ข้ามไปเนื้อหา

ไตรภูมิพระร่วง/เปตภูมิ

จาก วิกิซอร์ซ

เปตภูมิ

[แก้ไข]

        สัตว์อันเกิดในเปรตภูมิก็เอาโยนิทั้ง ๔ นั้นทุกอันแล ฝูงเปรตอันมีดังนี้อยู่รอบเมืองราชคฤนครนั้น ภายนอกเมืองราชคฤ์นั้นมีถิ่นฐานบ้านเมือง ฝูงเปรตอยู่แงนั้นเรียกชื่อว่าเปรตยมโลกย์แลอันว่าเปรตชื่อว่ายมโลกย์นั้น แลมีงเปรตอยู่มากมายนักหนาแลเปรตลางจำพวกอยู่ในกลางสมุทร เปรตลางจำพวกอยู่เหนือเขา เปรตลางจำพวกอยู่กลางเขา แลเปรต ๓ จำพวกนี้ จำพวก ๑ ชื่อตรีเตุปฏิสนธิ จำพวก ๑ นั้นดีมีปราสาทแก้วแลมีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีคูล้อมรอบดูงามนักหนาแลฯ เปรตจำพวก ๑ มีช้างม้าข้าคนมียั่วยาน คานามทอง ขี่เที่ยวไปโดยอากาศ แม้นชื่อว่าเปรตฝูงนั้นแม้นจะเป็นดีมียศศักดิ์เท่าใด ๆ ก็ดี บมิดุจเทวดาในสวรรค์แล ฝูงเปรตลางจำพวกเมื่อเดือนขึ้นได้เป็นเปรต เมื่อเดือนแรมเป็นเทพยดา ฝูงเปรตลางจำพวกเมื่อเดือนแรมเป็นเปรต เมื่อเดือนขึ้นเป็นเทพยดา ฝูงเปรตลางจำพวกเป็นเปรตนานนักรอด ชั่วพุทธันดรกัลปโสด เปรตลางจำพวกที่เป็นเปรตตรีเตุปฏิสนธินั้นก็รู้พระจตุราริยสัจจธรรม เปรตลางจำพวกไปอยู่แฝงต้นไม้ใหญ่ เปรตลางจำพวกอยู่แทบที่ราบ แลย่อมกินอันร้ายเป็นอาารเลี้ยงตนเขา เปรตลางจำพวกมีปราสาททิพย์มีเครื่องกินนั้นย่อมเป็นดังเทพยดา

        ฝูงผีเสื้อลางจำพวกอยู่ในต้นไม้แลย่อมกินข้าวเป็นอาาร ฝูงผีเสื้อเป็นตรีเตุปฏิสนธิก็รู้พระจตุราริยสัจธรรมฯ แลฝูงฝีทั้งลายอยู่ในแผ่นดินอันชื่อปิสาจซ่อนตนอยู่ แม้นว่าเขาอยู่ลับต้นไม้รากไม้น้อยหนึ่งก็ดี คนทั้งลายบมิเห็นตัวเขาเลยฯ ฝูงเปรตแลฝูงผีเสื้อทั้งลาย เมื่อจะตายเขากลายเป็นมดตะนอยดำ ลางคาบเป็นตะเข็บแลแมลงป่อง แมลงเม่า ลางคาบเป็นตักแตนเป็นนอน ลางคาบเป็นเนื้อแลนกแสกน้อยดังฝูงนกจิบนกจาบนั้น ลางคาบกลายเป็นเนื้อเถื่อน ผิแลว่าเขาตายไส้เนื้อเขากลายเป็นดังนั้นทุกเมื่อแลฯ เปรตลางจำพวกยืนได้ ๑๐๐ ปี ลางจำพวกยืนได้ ๑๐๐๐ ปี ลางจำพวกยืนชั่วพุทธันดรกัลปฯ แม้นว่าข้าวเมล็ด ๑ ก็ดี น้ำหยาด ๑ ก็ดี แลจะได้เข้าไปในปากในคอเขานั้นหาบมิได้เลยฯ เปรตลางจำพวกตัวเขาใหญ่ปากเขาน้อยเท่ารูเข็มนั้นก็มีฯ เปรตลางจำพวกผอมนักหนาเพื่ออาหารจะกินบมิได้ แม้นว่าจะขอดเอาเนื้อน้อย ๑ ก็ดี เลือดหยด ๑ ก็ดีบมิได้เลย เท่าว่ามีแต่กระดูกแลหนังพอกกระดูกภายนอกอยู่ไส้ หนังท้องนั้นเหี่ยวติดกระดูกสันหลังแลตานั้นลึกและกลวงดังแสร้งควักเสีย ผมเขานั้นยุ่งรุ่ยร่ายลงมาปกปากเขา มาตรว่าผ้าร้ายน้อย ๑ ก็ดี แลจะมีปกกายเขานั้นก็หาบมิได้เลยเทียรย่อมเปลือยอยู่ชั่วตน ตัวเขานั้นเหม็นสาบพึงเกลียดนักหนาแล เขานั้นเทียรย่อมเดือดเนื้อ้อนใจเขาแล เขาร้องไห้ร้องครางอยู่ทุกเมื่อแล เพราะว่าเขาอยากอาหารนักหนาแล ฝูงเปรตทั้งหลายนั้นเขายิ่งหาแรงบมิได้เขาย่อมนอนหงายอยู่ไส้ เมื่อแลฝูงนั้นเขานอนอยู่แลหูเขานั้นได้ยินประดุจเสีงคนร้องเรียกเขาว่า สูทั้งหลายเอ๋ยจงมากินข้าวกินน้ำ แลฝูงเปรตทั้งหลายนั้เขาได้ยินเสีงดังนั้นเขาก็ใส่ใจว่เขามีข้าวมีน้ำ จึงเขาจะลุกไปหากินไส้ก็ยิ่งหาแรงบมิได้ เขาจะชวนกันลุกขึ้นต่างคนต่างก็ล้มไปล้มมา และบางคนล้มคว่ำบางคนล้มหงาย แต่เขาทนทุกข์อยู่ฉันนั้นหลายคาบนักแล แต่เขาล้มฟัดกันหกไปหกมาและค่อยลุกไปดังนั้น แลเขาได้ยินดับงนั้นแลเขามิใช่ว่าแต่คาบเดียวไส้ ได้ยินอยู่ทั้งพันปีนั้นแล ผิแลว่าเขาอยู่เมื่อใดหูเขานั้นเทียรย่อมได้ยินดังนั้นทุกเมื่อ ครั้นว่าเขาลุกขึ้นได้เขาเอามือทั้งสองพาดเหนือหัวแล้วแล่นชืนชมดีใจไปสู่ที่เสียงเรียกนั้นเร่งไปเร่งแลหาที่แห่งใดแลจักมีข้าวแลน้ำไส้ก็หาบมิได้ เขาจึงร่ำร้องไห้ด้วยเสียงแรงแล้วเขาเป็นทุกข์นักหนา เขาก็ล้มนอนอยู่เหนือพื้นแผ่นดินนั้นแล เปรตทั้งหลายเมื่อเขาแล่นไปดังนั้นไกลนักหนาแล เปรตเหล่านี้ไส้เมื่อเป็นคนอยู่นั้นมักริษยาท่าน เห็นท่านมีดูมิได้ เห็นท่านยากไร้ดูแคลนเห็นท่านมีทรัพย์สินจะใคร่ได้ทรัพย์สินท่านย่อมริกระทำกลที่จะเอาสินท่านนั้นมาเป็นสินตน แล ตระหนี่มิได้ให้ทาน รั้นว่าเห็นเขาจะให้ทานตนย่อมห้ามปรามมิให้เขาให้ทานได้แล ฉ้อเอาทรัพย์สินสงฆ์มาไว้เป็นประโยชน์แก่ตน คนจำพวกนี้แลตายไปเกิดเป็นเปรตอยู่ที่ร้ายนักดังนั้นทุกตนแลฯ แลเปรตจำพวก ๑ มีตัวดังมหาพรหมแลงามดังทอง แลปากนั้นดังปากหมูแลอดอยากนักหนาหาอันจะกินบมิได้สักสิ่งสักอัน เขานั้นมีตนงามดังทองนั้นเพื่อฤๅสิ้น