ข้ามไปเนื้อหา

ซ้องกั๋ง/เล่ม ๑/ตอน ๑๐

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑๐๕–๑๑๘ สารบัญลง




ลิมชองได้ฟังเหลียวไปเห็นหน้าก็จำได้ จึงคิดว่า เซียวยี่คนนี้เดิมอยู่ตังเกียเมืองหลวงเป็นลูกจ้างโรงขายสุรา ครั้นอยู่มา เซียวยี่ลักเงิน เจ้าของขายสุราเขาจับตัวได้จะส่งไปทำโทษ เราช่วยออกเงินใช้ให้ จึงไม่ต้องโทษ เซียวยี่อยู่ที่ตังเกียบอกเราว่า จะไปหาพี่น้อง แต่ไม่มีเงินทองซื้อกินตามทาง เราได้ให้เงินมาซื้อกิน เหตุไฉนเซียวยี่จึงได้มาจนถึงเมืองชองจิว คิดแล้วก็ถามเซียวยี่ว่า เจ้าบอกเราว่า จะไปเที่ยวหาพวกพ้อง เหตุไฉนจึงมาเมืองชองจิวเล่า เซียวยี่เข้ามาคุกเข่าคำนับแล้วบอกว่า ตั้งแต่ท่านช่วยข้าพเจ้าให้เงินเมื่อคราวหลัง ก็ออกจากตังเกียมาเที่ยวหาญาติพี่น้องไม่พบปะ ข้าพเจ้าก็เที่ยวเลยมาจนถึงเมืองชองจิวแล้วไปเป็นลูกจ้างโรงเตี๊ยมขายสุราตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าไปเป็นลูกจ้างสิ่งของต่าง ๆ ก็ขายดี เจ้าของโรงเตี๊ยมมีจิตเมตตายกบุตรสาวให้เป็นภรรยาข้าพเจ้า ครั้นอยู่นานมา บิดามารดาของภรรยาข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้ากับภรรยาก็ซื้อขายพอได้เลี้ยงชีวิตมา ซึ่งท่านมีคุณกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหาลืมไม่ เหตุการณ์อย่างไรท่านจึงได้มาอยู่ที่นี่ ลิมชองจึงพูดว่า กอไทอวยแกล้งใส่ความทำโทษเนรเทศเรามาเมืองชองจิว เจ้าดูหน้าเราเถิด เขาสักไว้ บัดนี้ ผู้คุมให้มารักษาศาลเจ้านี้ เซียวยี่จึงพูดว่า เชิญท่านไปสนทนากันที่โรงข้าพเจ้าบ้าง ทางไม่สู้ไกลนัก ลิมชองก็ไปกับเซียวยี่ ครั้นไปถึงก็เชิญลิมชองเข้าไปข้างใน จัดที่ให้นั่งสมควร แล้วเซียวยี่ก็ไปบอกกับภรรยาว่า ท่านผู้มีบุญคุณกับเรามาถึงโรงแล้ว เจ้าจงไปคำนับขอบคุณท่าน

ภรยยาเซียวยี่ได้ฟังก็ออกมาคำนับลิมชอง แล้วไปจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงลิมชอง นั่งพูดจากันอยู่จนเวลาเย็น ลิมชองก็กลับมาศาลเจ้า ตั้งแต่นั้นมา เซียวยี่จัดหาสิ่งของมาให้ลิมชองมิได้ขาด ลิมชองก็ไปเที่ยวที่โรงเซียวยี่เนือง ๆ เห็นเซียวยี่มีทุนน้อยไม่พอซื้อขาย ลิมชองก็เอาเงินให้เซียวยี่ไปทำทุนค้าขายต่อไป ลิมชองกับเซี่ยวยี่ไปมาหากันอยู่เป็นนิจมิได้ขาด

ฝ่ายตังเทียว สิปา ผู้คุมทั้งสอง มาถึงตังเกียเมืองหลวง ก็ไปแจ้งความให้ฮูอินฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ แล้วก็เอาหนังสือของผู้รักษาเมืองชองจิวส่งให้ฮูอิน แล้วก็ลากลับไปหาเล็กเคียม เล่าความให้ฟังว่า มีหลวงจีนรูปหนึ่งอยู่ที่วัดใต้เซียงก๊กยี่มาแก้ไขลิมชองจนทำร้ายลิมชองไม่ได้ ต้องเอาไปส่งถึงเมืองชองจิว เล็กเคียมได้ฟังความละเอียดแล้วก็รีบไปแจ้งแก่กอไทอวย กอไทอวยได้ฟังก็โกรธหลวงจีนยิ่งนัก คิดจะแก้แค้นให้ได้ ก็ปรึกษากับเล็กเคียม ฮูอัน ว่า เราจะคิดฆ่าลิมชองก็มีหลวงจีนรูปหนึ่งตามไปช่วยลิมชองไว้ ผู้คุมทั้งสองฆ่าลิมชองไม่ได้ ซึ่งหลวงจีนรูปนั้นเพิ่งมาอยู่วัดไต้เซียงก๊กยี่ใหม่ ๆ เราจะคิดแก้แค้นให้ได้ แต่ลิมชองนั้นไปอยู่ไกล จะทำประการใดจึงจะฆ่าได้ เล็กเคียม ฮูอัน ว่า ข้าพเจ้าจะรับอาสาท่านไปเมืองชองจิว คิดหาอุบายฆ่าลิมชองเสียให้ได้ จึงจะกลับมา

กอไทอวยได้ฟังก็ยินดียิ่งนัก จึงพูดว่า เจ้าทั้งสองจะรับอาสาไปก็ดีแล้ว เราจะมีหนังสือไปถึงผู้กำกับและผู้คุมให้ช่วยกันคิดอ่าน ถ้าสมความปรารถนากลับมา เราจะตอบแทนคุณท่าน พูดแล้วก็เขียนหนังสือไปถึงผู้กำกับคุกกับผู้คุมให้ช่วยกันคิดฆ่าลิมชองเสีย เขียนหนังสือแล้วก็เอาเงินยี่สิบตำลึงห่อผ้าสั่งกับเล็กเคียม ฮูอัน ว่า เจ้าจงเอาเงินกับหนังสือนี้ให้ผู้กำกับและผู้คุมแบ่งกันเถิด เล็กเคียม ฮูอัน รับเงินกับหนังสือคำนับลากลับมาบ้าน จัดหาเงินทองที่จะไปใช้สอยตามทางกับเสื้อกางเกง พร้อมแล้วก็ออกจากตังเกียเมืองหลวงตรงไปยังเมืองชองจิว

ฝ่ายเซียวยี่นั้นครั้นรุ่งเช้าก็จัดสิ่งของที่หน้าร้าน เล็กเคียมกับฮูอันไปถึงเมืองชองจิว เห็นมีโรงขายสุรากับสิ่งของต่าง ๆ ก็เดินตรงเข้าไปในโรง เซียวยี่เห็นชายสองคนเดินเข้ามา คนหน้านุ่งห่มเหมือนกับขุนนางฝ่ายทหาร คนเดินหลังเหมือนกับไพร่ เซียวยี่ก็เชิญให้นั่งแล้วถามว่า ท่านจะเสพสุรากับสิ่งของอันใด เล็กเคียมบอกว่า จงจัดหาโต๊ะและสุรายกมาตั้งไว้บนโต๊ะพร้อม เล็กเคียมหยิบเงินตำลึงหนึ่งส่งให้เซียวยี่แล้วพูดว่า ท่านจงไปบอกผู้กำกับคุกกับผู้คุมว่า เราเชิญท่านทั้งสองมาพูดจากันเล่นสักครู่หนึ่ง เซียวยี่รับเงินแล้วก็ไปเชิญผู้กำกับกับผู้คุมมาถึงพร้อม แล้วเล็กเคียมว่า เชิญท่านทั้งสองมากินโต๊ะเสพสุราพูดจากันให้สบายเถิด ผู้กำกับกับผู้คุมได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ข้าพเจ้ากับท่านยังไม่เคยรู้จักกัน ท่านมาแต่ข้างไหน แซ่ใด ชื่อไร จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบ เล็กเคียมว่า ข้าพเจ้ามีหนังสือมาฉบับหนึ่งถึงท่าน เชิญมากินโต๊ะเสพสุราด้วยกันก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะบอกชื่อแซ่ให้ฟัง ผู้กำกับกับผู้คุมก็เข้าไปนั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่ด้วยกัน เซียวยี่นั้นไม่รู้จักเล็กเคียมกับฮูอัน ได้ฟังสำเนียงพูดก็แจ้งว่า คนตังเกียเมืองหลวง แล้วได้ยินพูดถึงกอไทอวย ก็มีความสงสัย เข้าไปให้ใกล้จะคอยฟังความ เล็กเคียมเห็นเซียวยี่เข้ามาใกล้จึงบอกกับเซียวยี่ว่า ท่านเจ้าของขายสุรา อย่าต้องเข้ามาระวังดูเราเลย ถ้าจะต้องการของสิ่งใดร้องเรียกท่านจึงเข้ามา เราจะพูดจาความลับกัน

เซียวยี่ได้ฟังก็ออกมาข้างนอก จึงคิดว่า ชายผู้ที่มาใหม่คนนี้เป็นชาวเมืองตังเกีย พูดถึงกอไทอวยแล้วนิ่งเสียไม่พูดกลัวเราจะได้ยิน ซึ่งกอไทอวยคนนี้คิดจะฆ่าลิมชองผู้มีคุณของเรา ชายสองคนนั้นเห็นเราอยู่ใกล้ไม่อาจพูด จึงให้เราออกมาเสีย คงจะมีเหตุการณ์มาถึงลิมชองเป็นแน่ จำเราจะให้ภรรยาไปแอบฟังดูให้รู้ข้อความ คิดแล้วก็บอกกับภรรยาว่า ชายสองคนที่เชิญผู้กำกับกับผู้คุมมากินโต๊ะเสพสุรานั้นไม่ใช่คนเมืองเรา เห็นจะมาแต่ตังเกีย พูดถึงกอไทอวยแล้วก็นิ่งเสีย เห็นเราอยู่ใกล้ก็ไม่พูด ซึ่งกอไทอวยคนนี้เป็นคู่สาเหตุกับลิมชอง คงจะคิดร้ายประการใด จึงได้ให้คนมาถึงเมืองนี้ เจ้าจงแอบฟังดูให้รู้ความ จะได้ไปแจ้งกับลิมชองผู้มีคุณต่อเรา ภรรยาเซียวยี่ว่า ถ้ากระนั้นก็ไปเรียกลิมชองมาดูว่า จะใช่พวกกอไทอวยหรือไม่ใช่ เซียวยี่ว่า ไม่ได้ ถ้าไปเรียกลิมชองมาเห็นว่า เป็นพวกพ้องกอไทอวย ลิมชองก็จะฆ่าฟันเอาชายสองคนนั้นตาย เขาก็จะเอาตัวเราไปทำโทษ ซึ่งจะไปเรียกลิมชองมานั้นไม่ได้ เจ้าจงไปแอบฟังดูให้รู้ความ จะได้ไปบอกลิมชองมิดีหรือ ภรรยาเซียวยี่ได้ฟังสามีพูดก็เห็นชอบ จึงเดินเข้าไปข้างในแอบฟังอยู่ เล็กเคียมนั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่ด้วยผู้กำกับและผู้คุม ไม่เห็นมีผู้คนแล้วก็บอกแก่ผู้กำกับและผู้คุมว่า กอไทอวยให้ข้าพเจ้าเอาหนังสือกับเงินมาให้ท่านทั้งสอง ท่านจงเอาเงินนั้นไปแบ่งกันเถิด พูดแล้วก็หยิบเอาถุงเงินกับหนังสือส่งให้ แล้วกระซิบบอกว่า กอไทอวยให้ท่านทั้งสองช่วยคิดอ่านฆ่าลิมชองเสีย ถ้าสำเร็จการแล้วจะให้บำเหน็จรางวัลกับท่านทั้งสองอีก ผู้กำกับกับผู้คุมรับหนังสือแล้วพูดว่า ตกเป็นพนักงานข้าพเจ้าทั้งสองเอง คงตายในเงื้อมมือ ท่านอย่าได้วิตกเลย ก็ชวนกันกินโต๊ะเสพสุราพูดจากัน แล้วเล็กเคียมเรียกเจ้าของโรงมาคิดเงินให้ ชวนกันออกจากโรงต่างคนต่างไป เซียวยี่เห็นผู้กำกับถือหนังสือฉบับหนึ่งเดินไป ภรรยาเซียวยี่ก็ออกมาบอกกับสามีว่า เขาพูดจากันซุบซิบ ไม่ใคร่จะได้ยิน เห็นแต่ชายผู้ที่เหมือนขุนนางในเมืองหลวงส่งหนังสือกับถุงสิ่งใดก็ไม่แจ้งให้ผู้กำกับกับผู้คุม ผู้กำกับกับผู้คุมรับหนังสือถุงนั้นแล้วพูดว่า ตกเป็นพนักงานข้าพเจ้าทั้งสองเอง ชีวิตคงตายในเงื้อมมือ ข้าพเจ้าได้ยินแต่เท่านั้น

เซียวยี่ได้ฟังภรรยาบอกก็ไม่พูดประการใด เก็บรวบรวมสิ่งของบนโต๊ะไว้ แล้วก็พอดีลิมชองมาถึง ถามเซียวยี่ว่า สองสามเวลานี้ขายของดีอยู่หรือ เซียวยี่ว่า ขายได้บ้างเล็กน้อย เชิญท่านนั่งเถิด ข้าพเจ้าว่าจะไปหาท่านเล่าความให้ฟัง ก็ยังเก็บของอยู่ พอท่านมาก็ดีแล้ว เชิญท่านเข้าไปข้างในเถิด ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง ลิมชองก็เข้าไปข้างในถามเซียวยี่ว่า มีเหตุผลอันใด เซียวยี่บอกว่า มีชายสองคนมาซื้อสุราเครื่องโต๊ะ แล้วให้ข้าพเจ้าไปเชิญผู้กำกับคุกกับผู้คุมมานั่งกินโต๊ะพูดจากัน แต่ชายสองคนนั้นไม่ใช่คนเมืองนี้ เป็นชาวเมืองหลวง พูดถึงกอไทอวย ข้าพเจ้ามีความสงสัย จะเข้าไปคอยฟังความดู ชายผู้นั้นให้ข้าพเจ้าออกมาเสีย ข้าพเจ้าจึงให้ภรรยาข้าพเจ้าไปคอยฟัง ชายสองคนนั้นพูดกับผู้กำกับกับผู้คุมแต่เบา ๆ ซุบซิบกัน ภรรยาข้าพเจ้าไม่ใคร่จะได้ยิน เห็นแต่ชายผู้นั้นหยิบเอาถุงสิ่งใดก็ไม่แจ้งกับหนังสือส่งให้ผู้กำกับกับผู้คุม ผู้กำกับกับผู้คุมรับถุงกับหนังสือแล้วพูดว่า ตกพนักงานข้าพเจ้าเอง ชีวิตคงตายในมือ ครั้นพูดกันแล้วกินโต๊ะเสพสุราต่อไป ครั้นสำเร็จแล้วก็ชวนกันออกจากโรง ภรรยาข้าพเจ้าได้เห็นได้ยินแต่เท่านั้น เมื่อผู้กำกับกับผู้คุมเดินออกไปจากโรง ข้าพเจ้าเห็นผู้กำกับถือหนังสือไปด้วยฉบับหนึ่ง

ลิมของได้ฟังก็สะดุ้งใจ จึงถามว่า ชายสองคนนั้นหน้าตารูปพรรณประการใด เซียวยี่แจ้งว่า คนหนึ่งหน้าขาว สูงต่ำสันทัดคน นุ่งห่มเหมือนขุนนางฝ่ายทหาร อีกคนหนึ่งนั้นหน้าแดง รูปร่างต่ำ นุ่งห่มเหมือนไพร่ ลิมชองได้ฟังก็แจ้งว่า เล็กเคียมกับฮูอัน จึงพูดว่า คนหน้าขาวนุ่งห่มแต่งตัวเหมือนขุนนางนั้นเห็นจะเป็นเล็กเคียม ขุนนางฝ่ายทหารเรียกว่า เล็กงิโหว คนหนึ่งหน้าแดงรูปร่างต่ำเห็นจะเป็นฮูอัน คนใช้ของกอไทอวยแน่แล้ว ซึ่งเล็กเคียมกับฮูอันกล้าหาญนักหนา มาคิดฆ่าเราจนถึงเมืองชองจิว ถ้ามาเร็วสักหน่อยก็จะได้เห็นดีกัน เซียวยี่พูดว่า ท่านจงระวังตัว อย่านิ่งนอนใจให้เสียทีได้ ลิมชองว่า ไม่เป็นไร เราจะลาไปก่อน ลิมชองก็ออกจากโรงไปเที่ยวหาซื้อได้กระบี่สำหรับมือ แล้วก็เที่ยวตามหาเล็กเคียมกับฮูอัน ถ้าพบก็จะฆ่าเสียทั้งสองคน ครั้นเที่ยวค้นหาตามแถวตลาดก็ไม่พบ เวลาจวนค่ำ ลิมชองจึงกลับมาศาลเจ้า รุ่งขึ้นเช้าก็เหน็บกระบี่เที่ยวค้นหาเล็กเคียมกับฮูอันแถวนอกเมืองและในเมืองอยู่ห้าวันก็ไม่พบปะ สำคัญว่า เล็กเคียม ฮูอัน กลับไปตังเกียแล้ว ก็ค่อยคลายความแค้น จึงกลับไปศาลเจ้าที่อยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเช้าเป็นวันที่หก ผู้กำกับคุกกับผู้คุมก็พูดกันว่า จะคิดประการใดดีจึงจะฆ่าลิมชองเสียได้ ผู้คุมว่า ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งจะคิดฆ่าลิมชองนั้นไม่ยากนัก ที่โรงหญ้าแห้งกับฉางถั่วสำหรับจ่ายให้ม้าและลากินอยู่ทุกวันนั้นท่านก็ให้คนไปรักษาจับจ่ายอยู่ ถ้าจะฆ่าลิมชองเสียให้ได้แล้วก็ให้ลิมชองไปรักษาโรงหญ้าแห้งกับฉางถั่วไว้ แล้วลอบเอาไฟเผาโรงหญ้าแห้งเสีย ลิมชองก็คงตายอยู่ในไฟ ถ้าแม้นว่า ลิมชองหนีได้ไม่ตาย ไฟไหม้หญ้าแห้งและฉางถั่วของหลวงเสียหมด โทษของลิมชองก็เป็นตายอยู่เอง อุบายของข้าพเจ้านี้ท่านจะเห็นประการใด ผู้กำกับได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงใช้คนไปหาลิมชองมา แล้วผู้กำกับจึงพูดกับลิมชองว่า ซึ่งตัวเจ้านี้ชาตัวกัวหนังได้มีหนังสือฝากฝังมา เราก็มีความเมตตาเจ้าเป็นอันมาก เจ้าไปรักษาศาลเจ้านั้นไม่มีผลประโยชน์สิ่งใด เราจะให้ไปรักษาโรงหญ้าแห้งฉางถั่วไว้ จะได้จับจ่ายให้เขาเลี้ยงม้าและลา เจ้าก็จะหาผลประโยชน์ได้บ้าง ซึ่งเราให้เจ้าไปรักษาว่ากล่าวโรงฟางทั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่ชาตัวกัวหนัง เจ้าจะเห็นเป็นประการใด ลิมชองว่า ตามแต่ท่านจะเมตตา ข้าพเจ้าหาขัดขืนไม่ จะให้ทำสิ่งใด ข้าพเจ้าก็ต้องทำตามคำท่าน ผู้กำกับก็สั่งให้ผู้คุมพาลิมชองมาถึงศาลเจ้า แล้วลิมชองไปบอกกับเซียวยี่ว่า ผู้กำกับให้เราไปรักษาโรงฟางฉางถั่วไว้ จะได้จับจ่ายสิ่งของต่าง ๆ ให้กับเขา การอันนี้จะดีหรือไม่ เซียวยี่ว่า ซึ่งจะไปรักษาโรงฟางฉางถั่วต่าง ๆ นั้นดีดอก ประโยชน์ก็มีบ้าง แต่ท่านจะไปอยู่ที่ไกลกับข้าพเจ้าทางประมาณห้าลี้เศษ ถ้าท่านไปแล้วจงมาหาข้าพเจ้าบ้าง การงานสิ่งใดท่านอุตส่าห์ตรึกตรองระวังตัวเถิด

ลิมชองได้ฟังก็ยินดี สำคัญว่า ไปอยู่นั่นจะหาลาภได้บ้าง ไม่รู้ว่า เขาคิดอุบายจะฆ่าตัวเสีย ก็กลับไปศาลเจ้า จัดแจงรวบรวมสิ่งของ พร้อมแล้วผู้คุมก็พาลิมชองไป ในขณะนั้นเป็นฤดูแล้ง ลมว่าวพัดหมอกลงหนาวนัก ผู้คุมพาลิมชองไปถึงโรงฟางฉางถั่วก็เข้าไปข้างในกำแพงดิน ลิมชองเห็นมีโรงฟางฉางถั่วต่าง ๆ เป็นหลายหลัง หญ้าและฟางทิ้งเกลื่อนกลาด มีผู้เฒ่านั่งผิงไฟอยู่หน้าโรงฟางคนหนึ่ง ผู้คุมก็เข้าไปบอกกับผู้เฒ่าที่รักษาอยู่นั้นว่า ผู้กำกับให้เราพาลิมชองมา ให้เอาลูกกุญแจกับสิ่งของทั้งปวงมอบให้ลิมชองว่ากล่าวจับจ่ายต่อไป ซึ่งตัวท่านก็ชรา ว่ากล่าวช้านานแล้ว ผู้กำกับเห็นว่า จะระวังรักษาของหลวงต่อไปไม่ได้ จึงให้ลิมชองดูแลรักษา ให้ท่านไปเฝ้าศาลเจ้าจุดธูปเช้าเย็นกับกวาดหน้าศาล การงานสิ่งใดก็ไม่มี สมกับท่านที่เป็นคนชรา ผู้เฒ่าได้ฟังก็หยิบเอาลูกกุญแจกับสิ่งของต่าง ๆ มอบให้ลิมชอง แล้วบอกว่า เครื่องใช้สอยที่หากินเช้าค่ำของข้าพเจ้านั้นฝากท่านไว้ก่อน ถ้ามีเวลาว่างจึงจะมาเอาไป ลิมชองว่า ของใช้เล็กน้อยที่ศาลเจ้าของเราก็มี ท่านไปอยู่ที่ศาลก็เอาเครื่องนั้นใช้เถิด ข้าพเจ้าจะได้เอาของท่านใช้สอยเหมือนกับแลกเปลี่ยนกัน อย่าต้องกลับมากลับไปเลย หนทางไกล ตัวท่านก็แก่แล้ว ผู้เฒ่าจึงบอกกับลิมชองว่า เปลือกน้ำเต้าที่แขวนอยู่นั้นสำหรับใส่สุรา ถ้าท่านจะเสพสุราก็เอาน้ำเต้านี้ไปซื้อ เจ้าของสุราเห็นน้ำเต้าก็จำได้ให้สุรามาก ถ้าท่านจะไปซื้อสุรา จงไปทางข้าพเจ้าชี้ ไม่สู้ไกลนัก หนทางประมาณสองสามลี้ ลิมชองได้ฟังก็ยินดี รับสิ่งของตรวจดู เสร็จแล้วผู้คุมกับผู้เฒ่าก็ชวนกันกลับมาศาลเจ้าตามคำผู้กำกับสั่ง ผู้คุมนั้นก็กลับไป

ฝ่ายลิมชองครั้นผู้คุมกับผู้เฒ่ากลับไปแล้วก็เอาห่อผ้ากับสิ่งของของตัววางไว้บนโต๊ะ ในขณะนั้น ลมว่าวพัดกล้า หมอกลง หนาวนัก ลิมชองเอาฟืนและหญ้ามาติดไฟผิง แล้วเห็นโรงที่อยู่ชำรุดทรุดพัง จึงคิดว่า ฤดูนี้ลมว่าวพัดกล้า จะทำประการใด ต้องคอยไปจนสิ้นฤดูหนาว จึงจะหาช่างมาซ่อมแซมเสียใหม่ ครั้นจะไปหาช่างมาทำเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ด้วยหนาวนัก ก็ลุกออกมาจากที่ผิงไฟ เห็นน้ำเต้าสำหรับใส่สุราของผู้เฒ่านั้นให้ไว้ก็รำลึกได้ว่า ผู้เฒ่าบอกไว้ว่า โรงขายสุรานั้นไม่สู้ไกล ทางประมาณสองลี้เศษ จำเราจะซื้อสุรากับสิ่งของต่าง ๆ มากินแก้หนาว คิดแล้วก็หยิบเงินกับน้ำเต้าที่ใส่สุราออกมาจากโรง ปิดประตูดีแล้ว เอาทวนที่สำหรับมือคอนน้ำเต้าออกจากประตูกำแพงดินรอบนอก เดินไปได้ครึ่งลี้เห็นมีศาลเจ้าแต่ครั้งโบราณอยู่ริมทางศาลหนึ่ง ลิมชองจึงหยุดคำนับ พูดว่า ท่านจงช่วยข้าพเจ้าให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด วันอื่นข้าพเจ้าจะเอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาถวาย พูดดังนั้นแล้วก็คำนับลาเจ้า เดินไปอีกพักหนึ่งเห็นบ้านมีอยู่เป็นหมู่กับเด็กหาบไม้กวาดมาขาย ลิมชองเดินเลยไปถึงโรงขายสุรา เจ้าของโรงขายสุราเห็นน้ำเต้าที่ลิมชองเอามาก็จำได้ จึงถามว่า ท่านเอาน้ำเต้านั้นมาแต่ไหน ลิมชองว่า ท่านจำไม่ได้หรือว่า น้ำเต้าของผู้ใด เจ้าของขายสุราว่า น้ำเต้าใบนี้ของเล่ากุน ผู้เฒ่าที่เฝ้าโรงฟาง ข้าพเจ้าจำได้ เชิญท่านมานั่งข้างในเถิด ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ลมว่าวพัดกล้านัก มาเสพสุราแก้หนาวสักสองถ้วยแล้วจึงค่อยกลับไป ลิมชองได้ฟังก็ยินดี เข้าไปข้างใน วางสิ่งของไว้ นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะ เจ้าของสุราก็จัดหาสิ่งของกับสุรามาให้ ลิมชองกินโต๊ะเสพสุรา แล้วก็ซื้อสิ่งของกับสุราใส่น้ำเต้า เอาเงินให้เจ้าของสุราเสร็จ เอาทวนคอนน้ำเต้าสุรากับสิ่งของออกจากโรงกลับมา

