ไตรภูมิพระร่วง/อรูปพรหม

จาก วิกิซอร์ซ

อรูปพรหม[แก้ไข]

        ทีนี้จะรำพรรณเถิงฝูงอันไปเกิดในอรูปพรหมโพ้น เอาปฏิสนธิด้วยอรูปปฏิสนธิแลแต่อกนิฏฐขึ้นไปเบื้องบนเปล่าไกลกันนักหนาแลจึงมีพรหมโลกย์ ๔ ชั้น ๆ หนึ่งชื่ออากาสายัญจายตนภูมิชั้น๑ ชื่อวิญญาณัญจายตนภูมิชั้น ๑ ชื่ออากิญจัญญายตนภูมิชั้น ๑ ชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิฯ อันว่าพรหมโลกย์ ๔ ชั้นนี้ชื่อปัญจฌานภูมิ พรหม ๔ ชั้นนี้แลว่าหาตัวหาตนบมิได้บมิได้เปล่าอยู่ไส้แต่เท่าว่ายังแต่จิต พรหมฝูงนั้นหากตั้งอยู่ในที่นั้นแลฯ แม้มาตรว่าตัวแต่น้อยนี้ก็หาบมิได้เลย แลมีแต่จิตหากตั้งอยู่นั้นไส้เป็นกลางหาว แลที่เปล่านั้นไส้แต่พรหม ๔ ชั้นนั้นเป็นที่ของฝูงพรหมอันหารูปบมิได้อยู่ ชื่อว่าอรูปพรหมโลกย์เพื่อดังนั้นเมื่อเขาอยู่ในมนุษย์เรานี้เขาย่อมคะนึงในใจเขาว่าดังนี้ฯ อันว่าน้ำจิตวิริยานี้ให้ใจคนหายไป ดังนั้นจะเป็นกลเป็นการณะอันใด แม้นว่าใจยังอยู่ก็ดีเหลอนว่าดังนี้หาบมิได้ ครั้นว่าตัวแลตนนั้นหาบมิได้ไส้ตนจะกระทำร้ายแก่ท่านบมิได้ แลท่านจะกระทำร้ายแก่ตนก็หาบมิได้ ควรปรารถนาให้ดงนี้หายไปแลยังแต่จิตเขา ๆ ภาวนากระทำฌาน ๕ สิ่งแลปรารถนาดังนี้เมื่อแลกูจะเอาอากาศอันเปล่าอันบมีสักสิ่งในอรูปพรหมโลกย์ชั้นต่ำเป็นที่อยู่แห่งกูเขาว่าดังนี้เขาจึงภาวนา แลความปรารถนาให้ตัวตนหายว่าดังนี้ฯ อากาโส อนัน์โต ๆ อากาโส อรูปํ ภวิส์สามีติฯ อากาศอันมากหลายนักหนา ผลอันกูกระทำแลใฝ่ใจใคร่ขอจงอย่ามีสักอันเลย เขากระทำฌานดังนั้นแลให้ปรารถนาทุกเมื่อแล้ว แลจึงได้อากาสานัญจายตนฌานสุดชั่วตน ครั้นว่าได้ไปเป็นพรหมอยู่ในอากาสานัญจายตนพรหมโลกย์ใจนั้นยังน้อยหนึ่งดังกล่าวก่อน แลว่าบมีหน้าแลตาตีนแลมือแต่น้อยนี้ก็หามิได้เลย พรหมชั้นนั้นอายุเขายืนได้ ๒๐,๐๐๐ มหากัลปแลฯ ฤๅษีลางจำพวกกระทำฌาน ๕ สิ่งในชั้นต่ำแล้วแลได้อากาสานัญจายตนสมาบัติเห็นอากาสานัญจายตนสมาบัตินั้นบมิพอใจ เพราะว่าใจนั้นยังมากกว่าชื่นแลบมิมักเอาอากาสานัญจายตนสมาบัติ แลย่อมปรารถนาจะใคร่เถิงวิญญาณัญจายตนสมาบัติอยู่เหนืออากาศ แห่งเปล่าดายทุกเมื่อแลมิได้ไปล่วงอื่นเทียรย่อมใฝ่ใจภาวนาดังนี้ฯ วิญญาณัญจายตนอิมินาเนว อรูปีโหติฯ บมิได้เอาไปล่วงอื่นเลยเทียรย่อมใฝ่ด้วยความดังนั้นทุกเมื่อสุดชั่วตน ครั้นว่าตายได้ไปเกิดในวิญญาณัญจายตนพรหมโลกย์ อายุพรหมนั้นยืนได้ ๔๐,๐๐๐ มหากัลปฯ ฤๅษีลางจำพวกก็กระทำฌาน ๕ สิ่งในชั้นต่ำแล้วได้วิญญาณัญจายตนสมาบัติ เห็นวิญญาณัญจายตนสมาบัตินั้น ๆ มิพอใจเพื่อจิตยังมากหลายกว่าชื่น แลเห็นอากิญจัญญายตนสมาบัตินั้นหากสุขแลเย็นกว่า แลเทียรย่อมจะใคร่เถิงอากิญจัญญายตนสมาบัติอันอยู่เหนืออากาศเปล่าดายทุกเมื่อ แลมิได้ไปล่วงอื่นเลยเทียรย่อมใฝ่ใคร่ในใจแลภาวนาดังนี้ทุกเมื่อ นัตถิกิญจิ บมิเอาใจใส่ไปล่วงอื่นเทียรย่อมใฝ่ด้วยความดังนั้นทุกเมื่อสุดชั่วตน ครั้นตายได้ไปเกิดในอากิญจัญญายตนพรหมโลกย์ แลมีอายุยืนได้ ๖๐,๐๐๐ มหากัลปฯ ฤๅษีลางจำพวกกระทำฌาน ๕ สิ่งในชั้นต่ำแล้ว แลได้อากิญจัญญายตนสมาบัติแลเห็นอากิญจัญญาสมาบัตินั้นบมิเต็มใจ เพราะว่าใกล้ฝูงอันมีรูปแลบมิยินดีในใจดุจดังตนอันอยู่ใกล้ข้าศึกอันมีหอกแลดาบแลบมิเย็นใจแลเขาคำนึงดังนี้ เขามิได้ปรารถนาอากิญจัญญายตนสมาบัติอันมีในอากิญจัญญายตนสมาบัติพรหมโลกย์นั้น เทียรย่อมจะใคร่ได้ไปเกิดในพรหมโลกย์ชั้นอื่นนั้นจงไกลฝูงมีรูปนั้นดังข้าศึกแลมิได้เอาใจไปล่วงอื่นเลย เทียรย่อมใฝ่ใคร่ไปเถิงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัตินั้นแล เขาว่าดังนี้มีใจมากนักยังอันคำนึงหลายสิ่งจึงภาวนาดังนี้ฯ เนสัญญานาสัญญา ภวิสสมาสิ เขาย่อมว่าดังนี้ ขอจงกูนี้มีใจนั้นน้อยนักหนาแลอยู่ดุจดังว่าหายไปที่ในอากาศนั้นร้อยเท่าพันเท่ากว่าใจพรหมชั้นต่ำใจนั้นจักมีดังว่า บมีเพราะว่าน้อยนักแลพรหมชั้นนั้นมีอายุยืนได้ ๘๔,๐๐๐ มหากัลปฯ แลว่าจักกระทำอันใดบมิได้เลยเพราะว่าใจนั้นน้อยนักแล พรหมโลกย์ชั้นนั้นมีสมาบัติยิ่งกว่าพรหมเทวโลกย์ทุกแห่ง แม้นว่าใจแลน้อยฉันนั้นก็ดียังมีเพื่อนใจบุญอันเป็นเจตสิก ๒๐ จำพวกเป็นเพื่อนใจนั้นดังกล่าวก่อนนั้นแลฯ แต่เท่าว่าเอากรุณาแลมุทุตาออกเสียยังคงแต่ ๒๐ เพื่อนดังนั้น ยังมีอัญญสมานอันนั้นออกรู้ฉนี้บมิเว้นเลยฯ กล่าวแต่โสภณเจตสิกอาศัยอรูปโลกย์นี้ว่าใจน้อยดังนี้ก็ดีน้อยเพื่ออยู่สุขสมาบัติไส้ ผิเมื่อเถิงพระพุทธเจ้าเสด็จมาเกิดในโลกย์นี้อรูปพรหมทั้งหลายนั้นยังมีใจสัทธาแลบูชาพระเจ้าแลฯ จะเริ่มว่าฝูงอันหาจิตบมิได้สิยังเป็นดังว่ามีใจแลกระทำบูชาฯ ดังเมื่อพระพุทธเจ้ากระทำยมกปาฏิหาริย์ด้วยฤทธิ์อันชื่อว่าอิทธิวิธิฌาณด้วยใจอันชื่อโสมนัสสสหคตญาณสัม์ปยุต์ตอสํขาริกจิตตมหาฉพรรณรังษีพระรัศมีทั้ง ๖ สิ่งฯ แลว่าพระรัศมีฝูงนั้นมีพรรณดังฤๅบ้างสิ้นฯ พระรัศมีอันหนึ่งแลมีพรรณเขียวงามดังดอกอัญชัน แลดังดอกนิลลุบลแลดอกผักตบดังแววนกยูงแลปีกแมลงภู่ฯ แลว่าพระรัศมีอันหนึ่งมีพรรณอันเหลืองงามดังดอกกัณณิการ์แลหรดาลแลทองสุกอันชื่อว่าชมพูนุทฯ แลว่าพระรัศมีอันหนึ่งมีพรรณแดงดังแสงน้ำครั่งแลชาติหิงคุ แลดอกชบาดังดอกถีทับทิมฯ แลพระรัศมีอันหนึ่งมีพรรณขาวแลงามดังดอกพุดแลสังข์ฯ แลพระรัศมีอันหนึ่งแดงอ่อนแลงามดังดอกอโนชา แลดอกชบาเทศแลดอกเทียนไทยแลดอกทองฟ้าอันออกแสงดังทองแดงอันท่านขัดฯ แลพระรัศมีอันหนึ่งมีพรรณอันใส แลเหลืองแลงามดังดาวประกายกรึกแลผลึกรัตนะแลแล้วจึงฉวัดเฉวียนเวียนให้รุ่งเรือง แลฝูงพระรัศมีทั้งหลายอันออกจากองค์พระพุทธเจ้าแลฯ อันว่าพระรัศมีอันเขียวงามดังดอกอัญชันแลดอกผักตบแลนิลลุบลแลแววนกยูงปีกแมลงภู่นั้นออกแต่พระเกสแลโลมาพระเนตรขนหนวดแลเคราทุกเส้นพระโลมาถ้วนทิศฐานดำทุกแห่งแลฯ อันว่าพระรัศมีมีพรรณเหลืองเรืองงามดังดอกกัณณิการ์แลหรดาลแลทองสุกชมพูนุทนั้นออกแต่หลังพระพุทธเจ้าแลฯ อันว่าพระรัศมีมีพรรณขาวงามดังดอกพุดบริสุทธิ์ดังสังข์นั้น ออกแต่พระเนตรอันขาวแลพระทนต์พระพุทธเจ้าแลฯ อันว่าพระรังษีอันที่แดงออกดังดอกอโนชา และดอกชบาเทศแลเทียนไทยแลดอกทองฟ้าอันออกแสงดังทองแดงอันขัดนั้นออกแพนข้อพระหัตถ์เล็บพระบาท แห่งพระพุทธเจ้าแลฯ อันว่าพระรัศมีอันหนึ่งมีพรรณงามดังดาวผกายพรึกแลผลึกรัตนนั้น ออกแต่พระอุณาโลมคืนขนแก้วอันอยู่ในพระพักตร์พระพุทธเจ้าแลฯ พระรัศมีทั้ง ๖ ประการดังนี้สลวลอันเขียวงามยิ่งเขียว อันที่ขาวงามยิงขาว อันที่เหลืองงามยิ่งเหลือง อันที่แดงงามยิ่งแดง อันที่แดงอ่อนงามยิ่งแดงอ่อน อันที่พรายเรืองดังดาวประกายพรึกฯ พระรัศมีทั้ง ๖ ประการออกแต่พระองค์พระพุทธเจ้าแล้ วกลับกลอกฉวัดเฉวียนเวียนไปมาแล พระรัศมีทั้งหลายนั้นบห่อนรู้เศร้ารู้หมอง ลางอันก็ก่อง ลางอันก็รายไป ลางอันก็ว่ามา ลางอันหนา ลางอันน้อย ลางอันห้อย ลางอันไหลไป ลางอันอยู่ ลางอันเป็นหมู่ ลางอันเป็นตัว ลางอันเป็นลมล้อม