ข้ามไปเนื้อหา

ไตรภูมิพระร่วง/ฉกามาพจรภูมิ

จาก วิกิซอร์ซ

ฉกามาพจรภูมิ

[แก้ไข]

        ทีนี้จะพรรณาเถิงฝูงเทพยดาอันเกิดในฉกามาพจรภูมิโลกย์แลฯ อันว่าเทพยดามี ๓ จำพวกโสด อนึ่งชื่อว่าสมมุติเทวดาแลฯ อนึ่งชื่อว่าอุปปัติเทวดาแลฯ อนึ่งชื่อว่าวิสุทธิเทวดาฯ ฝูงท้าวแลพระญาในแผ่นดินเรานี้ผิแลว่ารู้หลักแลรู้บุญรู้ธรรม แลกระทำโดยพิธราชธรรมทั้ง ๑๐ ประการดังนั้น ท่ารเรียกชื่อว่าสมมุตเทพยดาแลฯ แต่ปักข์ชั้นฟ้าเบื้องบนชื่อว่าฉกามาพจรเท่าเถิงพรหมโลกเบื้องบนนั้นชื่อุปปัติเทพยดาแลฯ พระพุทธปัเตยกโพธิเจ้าพระอรหันตาขีณาสพสาวกเจ้าแต่เสร็จ เข้าสู่นิพพานดังนั้นไส้เรียกชื่อว่า (วิสุทธิ) เทยดาแลฯ ฝูงเทพยดาอันเกิดในปักข์ขั้นฟ้าก็ดี และฝูงเทพยดาอันเกิดในอากาศก็ดีแลอาศัยในแผ่นดินนี้ขึ้นไปแลย่อมเอาปฏิสนธิอุปปาติกโยนิอันเดียวไส้ เอาปฏิสนธิด้วยปฏิสนธิ ๙ จำพวก ดังกล่าวก่อนนั้นแลฯ เทพยดาจำพวก ๑ พึงรู้แง่ภูเขาอันอยู่ในแผ่นดินนี้ก็อยู่เป็นพิมานเทพยดาจำพวก อยู่กลางพอเชิงเหนือต้นไม้ขึ้นเป็นพิมานอยู่มีปราสาทอยู่เหนือต้นไม้ใหญ่พุ่งไม้นั้นเป็นพิมานฯ ผิมีต้นฟัดตาไม้นั้น ขาใต้วิมานนั้นพังแลฯ ผิไม้นั้นหากหักเองก็ดี ปราสาทเทพยดานั้นพังฉลายแลฯ ผิว่าค่าคบไม้นั้นยังค้างใต้ปราสาทพิมานยังค้างแลฯ ผิค่าไม้หักสิ้นทุกพายไส้ ปราสาทเทพยดานั้นหักสิ้นแลฯ ฝูงเทพยดาอันอยู่ในพฤกษาพิมานนั้นถ้าต้นไม้หักพิมานก็หักสิ้นแลฯ ถ้ายังแต่ตอไม้ก็ดีปราสาทแก้วนั้นบมิพังสักอันยังตั้งดังเก่าไส้ ผิต้นไม้นั้นฉค่นลงทั้งรากสิ้นไส้ ปราสาทนั้นจึงหายแลบมิเห็นสักแห่งแล ปราสาทแก้วนั้นฝูงนั้นคนทั้งหลายแลดูบมิได้เห็นสักคาบ ฝูงฝีแลเทพยดาหากเห็นไส้ที่วิมานดังนั้นก็ดี พระจตุโลกบาลหากใช้ฝูงเทพยดานั้นมาแจกให้แก่เขาไส้ แลใจเขานั้นจะใคร่เอาที่ใดหากจะเลือกเอาเองนั้น บมิได้แต่แผ่นดินเราอยู่นี้ขึ้นไปเบื้องบนได้ ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ผิจะนับด้วยโยชน์ได้ ๔๖,๐๐๐ โยชน์ไส้ว่าจึงเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่าจาตุมหาราชิกาภูมิ อันตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคุนธรฝ่ายตระวันตกตระวันออกก็ดี ฝ่ายหนทักษิณเขาพระสิเนรุราชมีเมืองใหญ่เทพยดาอยู่ ๔ เมือง โดยกว้างโดยยาวเมืองนั้นใหญ่ได้ ๔,๐๐๐,๐๐๐ วา รอบนั้นไส้เทียรย่อมกำแพงทองประดีบนิ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ แลกำแพงอัรอบนั้นโดยสูงได้ ๘,๐๐๐ วา บานประตูนั้นเทียรย่อมแก้วแลมีปราสาทอยู่เหนือประตูนั้นทุกอัน ในเมืองนั้นเทียรย่อมปราสาทแก้วฝูงเทพยดาอยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นแผ่นดินทองพรายงามราบนักหนาดังหน้ากลองแลอ่อนนดังฟูกผ้า แลแก้วนั้นเมื่อเหยียบลงอ่อนสน้อยแล้วก็เต็มขึ้นมาเล่าบมิเห็นรอยตีนีเลยฯ นอกนั้นมีน้ำใสกว่าแก้วแลมีดอกบัวบาน ๕ สิ่งในสระน้ำนั้นหอมดังแสร้งอบ แลมีสรรพดอกไม้อันงามแลมีต้นไม้อันประเสริฐงามมีลูกอันประเสริฐแลมีโอชารสอันยิ่งแลไม้ฝูงนั้นเป็นดอกเป็นลูกทุกเมื่อแลบห่อนจะรู้วายเลยฯ เทพยดาผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายฝ่ายตระวันออกเขาสิเนรุราชนั้นชื่อว่าท้าวธตรัฐราชเป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายรวดทั่วกำแพงจักรวาลฝ่ายตระวันออกแลฯ เทพยดาผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาแลฝูงครุฑราช แลฝูงนาคราชเถิงกำแพงจักรวาลเบื้องตระวันตกแลฯ เทพยดาผู้เป็นพระญาฝ่ายทักษิณชื่อท้าววิรุฬหกราช เป็นพระญาแก่ฝูงยักษ์อันชื่อกุมภัณฑ์ แลเทพยดาทั้งหลายรวดไปเถิงกำแพงจักรวาลฝ่ายทักษิณ แลเทพยดาผู้เป็นพระญาฝ่ายอุดรชื่อท้าวไพศพมหาราชเป็นพระญาแก่หมู่ยักษ์ทั้งหลาย แลเทพยดาฝ่ายอุดรทิศเขาพระสิเนรุราชรวดไปเถิงกำแพงจักรวาลฝ่ายดุดรทิศนั้นแลฯ อายุเทพยดาทั้งหลายในจาตุมหาราชิกานั้นได้ ๕๐๐ ปีทิพย์ ผิว่าจะนับปีในมนุษย์เรานี้ได้ ๙ ล้านปีในมนุษย์เราแลฯ แลฝูงเทพยดาอันอยู่เหนือกลางอากาศนั้ นลางจำพวกมีปราสาทแก้วโดยกว้างได้ ๘๐,๐๐๐ วาก็มี ลางจำพวกมีปราสาทแก้วโดยกว้างได้ ๑๖,๐๐๐ วาก็มี ลางจำพวกมีปราสาทแก้วโดยกว้างได้ ๘๐,๐๐๐ วา ลางจำพวกมีปราสาทแก้วโดยกว้างได้ ๘๘,๐๐๐ วาก็มี แลอยู่ทั้ง ๔ ด้านเขาพระสิเนรุราชเพียงเมืองใหญ่ เทพยดาทั้ง ๔ อัน ๆ อยู่เหนือจอมเขายุคุนธรนั้นแลฯ แม้นว่าใกล้กำแพงจักรวาลก็ดี แต่ดังนั้นเรียกชื่อว่าจาตุมหาราชิกาแลฯ พระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี แลฤกษ์ทั้ง ๒๗ ก็ดี ดาวดารากรทั้งหลายก็ดี เทียรย่อมเวียนไปรอบเขาพระสิเนรุราชนั้นทุกเมื่อฯ อันว่าพระญาเทพยดาทั้ง ๔ องค์นั้น พระอินทร์ให้แต่งเมืองฟ้าเมืองดินทั้งมวลทุกแห่งก็มาเรียกชื่อว่าพระญาจตุโลกบาลเพื่อดังนั้นฯ พระองค์พระญาเทวดานั้นโดยสูงได้ ๖,๐๐๐ วา องค์เทวดาทั้งหลายที่เป็นบริวารสูงได้ ๔,๐๐๐ วาฯ ผู้ใดได้กระทำบุญได้ไปเกิดเป็นเทพยดาย่อมมีปราสาทแก้วเงินทองสมบัติเป็นทิพย์อันอเนกแลฯ เมื่อนั้นเทพยดาอยู่ในปราสาท แลมีเทพยดาองค์ ๑ ไปเกิดในผ้าภัพพก็ดีดังนั้นชื่อว่าเป็นลูกสาวของเทพยดาองค์นั้นแลฯ เทพยดาลางจำพวกไปเกิดเหนือที่นอนไส้ เทพยดาองค์นั้นชื่อว่าเป็นเมียเทพยดาผู้เป็นเจ้าพิปารนั้นแลฯ เทพยดาลางจำพวกไปเกิดแทบตีนแท่นเทพยดาผู้ใด ๆ ไส้ แลเทพยดาผู้นั้นเป็นสาวใของเทพยดาผู้นั้น ๆ แลฯ เทพยดาผู้ใดแลได้กระทำบุญน้อยไส้ได้ไปเกิดในประตูปราสาทก็ดี แลเกิดในที่กำแพงแห่งเทพยดาตนใดได้เป็นข้าเทพยดาตนนั้น แต่ว่าใช่ภายนอกแลฯ ชื่อว่าเกิดนอกกำแพงแก้วอันที่ล้อมปราสาทแก้วเทพยดาดังนั้น ผิว่าเกิดในที่ในแดงเทพยดาองค์ใดเป็นไพร่ฟ้าแก่เทพยดาองค์นั้นแลฯ ผิว่าผู้ใดเกิดหว่างแผนเทพยดาทั้งสอง ๆ เอาไปเถิงพระอินทร์ให้ธบังคับ ิพรอินทร์ธจึงบังคับใช้ให้เทวดาองค์ ๑ มาวัดวาดูที่นั้น ฝ่ายใดใกล้ส่งให้แก่เทพยดาองค์นั้นแลฯ ผิว่าเท่ากันทั้ง ๒ ฝ่ายเล่า พระอินทร์เจ้าจึงถามว่าเมื่อเทพยดาตนนี้เกิดนั้นบ่ายหน้าไปข้างใดแลส่งให้เทพยดาผู้อยู่ข้างนั้นฯ ผิเทพยดาผู้เกิดนั้นแลเมื่อแรกเกิดแลนอนเงยหน้าขึ้นไปบนแล บมิโดยทิศดังนั้น พระอินทร์ธบมิให้แก่เทพยดาผู้วิวาทแก่กันนั้นเลย พระอินทร์ธเอาไว้เป็นไพร่ฟ้าธเองแลฯ เมื่อเทพยดาไปเกิดในสวรรค์ดังนั้น ครั้นว่าเกิดเป็นตัวก็ใหญ่ขึ้นในที่นั้นบัดเดียว แลประดับนิ์ด้วยสนิมอาภรณ์รุ่งเรือง แลมีรูปโฉมโนมพรรณ์นุ่มแลงามดังสาวอันได้ ๑๖ ปีอยู่ชั่วตน แลเขามีตัวอันบริสุทธิ์หามลทินบมิได้เลยสักอันแล ว่าในกายเขานั้นแลจะมีสิ่งอันเหม็นแลเป็นกลิ่นอันร้ายในกายเขาน้อยหนึ่ง ก็บห่อนจะรู้มีในกายเขานั้นเลย แลเทพยดาทั้งหลายนั้นเขารู้นิมิตไส้แลจะใคร่ให้ตัวเขาใหญ่เท่าใดก็ใหญ่เท่านั้นโดยใจ ผิจะใคร่น้อยเท่าใด ๆ ก็น้อยเท่านั้นโดยใจแลฯ แม้นว่าที่อนึ่งแลน้อประมาณเท่าปลายเส้นผมก็ดี แลเทพยดาจะอยู่ที่นั้น ๒๐ อง์ก็ได้ ๔๐ องค์ก็ได้ ๖๐ องค์ก็ได้ ๘๐ องค์ก็ได้ ด้วยอำนาจเทพยดานฤมิตนั้นแลฯ ฝูงเทพยดากินอาหารทิพย์ทุกวารดังนั้น อาหารนั้นหากแห้งหายไปในตนเทพยดานั้นแล จะมีมูตคูธอาจมดังมนุษย์เราท่านทั้งหลายนี้หาบมิได้ ตราบเท่าสิ้นอายุเทพยดานั้นทั้งหลายเท่าใด สดชื่อว่าพยาธิอาพาธสิ่งใด ๆ ก็ดี แลจะเกิดมีแก่เทพยดาทั้งหลายนั้นหาบมิได้ เขาบห่อนจะรู้ไข้รู้เจ็บเทียรย่อมอยู่สุขสำราญใจเขาทุกเมื่อแล ย่อมเล่นด้วยลูกแลเมียเขาสนุกนิ์ทุกเมื่อแลฯ กล่าวเถิงชั้นเทพยดาในจาตุมหาราชิกาภูมิแล้วแต่เท่านี้แลฯ แต่ชั้นฟ้าอันชื่อว่าจาตุมหาราชิกาขึ้นไปไกลได้ ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา จึงจะเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่าดาวดึงษานั้น ๆ ตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต อันปรากฎเป็นเมืองพระอินทร์ผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลาย ในยอดเขาพระสิเนรุราชนั้นเป็นเมืองของพระอินทร์ โดยกว้างคณนาไว้ได้ ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีปรางคปราสาทแก้วเฉพาะซึ่งจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต แลมีที่เล่นที่หัวสนุกนิ์นักหนาโสด แต่ประตูเมืองหลวงฝ่ายตระวันออกเมืองแห่งสมเด็จอมรินทราธิราชไปเถิงประตูเมืองฝ่ายตระวันตกโดยไกลได้ ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบมีประตูรอบนั้นได้ ๑๐๐๐ หนึ่ง แลมียอดปราสาทอันมุงเหนือประตูนั้นทุกประตู เทียรย่อมทองแลประดับนิ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ แต่ตีนประตูขึ้นไปเถิงยอดปราสาทนั้นสูงได้ ๒๕๐,๐๐๐ วา แลเมื่อเผยประตูนั้นได้ยินเสียงสรรพไพเราะนักแลเทพยดาทั้งหลายอยู่ในนครดาวดึงษ์นั้นย่อมได้ยินเสียงช้วแก้วแลราชรถแก้วอันดังไพเราะถูกเนื้อพึงใจนักหนาที่ในท่ามกลางนครไตรตรึงษ์นั้น มีไพชยนตปราสาทโดยสูงได้ ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา ปราสาทนั้นงามนักงามหนาเทียรย่อมแก้วสัตตพิธรัตนทั้งหลายโดยสูงได้ ๒,๔๐๐,๐๐๐ วา เทียรย่อมสัตตพิธรัตนรุ่งเรืองงามพ้นประมาณถวายแก่พระอินทร์ผู้เป็นเจ้าไพชยนตปราสาทนั้นแลฯ แลเมืองนครไตรตรึงษ์เบื้องบุรพทิศมีอุทยานทิพย์อันหนึ่ง ชื่อว่านันทวนุทยานโดยรอบอุทยานนั้นได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแแก้วล้อมรอบ มีปราสาทแก้วมุงเหนือประตูทุกอันแล สวนขวันั้นสนุกนิ์พ้นประมาณ แลมีสมบัติแลสรรพต้นไม้สรพันลูกไม้สรพันดอกไม้ อันประเสริฐแลอุดมแลที่เล่นแสนสนุกนิ์สุขสำราญแก่เทพยดาทั้งหลาย อันอยู่ในไตรตรึงษ์นั้นแลฯ แทบอุทยานฝ่ายจะเข้าสู่เมืองนั้น มีสระใหญ่ ๆ อัน ๆ หนึ่งชื่อว่านนันทาโบกขรณี อนึ่งชื่อจุลนันทางโบกขรณีแลว่าสระนั้นมีน้ำนั้นใสงามดังแผ่นแก้วอินทนิลดูรุ่งเรืองงามดังฟ้าแมลบแทบฝั่งน้ำนั้นแลมีศฺลาแก้วแทบสระนั้นสองแผ่น ๆ หนึ่งชื่อว่านันทาปริถิปาสาณ แผ่น ๑ ชื่อว่าจุลนันทาปริถิปาสาณ แลศิลาทั้งสองแผ่นนั้นมีรัศมีอันเรืองนัก เมื่อจับดูไส้ศิลานั้นอ่อนดังว่าถือหนังเหนฯ นอกเมืองไตรตรึงษ์ฝ่ายทักษิณ แลมีสวนอุทยานใหญ่อัน ๑ ชื่อผรุสกวัน แลไม้อันมีในสวนนั้นอ่อนน้อมค้อมงามนักหนาดังแสร้งดัดไว้ แลมีกำแพงแก้วล้อมรอบแลมีปราสาททำเหนือประตูเทียรย่อมแก้วดูงามนักหนารอบอุทยานนั้นได้ ๕,๖๐๐๐,๐๐๐ วา แทบอุทยานเข้ามาฝ่ายหนเมืองแลมีสระใหญ่ ๒ อัน ๆ หนึ่งชื่อภัทราโบกขรณะ อนึ่งชื่อสุภัทราโบกขรณีแลฝั่งสระนั้นแลอันใส แลมีก้อนแก้ว ๆ ก้อนหนึ่งชื่อภัทราปริถิปาสาณ อนึ่งชื่อสุภัทราปริถิปาสาณ ผิได้ต้องถือและอ่อนเกลี้ยงนักหนาดังถือหนังสานนั้นไส้ฯ นอกนครไตรตรึงษ์ฝ่ายปัจฉิมทิศ แลมีอุทยานใหญ่อันหนึ่งสนุกนิ์นักหนา แลพึงใจแก่ฝูงเทพยดาทั้งหลาย แลอุทยานนั้นงามนักหนาเรียกชื่อว่าจิตรลดาวัล ฝูงไม้แลฝูงเชือกเขาอันเป็นในสวสนนั้นดูงามดังแสร้งประดับนิ์แลกำแพงแก้วล้อมรอบแลมีปราสาทแวมุง ประตูทุกประตูแลดูเรืองงามทุกแห่งทุกพายรอบอุทยานนั้นได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา แทบเบื้องฝ่ายเข้ามาสู่เมือง มีสระสองอัน ๆ หนึ่งชื่อจิตรโบกขรณะ อนึ่งชื่อจุลจิตรโบกขรณี แลสระแลอัน ๆ อันนั้นมีแผ่นศิลาแก้วแลอันหนึ่งชื่อ จิตรปาสาณ อนึ่งชื่อจุลจิตรปาสาณดูรุ่งเรืองแลเหลืองงามนักหนา ผิได้ต้องถือดูอ่อนงามดังหนังสานฝูงเทพยดายอมไปเล่นในที่นั้น เป็นที่สนุกนิ์แก่เทพยดาทั้งปวงทั้งฝูงหญิงแลฝูงชายทั้งหลายแลฯ ฝ่ายอุดรทิศนครไตรตรึงษ์มีสวนอุทยานใหญ่ อนึ่งชื่อสักกวันอันมีไม้แลเชือกเขาทั้งหลายงามดุจแสร้งแต่งแลมีกำแพงแก้วล้อมรอบ แลมีปราสาทแก้วกรวมประตูทุกประตูรอบอุทยานนั้นได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา แทบอุทยานฝ่ายมาสู่เมืองแลมีสระใหญ่สองอีน ๆ หนึ่งชื่อธรรมาโบกขรณี อันหนึ่งชื่อสุธรรมาโบกขรณี แลฝั่งสระนั้นแลมีศิลาแก้ว ๒ อัน ๆ หนึ่งชื่อธรรมาปริถิปาสาณ อนึ่งชื่อสุธรรมาปริถิปาสาณ แลศิลานั้นมีรัศมีอันรุ่งเรืองงามแลอ่อนดังหนังเห็นฯ นอกเมืองไตรตรึงษ์ฝ่ายอีสานทิศมีสวนใหญ่อันหนึ่ทงชื่อมหาพล แลสวสนนั้นสนุกนิ์นักหนาแลมีกำแพงทองคำล้อมรอบ แลมีปราสาทแก้วกรวมประตูทุกประตูรอบสวนนั้นได้ ๖๐๐,๐๐๐ วา ในสวนมหาวันนั้นมีปราสาททองคำได้ ๑,๐๐๐ หนึ่ง เทียรย่อมประดับนิ์ด้วยแก้วสัตตพิธรัตนในหว่างมหาพลวนุทยาน แลนันทวนุทยานนั้นมีสระแก้วอนึ่งงามนักหนา เทียรย่อมแก้ว ๗ สิ่งเป็นพื้นนั้นได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา แลมีแท่นแก้วอนึ่งในรถนั้นกว้างได้ ๘,๐๐๐ วา โดยรีได้ ๘,๐๐๐ วา ท่านใส่กลดแก้วหนึ่งที่กลางแท่นแก้วนั้นกว้างได้โยชน์ ๑ แลดูแท่นแก้วนั้นขาว แลดูกลดแก้วนั้นเหลื่อมดังแสงพระอาทิตย์อันส่องลงมาปกพระจันทร์เมื่อเดือนดีบในหัวไพชยนตรถนั้นแลมีม้าแก้ว ๒๐๐๐ ตัว เทียมรถแลข้างละพันตัว แลมีเครื่องแก้วประดับนิ์ทุก ๆ ตัว แลรถนั้นเทียรย่อมทองคำแลประดับนิ์ด้วยแก้วสัตพิธรัตนแลมีสร้อยมุกดาห้อยย้อยลง แลมีดอกไม้ทิพย์แลราจะพรรณาถึงความงามนั้นกรองเป็นมาลัย แลมีทั้งแกวแลทั้งทองห้อยย้อยลงพาย แลมีระไบแก้วแลพรวนทองอันมีรัศมีรุ่งเรืองดังสายอินทรธนูแลฟ้าแมลบดังแสงพระอาทิตย์ แลราจะพรรณนาเถิงความงามนั้นบมิถ้วนได้เลยฯ ผิแลว่าลมรำพายพัดแลได้ยินเสียงสรรพดังมี่ก้องดุจดังเสียงพิณพาทย์ ฆ้องกลองแตรสังข์อันเทพยดาเป่าแลตีในเมืองฟ้านั้นฯ ผิแลเมื่อเดือนขึ้น ๘ ค่ำก็ดี เดือนเพ็งก็ดี เดือนแรมก็ดี อัมมาพัสสาก็ดี พระญาเทพยดาฝูงอันชื่อธตัฐราชอันเป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายในจอมเขายุคุนธรฝ่ายบุรพทิศเถิงเขากำแพงจักรวาล แลมีฝูงคนธรรพ์ทั้งหลายเทียรย่อมแต่งเครื่องประดับนิ์ประดาตัวด้วยเงินแลทองทั้งหลาย ทั้งเครื่องประดับนิ์เหนือหัวแลเนื้อตัวทั้งมวลเทียรย่อมเงินยวงอเนกอนันต์แลมากกว่าร้อยล้านนั้น ทั้งเครื่องแห่เครื่องแหนเขานั้นเทียรย่อมเงินแลทองทั้งหอกดาบ แลจามรจามรีเทียรย่อมเงินทอง เทพยดาลางจำพวกถือธงเทียรย่อมเงินทองแลออกจากเมืองที่จอมเขายุคุนธรนั้นด้วยฝูงเทพยดาทั้งหลายจึงขึ้นเขานั้นไปเถิงกำแพงจักรวาลเบบื้องบุรพทิศแล ขับฝูงเทพยดาทั้งหลายมาโดยอากาศจึงเถิงจอมเขายุคุนธรเบื้องบุรพทิศฯ ถัดนั้นพยะญาองค์ ๑ ชื่อว่าท้าววิรุฬหกราชอันเป็นพระญาแก่ผีเสื้อผีกุมภัณฑ์ทั้งหลายเถิงแดนเขากำแพงจักรวาลเบื้องทักษิณทิศเครื่องประดิบนิ์กายท้าววิรุฬหกราชแลบริวารทั้งหลายนั้นย่อมล้วนแก้วมณีรัตนแลงามนักหนามิรู้ดีร้อยขีพันล้าน ฝูงเทพยดาถือค้อนแลตระบองเทียรย่อมแแก้วมณีรัตนเป็นบริวาร ท้าววิรุฬหกราชขึ้นขี่ม้าตัว ๑ แลเครื่องประดับนิ์ม้านั้นเทียรย่อมแก้วมณีรัตนโสดฯ จึงขับพลไปเถิงกำแพงจักรวาลเบื้องทักษิณทิศ ฯ ถัดนั้นพระญาเทพยดาองค์หนึ่งชื่อท้าววิรุปักขราช แลเป็นพระญาแก่ฝูงนาคราชทั้งหลายเถิงแดนกำแพงจักรวาลเบื้องปัจฉิมทิศ ฝูงเทพยดาราชอันเป็นบริวารบมิรู้ขีร้อยล้าน แลมีเครื่องประดับนิ์ตัวเทียรย่อมประพาฬรัตนะ ฝูงเทพยดาถือสากแลค้อนถือจามรีเทียรย่อมแก้วประพาฬรัตนะ แลท้าววิรูปักขราชจึงขับพลไปเถิงเขากำแพงจักรวาลเบื้องปัจฉิมทิศมาโดยอากาศถึงจอมเขายุคุนธรเบื้องปัจฉิมทิศพระสุเมรุราชแลฯ ถัดนั้นพระญาเทพยดาตน ๑ ชื่อว่าท้าวไพศพมหาราช เป็นพระญาแก่ฝูงยักษ์แลเทพยดาทั้งหลายฝ่ายอุดรทศเถิงกำแพงจักรวาลเบื้องอุดรทิศพระสุเมรุราช แลเครื่องประดับนิ์ตัวพระไพศพนั้น แลบริวารทั้งหลายเทียรย่อมทองเนื้อสุก ฝูงยักษ์ทั้งหลายนั้นบ้างถือค้อนถือสากแลจามรีเทียรย่อมทองคำบมิรู้ขีร้อยล้าน แลยักษ์ฝูงนั้นมีหน้าอันพึงกลัว แลท้าวไพศพมหาราชจึงขึ้นม้าเหลืองตัว ๑ ดูงามดังทองจึงไปขับพลเถิงกำแพงจักรวาลเบื้องอุดรทิศเขาพระสุเมรุราชนั้นฯ ยังมีช้างตัว ๑ ชื่อว่าไอยราพรต แลว่าช้างตัวนั้นมิใช่สัตว์ดิรัจฉาน อันว่าในเมืองฟ้าโพ้นบมีสัตว์ดิรัจฉานตัวน้อยก็ดีตัวใหญ่ก็ดีหาบมิได้ เทียรย่อมเทพยดาสิ้นไส้ฯ แลว่ายังมีเทพยดาองค์หนึ่ง ๑ ชื่อไอยราวรรณเทพบุตร ผิแลเมื่อพระอินทร์เจ้าแลมีที่เสร็จไปเล่นแห่งใด ๆ ก็ดี แลธจะใคร่ขี่างไปเล่นจึง ไอยราวรรณเทพบุตรก็นิมิตตัวเป็นช้างเผือกตัว ๑ ใหญ่นัก โดยสูงได้ ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา แลมีหัวได้ ๓๓ หัว ๆ น้อย ๆ อยู่สองหัวอยู่สองข้าง นอกหัวทั้งหลายนั้นแลว่าหัวใหญ่ได้ ๒,๐๐๐ วา แลหัวถัดนั้นเข้าไปทั้งสองข้างแลหัวแล ๓,๐๐๐ วา ถัดนั้นเข้าไปแลหัวแล ๔,๐๐๐ วา ถัดนั้นเข้าไปแลหัวแล ๕,๐๐๐ วา ถัดนั้นเข้าไปกว้างแลหัวแล ๖,๐๐๐ วา เร่งเข้าไปเถิงในก็เร่งใหญ่ถัดกันเข้าไปดังกล่าวนี้แล ส่วนหัวใหญ่อันที่อยู่ท่ามกลางทั้งหลายชื่อสทัสเป็นพระที่นั่งแห่งพระอินทร์ โดยกว้างได้ ๒,๔๐๐,๐๐๐ วาแลฯ เหนือหัวช้างนั้นแลมีแท่นแก้วหนึ่งกว้างได้ ๙๖,๐๐๐ วา แลมีปราสาทกลางแท่นแก้วทั้งนั้นมีทั้งสองฝูงโดยสูงได้ ๘,๐๐๐ วา ทั้งฝูงนั้นเทียรย่อมแก้ว ๗ สิ่ง แลมีพรวนทองคำห้อยย้อยลงทุกแห่งแกว่งไปมา แลมีเสียงนั้นไพเราะนักหนาดังเสียงพาทย์พิณในเมืองฟ้า ในปราสาทนั้นเทียรย่อมดัดเพดานผ้าทิพย์ แลมีแท่นนอนอยู่ในที่นั้นกว้างได้ ๘,๐๐๐ วา แลมีราชอาสน์หนาหมอนใบใหญ่หมอนน้อยหมอนอิง องค์พระอินทร์นั้นสูงได้ ๖,๐๐๐ วา แลประดับนิ์ด้วยแกว้ถนิมอาภรณ์ทั้งหลายแล ธนั่งเหนือแท่นแก้วนั้นหัวช้างได้ ๓๓ หัวไส้ พระอินทร์ให้เทพยดาทั้งหลายขี่ ๓๒ หัวนั้นมีบุญเพียงปรดุจพระอินทร์ไส้ฯ อันว่าหัวช้างทั้ง ๓๓ หัวแลหัว ๆ มีขา ๗ อันแลงาละอันยาวได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา แลงานั้นมีสระได้ ๗ สระ ๆ แลสระนั้นมีบัวได้ ๗ กอ ๆ บัวแลกอนั้นมีดอก ๗ ดอก ๆ แลอันนั้นมีกลีบ ๗ กลีบ ๆ แลอัน ๆ นั้นมีนางฟ้ายืนรำระบำบรรพตแล ๗ คน นางแลคน ๆ นั้นมีสาวใช้ได้ ๗ คนโสด ช้าง ๓๓ หัวนั้นได้ ๒๓๑ งา สระนั้นได้ ๑,๖๑๗ สระแลกอบัวในสระนั้นได้ ๑๑,๓๑๙ กอ แลดอกบัวนั้นได้ ๗๙,๒๓๓ ดอกแลมีดอกบัวนั้นไส้ได้ ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ แลนางฟ้าอันรำระบำนั้นได้ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง แลสาวใช้นางระบำนั้นได้ ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ คน แลมีอยู่ในงาช้างไอยราวรรณ์นั้น แลมีสถานที่แห่ง ๑ โดยกว้างได้ ๕๐ โยชน์ เป็นที่อยู่แห่งฝูงนางรำระบำแลบริวารของนางทั้งหลายนั้นด้วยฯ แลว่าเมื่อพระอินทร์ผู้ประเสริฐกว่านางทั้งหลาย ชื่อนางสุธรรมาอีกด้วยบริวารทั้งหลายแลประดับนิ์ถ้วยถนิมอาภรณ์ แลรุ่งเรืองงามด้วยสัตตพิธรัตนนั้นนั่งเฝ้าพระอินทร์อยู่ฝ่ายซ้าย นางผู้เมียคนหนึ่งเล่าชื่อว่เจ้าสุชาดาอันทรงศีลมั่นบมิขาดแล ประดับนิ์ดวยอาภรณ์อีกด้วยบริวารทั้งหลายก็ไปนั่งเฝ้าพระอินทร์เจ้าฝ่ายขวนั้นฯ นางเมียผู้ ๑ ชื่อเจ้าสุนันทา แลประดับนิ์ด้วยถนิมอาภรณ์เทียรย่อมแก้ว ๗ สิ่งอีกด้วบริวาร นางนั้นก็ไปนั่งเฝ้าพระอินทร์ฝ่ายหลัง ๆ ถัดนั้นนางเมียคน ๑ ชื่อนางสุจิตราประดับนิ์กาย นั้นรุ่งเรืองงามด้วยบริวารทั้งหลายไปนั่งเผ้าพระอินทร์เจ้าเบื้องซ้ายฯ ถัดนั้นชั้นนอกออกไปแลมีหมู่นางฟ้าทั้งหลายย่อมนางใหญ่เป็นเมียพระอินทร์ได้ ๙๒ คน มีหน้าอันงามนักหนา แลแต่งแง่แผ่ตนด้วยเรื่องประดับนิ์ด้วยเทียรย่อมแก้วแหวนเงินทองทั้งหลาย บ้างถือกลออมแก้ว บ้างถือคนที บ้างถือจามรีแลจามรแก้ว บ้างถือธงแก้วแลธงทองแกว่งแล เครื่องฝูงนี้เทียรย่อมประดับนิ์ด้วยแก้วสัตตพิธรัตนไปนั่งเฝ้าธอยู่รอบนั้นฯ ถัดนั้นออกมามีนางทั้งหลายเป็นสาวใช้นางทั้งหลายเล่า รอบออกไปเล่ามากนักหนา ลางหมู่ถือคคนทีทองแลกลออมทองเฝ้าอยู่ฯ ถัดนั้นออกไปเล่ามีนางฟ้าทั้งหลายมากนัก แลสาวสวรรค์ฟ้อนระบำ ระบำถวายแด่พระอินทร์เจ้านั้นมากนักฯ แลยังมีนางเทพยธิดาองค์ ๑ ชื่อคีตวาแลถือพิณอนึ่งชื่อว่ามหาวิณา ครั้นว่านางนั้นดีดพิณดวงนั้นไส้แลพิณทั้งหลายอันได้ ๖๐,๐๐๐ อันที่เป็นเพื่อนพิณนั้นหากดังเองแลฯ ได้ยินเพเราะเพราะนักหนาฯ แลว่ายังมีนางเทพยธิดาคน ๑ แลเทพยธิดาผู้นั้นก็เป่ากลองคู่ ๑ ชื่อว่าสุภัทรา ครั้นว่านางนั้นเป่ากลองคู่นั้นไส้ แต่บันดากลองทั้งหลายที่เป็นเพื่อนกลองได้ ๖๐,๐๐๐ คู่นั้นหากดังไปเอง แลได้ยินเสียงเพราะนักหนาดุจดับว่าเป่าทุกคู่นั้นแลฯ ยังมีนางฟ้าผู้หนึ่งเล่าชื่อว่าหสัจนารีดีดพิณอัน ๑ ชื่อว่ามธุรตรได้ยินเสียงไพเราะ แลถูกเนื้อพึงใจนักหนาฯ ยังมีนางเทพยธิอง์หนึ่งชื่อว่ามณีเมขลาแลเป่าสังข์ใหญ่อัน ๑ ชื่อพิชัยสังขะ ครั้นว่าเป่าสังข์ดวงนั้นแลสังข์ทั้งหลายได้ ๖๐,๐๐๐ ลูกอันที่เป็นเพื่อนสังข์นั้นหากดังเองดุจมีผู้เป่าทุกดวง แลมีเสียงไพเราะเพราะนักหนาแลฯ ยังมีเทพยธิดาตน ๑ ชื่อมหาติมุทิงคสังขะ แลเป่าสังข์อันหนึ่งชื่อปุถุพิมพนะ ครั้นว่าเป่ามุทิงคสังข์นั้นไส้ แลมุทิงคสังข์ทั้งหลายได้ ๖๐,๐๐๐ อันเป็นเพื่อนมุทิงคสังข์นั้นหากดังเอง ดุจมีผู้ตีทุกอันแลมีเสียงนั้นไพเราะนักหนาฯ ยังมีเทพยธิดาตนหนึ่งชื่อตปก็ดีตีกลองหน้าเดียวลูกหนึ่งชื่อว่านันทเภรี ครั้นว่าเทพยดาตนนั้นตีนั้นไส้อันว่ากลองทั้งหลายได้ ๖๐,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนกลองนั้นหากดังเอง ดุจมีผู้ตีทุกอันแลมีเสียงนั้นเพราะดีนักหนาฯ ยังมีเทพยธิดาองค์ ๑ ชื่อปนก็ดีตีกลองหน้าเดียวลูก ๑ ชื่อรณมุขเภรี ครั้นว่าตีกลองลูกนั้นไส้ อันว่าหมู่กลอหน้าเดียวทั้งหลายได้ ๖๐,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนกลองนั้นหากดังเอง ดุจมีผู้ตีทุกอันแลมีเสียงนั้นไพเราะนักหนาฯ ยังมีเทพยธิดาตน ๑ ชื่อนันทาและตีกลองใหญ่อันหนึ่งชื่อว่าโกพัมธุรสสุรเภรี ครั้นว่าตีไส้อันว่ากลองใหญ่ทั้งหลายอันได้ ๖๐,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนกลองนั้นหากดังเองดุจมีผู้ตีแลฯ ยังมีเทพยธิดาตน ๑ ชื่อว่ยามาแลตีบัณเฑาะว์อัน ๑ ชื่อว่าโบกขรบัณเฑาะว์ ครั้นว่าตีบัณเฑาะว์นั้นอันว่าบัณเฑาะว์ทั้งหลายได้ ๖๐,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนบัณเฑาะว์นั้น หากดังเองดุจมีผู้ตีทุกอันแล มีเสียงเพราะนักหนาแลฯ ยังมีเทพยดาตน ๑ ชื่อว่าสรโฆสสุรเป่าปี่ไฉนแก้วเหล่าหนึ่งชื่อว่านันทไฉน ครั้นว่าเป่าปี่นั้นไส้อันว่าปี่ทั้งหลายอันได้ ๖๐,๐๐๐ อันเป็นเพื่อนปี่นั้นหากดังเอง ดุจมีผู้เป่าทุกอันแลมีเสียงนั้นเพราะหนักหนาแลฯ ยังมีเทพยดาตนหนึ่งชื่อว่าสัพพางคณาตีกลองใหญ่ลูกหนึ่งชื่อว่าทัสสโฏส ครั้นว่าตีกลองลูกนั้นไส้ อันว่ากลองทั้งหลายอันได้ ๖๐,๐๐๐ อันเป็นเพื่อนกลองนั้นหากดังเองดุจมีผู้ตีทุกอันแลมีเสียงนั้นเพราะนักหนาแลฯ แลฝูงเทพยธิดาทั้งหลายมากนักแลมีชื่อต่าง ๆ กีนเทียรย่อมถือบัญจางคิกดุริยแล อันว่าบัญจางคิกดุริยนั้นมี ๕ สิ่ง ๆ ใน(อภิธานว่า อาตต, วิตต, อาตตวิตต, ฒณ, สุสิร รวม๕) หนึ่งชื่อว่าอาตนะสิ่งหนึ่งชื่อว่าคตะสิ่งหนึ่งชื่อว่านันทะสิ่งหนึ่งชื่อว่าสิริเทียรย่อมมีสิ่งต่าง ๆ กันเป็นดังนั้นแลทำให้ดังด้วยกันคาบเดียว คือว่าเสียงนั้นซ่านด้วยกันแลเป็นเพลงเสียงเป็นอันเดียวไปด้วยกันดังนั้นไส้ ชื่อว่าบัญจางคิกดุริยนั้นทั้ง ๖๐,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนบัญจางคิกดุริยนั้นหากดังเอง ดุจมีผู้เป่าผู้ตีแลมีเสียงซ่านด้วยกันแลไพเราะนักหนาแลฯ ถัดนั้นยังมีคนธัพผู้ ๑ ชื่อว่าสุมธัมมาตีกลองใหญ่ใบ ๑ ชื่อสุรันธะ สะพายเหนือบ่าซ้าย ๑ แลตี ยังมีกลองใหญ่ทั้งหลายได้ ๖๘๐,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนกลองนั้น จึงดังตามเพลงระด้วยระบำบัพพถ้วนด้วยกันแลเพราะนักหนาแลฯ ในสถานที่แห่ง ๑ โดยบริมณฑลรอบได้ ๔๐,๐๐๐ วา แลฟ้อนรำด้วยกลอง คนธัพนั้นเหนือจอมเขาจักรวาลเบื้องบุรพทิศแล ฝูงคนธัพทั้งหลายแลเทพยธิดาทั้งหลายอันเป็นพลระบำด้วยมากอเนกอนันต์ฯ ยังมีคนธัพผู้ ๑ ชื่อว่าพิมพสุรกสะสะพายกลองหน้าเดียวลูก ๑ ใหญ่ แลตีด้วยเพลงคนธัพ แลหมู่กลองหน้าเดียวทั้งหลายได้ ๖๘,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนกลองห้าเดียวนั้นหากดังเอง ดุจมีผู้ตีด้วยเพลง แลกลองนั้นเพเราะนักหนาแลฯ ในสถานที่ควรแห่งหนึ่ง ๑ โดยบริมณฑลรอบ ๔๐๐,๐๐๐ วา แลฟ้อนรำระบำด้วยกลองคนธัพนั้น เทพดาแลคนธัพฟ้อนรำระบำมากนักหนา ในที่นั้น ๆ อยู่ปลายกำแพงจักรวาลฝ่ายทักษิณทิศพระสิเนรุราชแลฯ ยังมีคนธัพเทพดาตน ๑ ชื่อว่าทีรมุขะ สะพายกลองใหญ่ใบ ๑ แลตีในบนกำแพงจักรวาล ฝ่ายปัจฉิมทิศพระเมตุ ครั้นว่าตีกลองใบนั้นอันว่ากลองทั้งหลายอันได้ ๖๘,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนกลองนั้นหากดังเองโดยฉันท์ตามกีนตามกลองนั้นเป็นเพลงเดียว ฝูงคนธัพแลเทพดาทั้งหลายฝูงระบำรำด้วยกันแห่งนั้นมากนักหนาในที่นั้น โดยปริมณฑลน้อยได้ ๔,๐๐๐ วา ในบนกำแพงจักรวาลฝ่ายปัจฉิมทิศพระเมรุราชฯ ยังมีคนธัพเทพยดาผู้ ๑ ชื่อว่าปัญจสิชรเทวบุตรสะพายกลองใหญ่ลูก ๑ ชื่อสัสสสุระนั้น ครั้นว่าตีกลองนั้นไส้ อันว่ากลองทั้งหลายได้ ๖๘,๐๐๐ อัน ๆ เป็นเพื่อนกลองนั้นด้วยฉันท์อันดีในที่ควรแห่ง ๑ โดยมณฑลรอบได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา จึงขับเสพย์แลฟ้อนรำระบำด้วยคนธัพนั้นเหนือจอมเขาจักรวาล เบื้องอุดรทิศเขาพระสุเมรุราชนั้นฯ ฝูงคนธัพแลเทพยดาทั้งหลายรำระบำด้วยกันมากนักแลฯ ไพร่ฟ้าข้าไทยพระอินทร์เานั้นธมีมากนักดังกล่าวมีนี้แลฯ อีกท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ตนย่อมเอาบริพารไปด้วยแลย่อมไปเฝ้าพระอินทร์แลฯ อีกพระญายักษ์ทั้งหลาย ๒๘ พระญาย่อมถือเครื่องอาวุธแล้วย่อมมาแห่แหนพระอินทร์เจ้าแล้วก็เฝ้าธอยู่แลฯ พระองค์พระอินทราธิราชนั้นธประดับนิ์อาภรณ์งาม นักหนาดังกล่าวแล้วนั้นแล ทั้งฝูงเทพดาทั้งหลายอันเป็นบริวารนั้น ย่อมประดับนิ์ด้วยถนิมอาภรณ์ทั้งปวงอันสมัยด้วยแก้ว ๗ ประการ แลงามมีพรรณ์ต่าง ๆ แล้ว ย่อมเข้ามาเฝ้ามาคัลพระอินทร์เจ้ามากนักจะนับบมิถ้วนได้เลยฯ อิกนางฟ้าทั้งหลายอันเป็นเมียพระอินทร์เจ้า ๒๔,๐๐๐,๐๐๐ คน บ้างือกาน้ำมีอาทิ คือว่ากลออมแก้วกลออมทอง ฉัตรธวัชพัดจามรีทั้งหลายนั้นย่อมประดับนิ์ด้วยถนิมอาภรณ์ในตนดูงามพ้นประมาณ จะคณาบมิได้เลยฯ อิกฝูงคนธัพเป็นพลระบำได้ ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ ตีกลองแลฉิ่งแฉ่ง แต่งขับกับเสียงพิณพาทย์นาดรำระบำเล่นเต็มเขากำแพงจักรวาล ๔ ทิศใหญ่ทั้งมวล แลหอมกระแจะจวงจันทน์ อิกพรรณดอกไม้อันขจรทุกแห่งแต่พัดเข้าเร้าเถิงพระอินทร์หอมฟุ้งทุกแห่ง พระอินทร์จึงไปเล่นที่สรุนั้นสนุกนิ์นักลางคาบพระอินทร์ลงจากช้างไอยราพตเดินดินไปเล่น แลมีฝูงนางฟ้าทั้งหลายเป็นบริวารงามสลอน เทียรย่อมทรงอาภรณ์อันประเสริฐต่าง ๆ ได้หนทงในเมืองฟ้าอันหว่างกว้างได้ ๔๐,๐๐๐ วา แลไปเล่นในสวนที่สนุกนิ์แลฯ นอกพระนครไตรตรึงษ์ฝ่ายเคเนทิศ มีพระเจดีย์เจ้าพระองค์ ๑ ทรงพระนามชื่อพระจุฬามณีเจดีย์เจ้า แลรุ่งเรืองงามดเทียรย่อมแก้วอินทนิลแล แต่กลางไปเถิงปลายเทียรย่อมทองเนื้อแล้ว แลประดับนิ์ไปด้วยแก้วสัตพิธรัตนแลจะคณนาโดยสูงได้ ๘๐,๐๐๐ วา แลที่นั้นมีกำแพงทองเนื้อแล้วล้อมรอบ แลกำแพงนั้นแต่แลอันละด้าน ๆ ละ ๑๖๐,๐๐๐ วา มีธงประฎากแลธงไชยแลกลดชุมสายทั้งหลาย ย่อมประดับนิ์ด้วยแก้วแลเงินทอง บ้างดำบ้างแดงบ้างเหลืองบ้างขาวแลเขียวย่อมแล้วแต่แก้ว ๗ สิ่งซึ่งท่านผูกในใจกลดแลธง ดูงามเลื่อม ๆ พรายงามตามกนทั้งหลายมากนักหนาแล แลเทพยดาทั้งหลายถือเครื่องเป่าแลตีดีดสีคีตสัพพดุริยดนตรีทั้งหลายไปบำเรอถวายบูชาพระเจดีย์เจ้าทุกวารบมิขาด พระอินทร์ย่อมไปนมัสการแต่พระเจดีย์เจ้ากับด้วยเทพยดาแลนางฟ้าทั้งหลายเป็นบริวร ย่อมมีถือข้าวตอกแลดอกไม้เทียนธุปวาศสุคนธชาติบูชาชวาลาทั้งหลายไปถวาย ก่พระเจดีย์เจ้าบมิขาดแลย่อมกระทำปทักษิณแก่พระเจดีย์ เจ้าทุกวารแลฯ นอกเมืองไตรตรึงษ์ฝ่ายอีสานทิสแลมีสวนอุทยานอันหนึ่งชื่อ่าบุณฑริกวันอยู่แทบสวนอุทยานอันหนึ่งชื่อมหาวันนั้น สวอุทยานอันชื่อบุณฑริกวันน้นมีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้านแลด้านแลด้าน ๆ ละ ๑๖๐,๐๐๐ วา ยังมีประตูแก้วแลปราสาทแก้ว มุมประตูทุกอันดังกล่าวก่อนนั้นแลฯ สวนอุทยานนั้นมีไม้ทองหลางใหญ่ต้น ๑ ชื่อปาริกชาติกัลปพฤกษ์ รอบพุ่มไม้นั้นได้ ๒,๔๐๐,๐๐๐ วา โดยสูงได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา รอบต้นไม้นั้นได้ ๑๒๐,๐๐๐ วา โดยกว้างพุ่มไม้นั้นได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา แลใต้ต้นไม้นั้นมีแท่นศิลาแก้วอันหนึ่ง ชื่อว่าปัณฑุกัมพล โดยรีได้ ๔๘๐,๐๐๐ วา โดยกว้างได้ ๔๐,๐๐๐ วา โดยหนาได้ ๑๒๐,๐๐๐ วา แต่เข้มแดงฉันดังดอกสะเอ้ง แลอ่อนดังฟูกผ้าอ่อนดังหงอนราชหงส์ทอง ผิเมื่อพระอินทร์นั่งเหนือแผ่นศิลานั้นอ่อนจุลงไปเพียงสะดือฯ ผิเมื่อพระอินทร์ธลุกลงจากศิลา ๆ นั้นเต็มขึ้นมาดังก่อนเล่า แทบปาริกชาติกัมพลนั้นออกไปภายนอกมีศษลาใหญ่อนึ่งสุธัมมาเทพยสภาคศาลางามแลดูประเสริฐกว่าศาลาทุกอันโดยกว้างได้ ๒,๔๐๐,๐๐๐ วา มณฑลขวางก็เท่ากันโดยสูงได้ ๔,๐๐๐,๐๐๐ วาโดยมณฑลรอบได้ ๗,๒๐๐,๐๐๐ วา พื้นศาลานั้นเทียรมย่อมแก้วผลึกรัตนแลประดับด้วยแก้ว ๗ สิ่ง แลมีกำแพงทองล้อมรอบมีดอกไม้สิ่ง ๑ ชื่ออสาพติหอมนักหนาแล ดอกไม้นั้นบานนานนักแม้นว่ายังจะพันปีจึงจะบานก็ดี ฝูงเทพยดาทั้งหลายมีจรักใคร่ชมใคร่ทัดดอกไม้นั้น เทพยดาทั้งหลายถ้าเห็นดอกไม้นั้นบาน แล้วย่อมปันกันไปอยู่เฝ้าดอกไม้อันคหวานบบานแลอยู่รอดถ้วนพันปีแล เพราะว่ารักดอกไม้นั้นแล ดอกทองหลางอันชื่อว่าปาริกชาตินั้นแม้นว่าร้อยปีดอกไม้นึ้งจึงบานก็ดี ฝูงเทพยดายินรักยินใคร่นักหนาแล ถ้าแลดอกไม้หงาบบานเทียรย่อมปันกันให้ฝูงเทพยดาไปอยู่เฝ้าดอกไม้นั้นกว่าจะบาน ผิว่าดอกไม้นั้นแลบานล้วนทุกกิ่งทุกก้านแล้ว แลมีแสงอันรุ่งเรืองงามนักหนา รัศมีดอกปาริกชาตินั้นเรืองไปไกลได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา ถ้าแลว่าลมรำพายพัดไปข้างใดหอมกลิ่นดอกไม้นั้นฟุ้งไปไกลได้ละ ๘ แสนวาหอมไปฝูงเทพยดาทั้งหลายบห่อนพัดขึ้นเอาดอกไม้นั้นเลยสักคาบ เทวดาผู้ใด ๆ จะใคร่เอาดอกไม้นั้น ผิแลว่าเอาผ้าไปห่อเอาก็ดี เอาประอบไปใส่ก็ดี ยังมีลมอันหนึ่งพัดให้ดอกไม้นั้นหล่นตกลงสู่ที่อันจะใส่นั้นเองแล เมื่อเทพยดาทั้งหลายแลยังไป่ทันรับเอาก่อนไส้ ยังมีลมสิ่งหนึ่งพัดมาชูดอกไม้นั้นไว้บนอากาศบมิได้ตกลงเถิงต่ำได้ ยังมีลมสิ่งหนึ่งแต่งพัดดอกไม้นั้นเข้าไปในสุธัมมาเทวสภาคศาลานั้นฯ ยังมีลมสิ่งหนึ่งแต่งพัดดอกไม้นั้นให้เรียงกันดังแสร้งร้อยเรียบแล ผิเมื่ออุดอกไม้นั้นเหี่ยวแล้วไส้ ยังมีลมสิ่งหนึ่งแต่งพัดดอกไม้นั้นออกไปเสียจากสุธัมาเทวสภาคศาลานั้นฯ แลมีธัมมาสน์แก้วอันหนึ่งโดยใหญ่ได้ ๘,๐๐๐ วา เป็นธัมมาสน์อยู่ในศาลานั้นแล แลมีที่นั่งพระอินทร์อันเป็นราชอาสนทิพย์ แล้วจึงมีที่นั่งของเทพยดาทั้ง ๓๒ องค์อันได้กระทำบุญด้วยพระอินทร์เจ้าแต่ก่อนเทียรย่อมเป็นอาสนทิพย์ แลจึงมีที่นั่งของเทพยดาทั้งหลายอันเป็นใหญ่โดยอันดับกันเทียรย่อมปูลาดอาสน์ย่อมผ้าทิพย์ เทพยดาลางหมู่มีดอกไม้ทิพย์เป็นที่นั่ง เทพยดาลางหมู่มีดอกไม้ทิพย์กัณณิการ์ทิพยฺเป็นที่นั่งโสด ดูเหลืองงามดังทองเนื้อสุกย่อมเป็นที่นั่งแห่งเทพยดาทั้งหลายถ้วนทุกตนแลฯ พระอินทร์จึงไปในสุธัมมาเสทวภาคศาลา เพื่อจะให้เทพยดาทั้งหลายมาชุมนุมกันในศาลานั้นแล แต่พรรณดอกไม้ทิพย์อันหอมดีมีในเมืองไตรตรึงษ์นั้นมีลมพัดซัดละอองเกสรดอกไม้นั้นเข้ามาในสุธัมมาเทวสภาพศาลา แลตกเหนือตัวเทพยดา ๆ นั้นสูงได้ ๖,๐๐๐ วา แลดูเหลืองงามดังท่านแสร้งเอาน้ำครั่งมาแต้มนั้นแล ฝูงเทพยดาทั้งหลายเล่นอยู่ดังนั้นได้ไส้ ๔ เดือนจึงแล้วฯ ผิเมื่อเทพยดาทั้งหลายสดับธรรมไตรตรึงษ์สวรรค์นั้นไส้ ยังมีพรหมตนหนึ่งชื่อว่าพรหมกุมารลงมาแต่พรหมโลกย์โพ้น แลลงมานฤมิตรตนเป็นดังคนธัพผู้หนึ่งชื่อว่ปัญจสิขร คนธัพจึงขึ้นเหนือธัมมาสน์แลเทศนาธรรม แลพรหมตนนั้นแสร้งนฤมิตตัวดังคนธัพเทพบุตรผู้ชื่อว่าสิขรนั้น เพราะว่าคนธัพเทวบุตรตนนั้นงามถูกเนื้อพึงใจฝูงเทพยดาทั้งหลายฯ อันว่าคนธัพเทวบุตรนั้นเมื่อยังอยู่ในเมืองมนุษย์โลกย์นี้ แลว่าได้กระทำบุญมามากแล้ว แลได้ไปเกิดในจาตุมหาราชิกา แลเทพยดาตนนั้นสูงได้ ๖,๐๐๐ วา แลประดับนิ์ด้วยเครื่องสนิมอาภรณ์ทั้งหลาย เทียรย่อมแก้วแหวนเงินทองแลดูรุ่งเรืองงามดังภูเขาทองแลฯ อันว่าอาภรณ์นั้นถ้าแลว่าจะถอดออกไส่เกวียนในมนุษย์นี้ได้ ๑,๐๐๐ เกวียนแลฯ อันว่ากระแจะแลจวงจันทน์นอันเทพยดาทาตัวนั้นถ้าแลว่าจะขูดออกใส่ตุ่มแลไหได้ ๙ ตุ่มแล อันว่าตุ่มลแไหแต่ละลูกนั้นใหญ่จุข้าว ๔ กระเชอแล ท่านจึงนุ่งผ้าขาวอันบริสุทธิ์แล้วจึงสอดกุณฑลในกรทั้งสองงามนักหนา แล้วจึงเกล้าผมเป็น ๕ เกล้าแลชักมวยออกอันทั้ง ๕ อันนั้นแลไว้ปลายผมนั้นห้อยลงไปข้างหลังทุกอัน แลคนธัพผู้นั้นเกล้าผม ๕ อัน เหตุดังนั้นจึงเรียกว่าปัญจสิขรเพื่อดังนั้นแล คนธัพเทพบุตรคนนั้นชอบเนื้อพึงใจแก่เทพยดาทั้งหลายนั้นแลฯ ผิพรหมผู้หนึ่งชื่อว่าสันตกุมารแลมาแต่พรหมโลกย์ แลมานฤมิตตนเป็นดังคนธัพเทพบุตรผู้ชื่อว่าปัญจสิชร แลมาเทศนาธรรมให้เทพยดาทั้งหลายฟังฯ ลางคาบเทพยดาในสวรรค์มีผู้รู้ธรรมไส้ แลเทพยดาทั้งหลายก็เชิญขึ้นเทศนาธรรมในที่นั้นฯ ลางคาบเล่าพระอินทร์ขึ้นบนธรรมาสน์นั้นแล้วเทศนาธรรมเอง ผิเมื่อพระอินทร์เจ้าเทศนานั้น ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ เอาบริวารไปเฝ้าไปคัลทั้ง ๔ ทิศ แห่งสุธรรมาเทวสภาพศาลานั้น แลคนธัพเทพบุตรทั้งหลายก็เอาสัพพดุริยดนตรีทั้งหลายไปบำเรอ บ้างดีดบ้างสี บ้างตีบ้างเป่า บ้างขับ บ้างรำในปลายเขากำแพงจักรวาลทั้ง ๔ ด้านถวายแด่พระอินทร์เจ้าดังกล่าวก่อนนั้นแลฯ อันว่าพระจตุโลกบาลเดินดูดีดูร้ายแห่งโลกย์ทั้งหลายนี้ทุกวัน ยอมใช้ให้เทพยดาองค์อื่นมาต่างตัวในวันศีลน้อย คือวันอัฏฐมีนั้นไส้ยอมใช้ลูกมาต่างตน ผแลวันศีลใหญ่คือวันบุรณมีแลอมาพัสสานั้นไส้ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ย่อมมาเองเดินดูเองฯ เมื่อเทพยดามาต่างตนก็ดี ลูกธมาเองก็ดี แลตัวธมาเองก็ดี เทียรย่อมถือแผ่นทองเนื้อสุกแลถือดินสอนั้นอันทำด้วยชาติหิงคุนั้นมาด้วย แลเดินไปดูทุกแห่งทั่วถิ่นฐานบ้านเมืองใหญ่น้อยทั้งหลาย ในมนุษยโลกย์นี้ทุกแห่งแล ถ้าแลว่าผู้ใดทำบุญทำธรรมไส้ ธจึงเขียนนามผู้นั้นลงในแผ่นทองเนื้อสุกนั้นว่าดังนี้ ท่านผู้นี้ชื่อนี้อยู่บ้านนี้เรือนนี้ได้ทำบุญธรรมฉันนี้ ๆ มีอาทิคือไหว้นบคำรพสมาบูชาแลประติบัติแก่พระศรีรัตนไตรย แลเลี้ยงดูพ่อแลแม่ยำเยงผู้เฒ่าผู้แก่รักพี่รักน้อง แลรักท่านผู้อื่นแลชีต้นอาจารย์แลครูบาธยาย แลให้ผ้ากฐินแลก่อพระเจดีย์กระทำคูหาปลูกกุฎีวิหารแลปลูกพระศรีมหาโพธิแลสดับนิ์ฟังพระธรรมเทศนาแลจำศีลเมตตาภาวนาสวดมนต์ไหว้พระ แลอำนวยทานยำเกรงสมณพราหมณ์ผู้มีศีลแลบูชาธรรมทั้งปวงนี้ ถ้าแลว่ผู้ใดกระทำแต่ละสิ่ง ๆ ดังนั้นก็ดี เทพยดาก็เขียนนามลงในแผ่นทองดังกล่าวมานั้นแลฯ แล้วจึงเอาแผ่นทองนั้นไปให้แก่ปัญจสิขรเทวบุตรฯ นั้นจึงเอาไปให้แก่พระมาตลี ๆ นั้นจึงเอาไปทูลถวายแด่พระอินทร์เจ้าแลฯ จึงเทพยดาทั้งหลายก็อ่านดูในแผ่นทอง ถ้าว่าเห็นบาญชีในแผ่นทองนั้นมากไส้ จึงเทพยดาทั้งหลายก็ศ้องสาธุการยินดีนักหนา ด้วยคำว่าดังนี้มนุษย์ทั้งหลายจะได้ขึ้นมาเกิดเป็นเพื่อนเรานี้มากนักหนา แลว่าจตุราบาโพ้นจะเปล่าอยู่แล ฯ ผิว่าเทพยดาทั้งหลายเห็นบาญชีในแผ่นทองนั้นน้อยไส้ จึงเทพยดาทั้งหลายก็ยินร้ายแล้วชวนกันว่าดังนี้ โออนิจจาคนทั้งหลายในมนุษยโลกย์โพ้นกระทำบุญน้อยนักหนา ชะรอยว่าเขาชวนกันกระทำบาปมากนักแล เขาจะได้ไปเกิดในจตุรบายโพ้นมากนักแล กลัวว่าจำเนียรไปภายหน้าเหยียว่าเมืองฟ้านี้จะเปล่าเสียแลฯ แลพระอินทร์จึงถือเอาแผ่นสุวรรณบัฏอันมีอักษรจารึกนามสัปปุรุษทั้งหลายอันกระทำบุญนั้น พระอินทร์เจ้าจึงอ่านหนังสือในแผ่นทองนั้นให้เทพยดาทั้งหลายฟังฯ เมื่อว่าพระอินทร์ค่อยอ่านไส้ได้ยินออกไปไกลได ๘๐,๐๐๐ วาแล ถ้าว่าพระอินทร์ธร้องอ่านด้วยเสียงแข็งไส้ ได้ยินเสียงนั้นไส้เพราะเป็นกังวานทั่วทั้งเมืองไตรตรึงษ์ อันกว้างโดยคณนาว่าไว้ได้ ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ วานั้นทั่วทุกแห่งสิ้นแลฯ แต่มีปราสาทแก้วแลปราสาททองทั้งหลาย อันเป็นวิมานเทพยดาทั้งหลายอยู่ในอากาศแลสูงเพียงจอมพระสุเมรุ เลื่อนไปเถิงปลายกำแพงจักรวาลดังนั้นก็ดีแล ท่านก็เรียกว่าไตรตรึงษ์แลฯ อายุเขายืนได้ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ได้ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์แลฯ อันว่ายศศักดิ์ก็ดีสมบัติแห่งพระอินทร์ แลฝูงเทพยดาทั้งหลายมีดังกล่าวมานี้แลฯ เพราะว่าได้กระทำกุศลบุญธรรมมาแต่ก่อนแลฯ ผู้ใดแลจะปรารถนาไปเกิดในเมืองสวรรค์ไส้ อย่าได้ประมาทลืมตนควรเร่งขวนขวายกระทำกุศลบุญธรรมให้ทานรักษาศีลเมตตาภาวนาอุปฐากรักษาศีล บิดามารดาผู้เฒ่าผู้แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์แลสมณพราหมณ์ผู้มีศีลไส้ ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์แลฯ กล่าวเถิงไตรตรึงษ์เมืองสวรรค์แล้วแต่เท่านี้แลฯ

        แต่ไตรตรึงษ์สวรรค์นั้นขึ้นไปเบื้องบนสูงได้ ๖,๗๒๐,๐๐๐,๐๐๐ วา ผิจะคณนาด้วยโยชน์ได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ จึงเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่ายามา แลมีฝูงเทพยดาทั้งหลายนั้นอยู่ในชั้นฟ้า แลมีปราสาททองปราสาทเงินเป็นงิมานแลมีกรฃำแพงแก้วรอบ แลมีสวนแก้วอุทยานอันดีแลมีสรระโบกขรณีแลฯ อันว่าเทพยดาทั้งหลายหมู่นั้นมีองคืแลหน้าตารุ่งเรืองงามนักหนาโดยสูงตัวเขาไส้ได้ ๘,๐๐๐ วาทุก ๆ องค์แลฯ อันว่าเทพยดาผู้เป็นพระยาแก่เทพยดาทั้งหลายในชั้นฟ้านั้นชื่อว่าสุยามเทวราช ในชั้นฟ้าบมิเห็นพระอาทิตย์เลย เพราะว่าสูงกว่าพระอาทิตย์นัก แล้วเทพยดานั้นเทียรย่อมเห็นด้วยรัศมีแก้วทั้งหลายแลรัศมีเทพยดาทั้งหลายด้วยแลฯ ซึ่งว่ารู้จักรุ่งแลค่ำนั้นได้แลมาอาศัยแก่ดอกไม้ทิพย์นั้นแลฯ ซึ่งว่ารู้จักรุ่งแลค่ำนั้นได้แลมาอาศัยแก่ดอกไม้ทิพย์นั้นแลฯ ผิว่าเมื่อใดเห็นดอกไม้นั้นบานไส้จึงรู้ว่ารุ่งแลฯ ถ้าแลว่าเห็นดอกไม้นั้นหุบเข้าไส้จึงรู้ว่าค่ำเมื่อนั้นแล ๆ ว่าอาศัยแก่ดอกไม้ฉะนี้จึงรู้แลฯ อันว่าอายุเทพยดาชั้นนั้นยืนได้ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ แลได้ ๑๔๒,๐๐๐,๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์เรานี้แลฯ แต่ชั้นฟ้าอันชื่อว่ายามานี้ขึ้นไปเบื้องบนสูงได้ ๑,๓๔๔,๐๐๐,๐๐๐ วา ผิจะคณนาด้วยโยชน์ได้ ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ จึงเถิงชั้นอันชื่อว่าดุสิดาสวรรค์นั้น ๆ มีปราสาทแก้วปราสาทเงินแลปราสาททองเป็นวิมาน แลมีกำแพงแก้วล้อมรอบโดยกว้างโดยสูงโดยงามนั้นยิ่งกว่าปราสาทของเทพยดาทั้งหลายอันอยู่ชั้นยามานั้นแลมีบรรณาการทุกสิ่ง คือสระแลสวนดุจกันชั้นฟ้าทั้งหลายแลฯ อันว่าเทพยดาอันเป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายในชั้นนั้น แลธชื่อว่าสันตุสิตเทพยราฃแล หมู่เทวดาทั้งหลายอันอยู่ในตุสิตานั้น รู้บุญรู้ธรรมทั้งพระโพธิสัตว์เจ้าผู้สร้างสมภารอันจะลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าไส้เทียรย่อมสถิตในชั้นฟ้านั้นแลฯ บัดนี้พระศรีอริยเมไตรยเจ้าผู้จะได้ลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าภายหน้าในภัททกัลปนี้ก็เสด็จสถิตในที่นั้นแล ย่อมตรัสเทศนาธรรมให้เทพยดาทั้งหลายฟังอยู่ทุกเมื่อบมิขาดแลฯ แลว่าอายุไส้ได้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ ได้ ๕๖๗,๐๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์นี้แลฯ แต่ชั้นฟ้าอันชื่อว่าตุสิตานั้นขึ้นไปเบื้องบนได้ ๓๓๖,๐๐๐ โยชน์จึงเถิงชั้นฟ้าอันชื่อว่านิมมานรดีนั้น ๆ เทียรย่อมมีปราสาทแก้วแลปราสาทเงินปราสาททองเป็นวิมาน แลมีกำแพงแก้วกำแพงทองล้อมรอบ แลมีแผ่นดินทองราบเพียงเสมอกันงามทุกแห่งแลมีสระน้ำอาบแลน้ำสรงสัพพทุกสิ่งทุกอัน แลมีสวนแก้วเหมือนกันดังชั้นอันชื่อว่าดุสิตสวรรค์นั้นแต่ว่ายังงามยิ่งดีขึ้นไปกว่าแลฯ ฝูงเทพยดาที่อยู่ในชั้นนั้น ถ้าแลว่ามีใจปรารถนาจะใคร่หาอันใด ๆ ก็ดีเขาหากนฤมิตตนให้เป็นเองโดยใจรักเขาไส้ได้ทุกประการแลฯ เขาเล่นด้วยหมู่นางฟ้าทั้งหลายโดยใจเขานั้นแล จึงเรียกชื่อว่านิมมานรดีเพื่อดังนั้นแลฯ ฝูงเทพยดาอันอยู่ในชั้นฟ้านั้นอายุยืนได้ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ ผิจะคณนาปีในมนุษย์โลกย์ได้ ๒,๓๐๔,๐๐๐,๐๐๐ ปีแลฯ แต่ชั้นฟ้าอันชื่อนิมมานรตีขึ้นไปเบื้องบนโดยสูงได้ ๕,๓๗๖,๐๐๐,๐๐๐ วา ผิจะคณนาด้วยโยชน์ได้ ๖๗๒,๐๐๐ โยชน์จึงเถิงชั้นฟ้า อันชื่อว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ แลแต่ชั้นฟ้า ๖ อันชื่อฉกามาพจรสวรรค์แลฯ อันว่าชั้นฟ้า ๖ ชั้นนี้ไส้ประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งชั้นฟ้าทั้งหลายนั้นแลฯ ผิจะใคร่ได้สัพพทิพยโภชนาหารสิ่งใด ๆ ก็ดี แลมีเทพยดาองค์อื่นหากมานฤมิตเป็นสิ่งนั้นแลได้โดยใจเองทุกประการ จึงเรียกชื่อว่าปรนิมมิตรวสวัตตีสวรรค์เพื่อดังนั้นแลฯ อันว่าเทพยดาในชั้นนั้นตัวเขาสูงได้ ๖๔,๐๐๐ วาทุก ๆ ตนแลฯ อันว่าเทพยดาผู้เป็นพระญาในชั้นชื่อปรนิมมิตวสวัตตีเทวราชแล เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลายอยู่ฝ่าย ๑ แลพระญามาราธิราชผู้เป็นพระญาแก่หมู่มารทั้งหลายอยู่ฝ่าย ๑ แลในชั้นฟ้านี้มีพระญาสององค์แลบห่อนได้ไปเฝ้าไปคัลกัน แต่ชั้นฟ้าทั้งมวลอันมีเทียรย่อมแดนเถิงแดนกำแพงจักรวาลทุกชั้นฟ้าแล แต่ ๖ ชั้นฟ้านี้ชื่อฉกามาพจรภูมิแลฯ อายุเทพยดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนั้นยืนได้ ๑๖,๐๐๐ ปีฯ อายุเทพยดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนั้นยืนได้ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ ผิว่าจะนับปีในมนุษย์นี้ได้ ๙๒๑,๖๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์เรานี้แล ฯ หมู่เทวดาทั้งหลายจะสิ้นอายุจากเมืองฟ้านั้นมี ๔ สิ่ง ๆ หนึ่งชื่ออายุขัย สิ่งหนึ่งชื่อบุญญขัย สิ่งหนึ่งชื่ออาหารขัย สิ่งหนึ่งชื่อโกธาพลขัยฯ ผิว่าเทพยดาหมู่ใด ๆ กระทำบุญแต่หลังมาแลสิ้นอายุในชั้นฟ้าตนอยู่นั้น แลไปเกิดในชั้นฟ้าเมืองบนก็ดี แลลงมาเกิดในชั้นฟ้าเดียวนั้นเล่าก็ดี ดังนั้นชื่อว่าอายุขัยแลฯ ฝูงเทพยดาอันได้กระทำบุญแต่ก่อนแลได้ไปเกิดในเมืองฟ้า แลอายุเทพยดานั้นบมิเถิงกำหนดโดยอายุเทพยดาในชั้นฟ้านั้น แบบุญเทพยดานั้นหากสิ้นก่อนเทพยดานั้นก็จุติจากสวรรค์นั้นไปเกิดแห่งอื่น เพราะว่าบุญสิ้นดังนั้นเรียกชื่อว่าบุญขัยแลฯ เทพยดาลางจำพวกอยู่เล่นสนุกนิ์ด้วยนางฟ้าแลลืมกินอาหารทั้งหลายเทพยดานั้นก็สิ้นชีวิต แม้นว่าลืมกินแต่งายดังนัน้นก็ดี ลืมกินแต่เพราเดียวดังนั้นก็ดี แม้นว่ามากินเมื่อภายหลังได้แลรอยคาบก็ดีก็มิอาจคงชีวิตคืนได้เลย เหตุว่าเนื้อของเทพยดานั้นอ่อนอุปมาดังดอกบัว แลเอาไปตากไว้หน้าศิลาเมื่อแดดร้อนนั้นวันหนึ่งยังค่ำแล้วแลเอามาแช่น้ำเล่าแม้นว่าแช่ไว้นานเท่าใด ๆ ก็ดี อันว่าดอกบัวก็มิอาจคืนสดชื่นมาดังเก่าเลย แลมีดังฤๅไส้ตัวเทพยดาอดอาหารแลตายนั้น แลเทพยดาทั้งหลายตนใดสิ้นชีวิตด้วยประการดังนั้นไส้เรียกชื่อว่าอาหารขัยแล เทพยดาลางจำพวกเห็นเทพยดาตนอื่นเป็นดี แลมียศถาศักดิ์ดียิ่งกว่าตนก็มีใจริษยา แลมีใจโกรธก็บังเกิดถ้อยความถุ้งเถียงกันแลด่าทอกัน เทพยดาทั้งสองนั้นถ้าแลว่าผู้ใดก็ดีแลผู้ใดอดได้บมิได้โกรธไส้ เทพยดาทั้งหลายนั้นมีชีวิตคงอยู่แล เพราะเหตุใดเพราะว่าใจของเทพยดาผู้โกรธนั้นเป็นไฟ แลใจของเทพยดาผู้มิได้โกรธนั้นเป็นน้ำแลไปดับไฟ คือใจเทพยดาผู้โกรธนั้นเสียจึงคงชีวิตอยู่เพื่อดังนั้นแลฯ ถ้าแต่ว่าเทพยดาทั้งหลายสองตนนั้นต่างตนต่างย่อมตั้งความโกรธต่อกัน แลมิได้อดกันต่อด่าต่อเถียงดังนั้น อันว่านางฟ้าทั้งหลายที่เป็นบริวารทั้งสองฝ่ายนั้น เขาเทียรย่อมสยายผมเขาลงแล้วก็ร้องไห้ทุก ๆ ตนแล เทพยดาทั้งสองนั้นตั้งความโกรธต่อกันดังนั้น อันว่าหัวใจเทพยดาทั้งสองนั้นก็เป็นไฟไหม้ตัวเขาทั้งสอง ๆ นั้นก็สิ้นชีวิตตายแล แลว่าเทพยดาหมู่ใดแลสิ้นด้วยประการดังนี้ไส้เรียกชื่อว่าโกธาพลขัยแลฯ พิไสยของเทพยดาทั้งหลายฉันนี้ แม้นว่ากินอาหารไส้แลจะมีลามกอาจมมูตรคูถดังมนุษย์เราท่านนี้หาบมิได้แล เทพยดาอันจุติจากสวรรค์แลจะมีอศุภดังมนุษย์เราท่านนี้ก็หาบมิได้ ครั้นว่าจุติไส้ทั้งกายนั้นก็หายไปด้วยทีเดียวแลฯ ผิว่าเทพยดาผู้มีบุญนั้น ครั้นว่ายัง ๗ วันจะสิ้นชนมาพิธีจะจุติไส้ ย่อมอุบัติให้เห็นนิมิต ๕ อันเห็นนิมิตดังนี้ไส้แล แลเทพยดาตนนั้นก็รู้ซึ่งสภาวตนจะจุติแลฯ อันนิมิต ๕ อันนั้นฉันนี้ อนึ่งคือว่าเห็นดอกไม้อันมีในวิมานตนนั้นเหี่ยวแลบมิหอมไส้ เพราะว่าแต่ก่อนนั้นหอมนักแลมิรู้เหี่ยวจึงรู้ด้วยดังนี้ ๑ นิมิตอนึ่งเห็นผ้าอันทรงอยู่นั้นไส้ดูหม่นดูหมองไป เพราะว่าแต่ก่อนบห่อนรู้หม่นรู้หมอง แลว่าผ้านั้นสุกใสงามอยู่ทุกเมื่อแลรู้ด้วยดังน้ ๑ นิมิตอนึ่งคือว่าอยู่สุขแล้วอุบัติหาสุขบมิได้ แลมีเหงื่อไหลแลไคลออกกแต่รักแร้ตน เพราะว่าแต่ก่อนไส้ย่อมมีสุขทุกเมื่อเหงื่อแลไคลบห่อนไหลออกจากตัวไส้แลรู้ด้วยดังนี้ ๑ ฯ อนึ่งอาสน์ที่ตนนั่งแลนอนก็ดูร้อนแก่ใจดูแข็งกระด้างแก่ใจ เพราะว่าแต่ก่อนบห่อนรู้ร้อนรู้แข็งแลกระด้างแลมาร้อนแลกระด้างนัก รู้ด้วยดังนั้น ๑ อนึ่งกายของเทพยดานั้นเหี่ยวแห้งแลเศร้าหมองหารัศมีบมิได้ดุจก่อน แลให้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยตีนมือแลกระศัลโสด เพราะว่าแต่ก่อนตัวเทพยดานั้นมีรัศมีรุ่งเรืองงามทุกเมื่อ บห่อนรู้เศร้าหมอง บห่อนรู้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยตีนมือ แลกระศัลรู้ด้วยดังนี้ ๑ ฯ อันว่าการณ์อันเห็นนิมิต ๕ อันดังนี้แลมีแก่เทพยดาผู้มีบุญแลจะจุติไส้อุปมาดังท้าวพระญาในมนุษย์อันจะพิลาลัยแล้วให้เห็นนิมิตอุปมาดังอุบายนี้แลฯ ส่วนว่าเทพยดาทั้งหลายอันมีบุญน้อยหากอยู่หากจุติแลฯ ส่วนว่าเทพยดาที่มีบุญสั้น ครั้นว่าเห็นนิมิต ๕ อันดังนั้นแล้ว อันว่าเทพยดาทั้งหลายอันเป็นที่รักตนก็ดี แลนางฟ้าทั้งหลายอันเป็นบริวารตนก็ดี ย่อมมาสู่มาหาทั้ง ๗ วันนั้นแลมีทุกข์โทมนัสด้วยกันแล้วก็ชักชวนไปเล่นสระแลที่สนุกนิ์ เพื่อจะให้เทพยดาองค์นั้นเคลื่อนคลายหายทุกข์แล อันว่านางฟ้าทั้งหลายซึ่งเป็นบริวารของเทพยดาตนนั้นเทียรย่อมร้องห้ทุกตน ๆ แล้วแลว่าดังนี้จงท้าวธรมาเกิดในวิมานแห่งเดียวนี้เถิดฯ ครั้นว่าถ้วน ๗ วันจึงเทพยดาตนนั้นก็จุติแลฯ แล้วเทพยดานั้นก็ไปเกิดภายหน้าด้วยอำเภอบุญแลบาปแห่งเทพยดานั้นจะชักไปเอง แลเมื่อแลว่าเทพยดาองค์นั้นพิลาลัยแล้วดังนั้น ครั้นว่าเครื่องถนิมอาภรณ์ของเทพยดานั้นหากหายไป แลตัวเทพยดานั้นก็หายไป แม้นว่าผมเส้นหนึ่งก็ดี บมิเห็นปรากฏเลยฯ อันว่าคณะเทพยดาทั้งหลายแลมีสุขสมบัติบารณดังนี้ไส้ก็ดีแล แลว่ายังรู้สิ้นจากความสุขสมบัติไส้ อย่าว่าแต่มนุษย์เราท่านทั้งหลาย แลจะมั่นคงแก่สมบัติแลอายุอยู่ได้เลยฯ เหตุดังนั้นแล จึงองค์พระพุทธเจ้าก็ดี แลพระปัเตยกโพธิเจ้าก็ดี พระอรหันตาขีณาสพเจ้าทั้งหลายก็ดี ท่านจึงมิใคร่ปรารถนาแก่สุขสมบัติในสงสารนี้แล ท่านจึงเสด็จไปสู่นิพพานสุขเพราะเพื่อดังนี้แลฯ อันว่าเกิดมาแลจะได้สุขสมบัติในเทวโลกย์ก็ดี มนุษย์โลกย์ก็ดี เพราะเหตุได้กระทำบุญแต่ก่อนแลประกอบด้วยไตรเหตุ ๓ อนึ่งชื่ออโลโภเหตุ เหตุบมิได้โลภเพื่อจะเอาสินท่านผู้อื่น ฯ อนึ่งชื่อว่าอโทโสเหตุ เหตุว่าบมิได้ขึ้งเคียดบมิได้รู้คุมนุมคุมโทษบมิรู้ริษยาแก่ท่านผู้อื่นแลฯ อนึ่งชื่อว่าอโมโหเหตุ เหตุว่าบมิหลงแลบมิได้กระทำการณ์อันเป็นบาป แลเทียรย่อมกระทำการณ์อันเป็นบุญเพื่อเหตุ ๓ อันดังกล่าวนี้แล้วจึงมียษศักดิ์แลสุขสมบัติเพื่อดังนั้นแลฯ อันว่าบุญทั้งหลายแลจิตจะเป็นบุญนี้ ก็มีใจทั้งกลายได้ ๑๗,๒๘๐ ดวง ดังกล่าวก่อนนั้นแลฯ กล่าวเถิงสวรรค์อันเกิดในฉกามาพจรภูมิอันเป็นอัฏฐกัณฑ์โดยสังเขปแล้วแต่เท่านี้ฯ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย