ไซอิ๋ว/เล่ม ๔/ตอน ๙๕

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑๕–๒๙ สารบัญ



ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเดินตามเสด็จเข้าไปยังพระตำหนักใน ได้ยินเสียงพิณพาทย์มโหรีขับขานประสานเสียงออกแซ่ไป แลมีกลิ่นสุคันธรสหอมระรื่นฟุ้งตระหลบไปทั้งตำหนัก พระถังซัมจั๋งก้มหน้าสำรวมเดิน มิได้อาจแลเหลียว เห้งเจียเห็นดังนั้นก็คลายบันเทิงใจ เกาะไหล่อาจารย์อยู่ แลพิจารณาดูโดยกำลังทิพจักษุญาณทุก ๆ แห่ง เห้งเจียเห็นอาจารย์จิตใจไม่หวั่นหวาด ก็นึกสรรเสริญว่า เป็นสมณะจริง จิตตั้งอยู่ในความสงบระงับ ไม่มีความกำหนัดยินดีในกามคุณ บัดเดี๋ยว แลไปก็เห็นพระมเหสี แลนางสนมเอกโท กับสาวใช้นางใน พากันแห่ห้อมล้อมนางกงจู๊ออกมารับเสด็จ นางทั้งหลายถวายบังคมพร้อมกันว่า พระเจ้าหมื่นปี ๆ พระถังซัมจั๋งจิตใจให้รัวสั่นสะทกสะท้านพะว้าพะวังหาที่ตั้งมิได้ เห้งเจียเหลือบไปเห็นนางกงจู๊บนศีรษะมีไอปิศาจยักษ์พลุ่งขึ้น แต่หาสู้ร้ายแรงนักไม่ จึงกระซิบบอกพระอาจารย์ว่า นางกงจู๊นั้นปลอม มิใช่จริง พระถังซัมจั๋งว่า ถ้าจริงดังว่า ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นจริงเล่า เห้งเจียว่า ถ้าอยากจะให้รู้ชัด ต้องกลับเป็นรูปเดิม จึงจะจับมันได้ พระถังซัมจั๋งห้ามว่า ไม่ได้ พระเจ้าแผ่นดินจะตกพระทัย วุ่นวายกันไปทั้งวัง รอให้เสด็จกลับไปยังที่ แล้วจึงค่อยแผลงฤทธิ์เดชอานุภาพต่อภายหลัง

ฝ่ายเห้งเจียเป็นคนใจร้อน รออยู่ไม่ได้ ก็ไหวกายกลายกลับเป็นรูปเดิม ร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง กระโดดมาจับยึดเสื้อนางกงจู๊ ด่าว่า อีรากษสยักษ์ร้าย มึงทำเล่ห์กลแอบแฝงสำราญอยู่ในนี้ยังไม่พอ ทำกลอุบายหลอกลวงอาจารย์เราคิดทำลายพรหมจรรย์ สันดานมึงช่างเต็มไปแต่ด้วยกามราคะ ไม่รู้สึกโทษที่จะต้องไปทนทุกข์ในนรกเลย

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้เห็นแลได้ยินดังนั้นก็ตกพระทัย นางฮ่องเฮ้าแลนางสนมกำนัลก็พากันตกใจล้มคว่ำล้มหงายไม่เป็นสมปฤดี บ้างก็วิ่งหนีซ่อนเร้นเอาตัวรอด พระถังซัมจั๋งก็ระรัวสั่นไปทั้งกาย เข้าประคองพระเจ้าแผ่นดิน ทูลว่า พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย นี่คือศิษย์ของอาตมภาพแผลงฤทธิ์เพื่อจะใคร่รู้เท็จจริง

ฝ่ายนางกงจู๊ปิศาจปลอมเห็นไม่สมคิดแน่แล้ว ก็ถอดเครื่องแต่งตัวทั้งเสื้อผ้าฉีกทิ้งเสีย สลัดหลุดจากมือเห้งเจีย วิ่งหนีไปในสวนดอกไม้ เข้าศาลพระภูมิ ได้ตระบองสั้นอันหนึ่ง หวนกลับมาเข้ารบกับเห้งเจีย เห้งเจียก็ชักตระบองเหล็กออกรบกับปิศาจ ต่างออกกำลังรบกันกึกก้องโกลาหลที่ในสวนดอกไม้ แล้วแผลงฤทธิ์เหาะขึ้นบนอากาศ รบกันสนั่นหวั่นไหว พวกชาวเมืองต่างก็ตกใจไหวหวั่นครั่นคร้าม พระถังซัมจั๋งร้องว่า ขอพระองค์อย่าได้ตกพระทัยไปเลย แล้วบอกพวกสาวสวรรค์กำนัลในว่า นางกงจู๊ของท่านนั้นเป็นปิศาจปลอมเข้ามาอยู่ ส่วนบุตรของท่านนั้น คอยให้ศิษย์ของอาตมภาพจับปิศาจได้ แล้วจึงไปรับกงจู๊ที่จริงนั้นให้ จึงจะรู้เหตุผลเอาเป็นจริงแน่ได้