ลางอันค้อมลงดิน ลางอันขึ้นไปเมืองฟ้า ลางอันไปหน้า ลางอันไปหลัง ประนังกันออกแลฯ พระรัศมีอันที่เขียวไปก่อน พระรัศมีอันที่เหลืองไปตาม พระรัศมีอันที่แดงไปอับดับ พระรัศมีขาวไปอันดับ พระรัศมีแดงอ่อนไปอันดับ พระรัศมีอันพรายงามดังดาวผกายพรึกไปภายหลังทั้ง ๖ หมู่ พระรัศมีที่เหล่องนั้นดุจรู้จักรู้ว่าแก่หมู่พระรัศมีอันที่เขียวนั้นดังนี้ ดูกรรัศมีเขียว แลท่านจงหยุดอยู่ดุจถามท่านดูดังฤๅแลท่านไปก่อนตู เพื่อกำเนิดเกิดบุญสมภารแห่งท่านเป็นดังฤๅฯ อันว่าพระรัศมีที่เขียวนั้นกระทำดังเหลียวแลแปรมาขานว่าดังนี้ อันว่าตูนี้ไส้มีบุญเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเรายังเป็นโพธิสัตว์อันทรงพระนามชื่อพระเจ้าสีพีราช วันนั้นไส้ท่านควักพระเนตรออกให้เป็นทานแก่พระอินทร์ อันนฤมิตเป็นพราหมณ์มาขอวันนั้น ด้วยเดชะพระสมภารบารมีดังนี้ตูก็เกิดพระรัศมีมีพรรณเขียว แลตูจึงนำหน้าท่านทั้งหลายไปก่อนเพื่อดังนี้แลฯ เมื่อนั้นจึงพระรัศมีอันแดงใสเรืองรุ่งพุ่งออกไปจึงแลเห็นหมู่พระรัศมีอันเหลืองแลไปก่อนหน้านั้น จึงหมู่พระรัศมีอันแดงนั้นประดุจดังจักรู้ว่าดังนี้ ว่าดูกรหมู่พระรัศมีอันเหลืองเพราะเหตุอันใดแลท่านจึงไปก่อนตูแล บุญสมภารบารมีท่าน ๆ ทำเป็นดังฤๅบ้างฯ จึงหมู่พระรัศมีอันที่เหลืองนั้น กระทำอาการดังจะรู้แลแปรคืนมาขานตอบพระรัศมีอันแดงนั้นว่าฉันนี้ ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าเราสร้างสมภารเป็นเจ้าวิริยบัณฑิตวันนั้นไส้ ท่านเชือดเนื้อออกมาให้แด่พระอนทร์อันธนฤมิตลงมาเป็นช่างทองแลให้ตีเป็นแผ่นทองปิดพระพุทธรูปเจ้าด้วยใจอันสัทธาแลยินดีนักหนา เหตุนี้แลตูจึงมาได้เป็นพระรัศมีสีเหลืองเรืองรุ่งงามดังทอง แลตูจึงไปก่อนหน้าท่านด้วยบุญสมภารบารมีดังนั้นแลฯ เมื่อนั้นจึงหมู่พระรัศมีอันมีพรรณขาวนั้นเห็นหมู่พระรัศมีสีอันแดงนั้นไปก่อน แลพระรัศมีขาวทำอากานดุจดังจักรู้ว่าแก่หมู่พระรัศมีอันสีแดงนั้นฉันว่านี้ ดูกรหมู่พระรัศมีอันสีแดง แลท่านไส้ไปก่อนตูเยียใดแล บุญสมภารบารมีท่านเป็นดังฤๅแลท่านจึงไปก่อนเราดังนี้ฯ จึงหมู่พระรัศมีอันสีแดงนั้นดุจดังจะแปรแลมาขานตอบคำหมู่พระรัศมีอันสีขาวนั้นให้แจ้งแถลงว่าดังนี้ ว่าบุญสมภารบารมีเรานี้ไส้ คือว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเรานี้เมื่อครั้งธสร้างสมภารเป็นเจ้ารนครชีวมานพ วันนั้นแลในนิยายหนึ่งว่าเจ้าปทุมกุมารเอามีดมาผ่าอกยกเอาหัวใจเอาทำเป็นยาให้แก่แม่ตนอันงูขบ แลตายแล้วให้คืนเป็นขึ้นมาด้วยเดชบุญสมภารบารมีดังนี้ ตูไส้จึงได้เป็นพระรัศมีอันสีแดงแลตูจึงไปก่อนท่านด้วยบุญสมภารดังนี้แลฯ เมื่อนั้นพระรัศมีอันสีเหลืองอ่อนดังท่านระบายรงหงส์สิบบาท เห็นหมู่พระรัศมีอันสีขาวนั้นไปก่อนหมู่พระรัศมีสีแดงเหลืองอ่อน ดังจักรู้ถามแลว่าแก่หมู่พระรัศมีอันสีขาวนั้นว่าฉันนี้ว่าดูกรท่านพระรัศมี หมู่พระรัศมีอันสีขาวท่านไส้ไปก่อนเราเยียใด แลบุญสมภารบารมีท่านไส้ได้กระทำเป็นดังฤๅ แลท่านจึงไปก่อนเราดีงนี้ จึงหมู่พระรัศมีอันสีขาวนั้นดุจดังจะรู้แลแปรคืนมาขานตอบว่าฉันนี้ ว่าบุญสมภารเรานี้ไส้ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าเรานี้สร้างสมภารเป็นพระญาเวสสันดร อันอวยทานช้างเผือกตัวชื่อปัจจยนาเคนทร์ แก่พราหมณ์ทั้งหลายอันมาแต่เมืองกลึงคราฐด้วยใจสัทธาด้วยบุญสมภารบารมีดังนั้นตูจึงได้มาเป็นพระรัศมีอันขาวแลตูได้ไปก่อนหน้าท่านด้วยบุญสมภารเราดังนี้แลฯ เมื่อนั้นจึงพระรัศมีสีอันใสดังดาวผกายพรึกและผลึกรกัตน ก็เห็นหมู่พระรัศมีสีแดงเหลืองดังระบายรงหงส์สิบบาทนั้นไปก่อน อันว่าหมู่พระรัศมีสีใจดังกาวผกายพรึกผลึกรัตนนั้นดังจักรู้ถามแล ว่าแก่พระรัศมีสีเหลืองระบายรงหงส์สิบบาทว่าฉันนี้ ว่าดูกรพระรัศมีสีแดงเหลืองอ่อนดังระบายรงหงส์สิบบาท เหตุดังฤๅไส้ แลท่านจึงไปก่อนตู แลบุญสมภารบารมีของท่านกระทำธเป็นดังฤๅแลท่านจึงไปก่อนเรา บัดนี้กาลนั้นอันว่าพระรัศมีสีแดงเหลืองอ่อนดังท่านระบายรงหงส์สิบบาทนั้นดุจดังจะรู้แปรแลมาขานตอบแลบอกคดีว่า ตูนี้มีบุญสมภารบารมีในเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าสร้างสมภารเมื่อเป็นวิชชาธรโพธิสัตว์วันนั้น แลธเชือดเนื้อออมาให้เป็นทานแก่ผีเสื้อเป็นอาหาร ด้วยบุญสมภารบารมีดังนี้ ตูจึงได้เป็นพระรัศมีสีแดงเหลืองอ่อนดังท่านระบายรงหงส์สิบบาท ทั้งนี้ตูจึงไปก่อนท่นเพราะบุญสมภารบารมีเราดังนี้ตูจึงไปก่อนท่านแลฯ เมื่อนั้นจึงหมู่พระรัศมีสีพรรณดังดาวผกายพรึกแลผลึกรัตน ก็เหาะฉวัดไปเบื้องหน้าก่อนพระรัศมีสีแดงเหลืองอ่อนอังระบายรงหงส์สิบบาทนั้น จึงหมู่พระรัศมีสีแดงเหลืองอ่อนดังระบายรงหงส์สิบบาทนั้น เห็นรัศมีพรรณดังดาวผลายพรึกผลึกรัตนนั้นไปก่อน แลพระรัศมีสีแดงเหลืองอ่อนนั้นดุจดังจะรู้ถามรัศมีซึ่งไปก่อนนั้น ว่าดูกรพระรัศมีพรรณดังดาวผกายพรึกผลักรัตนนั้น ว่าเหตุใดท่านไส้จึงไปก่อนเรา แลบุญสมภารบารมีของท่านกระทำเป็นดังฤๅแล ท่านไปก่อนเราบัดนี้ จึงกาลนั้นอันว่าหมู่พระรัศมีมีพรรณดังดาวผกายผลึกรัตนนั้นดุจดังแปรมาบอก่าบุญสมภารบารมีเรานี้ไส้ ได้เมื่อพระเจ้าสร้างสมภารเมื่อครั้งธเป็นสสบัณฑิต วันนั้นธมีใจสัทธาแลประดิษฐานตัวให้เป็นทาน แลทอดตัวลงในไฟอันพระอินทร์กองเผาตัวให้เนื้อเป็นทานแก่พราหมณ์ ด้วยเดชบุญสมภารบรมีเราดังนี้ จึงให้ได้มาเป็นพระรัศมีมีพรรณดังดาวผกายพรึกผลึกรัตนเราจึงได้ไปก่อนดังนี้แลฯ เมื่อนั้นอันว่าหมู่รัศมีเจ้าทั้งหลายก็แข่งกันเหาะไปเบื้องหน้าแล้ว ก็คล้อยลงข้างใต้เถิงทุกแห่งทุกพายฉายพระรศมีเถิงอวิจีนรกเถิงแดนสุดปฐพีดลได้ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ แล้วก็เถิงลมอันทรงน้ำแลดินไว้บมิให้ไหว ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ แล้วดนไปเถิงอัชดากาศอันต่อภายใต้เบื้องโพ้นไส้ พุ่งขึ้นไปโดยอันดับแลพ้นอรูปพรหมขึ้นไปเถิงลมอัชดากาศอันต่อฝ่ายบนแล ฝ่ายทั้ง ๘ ทิศพุ่งไปถึงอนันตจักรวาลทุกด้าน ๆ แลพระรัศมีทั้งหลายนั้นเห็นสว่างเข้าไปทุกรูทุกซอกห้วยเนินเขา ในถ้ำแลปลองช่องเหวเงื้อมแง่ แลที่มือนั้นอันรัศมีแห่งพระอาทิตย์แลเห็นพระจันทร์ส่องเข้าไปบมิได้นั้น อันว่าพระรัศมีพระพุทธเจ้าวันนั้นอาจส่องให้เห็นทุกแห่งแพร่งพรายแล เมื่อพระพุทธเจ้ากระทำปาฏิหาริย์ครั้งนั้นแผ่นดินไหวทั้งปวงทั้งพระสมุทรก็ตีฟองนองระลอกทั้งพระสุเมรุราช ก็อ่อนน้อมค้อมดังยอดหวายอันท่านลนไฟแลอ่อน สรรพดุริยดนตรีทั้งหลายอันหาจิตบได้ก็ดีหากดังเอง ดุจดังมีคนตีแลเป่าแลหากอยู่หากเปล่งเสียงนั้นออกเอง แลเพราะนักหนาถวายบูชาแก่พระพุทธเจ้าแลหมู่พรหมทั้งหลายคือรูปพรหมก็ดี ก็ลงมานมัสการแด่พระพุทธเจ้าด้วยเพราะดังนั้นฯ แลกล่าวเถิงพระพรหมอันชื่อว่ารูปาพจรภูมิ อันเป็นอัฏฐกัณฑโดยสังเขปแล้วแต่เท่านี้แลฯ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย