหงษา ทรงพระยศทศธรรม์กรุณา ให้เย็นใจไพร่ฟ้าประชาชี มีเมืองน้อยร้อยเอ็ดเปนเขตรขอบ มานบนอบน้อมประนตบทศรี กับกรุงเทพวาราวดี เปนทางราชไมตรีได้มีมา ทราบว่าองค์ทรงยศมีคชเรศ ล้วนเผือกผู้คู่พระเดชพระเชษฐา เสมอบุญจุลจักรทรงศักดา จนฦๅชาปรากฏบทมาลย์ เมืองหงษาวดีที่ใหญ่กว้าง ไม่มีช้างเผือกผู้คู่ถิ่นฐาน ขอพระองค์ทรงมหาปรีชาชาญ โปรดประทานให้น้องสักสองช้าง จะฦๅนามงามภักตร์สูงศักดิ์แสง สมประเทศเขตรแขวงที่กว้างขวาง ให้ร่วมแดนแผ่นดินร่วมถิ่นทาง ขอพระองค์จงสร้างทางไมตรี แม้นทรงศักดิ์รักข้างช้างเผือกผู้ ไม่ช่วยชูภักตร์น้องจะหมองศรี กรุงอยุธยากับหงษาวดี จะขาดราชไมตรีซึ่งมีมา ฯ
๏ พอจบสารกรานกราบพระทราบเรื่อง ให้ขุ่นเคืองในพระไทยแต่ไม่ว่า ให้จ่ายเสบียงเลี้ยงดูพวกทูตา แล้วตรองตรึกปฤกษาเสนาใน ซึ่งหงษามาขอช้างเผือกผู้ จงคิดดูใครจะเห็นเปนไฉน จะแขงอ่อนผ่อนผันทำฉันใด เร่งตรึกไตรใคร่ครวญให้ควรการ ฯ
๏ ฝ่ายเสนาข้ารองลอองบาท อยู่พร้อมพรั่งทั้งมหาดไทยทหาร ต่างปฤกษาว่าแต่ก่อนเคยรอนราญ กับผู้ผ่านหงษาเจ้ารามัญ จับลูกเธอทั้งสองพี่น้องได้ ก็คุมไว้ไม่ฆ่าให้อาสัญ เมื่อโปรดให้ไปขอพระหน่อนั้น เจ้ารามัญคืนให้เปนไมตรี เดี๋ยวนี้เล่าเขาขอคชสาร ควรประทานหงษาเปนราษี แม้นไม่ให้เห็นจะมารบราวี ในธานีก็คงเกิดสงคราม ฯ
๏ ฝ่ายพระราเมศวรพระยาจักรี พระสุนทรอยู่ที่เฝ้าทั้งสาม ต่างปฤกษาว่จะให้เห็นไม่งาม จะลวนลามล่วงประมาทบาทยุคล จึงทูลว่าข้าพเจ้าทั้งสามนี้ เห็นไม่สมควรที่ให้ช้างต้น ที่ไมตรีมีแต่ก่อนได้ผ่อนปรน ให้ช้างดีศรีมงคลทวีปไป ถึงสองช้างข้างมอญพม่านั้น จะขี่ขับสับฟันไม่หวั่นไหว จึงคืนให้ไว้กับเราก็เอาไว้ เราได้ให้ได้มีไมตรีกัน ช้างเผือกผู้คู่บุญทูลกระหม่อม มิควรยอมให้ไปจากไอสวรรย์ เหมือกลัวดีฝีมือพวกรามัญ จะเสียชั้นเชิงมอญเพราะอ่อนตาม แม้นหงษามาตีบุรีเรา ข้าพเจ้าพร้อมพรั่งกันทั้งสาม ขออาสาพระองค์ออกสงคราม มิให้ลามล่วงมาถึงธานี ฯ
๏ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินปิ่นพิภพ หมายจะรบรับศึกไม่นึกหนี จึงตรัสสั่งทั้งสามว่าตามที ให้เสนีที่ชำนาญแต่สารตรา เปนความตอบมอบสมิงโยคราช บังคมลาฝ่าพระบาทนาถนาถา กับไพร่ห้าสิบถ้วนด่วนเดินมา ถึงหงษาเข้าฝ้าเจ้าธานี กราบทูลความตามราชสารตอบ แล้วนอบน้อมประนตบทศรี ฝ่ายเสนารามัญอัญชลี แล้วก็คลี่ราชสารออกอ่านพลัน ฯ
๏ ในสารว่าพระมหาจักรพรรดิ เจ้าจังหวัดเวียงไชยไอสวรรย์ เฉลิมวงศ์ทรงยศทศธรรม์ ครองเขตรขัณฑ์กรุงทวาราวดี ซึ่งพระน้องต้องประสงค์ข้างเผือกผู้ เปนของคู่บุญบำรุงชาวกรุงศรี อันวิไสยในจังหวัดปัถพี ผู้ใดมีบุญญากฤดาการ จึงย่อมจักเกิดช้างแลนางแก้ว ใช่บุญแล้วถึงจะได้ไว้ถิ่นฐาน ไม่รุ่งเรืองเครื่องจะอันตรธาน เหมือนบุราณท่านเปรียบทำเนียบความ ประเวณีมีบุญการุญโลก อุประโภคโภไคยก็ไม่หลาม มีม้าแก้วแล้วมีช้างมีนางงาม ศึกสงครามก็มักมาถึงธานี ซึ่งมิได้ให้ช้างเผือกไปเลี้ยง เพราะผิดเยี่ยงอย่างพระน้องอย่าหมองศรี เชิญดำรงหงษาประชาชี จะได้มีเกียรติยศปรากฏไป ฯ
๏ พอจบสารอ่านแสนแค้นเคืองขุ่น ให้หมกมุ่นโมโหเสโทไหล จะฮึกฮักยักเยื้องเจ้าเมืองไทย จะไปไล่ลุยล้างชิงช้างมา ยิ่งฮึดฮัดตรัสสั่งมังสุระ บอกอังวะทวายเชียงใหม่หวา เดือนสิบสองจะไปตีศรีอยุธยา ใครไม่มาเหมือนหมายจะวายปราณ เกณฑ์ให้ทั่วหัวเมืองเครื่องรบพุ่ง เร่งบำรุงช้างม้าโยธาทหาร มังสุระประนมก้มกราบกราน หมายประกาศราชการทุกบ้านเมือง ฯ
๏ พอถึงเดือนสิบสองพวกกองทัพ ต่างต้อนขับเกวียนต่างม้าช้างเครื่อง เมืองปรอนแปรแซ่ซ้องมานองเนือง เมืองเสี่ยงเมืองเมาะตมะมะลำเลิง เมืองตองอูภุกามเมืองบัวเผื่อน มากลาดเกลื่อนเมืองพสิมเมืองิมตะเคลิ่ง เชียงใหม่ทั้งอังวะเมืองละเคิง มาสิ้นเชิงทั้งจิตตองกองทวาย รวบรวมล้อมพร้อมเข้าสิบเก้าหมื่น หอกดาบปืนพร้อมหมดเหมือนกฎหมาย ทั้งเกวียนต่างช้างม้ามามากมาย พม่าทวายมอญลาวเฝ้าพร้อมกัน ฯ
๏ ฝ่ายพระองค์หงษาตรึกตราตรัส อันจังหวัดเมืองไทยไอสวรรย์ มีทุ่งลำน้ำรอบเปนขอบคัน ดูเหมือนกันกับลงกากลางสาชล มีเรื่องราวคราวพระรามข้ามทหาร ต้องคิดการถมน้ำทำถนน ครั้งนี้เราเล่าจะไปพร้อมไพร่พล ต้องคิดกลการปีจึงมีไชย ด้วยเมืองรายฝ่ายเหนือเมืองไทยนั้น แม่น้ำคั่นเขาขวางล้วนกว้างใหญ่ เมืองพิจิตรพิศณุโลกศุโขไทย เมืองพิไชยเมืองกำแพงระแหงนั้น จะระดมสมทบช่วยรบพุ่ง ป้องกันกรุงเทพเหมือนดังเขื่อนขัณฑ์ ทั้งเข้าน้ำลำเลียงพร้อมเพรียงกัน เปนที่มั่นกันศรีอยุธยา เราตีให้ได้ก่อนพักผ่อนตั้ง จะย่อหย่อนอ่อนกำลังลงหนักหนา จะได้ไทยได้ทั้งช้างเผือกมา ท้าวพระยาใครจะเห็นเปนอย่างไร ฯ
๏ เจ้าอังวะพระเจ้าแปรบุตรเขยหลาน เหล่าทหารพร้อมเพรียงทั้งเชียงใหม่ ต่างบังคมชมพระปัญญาไว เห็นจะได้กรุงทวาราวดี ฯ