ฝ่ายนางในได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดบอกดังนั้น ก็ค่อยได้สติ คลายจากความหวาดเสียว นางกำนัลจึงไปเก็บเอาเสื้อผ้าที่นางกงจู๊ถอดทิ้งไว้ให้นางฮ่องเฮ้าดู แล้วพูดว่า นางถอดทิ้งไว้นี้ บัดนี้ ขึ้นไปรบอยู่กับสานุศิษย์ของพระที่บนอากาศ คงจะเป็นปิศาจแน่ เวลานั้น พระเจ้าแผ่นดิน กับฮ่องเฮ้า แลนางในทั้งหลาย ก็ค่อยได้สติ หายกลัว พากันแลดูบนอากาศ

ฝ่ายปิศาจกับเห้งเจียรบกันยังไม่แพ้แลชนะ เห้งเจียจึงร้องขึ้นคำหนึ่ง แกว่งตระบองร้องให้แปลง ตระบองก็มีมานับหมื่นอัน ควงแกว่งดุจงูแลมังกร โลดโผนเข้ารุกไล่ตีนางปิศาจโดยสามารถ นางปิศาจเหลือกำลังที่จะรบรอต่อยุทธ์ แล้วก็ไหวกายบันดาลเป็นสายลมเขียวหนีไปทางทิศปราจีน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เรียกตระบองคืนกลับเข้าตัว แล้วจึงเหาะขึ้นบนอากาศ รีบไล่ตามนางปิศาจไป เห้งเจียเหาะตามนางปิศาจกระชั้นมา จวนใกล้ประตูสวรรค์ไซทีหมึง แลไปก็เห็นธงทิวปลิวสลับสลอนยืนขวางหน้าอยู่ เห้งเจียจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งหลายที่เฝ้าประตูสวรรค์นั้น จงช่วยสกัดจับอีมารร้าย อย่าให้หนีไปได้

ฝ่ายหมู่เทพยดา คือ ท้าวจตุราชฮูก๊กทีอ๋อง กับนายทหารทั้งสี่นาย ได้ยินเห้งเจียร้องมาดังนั้น ต่างก็เตรียมอาวุธรายกันออกคอยสกัดกั้นไว้

ฝ่ายนางปิศาจเห็นจวนตัว จะหนีไปก็มิได้ จึงหวนกลับมารบแก่เห้งเจียโดยสามารถ มิได้คิดแก่ชีวิต นางปิศาจถือตระบองสั้นเข้าตะลุมบอน เห้งเจียถือตระบองวิเศษเข้ารอรบแก่นางปิศาจโดยแข็งแรง เห้งเจียรบพลางพิจารณาดูตระบองของนางปิศาจ เห็นข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่งใหญ่ดุจดังว่าไม้สากตำข้าว เห้งเจียจึงตวาดถามด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ย นางปิศาจ เอ็งถืออาวุธอันใดมาต่อสู้แก่เรา นางปิศาจเมื่อได้ยินเห้งเจียร้องถามมาดังนั้นจึงตอบว่า ถ้าท่านอยากจะรู้ จงเงี่ยหูลงฟัง เราจะบอกให้ อาวุธอันนี้เทพยดาประกอบธาตุอันวิเศษให้ ประกอบด้วยมูลสันดานของเราอยู่บนสวรรค์ มีสีสว่างไสวประกอบไปด้วยฤดูสี่ คือ ชุนเห้ชิวตัง บัดนี้ อยู่กับเราบนวิมานพระจันทร์ คือ เป็นหินบดวิเศษอันหนึ่ง หากว่าตีมนุษย์ทีหนึ่งจะถึงแก่ความตาย เห้งเจียได้ฟังนางปิศาจเล่าให้ฟังดังนั้น ก็หัวเราะก๊ากใหญ่ แล้วจึงพูดว่า อ่อ ดังนั้นดอกหรือ อีเดรัจฉาน หากมึงอยู่ในดวงพระจันทร์จริงดังนั้น ทำไมเอ็งจึงไม่รู้จักฝีมือเรา จึงบังอาจสามารถมาต่อสู้แก่เราเล่า เจ้าจงรีบยอมเสียโดยดี เราจะไว้ชีวิตเจ้าให้ยาวยืนต่อไปอีกสิ้นกาลนาน นางปิศาจได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงพูดว่า เราจำได้ว่า เมื่อห้าร้อยปีก่อน ท่านขึ้นไปทำวุ่นวายจลาจลบนสวรรค์ มีนามเรียกว่า เป๊กเบ๊อุน คนเฝ้าม้า มิใช่หรือ อันความจริงก็ไม่ควรจะผ่อนผันยอมแพ้ท่าน เพราะด้วยทำลายการสามีภริยาเขา ความพยาบาทดุจฆ่าบิดามารดา เพราฉะนั้น จึงต้องคิดต่อสู้กว่าชีวิตจะหาไม่ เห้งเจียได้ฟังปิศาจว่าดังนั้น ก็ยิ่งบันดาลโทสะคั่งแค้น แกว่งตระบองจ้วงโถมเข้าตีรัน นางปิศาจก็ยกไม้หินบดขึ้นต่อสู้รอรบแก่เห้งเจียโดยสามารถ รบรอต่อสู้กันอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์น่ำทีหมึงประมาณยี่สิบเพลง นางปิศาจเห็นว่า จะเอาชัยชนะเห้งเจียมิได้ ก็ยกหินบดฟาดไปทีหนึ่ง บันดาลเป็นแสงสว่างร้อยพันหมื่นสาย แล้วก็รีบหนีไปทางทิศอาคเนย์ เห้งเจียก็ไล่ติดตามมา บัดเดี๋ยว มาถึงภูเขาหนึ่ง ปิศาจก็บันดาลแสงสว่างสูญหายลงไปในยอดภูเขานั้น เห้งเจียเที่ยวค้นหาก็ไม่พบเห็น มีความสงสัยแลวิตกเกรงว่า ปิศาจจะหวนกลับแอบไปในเมือง จะทำร้ายแก่พระอาจารย์ เห้งเจียดำริดังนั้นแล้วก็พิจารณาดู จำภูเขานั้นได้แล้วก็รีบเหาะกลับไปยังเมือง เวลานั้นประมาณเวลาบ่ายสี่โมงเศษ

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน กับพระมเหสี แลพระสนมนางกำนัลใน กำลังสะดุ้งตกใจครั่นคร้ามกลัวอยู่ด้วยกันทุกคน แลเห็นเห้งเจียยืนอยู่บนเมฆลอยลงมาเรียกพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้ามาแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า เห้งเจียจงหยุดก่อน อย่าเพ่อเข้ามาทำให้วุ่นวาย พระเจ้าแผ่นดินจะตกพระทัย แล้วพระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียต่อไปว่า ท่านไปตามกงจู๊ปลอมนั้นได้ความประการใด

เห้งเจียยืนพนมมืออยู่ข้างนอกตำหนัก ตอบว่า อีนางกงจู๊ปลอมนั้น คือ ปิศาจแปลงตัว ข้าพเจ้ารบแก่มัน มันสู้ไม่ได้ พ่ายแพ้หนีไป ข้าพเจ้าได้ตามไปถึงภูเขาแห่งหนึ่ง ปิศาจนั้นก็สูญหายไป ข้าพเจ้าได้เที่ยวค้นหาก็มิได้พบเห็น ข้าพเจ้าวิตกเกรงว่า มันจะกลับวกมาทำร้ายแก่อาจารย์ จึงได้รับเหาะกลับมา พระเจ้าแผ่นดินเมื่อพระองค์ได้ทรงฟังเห้งเจียพูดแก่พระถังซัมจั๋งดังนั้น พระองค์จึงยึดพระถังซัมจั๋งไว้ แล้วถามว่า ก็นางนั้นเป็นปิศาจแล้ว ส่วนบุตรีแห่งข้าพเจ้าไปอยู่แห่งใดเล่า เห้งเจียจึงทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า รอให้ข้าพเจ้าจับปิศาจได้ก่อน แล้วกงจู๊ของพระองค์ก็คงจะได้กลับคืนมา ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย

ฝ่ายพระมเหสีกับสนมนารีทั้งปวง เมื่อได้ฟังเห้งเจียทูลแก่พระเจ้าแผ่นดินดังนั้น ก็ค่อยคลายความหวาดเสียว ทุก ๆ คนพากันมาคำนับเห้งเจีย แล้วจึงพูดว่า ขอท่านผู้วิเศษให้นางกงจู๊กลับมาได้ดังว่าแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายจะขอบพระเดชพระคุณท่านเป็นที่ยิ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ที่ในราชวังในนี้ ข้าพเจ้าไม่ควรจะคิดการ ขอพระองค์ได้โปรดพาพระอาจารย์ออกไปข้างนอกที่ราชการเฝ้า ให้นางในกลับเข้าไปเสียข้างใน แลเรียกน้องของข้าพเจ้าทั้งสองคนมารักษาอาจารย์ ข้าพเจ้าจะได้กลับไปจับนางปิศาจนั้นมาให้จงได้ ทั้งจะได้ปรากฏในความชอบของข้าพเจ้า พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็มีความยินดี พร้อมด้วยพระถังซัมจั๋งเสด็จออกมายังท้องพระโรงที่ออกขุนนาง ฝ่ายพระมเหสีแลนางสนมก็กลับเข้าพระราชวังใน พระองค์จึงรับสั่งแก่เจ้าพนักงานจัดเครื่องมาเลี้ยงเห้งเจีย แลรับสั่งให้หาตัวโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง เข้ามาเฝ้า เห้งเจียสั่งเสียน้องทั้งสองคนให้ดูแลเอาใจใส่รักษาพระอาจารย์ทุกประการแล้ว เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศหมายทิศอาคเนย์ บัดเดี๋ยวก็มาถึงยอดเขา เที่ยวสอดส่องค้นหาปิศาจ

ฝ่ายนางปิศาจ เมื่อหนีเห้งเจียมาลงที่เขาแล้ว ก็มุดเข้าไปในถ้ำ เอาศิลามาปิดปากถ้ำ ซ่อนตัวอยู่ในนั้นมิได้ออกมา เห้งเจียเที่ยวค้นหาพักหนึ่งไม่เห็นปิศาจ ก็มีความร้อนใจ จึงร่ายมนตร์เรียกเจ้าเขาเจ้าที่มาในทันใดนั้น เห้งเจียจึงถามว่า ภูเขานี้เรียกว่า ภูเขาอะไร ในตำบลนี้มีปิศาจมากน้อยเท่าใด จงบอกมาโดยเร็วแต่ตามจริง เจ้าทั้งสองคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า ขอท่านได้ทราบ อันภูเขานี้มีนามเรียกว่า ม้อเถ้าซัว ที่เขานี้มีรังกระต่ายอยู่สามแห่ง ดั้งเดิมมาก็ไม่มีปิศาจยักษ์มาร เป็นที่ชัยภูมิงามดี ไม่มีปิศาจ ยักษ์ร้ายหามิได้ แม้ท่านจะไปหาปิศาจยักษ์ร้าย ก็จงไปหาทางทิศไซทีเถิดจึงจะมี เห้งเจียพูดว่า เราพึ่งขับไล่ปิศาจมาเดี๋ยวนี้ ทำไมจึงว่า ไม่เห็นปิศาจเล่า เจ้าเขาเจ้าที่ทั้งสองได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นำเห้งเจียไปที่รังกระต่ายสามแห่งนั้น ค้นหาปิศาจที่เชิงเขาก่อน เห็นมีกระต่ายสองสามตัวเที่ยวกินหญ้าอยู่ เห็นคนมากระต่ายก็ตกใจวิ่งหนีไป แล้วพาไปหาที่บนยอดเขา แลไปก็เห็นปากถ้ำมีศิลาใหญ่ปกปิดอยู่แน่นหนา เจ้าเขาเจ้าที่ทั้งสองจึงชี้ว่า เห็นปิศาจจะอยู่ในถ้ำนี้เป็นแน่แล้ว จงงัดเอาก้อนศิลานั้นออกเข้าไปค้นดูเถิด เห้งเจียจึงเอาตระบองงัดก้อนศิลาที่ปิดปากถ้ำอยู่นั้น ออกแล้วก็จะเข้าไปค้นดู