เมื่อก่อนเขาได้บวชเป็นชีจำศีลบริสุทธิ์ฯ อันว่ามีปากดังปากหมูนั้นเพราะว่าเขาได้ประมาทและกล่าวขวัญครูบาอาจารย์แลเจ้ากูสงฆ์ผู้มีศีลฯ เปรตจำพวก ๑ ตัวงามดังทอง แลปากนั้นเหม็นนักหนา หนอนก็ออกเต็มปากแลหนอนนั้นย่อมบ่อนกินปากเขาเจาะกินหน้าตาเขา ๆ มีตัวงามดังทองนั้นเพราะเขาได้รักษาศีลเมื่อก่อนแล ปากเขาเหม็นเป็นหนอนออกบ่อนกินปากเขานั้น เพราะว่าเขาได้ติเตียนยุยงสงฆเจ้าให้ผิดกันฯ เปรตฝูงผู้หญิงจำพวก ๑ เทียรย่อมเปลือยอยู่แลมีตนอันเหม็นนักหนา ทั่วสารพางค์แลมีแมลงวันตอมอยู่เจาะกินตนเขามากนักแล ตนเขานั้นผอมนักหนาหาเนื้อบมิได้เลยสักหยาดเท่าว่ามีแตจ่เอ็นแลหนังพอกกระดูกอยู่ไส้ เปรตเหล่านี้อดอยากนักหนาหาสิ่งอันจะกินบมิได้เลยสักหยาด แลเมื่อเขาจะคลอดลูกแลลูกเขานั้นได้แลเจ็ด ๆ คน เขาหากกินเนื้อลูกเขานั้นเองเขาก็บมิอิ่มโสด เมื่อเขาคลอดลูกเขาได้แลเจ็ดคนโสดเขาหากกินลูกเขาเองก็บมิรู้อิ่มโสดฯ แลเขากินเนื้อลูกเขานั้นเพราะเขาอยากนักเขาอดอยากบมิได้แล เปรตฝูงนี้เมื่อเขาเป็นคนอยู่นั้น เขาให้ยาแก่ผู้หญิงอันมีท้องนั้นกินแล ให้ลูกเขาตกจากครรภ์แล้ว ๆ เขาทนสบกว่าฉันนี้ ผิว่ากูให้ยาตนกินแลให้ลูกตนตกไส้แลให้กูเป็นเปรตมีเนื้อตัวอันเหม็นและมีแมลงวันอยู่เจาะตอมกูกินทุกเมื่อแลให้กูคลอดลูกกูเมื่อเช้า ๗ คนทุกวัน แลให้กูกินเนื้อลูกกูเองทุกวั้นจง อย่ารู้สิ้นสักคาบเลย ด้วยบาปกรรมอันเขาได้ให้ยาแก่ผู้หญิงอันมีครรภ์นั้นกินแลให้ลูกเขาตกจากครรภ์แล้ว ๆ เขาก็ได้สบถดังนั้นเขาก็อยู่เปลือแลมีแมลงวันตอมตนเขา ๆ ผอมหาเนื้อบมิได้ แลย่อมฉีกเนื้อลูกตนกินเองทุกวันเสมอวันแล ๑๔ คนเพื่อดังนั้นแลฯ เปรตฝูงหญิงจำพวกนี้ย่อมอยู่เปลือยบมิงามสักแห่งเทียรย่อมอยากเผ็ดนักหนาแล ครั้นว่าเขาเห็นข้าวแลน้ำมาซึ่งหน้าเขา ครั้งเขาหยิบเอามากินไส้ข้าวแลน้ำนั้นก็กลายเป็นก้อนอาจมเป็นเลือดเป็นหนองไปฯ ครั้นเขาเห็นผ้ามาซึ่งหน้าเขา ครั้นเขาเอาผ้านั้นมาห่มไส้ ผ้านั้นก็กลายเป็นแผ่นเหล็กแดงไหม้ทั้งตัวเขาทุกแห่งแล เปรตฝูงนี้เมื่อเขาอยู่เป็นคนไส้ ผัวเขานั้นให้ข้าวน้ำผ้าผ่อนเป็นทานแก่สงฆ์แลเขาขึ้งเคียดด่าทอผัวตนด้วยถ้อยคำว่าฉันนี้ อันมึงทำบุญให้ทานข้าวน้ำผ้าผ่อนทั้งนี้แก่ชีนั้น จงกลายเป็นลามกอาจมแลเป็ฯเลือดเป็นหนองให้มึงกินจงทุกคำเถิด แลผ้าผ่อนนั้นจงกลายเป็ฯเหล็กแดงไหม้มึงจงทุกแห่งเถิด ด ้วยบาปกรรมอันตนได้ดาผัวแช่งผัวเขาดังนั้น เหตุเขาได้กระทำแลได้เป็นเปรตเพื่อดังนั้นแลฯ เปรตจำพวก ๑ มีตนใหญ่สูงเพียงลำตาล แลมีผมนั้นหยาบนัก แลมีตัวนั้นเหม็นนักหนาหาที่จะดีบมิได้สักแห่ง เขานั้นอดอยากเผ็ดเร็ดไร้นักหนาหาที่จะดีบมิได้สักแห่ง เขานั้นอดอยากเผ็ดเร็ดไร้นักหนา แม้นว่าข้าวเมล็ด ๑ ก็ดี น้ำหยาด ๑ ก็ดี ก็มิได้เข้าท้องเลยสักน้อยแล เปรตฝูงนี้เมื่อกำเนิดเกิดก่อน เขานี้ตระหนี่นักแล เขาบมิมักกระทำบุญให้ทานเลย เขาเห็นท่านกระทำบุญให้ทานไส้ มันย่อมห้ามปรามเสียมิให้ท่านทำบุญให้ทานได้ ด้วยบาปกรรมอันตระหนี่และมิมักทำบุญให้ทานดังนั้น เขาได้ไปเป็นเปรตแลอดอยากนักหนา อาหารจะกินไส้ก็หาบมิได้สักอันนั้ เพราะบาปแลกรรมเขาอันได้กระทำบมิดีนั้นแลฯ เปรตจำพวก ๑ ไส้เขาเทียรย่อมเอาสองมือกอบเอาข้าวลีบอันลุกเป็นไฟนั้นมาใส่บนหัวตนเองอยู่ทุกเมื่อไส้ เปรตจำพวกนี้เมื่อกำเนิดเขากระทำก่อนนั้นเขาเอาข้าวลีบปนด้วยข้าวดีแล้วเอาไปลวงขายแก่ท่านฯ และด้วยบาปเขาดังนี้ เขาจึงเอามือเขากอบเอาข้าวลีบเป็นไฟนั้นมาใส่เหนือหัวเองไว้ลุกเป็นไฟไหม้หัวเขาอยู่ทุกเมื่อ เพราะบาปกรรมเขาได้กระทำเขาจึงทนทุก ๆ เมื่อดังนี้แลฯ เปรตจำพวก ๑ เขาย่อมเอาค้อนเหล็กอันแดงตีหัวเขาเองอยู่ทุกเมื่อบมิวายไส้ แลเปรตจำพวกนี้เมื่อกำเนิดเขาแต่ก่อนไส้ เขาได้ตีหัวพ่อแม่แห่งเขาด้วยมือก็ดี ด้วยไม้ก็ดี ด้วยเชือกกก็ดี ด้วยบาปกรรมเขาอันได้ตีหัวพ่อแม่เขานั้น เขาก็เอาค้อนเหล็กแดงตีหัวเขาเองอยู่ทุกเมื่อเพื่อบาปกรรมเขาทำเองนั้นแลฯ แลเปรตจำพวก ๑ นั้นอดอยากนักหนา แลเห็นข้าวน้ำเป็นอันหวาน อันนี้แลมีรสนัก เปรตนั้นจึงเอามากิน ครั้นว่ากินเข้าไปนั้น ๆ ก็กลายเป็นลามกอาจมเป็นเน่าเป็นหนอนเหม็นนักบมิวาย สักคาบด้วยบาปเขาเองแก่ก่อนโพ้น เขาเห็นท่านมาขอทานข้าวแก่เขาแลข้าวเขามีอยู่ไส้แลเขาพรางเสียว่าข้าวข้าหามิได้ ผู้น้นก็เร่งขอซ้ำเล่า เขานั้นมิให้จึงวบถว่าดังนี้ ผิแลว่ามีข้าวแลกูพรางว่ามิได้ไส้แลขอให้กูกินลามก อาจม อันระคนด้วยเน่าแลหนอนอันเหม็นนักหนานั้นเถิด ด้วยบาปกรรมเขาอันได้สบถแลพรางท่านว่าหาบมิได้นั้น ครั้นว่าตายไปเป็นเปรตอยู่ เขาก็ทนทุกข์กินแต่ลามกอาจมอันระคนด้วยเน่าแลหนอนเหม็นนักหนาอยู่ดังนั้นทุกเมื่อเพื่อบาปแห่งเขาได้พรางแลทนสบถนั้นแลฯ แลเปรตฝูงหญิงจำพวก ๑ เล่า เทียรย่อมมีเล็บมืออันใหญ่ยาวแลคนดังมีดกรดนั้นย่อมขูดเอาเนื้อแลหนังของตนกินเองทุกเมื่อแล เปรตฝูงนี้เมื่อาติก่อนโพ้นเขาได้ลักเนื้ออันเป็นส่วนของผู้อื่นนั้นมากิน ครั้นว่าท่านเจ้าของถามตนไส้ ตนมิรับ ๆ แต่ว่ข้ามิได้ลักของท่าน มันจึงสบถว่าฉันนี้ผิแลว่าข้าได้ลักของท่านกินจริงไส้ขอให้กูเอาเล็บมือกูขูดเนื้อแลหนังกูกินเถิด ครั้นว่าตายไปเป็นเปรตอยู่ก็เอาเล็บมือตนขูดเนื้อตนหนังตจนกินเอง อยู่ทุกเมื่อ เพื่อบาปตนลักของท่านแลสบถให้ท่านเชื่อตนนั้นแลฯ ยังมีเปรตจำพวก ๑ เมื่อกลางวันไส้ เขายิงเขาตีเขาด่าเขาฆ่าเขาแทงตน แลมีหมาใหญ๋เท่าช้างสารมันไล่ขบไล่กัดกินเนื้อเขา ๆ ลำบากทนทุกขเวทนานักหนาอยู่ฉันนี้ทุกเมื่อ ๆ กลางคืนไส้เขาได้เป็นเทพยดา แลมีนางฟ้าเฝ้าจำเริญแลได้เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ดังเทพยดาแล เขาเป็นดังนี้ทุกวารทุกเดือนตราบเท่าสิ้นบาปกรรมเขานั้น อันว่าเปรตฝูงนี้ไส้เมื่อก่อนเป็นพราน เมื่อกลางวันเขาเข้าป่าล่าเนื้อ เมื่อกลางคืนไส้เขาจำศีล ด้วยบาปกรรมเขาอันได้ฆ่าเนื้อเมื่อกลางวันนั้นแลจึงท่านได้ฆ่าได้ตีได้พุ่งได้แทง แลจึงมีหมาเท่าช้างสารไล่ขบกินเนื้อเขาดังนี้ เพราะว่าฝูงเปรตฝูงนี้ทำบาปกลางวันไส้จึงได้ทนทุกข์กลางวันเพื่อดังนี้แลฯ แลด้วยผลบุญอันเขาได้จำเริญศีลเมื่อกลางคืนนั้นเขาจึงได้เป็นเทพยดา แลมีนางฟ้าเฝ้าจำเริญเสวยสมบัติอันเป็นทิพย์เมื่อกลางคืนนั้นทุกคืนไส้ ได้ด้วยกุศลผลบุญอันเขาได้จำศีลนั้นแลฯ แลมีเปรตจำพวก ๑ มีวิมานดังเทพยดา แลมีเครื่องประดับนิ์ด้วยเทียรย่อมแล้วไปด้วยเงินแลทองของแก้ว แลเครื่องประดับนิ์อาภรณ์ไส้แล้วด้วยแก้วสัตตพิธรัตนแลมีนางฟ้าหมื่น ๑ ห้อมล้อมเป็นบริวาร เปรตนั้นอยากเผ็ดเร็ดไร้นักหนาหาอาหารจะกินบมิได้ แลย่อมเอาเล็บมือของตนอันคมดังมีดกรดนั้นมาช่วนมาชูกเอาเนื้อแลหนังขอตนออกมากินต่างอาหารไส้ เปรตเหล่านี้เมื่อก่อนโพ้นมันได้เป็นนายเมืองแลแต่งบังคับความราษฎรทั้งหลายไส้ แลมันย่อมมักกินสินจ้างของเขา ที่ผู้ชอบไส้มันว่าผิด ที่ผู้ผิดไส้มันว่าชอบ มันมิได้กระทำโดยแพ่งธรมหามิได้แลฯ ยังมีในกาลวงันหนึ่งไส้ พอเป็นวันจำศีล พระญาผู้เป็นเจ้าเมืองนั้นธทรงศีล ๘ อันแล ฝูงขุนนางอีกด้วยมุนนายทั้งหลายก็จำศีลด้วยพระญาผู้เป็นเจ้าเป็นนายเมืองนั้นทุกคน ส่วนว่านายเมืองนั้นมิได้จำศีลไส้ แลนายเมืองนั้นมันไปเฝ้าพระญาด้วยมันกับคนทั้งหลายซึ่งเป็นข้าเฝ้านั้น พระญาก็ตรัสถามมันว่าดังนี้ มึงจำศีลหรือว่ามึงมิได้จำศีล แลนายเมืองนั้นมันมิได้จำศีลไส้ มันก็จะอายแก่คนทั้งหลายมันก็กราบทูลแด่พระญาว่าข้าพระเจ้าได้จำศีลฯ ยังมีเกลอมันคน ๑ อยู่แทบข้างมัน เกลอคนนั้นรู้ใจมันว่ามันรู้มิจำศีลมิรู้ทำบุญ ฃทำธรรมจึงเกลอผู้นั้นก็ค่อยลอบถามมันว่า เกลอเหยเกลอจำศีลจริงหรือมันก็บอกแก่เกลอมันตามจริงว่ามิได้จำศีล รั้นว่ากูจะว่ากูมิได้จำศีลไส้กูจะได้ความละอายแก่คนทั้งหลาย แลกูกด็สับปลับว่าว่ากูได้จำศีลแลฯ เกลอจึงว่าแก่มันฉันนี้ ผิแลว่าดังน้นแต่วันนี้ไปพหน้าเถิงคืนก็ดีเถิงค่ำก็ดี เกลออย่ากินข้าวเพราเลยเกลออดข้าวเพราให้เถิงรุ่ง ครั้นว่ารุ่งแล้วจึงกินข้าวได้บุญแก่เกลอแล อนึ่งเกลอก็ได้กราบทูลท่านแล้วว่าเกลอได้จำศีลด้วยท่านทั้งหลาย ๆ จะว่แก่สหายว่า สหายพรางเจ้าพรางนายไส้ฯ นายเมืองมันจำความเกลอมัน มันก็เห็นความด้วยวันนั้นมันก็อดข้าวเพรานอนในกลางคืนวันนั้น เหตุว่ามันมิเคยอดข้าวเพราครั้นว่ามันอดข้าวเพรานอน ลมก็ถือตนมัน ๆ ก็ตายในกลางคืนวันนั้นแล ด้วยบาปกรรมของมันที่มันเป็นนายเมืองแลกินสินจ้าง แลมิบังคับความโดยคลองธรรมดังนั้น มันจึงเป็ฯเปรตอยากเผ็ดเร็ดไร้ใหญ่หลวงนักหนาหาอาหารจะกินบมิได้เลยสักหยาดแล ย่อมเอาเล็บมือของตนอันคมดังมีดตรีแล่ขอดเอาเนื้อหนังของตนกินเองทุกเมื่อดังนั้น เพราะบาปกินสินจ้างบังคับความมิโดยคลองธรรมนั้นแลฯ ด้วยผลบุญอันได้ฟังคำสหายให้โอวาทสั่งสอน แลได้จำศีลแลอดข้าวเพราเถิงตัวตายดังนั้น มันก็ได้วิมานแลเครื่องประดับนิ์ตนอันแล้วไปด้วยสัตตพิธรัตนะแลมีนางฟ้าหมื่น ๑ เป็นบริวารนั้นไส้ ได้ด้วยบุญอันจำศีลนั้นแลฯ แลยังมีเปรตจำพวก ๑ ไส้ ย่อมกินแต่เศลษม์แลรากแลน้ำลายไคลกินน้ำเน่าน้ำหนอง แลกินลามกอาจมอันร้ายแลเหม็นนั้นอยู่ทุกเมื่อแล เปรตนั้นเมื่อชาติก่อนนั้นเขาย่อมเอาข้าวแลน้ำอาหารอันเป็นเดนเป็นชายนั้นไส้ แลเอาไปให้แก่พระสงฆเจ้าผู้มีศีล ด้วยบาปกรรมอันเขาได้ให้ขั้าวแลน้ำอาหารที่เป็นเดนเป็นชานนั้นแก่พระสงฆเจ้าฉันนั้น ครั้นว่าเขาตายจึงได้เป็ฯเปรตก็กินแต่เศลษม์แลรากแลน้ำลาย น้ำเน่าน้ำหนองลามกอาจม อันเหม็นเป็นอาหารทุกเมื่อเพื่อบาปกรรมเขาดังนี้แลฯ ยังมีเปรตจำพวก ๑ เล่าเขาเทียรย่อมกินแต่น้ำหนองเน่แลหมาเน่าหมาพอง อันเขาเอาไปทอดเสียในป่าช้าทุกเมื่อแล เปรตผู้นี้เมื่อาติก่อนโพ้นเขาย่อมได้เอาเนื้อช้างเนื้อหมาแลเนื้อสัตว์ทั้งหลายอันมีเล็บก็ดี หาเล็บมิได้ก็ดี ในลักขณะพระวินัยอันพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้มิให้พระสงฆเจ้าฉันไส้ แลเขาได้เอามาอำพรางให้พระสงฆเจ้าฉัน ด้วยความอำพรางให้ท่านฉันนั้น ครั้นว่าตนตายได้เป็นเปรตจำพวกนี้ เพราะว่าบาปกรรมอันเขาได้พรางพระสงฆเจ้าแลให้มีใจโมหดังนั้น จึงเขาได้กินแต่น้ำเลือดน้ำหนองหมาเน่าหมาพองเป็นอาหารทุกเมื่อ เพื่อบาปกรรมเขาเพราะเขาอำพรางพระสงฆเจ้าให้ฉันนั้นแลฯ ยังมีเปรตจำพวก ๑ เล่า แลมีเปลวไฟพุ่งออกแต่อกแต่ลิ้นแต่ปากแห่งเขาแล้ว ๆ เ ปลวไฟนั้นลามไหม้ทั้งตัวเขาทุกแห่งแล เปรตจำพวกนี้เมื่อชาติก่อนโพ้นไส้ เขาได้ด่าแลสบประมาทพระสงฆเจ้า อันหนึ่งเขากล่าวคำมุสาวาทแก่พระสงฆ์ผู้เฆ่าผู้แก่ผู้มีศีลด้วยคำอำพรางท่านก็ดี ครั้นตายไปเป็นเปรตอยู่ด้วยบาปกรรมเขาอันเขาได้ด่าทอไส้ แลกล่าวประมาทแลกล่าวไส้ความแก่ท่านแลพรางท่านผู้มีศีลดังนั้น แลเปลวไฟจึงพุ่งออกแต่อกแต่ปากแต่ลิ้นแลลามไปไหม้ทั่วตัวเขาดังนั้นทุกเมื่อเพื่อบาปกรรมเขาได้กระทำดังกล่าวมานี้แลฯ

        ยังมีเปรตจำพวก ๑ เล่าร้ายนักหนา หาน้ำจะกินบมิได้เลยสักหยาด แลเปรตนั้นอยากน้ำนักหนาดังว่าใจจะขาด จึงแล่นไปข้างซ้ายข้างขวาเพื่อจะหาน้ำกิน จึงแลเห็นน้ำใสงามแก่ตา ครั้นว่าเขาเอามือกอบเอาน้ำนั้นมากินไส้ น้ำนั้นก็กลายเป็นไฟไหม้ทั้งตัวเขา ๆ ก็เกลือกไปเกลือกมาเขาก็ตายในไฟนั้นหึงนานนักหนาแล เปรตฝูงนี้เมื่อก่อนโพ้นเขาย่อมข่มเหงคนเข็ญใจด้วยอันหาความกรุณาปรานีบมิได้แล เห็นของท่านจะใคร่ได้แก่ตนเห็นสินท่านจะใคร่เกียดเอา ท่านหาความผิดบมิได้ใส่ตนว่าท่านผิด ครั้นว่าตายก็เป็นเปรตอยู่หึงนานด้วยบาปกรรมเขาอันเขาได้กระทำข่มเหงผู้เข็ญใจให้เขาร้อนเนื้อเดือดใจเขาดังนั้นแล เปรตนั้นผอมบางร้ายนักหนาหาอันจะกินบมิได้เลย อดอยากนักหนาดังใจเขาจะขาด ครั้นเขาเห็นน้ำใสแลกอบเอามากินไส้ น้ำนั้นกลายเป็นไฟไหม้ทั้งตนเขา ๆ ก็กลิ้งเกลือกตายในไฟนั้นนานนักหนา เพราะว่าบาปเขา ๆ ทำข่มเหงท่านผู้อื่นเพื่อดังนั้นแลฯ ยังมีเปรตจำพวก ๑ เล่าเทียรย่อมมีตัวเปื่อยเน่าแลผอมนักมีหลังก็ขดมือก็เน่าตีนก็เปื่อย แลเอาย่อมเอาไฟมาคลอกตัวเขาเองอยู่ทุกเมื่อ แลตัวเขานั้นดังขอนไม้อันกลิ้งอยู่ ณ กลางไร่แลเขากลิ้งไปกลิ้งมาทนทุกขเวทนานักหนาดังนั้นเป็นช้านานนัก แลเปรตฝูงนี้ไส้เมื่อก่อ่นเขาคลอกป่าเผาป่า แลสิงสัตว์อันใดที่หนิมิทันนั้นไฟก็ไหม้ลามตาายฯ ยังมีฝูงเปรตจำพวก ๑ มีตนนั้นใหญ่เท่าภูเขา แลมีเส้นขนอันรียาวแลเสียบแหลมนักหนา ทั้งเล็บตีนเล็บมือใหญ่แลเล็บนั้นคมนักดังมีดกรดแลหอกดาบ ครั้นว่าเล็บตีนเล็บมือแลขนนั้นฟัดกันเมื่อใดได้ยินดัง ๆ เสียงฟ้าลั่นแล้วเป็นเปลวไฟลุกขึ้นไหม้ทั้งตนเขา แลบาดตัวเขาดุจดังขวานฟ้าผ่าลงทั่วตนเขาทุกแห่งแล เปรตฝูงนี้เมื่อก่อนเขาได้เป็นนายเมืองแลแต่งความเมืองมิชอบทางธรรม ย่อมเห็นแก่สินจ้างแลสินสอดบมิเป็นกลาง การย์ ผู้ชอบไส้ว่าผิด การย์ ผู้ผิดไส้ว่าชอบ ด้วยบาปกรรมแต่งความบมิชอบธรรมดังนั้นไส้ ครั้นว่าเขาตายไปเขาไปเป็ฯเปรตอยู่แลมีตัวใหญ่เท่าภูเขา แลมีขนมีเล็บตีนเล็บมืออันใหญ่อันาวแลคมดังมีดตรีแลดาบหอก ครั้นแลฟัดกันดังดังเสียงสายฟ้าผ่า เส้นขนแลเล็บตีนเล็บมือเขานั้นลุกเป็ฯเปลวไฟสะเทือนมาแทงตัวเขาเองอยู่ทุกเมื่อแล เมื่อบาปกรมกินสินจ้างสินสอดแลแต่งความเมืองมิเป็นธรรมนั้นแลฯ แลกล่าวเถิงสัตว์อันเกิดในสเปรตภูมิ อันเป็นตติยกัณฑ์โดยสังเขปกถา จบเท่านี้แลฯ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย