แม่แบบ {{หัวสลับ 2}} ถูกยกเลิกแล้ว กรุณาใช้แม่แบบ {{หัวสลับ}} ทดแทน |
ความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีชายผู้ประทุษร้ายซาเรวิตช์ (บัดนี้เป็นซาร์แล้ว) แห่งรัสเซียและกระทำให้พระองค์ทรงบาดเจ็บที่โอสึเมื่อปี 1891[1] มีความพยายามจะให้คดีนี้ถือเป็นคดีพิเศษเพื่อความมุ่งหมายทางการเมือง แต่ศาลยืนยันหนักแน่นที่จะตัดสินคดีตามมุมมองของกฎหมายแต่ประการเดียว และพิพากษาลงโทษผู้ประทุษร้าย ซึ่งมิใช่โทษประหารชีวิต (ดังที่รัฐบาลประสงค์) แต่เป็นจำคุกตลอดชีวิต อันเป็นโทษสูงสุดตามกฎหมายในคดีเช่นนั้น ซาโต[2] เสริมว่า
"นี่มิใช่เพียงประเด็นทางเทคนิคที่มีความสำคัญอันน่าเร้าใจ แต่ยังเป็นหมุดหมายที่โดดเด่นอย่างยิ่งยวดในเส้นทางแห่งความก้าวหน้าของญี่ปุ่นในฐานะชาติที่ใช้ระบอบรัฐธรรมนูญทีเดียว ในคดีนี้ หลักการที่ว่า ฝ่ายตุลาการย่อมเป็นอิสระโดยสิ้นเชิงจากฝ่ายบริหารนั้น ได้รับการตั้งมั่นไว้อย่างถาวรและชัดเจนเป็นที่สุด"
มีบทบัญญัติหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งกว่า คือ มาตรา 59 ที่ว่า "การพิจารณาและพิพากษาคดีของศาล ให้กระทำโดยเปิดเผย
"อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นที่เกรงว่า การเปิดเผยเช่นนั้นจะกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยหรือการธำรงรักษาศีลธรรมของสาธารณชน จะงดการพิจารณาโดยเปิดเผยด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือด้วยคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมก็ได้"
จุดสำคัญที่ควรสังเกต ก็คือ ฝ่ายตุลาการญี่ปุ่นไม่มีอำนาจตีความรัฐธรรมนูญ ดังที่ระบุไว้แล้วในส่วนก่อนหน้า อำนาจเช่นว่านั้นดำรงอยู่ทั้งหมดในองค์จักรพรรดิ
อนึ่ง ตามมาตรา 61 ศาลยุติธรรมโดยทั่วไปของญี่ปุ่นนั้นไม่มีเขตอำนาจในกรณีใด ๆ อันเป็น
"อรรถคดีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิซึ่งอ้างว่า ได้ถูกละเมิดด้วยมาตรการอันมิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ทางปกครอง และซึ่งให้อยู่ในอำนาจของศาลคดีปกครองที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษ"
เรื่องนี้เป็นผลให้อูเอฮาระ[3] ออกความเห็นไว้ว่า
"ในรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ไม่มีจุดใดที่พิทักษ์รักษาสิทธิและ