ฝ่ายนางปิศาจซึ่งเข้าไปซ่อนอยู่ในถ้ำ ครั้นได้ยินเสียงประตูทลายลงดังนั้น ก็ร้องตวาดออกมาด้วยเสียงอันดัง มือก็ถือลูกหินบดกระโดดออกมาตีเอาเห้งเจีย เห้งเจียก็แกว่งตระบองรับรบกัน เจ้าเขาเจ้าที่เห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันหนีไปเที่ยวซุกซ่อนตัว นางปิศาจก็ด่าว่าเจ้าเขาเจ้าที่ว่า นำพาเห้งเจียมาค้นหา จึงได้มาพบปะฉะนี้ ปากก็บ่นว่า มือก็รบแก่เห้งเจีย แล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ เวลานั้นก็จวนจะพลบค่ำ ได้ยินเสียงบนอากาศร้องลงมาว่า ท่านไต้เซียอย่าเพ่อลงมือก่อน เห้งเจียหันไปดูก็เห็นท้ายอิมแช คือ พระจันทร์ มีนางฟ้าแห่ห้อมล้อมเป็นบริวาร เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ย่อตัวคำนับถามว่า ท่านท้ายอิมจะไปข้างไหนด้วยหรือ ท้ายอิมตอบว่า ปิศาจที่สู้รบอยู่แก่ท่านนั้น คือ นางกระต่ายที่อยู่ในตำหนักพระจันทร์ในห้องยาทิพย์ มันลักหินบดหนีมา ข้าพเจ้าเห็นว่า มันจะถึงที่ตายเสียวันนี้แล้ว จึงได้ตามมาเพื่อจะช่วยชีวิตมันให้รอดอยู่ก่อน ขอท่านไต้เซียได้อนุญาตยกโทษมันให้แก่ข้าพเจ้าเถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านท้ายอิมได้ออกปากขอแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ แต่มันทำผิด ได้ลักนางกงจู๊ พระราชบุตรีของพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก ไปซ่อนไว้ แล้วแปลงรูปปลอมเป็นนางกงจู๊ คิดจะทำลายพรหมจรรย์พระอาจารย์ของข้าพเจ้า อันโทษนั้นก็ยากที่จะผ่อนผันให้มันได้ ท้ายอิมแชได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ท่านไต้เซียยังไม่ทราบถึงเหตุเดิม อันกงจู๊นั้นมิใช่คนในมนุษยโลก เดิมทีเป็นนางฟ้าอยู่ในองค์พระจันทร์ จุติลงมาเกิดเป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก นางกระต่ายนั้นมีความพยาบาท ด้วยเมื่อยี่สิบปีก่อน นางกงจู๊ตบเอานางกระต่าย นางกระต่ายจึงได้หนีตามลงมาแก้แค้นลักนางกงจู๊ไปทิ้งไว้นอกเมือง ข้อที่นางกระต่ายจะคิดทำลายพรหมจรรย์ของพระถังซัมจั๋งนั้น ท่านไต้เซียก็ได้ช่วยแก้ไขตัดรอนได้แล้ว ก็ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ความเสียหาย เพราะฉะนั้น ขอท่านไต้เซียได้เห็นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด โปรดยกโทษให้แก่มัน ข้าพเจ้าจะได้พากลับไปสวรรค์ตามเดิม เห้งเจียไดฟังท้ายอิมแชว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า หากมีมรรคผลอบรมดังนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่อาจขัดได้ แต่วิตกว่า ท่านพานางกระต่ายไปแล้ว เกรงเจ้าเมืองเทียนเต๊กก๊กจะไม่เชื่อข้าพเจ้า ขอท่านท้ายอิมแชได้พานางฟ้าพร้อมด้วยนางกระต่ายไปยังเมืองเทียนเต๊กก๊ก ให้เจ้าแผ่นดินแลขุนนางราษฎรเห็นเป็นพยาน จะได้แจ่มแจ้งซึ่งฝีมือแลกำลังอำนาจแห่งข้าพเจ้า แลจะได้ปรากฏว่า เดิมนางกงจู๊อยู่บนสวรรค์ ได้จุติลงมาเอากำเนิดในมนุษยโลก จะได้ทราบซึ่งเหตุผลเวรกรรมของนางกงจู๊ว่า เป็นประการใด ท้ายอิมแชได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงเอามือชี้นางปิศาจร้องตวาดว่า ยังไม่คิดกลับตัวอีกหรือ ปิศาจก็กลับกลายไปเป็นกระต่ายตามเดิม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดี เหาะนำหน้าตรงมายังเมือง ท้ายอิมแชกุนก็นำฝูงนางฟ้าแลนางกระต่ายเหาะตามเห้งเจียมายังเมืองเทียนเต๊กก๊ก เวลานั้นก็พลบค่ำ แสงจันทร์กระจ่างในท้องฟ้า เจ้าเมืองเทียนเต๊กก๊กกับพระถังซัมจั๋งแลเห็นข้างทิศอาคเนย์มีแสงสว่างดุจกลางวัน แลได้ยินเสียงเห้งเจียเรียกแลบอกว่า ให้เชิญพระมเหสีกับสนมนางในออกมาดดู ที่ในกลดนั้น คือ ท่านท้ายอิมแชกุน พระจันทร์ สองข้างที่ห้อมล้อมมานั้น คือ นางเทพธิดา นางกระต่ายนั้น คือ ปิศาจที่แปลงเป็นนางกงจู๊ บัดนี้ กลับเป็นรูปเดิม พระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊กเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงรับสั่งให้พระมเหสีแลสนมนางในออกมากระทำนมัสการ ทั้งขุนนางข้าราชการก็พากันคุกเข่าลงคำนับทุก ๆ คน ราษฎรพลเมืองก็พากันตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบูชาทุกบ้านเรือน

ฝ่ายโป๊ยก่ายนิสัยตนหนักอยู่ในการกำหนัด ยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส เมื่อได้เห็นนางฟ้ามาดังนั้น ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศตรงเข้าจับต้องนางฟ้าแลพูดจาเล้าโลมด้วยจิตกำหนัด เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงจับมือโป๊ยก่ายไว้แล้วก็ด่าว่า อ้ายหมูกินรำ เหตุไฉนจึงมาทำการหยาบช้าลามกดังนี้ เห็นสมควรแก่เราที่เป็นบรรพชิตผู้ถือบวชแลหรือไฉน โป๊ยก่ายได้สติรู้สึกจึงตอบแก้ตัวว่า เปล่า หยอกเอินเล่นนิดหน่อยเท่านั้นพอแก้รำคาญ ด้วยนานแล้วมิได้พบปะกัน เห้งเจียจับโป๊ยก่ายลากแล้วผลักให้ลงมายังพระธรณี

ฝ่ายท่านท้ายอิมแชกุนครั้นเสร็จธุระแล้วก็เคลื่อนที่พานางฟ้ากับนางกระต่ายกลับไปยังสถานวิมานสวรรค์ เห้งเจียก็ลงมายังพื้น พระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊กก็มาคำนับขอบคุณเห้งเจีย ตรัสว่า ข้าพเจ้าได้พึ่งท่านผู้วิเศษอันมีฤทธานุภาพ จึงได้ปราบปิศาจได้ อันบุตรีสาวของข้าพเจ้านั้น บัดนี้ อยู่แห่งหนตำบลใดเล่า เห้งเจียตอบว่า อันนางกงจู๊ราชบุตรแห่งท่านนั้นหาใช่คนในมนุษยโลกนี้ไม่ คือ นางฟ้าอยู่ในตำหนักพระจันทร์ เดิมเมื่อยี่สิบปีก่อน นางได้ตบนางกระต่ายทีหนึ่ง นางจึงได้จุติลงมาเอากำเนิดในมนุษยโลกนี้ นางกระต่ายมีความพยาบาท จึงหนีลงมาจากสวรรค์ จึงได้แปลงตัวมาจับนางกงจู๊ไปทิ้งนอกเมือง นางกระต่ายจึงได้แปลงตัวเข้ามาอยู่หลอกลวงพระองค์ตามเหตุผลที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ตามท่านท้ายอิมแชกุนบอกเล่า มาวันนี้ จับนางปิศาจได้แล้ว พรุ่งนี้ จึงจะไปรับพระราชบุตรีของพระองค์มา พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็ทรงพระกันแสงโดยทรงพระอาลัยถึงพระราชธิดา บิดาไม่รู้ว่า ลูกจะไปอยู่แห่งหนตำบลใด เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะ แล้วจึงทูลว่า พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกไปเลย อันราชธิดาของพระองค์นั้น บัดนี้ อยู่ที่วัดเป๊ากิมยี่ เวลานี้ก็ค่ำมืดแล้ว ต่อเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปนำนางกงจู๊มาถวายพระองค์ พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย

ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการทั้งหลายพร้อมกันคุกเข่าลงกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ด้วยท่านผู้วิเศษทั้งหลายนี้รู้เหตุผลต้นปลายทั้งอดีต อนาคต แลประจุบันกาล ทั้งเหาะเหินเดินอากาศได้ คงจะสามารถนำพระราชบุตรีของพระองค์มาถวายได้เป็นแท้ พระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้ทรงฟังพวกขุนนางทูลดังนั้น ก็ค่อยบรรเทาความโศก จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์เข้าพักในตำหนักเล่าชุนเต๊งในคืนวันนั้น ครั้นรุ่งเช้า ก็เสด็จออกขุนนาง รับสั่งให้ขันทีพาพระถังซัมจั๋งมาเฝ้าพร้อมกันกับศิษย์ทั้งสาม จึงตรัสถามว่า ท่านจะโปรดประการใด จึงจะได้นางกงจู๊ บุตรีของข้าพเจ้า คืนมา พระถังซัมจั๋งจึงยกกรณีเหตุซึ่งนางกงจู๊ตกอยู่ที่วัดเป๊ากิมยี่ให้พระเจ้าแผ่นดินฟังทุกประการ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระกันแสง ทั้งพระมเหสีและสนมนารีก็พากันร้องไห้ มิอาจอดกลั้นความโศกได้ พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามพระถังซัมจั๋งว่า วัดเป๊ากิมยี่มีระยะทางใกล้ไกลสักเท่าไร พระถังซัมจั๋งทูลว่า ประมาณหกร้อยเส้น จึงพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่รักษาพระนคร ส่วนพระองค์ กับพระมเหสี แลนางสนมกรมใน ข้าราชการ แลพระถังซัมจั๋ง กับสานุศิษย์ทั้งสาม เสด็จออกจากพระราชวัง

ฝ่ายเห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศไปถึงวัดก่อน หมู่พระสงฆ์ในวัดเห็นเห้งเจียมา ต่างองค์ก็มาคำนับ ถามว่า เมื่อท่านไปก็เห็นเดินดินไปกับท่านทั้งสาม วันนี้ ทำไมจึงลงมาจากอากาศแต่ผู้เดียวเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วถามว่า ท่านเจ้าวัดอยู่หรือไม่ นิมนต์ออกมาจัดตั้งที่บูชารับเสด็จพระเจ้าแผ่นดินเทียนเต๊กก๊ก ด้วยพระมเหสี แลขุนนาง ข้าราชการ แลพระอาจารย์ของข้าพเจ้า ก็ตามเสด็จมาด้วยพร้อมกัน พระสงฆ์ทั้งหลายหาทราบเหตุการณ์ไม่ จึงเข้าไปนิมนต์เจ้าวัดออกมา เจ้าอธิการเห็นเห้งเจีย ก็ย่อตัวปราศรัยถามว่า เรื่องนางกงจู๊นั้นเป็นประการใดหรือ เห้งเจียก็เล่าให้เจ้าอธิการฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ เจ้าวัดยกมือขึ้นขอบใจเห้งเจีย เห้งเจียบอกว่า ท่านอย่าช้า ท่านรีบตั้งเครื่องบูชารับพระเจ้าแผ่นดินเถิด พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังจึงเข้าใจว่า ที่ลั่นกุญแจไว้ในห้องนั้น คือ กงจู๊ พระสงฆ์ทุก ๆ รูปก็พากันตกใจ ต่างก็พากันไปวัดจัดแจงตั้งเครื่องสักการบูชาแลครองจีวรทุก ๆ องค์มารอยรับพระเจ้าแผ่นดิน ในทันใดนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็พอเสด็จมาถึงยังประตูวัด ทอดพระเนตรเห็นพระสงฆ์มาคอยรับอยู่พรักพร้อม แลเห็นเห้งเจียยืนอยู่ท่ามกลาง พระเจ้าแผ่นดินจึงถามเห้งเจียว่า ทำไมท่านจึงมาถึงก่อนเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไหวกายทีหนึ่งก็ไปได้ตั้งพันโยชน์ ครั้นพวกขุนนางแลพระถังซัมจั๋งมาถึงพร้อมกัน จึงนำพระเจ้าแผ่นดินเข้าไปที่หลังวัดที่ห้องขังนางกงจู๊อยู่นั้น ฝ่ายนางกงจู๊อยู่ในห้องมืด ก็ยังทำเป็นคลั่งเคลิ้มพูดจาไม่เป็นปรกติ เจ้าอธิการจึงชี้ให้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรว่า ที่ห้องนี้เป็นห้องที่นางกงจู๊อยู่ในนั้น พระถังซัมจั๋งสั่งให้ถอดกุญแจเปิดประตูออก แล้วพระเจ้าแผ่นดินกับพระมเหสีแลเข้าไป ก็เห็นนางกงจู๊ผู้บุตร ก็จำได้แน่ใจ ตรงเข้าสวมกอดเอาพระราชธิดา แล้วก็ทรงพระกันแสง แล้วจึงตรัสว่า บิดามารดามีความทุกข์ร้อน โอ้ ลูกเอ๋ย เวรกรรมของเจ้าทำไว้แต่ปางใด จึงได้มาทรมานทุกข์อยู่ดังนี้เล่า ต่างคร่ำครวญโศกาอาดูรรำพันไปต่าง ๆ พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้พนักงานเอาน้ำมาชำระขัดสีล้างพระราชบุตรี แล้วให้ผลัดเสื้อผ้านุ่งห่มเสียใหม่ เสร็จแล้วก็เสด็จขึ้นประทับบนราชรถจะกลับยังพระราชวัง เห้งเจียพนมมือกราบทูลว่า ข้าพเจ้ายังมีกิจธุระอยู่ข้อหนึ่ง ขอพระองค์ได้ทราบ พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า ท่านมีธุระจะสั่งเสียอะไรหรือ เห้งเจียทูลว่า ตำบลนี้มีภูเขาหนึ่งนามว่า แป๊ะเคียดซัว ได้ทราบว่า ในเขานี้มีตะขาบปิศาจตนหนึ่ง ถ้าเวลาพลบค่ำแล้ว มักกระทำร้ายแก่พวกพ่อค้าไปมาค้าขายอยู่เสมอ ๆ ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า ตะขาบนั้นแพ้ไก่ จงให้หาไก่สักพันตัวมาปล่อยในที่นี้ เพื่อจะได้แก้ซึ่งสัตว์ร้าย แลเปลี่ยนนามเขาเสียใหม่ พระราชทานอักษรป้ายจารึก แลพระราชทานตั้งเจ้าคณะให้มีเกียรติยศตอบแทนด้วยพระสงฆ์ได้รักษาเลี้ยงดูนางกงจู๊นั้น พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงโมทนาแลอำนวยตามที่เห้งเจียทูลชี้แจงนั้นทุกประการ แลให้เปลี่ยนนามเขานั้นเรียกว่า โป๊อาซัว ให้เปลี่ยนนามวัดกิ๊มโกว่า กิ๊มยี่ แลพระราชทานนามเจ้าวัดว่า เป๊าก๊กเจง พระราชทานนิตยภัตทุก ๆ เดือน เจ้าคณะแลลูกวัดทั้งหลายก็ถวายพระพรขอบคุณพระเจ้าแผ่นดิน พร้อมกันส่งเสด็จกลับเข้าพระนคร ครั้นถึงพระราชวัง ก็พานางกงจู๊เข้าพระราชวังใน ส่วนนางสนมในก็มาเยี่ยมเยือนกงจู๊ แลจัดโต๊ะมาเลี้ยงเป็นการสมโภชหรือทำขวัญ เวลานั้น พระเจ้าแผ่นดินกับข้าราชการใหญ่น้อยฝ่ายหน้าฝ่ายในต่างเข้านั่งโต๊ะประชุมกันเป็นการรื่นเริง ครั้นสิ้นเวลาเลี้ยงแล้ว จึงสั่งให้ช่างเขียนวาดรูปพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามไว้สำหรับสักการบูชาอยู่บนหอติ๊นฮวยก๊ก แลให้นางกงจู๊แต่งตัวออกมากราบคำนับขอบคุณท่านอาจารย์ถังซัมจั๋ง กับเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ที่ได้ช่วยให้รอดพ้นจากความตาย




ตอน ๙๔ ขึ้น ตอน ๙๖