ข้ามไปเนื้อหา

งานแปล:ไคดัง: เรื่องเล่าขานและการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งประหลาด/บทที่ 11

จาก วิกิซอร์ซ
  • สาวหิมะ
สาวหิมะ


ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในมณฑลมูซาชิ มีคนตัดไม้ 2 คนอาศัยอยู่ คือ โมซากุ กับมิโนกิจิ ในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงนี้ โมซากุเป็นชายแก่แล้ว ส่วนมิโนกิจิ ลูกมือของเขานั้น เป็นชายหนุ่มวัย 18 ปี ทุกวันพวกเขาจะออกเดินทางด้วยกันเข้าไปในป่าซึ่งตั้งห่างจากหมู่บ้านของตนไปราว 5 ไมล์ ระหว่างทางไปป่านั้น ต้องข้ามแม่น้ำกว้างใหญ่สายหนึ่ง และมีเรือข้ามฟากอยู่ตรงนั้น หลายยุคหลายสมัยมีการสร้างสะพานไว้ตรงจุดเรือข้ามฟาก แต่ทุกครั้งสะพานก็ถูกน้ำท่วมพัดพาไปสิ้น สะพานธรรมดาหรือจะต้านทานกระแสน้ำตรงนั้นในยามที่น้ำขึ้นได้

ยามเย็นสุดเย็นเยือกวันหนึ่ง ซึ่งโมซากุกับมิโนกิจิกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน พายุหิมะมหึมาก็ถาโถมใส่พวกเขา พวกเขารุดมาถึงท่าเรือข้ามฟาก และพบว่า คนเรือหนีหายไปแล้ว ทิ้งเรือไว้อีกฟากแม่น้ำ วันนั้นก็ไม่ใช่วันที่ควรว่ายน้ำเลย และคนตัดไม้จึงเข้าไปหลบในกระท่อมเจ้าของเรือข้ามฟาก พลางคิดไปว่า พวกตนโชคดีเพียงไรที่อย่างน้อยก็ได้เจอที่หลบภัย ในกระท่อมนั้นไร้เตาถ่าน และไม่มีที่ใดจะจุดไฟได้ มีแต่เสื่อ 2 ชั้น[1] กระท่อม กับประตูบานเดียว แต่ปราศจากหน้าต่าง โมซากุกับมิโนกิจิลั่นดาลประตูแล้วล้มตัวลงนอนพักผ่อนโดยเอาเสื้อฟางกันฝนคลุมตน ทีแรกทั้งคู่ก็มิได้รู้สึกหนาวมากนัก และคิดว่า พายุคงสลายไปในไม่ช้า

ชายชรานั้นเข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที แต่เจ้าหนุ่มมิโนกิจิตื่นตัวอยู่เป็นนาน คอยสดับเสียงลมอันน่าสะพรึง และเสียงหิมะซึ่งซัดสาดบานประตูไม่รู้จบ แม่น้ำกำลังคำราม และกระท่อมก็โอนเอนโคลงเคลงดังสำเภากลางทะเล ช่างเป็นพายุที่ร้ายนัก แล้วบรรยากาศก็หนาวเย็นขึ้นทุกขณะ และมิโนกิจิก็สั่นเทาอยู่ใต้เสื้อกันฝน แต่ในที่สุด ต่อให้หนาวเหน็บเพียงใด เขาก็หลับใหลไปอีกคน

หิมะที่โปรยปรายบนใบหน้าปลุกเขาให้ฟื้นตื่นจากนิทรา ประตูกระท่อมถูกพังออก และด้วยแสงสว่างจากหิมะ (ยูกิอาการิ) เขาก็เห็นหญิงนางหนึ่งอยู่ในห้อง เป็นหญิงที่ขาวโพลนไปทั้งสิ้น นางกำลังโน้มกายอยู่เหนือโมซากุ และเป่าลมหายใจของนางรดเขา และลมหายใจของนางนั้นเล่าราวกับควันสีขาวยวง แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง นางก็หันมาหามิโนกิจิ แล้วค้อมตัวอยู่เหนือเขา เขาพยายามจะร้องออกมา แต่ก็พบว่า ไม่อาจส่งเสียงใด ๆ ได้เลย สตรีขาวโพลนนั้นโน้มกายลงมาเหนือเขา ลงมา ลงมาเรื่อย ๆ จนใบหน้านางแทบจะชิดเขา แล้วเขาก็เห็นว่า นางงดงามเหลือใจ แม้สายตานางจะทำให้เขากลัวก็ตาม นางคงจ้องมองเขาต่อไปอีกครู่สั้น ๆ แล้วพลันนางก็ยิ้มและกระซิบว่า "ข้าตั้งใจจะทำกับเจ้าเหมือนกับชายอีกคน แต่ข้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเจ้าขึ้นมาบ้าง เพราะเจ้ายังหนุ่มยังแน่น . . . เจ้าเป็นหนุ่มน้อยน่ารัก มิโนกิจิ และข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าแล้ว แต่ถ้าเจ้าเกิดบอกเรื่องที่เจ้าเห็นในคืนนี้แก่ใครก็ตาม แม้เป็นมารดาของเจ้าเอง ข้าจะต้องล่วงรู้เป็นแน่ และแล้ว ข้าจะฆ่าเจ้า . . . จำคำข้าไว้!"

เอ่ยคำเหล่านี้แล้ว นางก็ผละไปจากเขา และล่องผ่านช่องประตูไป แล้วเขาก็พบว่า ตนเองขยับได้ และเขาจึงผุดลุกขึ้นแล้วมองออกไป แต่หญิงนั้นจะอยู่ที่ใดก็ไม่เห็นแล้ว และหิมะก็ไหลบ่าอย่างบ้าคลั่งเข้ามาในกระท่อม มิโนกิจิหับประตูแล้วเอาเศษไม้สองสามชิ้นมาผนึกขัดบานประตูไว้ให้แน่น เขาสงสัยว่า ลมพัดประตูออกจริงหรือ เขาคิดว่า ตนอาจเพียงฝันไป และอาจสำคัญผิดไปว่า แสงหิมะวูบวาบตรงช่องประตูนั้นเป็นเรือนร่างของสตรีขาวโพลนคนหนึ่ง แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก เขาร้องเรียกโมซากุ และต้องตระหนกเพราะชายเฒ่าไม่ตอบสนอง เขาควานมือออกไปในความมืดจนสัมผัสใบหน้าโมซากุและพบว่า มันเป็นน้ำแข็ง! โมซากุแข็งตายเสียแล้ว . . .

จนรุ่งพายุก็ผ่านพ้น และเมื่อเจ้าของเรือข้ามฟากกลับมายังสถานีหลังตะวันขึ้นแล้วเล็กน้อย เขาก็พบมิโนกิจินอนสลบสไลอยู่ข้างกายอันเย็นแข็งของโมซากุ มิโนกิจิได้รับการพยาบาลทันควัน และไม่นานก็ฟื้นคืนสติ แต่ยังคงเจ็บป่วยจากผลพวงของความหนาวเย็นในคืนหฤโหดนั้นต่อมาอีกเป็นเวลานาน ทั้งยังขวัญสลายกับความตายของชายเฒ่าเป็นอย่างยิ่ง แต่เขามิได้พูดสิ่งใดในเรื่องที่ได้เห็นสตรีในสีขาวโพลน ทันทีที่เขาหายดีอีกครั้ง เขาก็กลับไปประกอบอาชีวกิจของตน โดยดั้นด้นเข้าป่าทุกเช้าตามลำพัง และกลับออกมาในยามย่ำค่ำพร้อมกับไม้หลายมัดซึ่งมารดาช่วยนำไปขายให้

เย็นวันหนึ่งในฤดูหนาวปีถัดมา ขณะอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน เขาเดินไล่เลี่ยหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเผอิญเดินทางมาโดยถนนสายเดียวกันนั้น เธอเป็นสาวร่างสูงเพรียว ดูดีมากทีเดียว และตอบคำทักทายของมิโนกิจิด้วยเสียงหวานหูปานเสียงนกขับลำนำ เขามาจึงเดินเคียงเธอ และทั้งคู่ก็เริ่มพูดคุย หญิงสาวเล่าว่า นามของเธอคือ โอยูกิ[2] เธอเพิ่งเสียทั้งบิดาและมารดา และเธอกำลังจะไปเอโดะที่ซึ่งเธอเผอิญมีญาติห่าง ๆ อยู่บ้าง ซึ่งอาจช่วยเธอหางานเป็นสาวใช้ได้ ไม่ช้ามิโนกิจิก็รู้สึกหลงเสน่ห์แม่สาวประหลาดคนนี้ และยิ่งมองเธอมากเท่าไร เธอก็ยิ่งดูงามจับใจมากเท่านั้น เขาถามเธอว่า หมั้นหมายกับใครแล้วหรือยัง และเธอขำพลางตอบว่า ยังไร้พันธะ แล้วเธอก็ถามมิโนกิจิกลับว่า เขาเล่าสมรสหรือหมั้นหมายจะสมรสแล้วหรือ และเขาบอกเธอว่า แม้จะมีมารดาม่ายเพียงคนเดียวให้ต้องดูแล แต่ปัญหาเรื่อง "สะใภ้ศรีเรือน" นั้นยังไม่เคยยกใคร่ครวญเลย เพราะเขายังเยาว์นัก . . . หลังเปิดใจกันเช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็เดินทอดน่องกันต่อไปเป็นครู่ใหญ่โดยมิได้พูดจากันอีก ทว่า ก็เหมือนภาษิตว่า "คิ กะ อาเรบะ เมะ โมะ คูจิ โฮโดะ นิ โมโนะ โอะ อิอุ – เมื่อมีใจปรารถนาแล้ว ดวงตาก็สื่ออะไรได้มากพอกับปาก" ณ เวลาที่พวกเขาถึงหมู่บ้าน พวกเขาก็พอใจในกันและกันเป็นอันมากแล้ว และมิโนกิจิวอนขอให้โอยูกิพักอยู่ที่บ้านเขาสักระยะ หลังตะขิดตะขวงอย่างขวยเขินสักหน่อยแล้ว เธอก็ไปบ้านเขาพร้อมกับเขา และมารดาเขาก็ออกต้อนรับ กับตระเตรียมอาหารอุ่น ๆ ให้แก่เธอ โอยูกิประพฤติตนดีงามนักหนาจนมารดาของมิโนกิจิหลงใหลได้ปลื้มในเธอขึ้นมาในบัดดล และโน้มน้าวให้เธอชะลอการเดินทางไปเอโดะไว้ก่อน และตอนจบตามธรรมดาของเรื่อง ก็คือ ยูกิมิได้ไปเอโดะอีกเลย เธอได้อยู่ที่บ้านนั้นต่อไปในฐานะ "สะใภ้ศรีเรือน"

โอยูกินั้นเป็นที่ประจักษ์ว่า เป็นสะใภ้ที่ดียิ่ง ถัดมาสัก 5 ปี เมื่อมารดาของมิโนกิจิใกล้ถึงแก่กรรม นางก็สั่งเสียด้วยถ้อยคำแสดงความรักใคร่และยกยอภริยาของบุตรชาย และโอยูกินั้นก็มีบุตรชายหญิงกับมิโนกิจิ 10 คน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเด็กที่เลอลักษณ์ และมีผิวซีดยิ่งนัก

ชาวบ้านไร่ชายทุ่งเห็นว่า โอยูกิเป็นบุคคลที่น่าพิศวง ซึ่งโดยสภาพแล้วช่างแตกต่างจากพวกตน หญิงชาวไร่ส่วนใหญ่ร่วงโรยกันก่อนวัย แต่โอยูกิ แม้เมื่อได้เป็นแม่ของเด็กถึง 10 คนแล้ว ก็ยังดูอ่อนวัยและสดใสเหมือนในวันที่เธอมาหมู่บ้านนี้เป็นครั้งแรก

คืนหนึ่ง หลังจากลูก ๆ เข้านอนกันแล้ว โอยูกิก็เย็บปักอยู่กับแสงตะเกียงกระดาษ และมิโนกิจิเฝ้ามองเธอพลางพูดว่า

"เห็นเจ้าเย็บปักอยู่ตรงนั้น มีแสงวับจับใบหน้า ทำให้ข้าคิดถึงเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแก่ข้าตอนข้าเป็นหนุ่มวัย 18 ตอนนั้นข้าเห็นใครสักคนที่สะสวยและขาวโพลนเหมือนเจ้าตอนนี้เลย — จริงทีเดียว นางเหมือนเจ้าเหลือเกิน" . . .

โอยูกิเอ่ยตอบโดยไม่ละสายตาจากงานของตนว่า

"เล่าเรื่องนางให้ข้าฟังสิ . . . ท่านไปเจอนางที่ไหน"

ครั้นแล้ว มิโนกิจิก็เล่าให้นางฟังถึงคืนอันเลวร้ายในกระท่อมเจ้าของเรือข้ามฟาก และเล่าถึงสตรีขาวโพลนที่ค้อมตัวลงเหนือเขาพลางยิ้มและกระซิบ กับทั้งเล่าถึงความตายอันเงียบงันของพ่อเฒ่าโมซากุ แล้วเขาก็ว่า

"จะหลับหรือจะตื่นอยู่ก็ตาม นั่นเป็นครั้งเดียวที่ข้าได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามพอ ๆ กับเจ้า แน่ละ นางไม่ใช่มนุษย์ และข้าก็กลัวนาง กลัวมากเหลือเกิน แต่นางขาวโพลนนัก! . . . จริงทีเดียว ข้าไม่เคยแน่ใจเลยว่า ที่ข้าเห็นนั้นเป็นความฝัน หรือเป็นแม่หญิงหิมะ" . . .

โอยูกิเขวี้ยงานเย็บปักของตนลง แล้วลุกขึ้น ก่อนโน้มกายลงเหนือมิโนกิจิตรงที่เขานั่ง แล้วกรีดร้องใส่หน้าเขาว่า

"นั่นคือข้า — า — า! นั่นล่ะยูกิ! และตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ถ้าเจ้าเกิดพูดเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า! . . . แต่เพื่อลูก ๆ ที่หลับอยู่ตรงนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าในตอนนี้![3] และบัดนี้ เจ้าควรจะดูแลพวกเขาให้ดีมาก ๆ เพราะถ้าหากพวกเขามีเหตุให้ติเตียนถึงเจ้าแล้ว ข้าจะทำกับเจ้าอย่างที่เจ้าสมควรได้รับ!" . . .

แม้ในยามที่นางหวีดร้อง เสียงของนางก็จางลงดุจเสียงหวีดหวิวของสายลม ครั้นแล้ว นางก็มลายกลายเป็นหมอกสีขาวยวงซึ่งหมุนเป็นเกลียวขึ้นสู่คานหลังคา แล้วสั่นระรัวออกไปตามปล่องควัน . . . จากนั้นไม่มีผู้ใดได้พบเห็นนางอีกเลย


  1. กล่าวคือ อยู่กับผิวพื้นทรงจัตุรัสใหญ่สัก 6 ฟุตได้
  2. ชื่อนี้ ซึ่งมีความหมายว่า "หิมะ" มิใช่ชื่อธรรมดาสามัญ สำหรับประเด็นเรื่องชื่อสตรีญี่ปุ่นนั้น โปรดดูงานเขียนข้าพเจ้าในชุดหนังสือชื่อ แชโดวิงส์
  3. ต้นฉบับอาจตกคำว่า "not" ("ไม่") เพราะควรเป็น "I would not kill you this moment" ("ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าในตอนนี้") (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)