ฝ่ายผู้คุมครั้นไปถึงบ้านจึงบอกกับเล็กเคียม ฮูอัน ว่า ข้าพเจ้าพาลิมชองไปอยู่ที่โรงฟางฉางถั่วแล้ว เชิญท่านทั้งสองไปด้วย ช่วยกันเอาไฟเผาลิมชองเสีย เล็กเคียมกับฮูอันได้ฟังก็ดีใจ จัดหาเชื้อไฟไว้พร้อมแล้ว ผู้คุมก็พาเล็กเคียมกับฮูอันเดินไป

ฝ่ายลิมชองเดินกลับมาเวลาเย็นถึงโรงฟางที่สำนัก เห็นหมอกลง ลมว่าวพัดหนัก โรงที่อยู่หักพักลง ก็มีความวิตกเป็นอันมาก ด้วยลิมชองเป็นคนสัตย์ซื่อกตัญญูรู้จักผิดและชอบ เทพเจ้าจึงบันดาลเป็นหมอกและลมพัดเอาโรงที่อยู่หักพังเผอิญเป็นไปดังนั้น ปรารถนาจะช่วยชีวิตลิมชอง ลิมชองกลัวไฟในเตาที่สุมไว้จะไหม้โรงขึ้น ก็ไปดูที่เตาเห็นหมอกลง ลูกไฟดับไปสิ้น แล้วจึงหาของไปปิดเตาไม่ให้หมอกลงเปียกได้ เดินออกไปนอกโรงเห็นค่ำมืดแล้ว ตีเหล็กไฟจุดขึ้นเที่ยวส่องดูที่จะอยู่นั้นก็เปียก ลมพัดกล้าหนัก ไม่มีที่อาศัย นั่งตรึกตรองอยู่ จึงนึกขึ้นได้ว่า มีศาลเจ้าแห่งหนึ่งตั้งแต่นี้ไปทางประมาณครึ่งลี้พอที่จะอาศัยสักคืนหนึ่งได้ คิดแล้วก็เหน็บกระบี่ หยิบเอาห่อผ้าออกมา เอาทวนคอนน้ำเต้าสุรากับห่อผ้าและสิ่งของ ออกมาใส่กุญแจโรง แล้วเดินไปถึงศาลเจ้า ก็เข้าไปในศาล เห็นไม่มีคนอยู่ ก็เปิดประตูศาลเจ้าเอาศิลาทับไว้ ลิมชองเข้าไปที่หน้าศาลเจ้า คำนับ แล้วเอาห่อผ้ากับสิ่งของวางไว้บนกองกระดาษ จัดกวาดที่นอน เอาเสื้อกางเกงปู เสร็จแล้วจัดน้ำเต้าสุรามากินกับสิ่งของที่ซื้อมา ในเวลานั้นดึกประมาณห้าทุ่มเศษ

ฝ่ายผู้คุม กับเล็กเคียม ฮูอัน มาถึงโรงฟาง กำลังหมอกลงหนาว ก็ตะลีตะลานช่วยกันเอาเชื้อไฟเข้าไปจุดติดโรงฟางฉางถั่วขึ้นทั้งสี่ทิศพร้อมกัน นึกสำคัญว่า ลิมชองตายอยู่ในไฟ ก็รีบออกมาหาที่อาศัยจะยืนดู ไม่มีที่พัก กำลังหมอกลงมาก จึงชวนกันเดินมาจะหยุดดูไฟที่ศาลเจ้า ลิมชองนั้นนั่งเสพสุราอยู่ ได้ยินเสียงดังปึงปังก็ลุกออกมาดูตามช่องศาลเจ้า เห็นไฟไหม้ที่โรงฟางฉางถั่วก็ตกใจ จะเปิดประตูออกไปดับไฟ พอได้ยินเสียงคนพูดกันเดินตรงมาที่ศาลเจ้า ลิมชองคิดสงสัย กลับปิดประตูเอาศิลาทับไว้ แอบฟังอยู่ข้างใน ผู้คุม กับเล็กเคียม และฮูอัน มาถึงศาลเจ้า จึงผลักประตูจะเข้าไปในศาลเจ้าก็ไม่ได้ ชวนกันยืนดูไฟอยู่ที่ประตู แล้วพูดกันว่า คราวนี้ ลิมชองตายเป็นแน่

ฝ่ายลิมชองแอบฟังอยู่ในนั้น ได้ยินคนหนึ่งพูดว่า ซึ่งอุบายฆ่าลิมชองนี้ท่านเห็นดีหรือไม่ คนหนึ่งพูดว่า ท่านผู้กำกับกับผู้คุมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันคิดการอันนี้ ถ้าไปถึงตังเกียเมืองหลวง ข้าพเจ้าจะเสนอความชอบของท่านแก่กอไทอวยว่า ท่านทั้งสองมีใจช่วยจริง ๆ ขอให้เลื่อนที่ยศศักดิ์ขึ้นไป ซึ่งเตียกาเถา พ่อตาของลิมชองนั้น เห็นจะขัดขืนไม่ได้ คนหนึ่งพูดว่า ลิมชองถูกอุบาย ถ้าไม่ตายในไฟ ก็ต้องตายเพราะโทษหลวง เราเห็นว่า สิ่งของของลิมชองคงตกมาเป็นของกอเงไหล กอเงไหลก็คงหายไข้ คนหนึ่งพูดว่า ได้ให้คนไปหาเตียกาเถาเป็นหลายครั้ง บอกว่า ลิมชองบุตรเขยตาย ขอบุตรสาวที่เป็นภรรยาของลิมชองให้กับกอเงไหลเถิด เตียกาเถาไม่ยอมให้ กอเงไหลกลับป่วยหนักลง กอไทอวย บิดากอเงไหล จึงให้มาปรึกษากับท่านคิดฆ่าลิมชองเสีย การอันนี้ก็สำเร็จสมความปรารถนาแล้ว คนหนึ่งพูดว่า จะเป็นหรือตายก็จะได้เห็นกันในเช้าวันนี้ คนหนึ่งพูดว่า ถึงจะไม่ตายในไฟหนีออกมาได้ ไฟไหม้ของหลวงเสียเป็นอันมาก โทษนั้นก็ถึงตาย จะหนีไปข้างไหนเล่า คนหนึ่งพูดว่า ถ้ากระนั้น เราพากันกลับไปเถิดหรือ คนหนึ่งพูดว่า เราควรดูก่อน ถ้าไฟโทรมแล้วก็ไปเก็บเอากระดูกลิมชองสักสองสามชิ้นห่อผ้าไปให้กอไทอวยกับกอเงไหลดู กอไทอวยคงจะชมว่า ทำการสิ่งใดก็มีสลักสำคัญ

ลิมชองได้ฟังคนทั้งสามพูดโต้ตอบกันดังนั้นก็จำเสียงได้ว่า เป็นเล็กเคียม หนึ่ง ฮูอัน หนึ่ง ผู้คุม หนึ่ง จึงคิดว่า เทพดาดลใจให้เราอยู่ในศาลเจ้า ถ้าแม้นเราอยู่ที่โรงฟางฉางถั่ว พวกนี้คงจะเอาไฟตาย คิดแล้วก็ยกศิลาที่ทับประตูออกเสีย มือหนึ่งจับทวน มือหนึ่งเปิดประตูออกไป ร้องตวาดว่า พวกไอ้ใจร้าย จะคิดฆ่ากู ไม่สมคิดแล้ว สามคนนั้นครั้นเห็นลิมชองก็ตกใจวิ่งหนี ลิมชองเอาทวนกั้นผู้คุมไว้ เล็กเคียมตกใจวิ่งหนีไปไม่พ้น ยืนนิ่งตกตะลึงอยู่ ฮูอันวิ่งหนีไปได้ประมาณสิบก้าว ลิมชองไล่ทัน เอาทวนแทงฮูอันตาย แล้วเดินตรงไปถึงตัวเล็กเคียมกับผู้คุม เอาทวนตีถูกสองคนล้มลง เอาเท้าเหยียบไว้ ชักกระบี่ออกถามเล็กเคียมว่า เรากับเจ้ารักใคร่กันเป็นหนักหนา ไม่มีข้อสาเหตุสิ่งใดเลย เจ้ามาคิดฆ่าเราด้วยเหตุผลสิ่งอันใด เจ้าจงลองดูกระบี่ของเราจะคมหรือไม่ ก็เงื้อกระบี่ฟันศีรษะเล็กเคียมขาดตาย ผ่าอกเอาหัวใจมาถือไว้ แล้วเงื้อกระบี่จะฟันผู้คุม ผู้คุมก็ดิ้นจะหนีไป ลิมชองเอาเท้าเหยียบไว้แล้วพูดว่า การอันนี้ก็สติปัญญาพวกเจ้าจะเผาเสีย เจ้าจงมารับคมกระบี่ของเราให้ดีเถิด อย่าดิ้นรนไปเลย พูดดังนั้นก็เอาคมกระบี่ฟันคอตัวผู้คุมขาดตาย เอาศีรษะมาผูกไว้กับทวนทั้งสามคน แล้วกลับมาที่ศาลเจ้า แก้เอาศีรษะทั้งสามมาวางไว้บนโต๊ะหน้าศาล ขณะนั้น ลมว่าวกำลังพัดหนัก เสื้อกางเกงที่ลืมชองใส่ก็ไม่หายหนาว เอาสุราในน้ำเต้ากินสิ้นแล้วทิ้งน้ำเต้าเสีย จึงคิดว่า ถ้าเราจะกลับไปที่โรงฟางฉางถั่วนั้น ผู้กำกับแจ้งว่า เราไม่ตายในไฟ ก็จะมาจับเอาตัวเราไปทำโทษ เราจำจะหนีไปเอาตัวรอดดีกว่า คิดแล้วก็จับทวนกับห่อผ้าออกจากศาลเจ้ามาตั้งหน้าสู่ทิศตะวันออก เดินไปได้สี่ห้าลี่ใกล้จะถึงหมู่บ้าน เห็นผู้คนถือถังน้ำกำลังจะไปช่วยดับไฟที่โรงหญ้าฉางถั่ว ลิมชองทำเป็นพูดว่า เราจะรีบไปบอกขุนนางผู้กำกับให้รู้แล้วจึงจะกลับมา ท่านจงพากันไปช่วยดับไฟโดยเร็วเถิด พูดแล้วก็รีบเดินไป เวลานั้น ดึกประมาณสองยามเศษ หมอกลงมาก หนาวนัก คิดจะหาที่อาศัย เหลียวหลังไปดู เห็นพ้นโรงหญ้าแห้งที่อยู่มาไกลแล้ว ถึงจะมีผู้ติดตามมาก็ไม่ทัน จึงแข็งใจเดินไปอีกครู่หนึ่ง เห็นมีหมู่บ้านอยู่ในป่า ลมพัดหลังคาเรือนโรงหักพังเป็นหลายหลัง กับเห็นมีแสงไฟสว่างออกมา ลิมชองเดินเข้าไปที่โรง เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งกับบรรดาชายหนุ่มห้าหกคนนั่งผิงไฟอยู่ ลิมชองผลักประตูเข้าไปในโรง บอกว่า ข้าพเจ้าเป็นคนใช้อยู่ ณ คุกเมืองชองจิว ท่านผู้ใหญ่ใช้ให้ข้าพเจ้าไปเอาตัวผู้มีชื่อ ครั้นเดินมาที่นี่พบลมว่าวพัดกล้า หมอกลงมาก หนาวเหลือทน จะขออาศัยท่านผิงไฝด้วย ผู้เฒ่ากับคนเหล่านั้นว่า เชิญท่านมาผิงไฟด้วยกันเถิด ลิมชองก็เข้าไปผิงไฟ เสื้อกางเกงที่หมอกลงเปียกนั้นก็แห้งค่อยคลายหนาวแล้ว ลิมชองหอมกลิ่นสุราที่ใส่โอ่งตั้งอยู่ในโรงนั้น จึงพูดกับผู้เฒ่าว่า สุราของท่านมีเอามาขายให้ข้าพเจ้าบ้างเล็กน้อยเถิด จะได้กินแก้หนาว ผู้เฒ่าว่า ของเราทำไว้แต่พอสู่กันกิน จะได้มีกำลังทำการต่อไป ซึ่งจะขายให้ท่านนั้นไม่ได้ ลิมชองว่า ถ้าไม่ได้ มาสักหน่อยหนึ่งก็เอาเถิด ผู้เฒ่าว่า อย่าพูดมากไปเลย เราให้ผิงไฟแล้วยังกินสุราด้วยหรือ เจ้าอย่าดื้อดึง เด็กเหล่านี้มันจะทุบตีเอา ลิมชองได้ฟังก็โกรธ เอาทวนคุ้ยถ่านไฟกระเด็นไปถูกหน้าผู้เฒ่านั้นเจ็บปวดยิ่งนัก ผู้เฒ่าก็โกรธ ร้องเรียกพวกเหล่านั้นให้ช่วยกันจับลิมชองมาตีเสียให้แทบตาย ชายพวกเหล่านั้นก็ตรูกันเข้าจับลิมชอบ สู้ฝีมือลิมชองไม่ได้ ลิมชองไล่ทุบตีพวกเหล่านั้นแตกหนีไป ลิมชองเห็นไม่มีผู้ใดก็เข้าไปเทสุรากินจนเมา แล้วออกจากโรงเดินไปครู่หนึ่งก็เมาสุรามากขึ้น เดินไปไม่ได้ ลงนอนอยู่ใต้ต้นไม้หลับไป

ฝ่ายผู้เฒ่ากับพวกเหล่านั้นสู้ฝีมือลิมชองไม่ได้ หนีไปเรียกพวกพ้องมาเป็นอันมาก จะจับตัวลิมชองให้ได้ ครั้นมาถึงโรงไม่เห็นลิมชอง ก็ชวนกันเดินตามรอยเท้าไปถึงต้นไม้ใหญ่ เห็นลิมชองเมาสุรานอนหลับอยู่ ก็ตรูกันเข้าจับลิมของมัดไว้ แล้วพามาที่บ้าน ปรึกษากันว่า จะเอาตัวลิมชองไปส่งเมืองชองจิวก็ยังไม่สว่าง ต้องแจ้งความกับนายเสียก่อน จึงค่อยเอาตัวส่งไป ปรึกษากันดังนั้นแล้วก็เอาตัวลิมชองมัดไว้กับเสา ชวนกันเฝ้าอยู่ ซึ่งคนหมู่บ้านนั้นเป็นบ่าวของชาจินที่เรียกว่า ชาตัวกัวหนัง เวลาคืนนั้น ชาจินมาเที่ยวเล่น ก็นอนค้างอยู่ที่บ้านนั้น ครั้นรุ่งเช้า ผู้เฒ่าคนที่ถูกถ่านไฟสั่งให้พวกเหล่านั้นไปตีคนที่มัดไว้เสียให้แทบตาย พวกนั้นก็เข้าทุบตีลิมชอง ลิมชองถูกมัดอยู่ ไม่รู้จะทำประการใด ร้องว่า พากันทุบตีให้สบายเถิด



ภาพ[1] สารบัญขึ้น




ภาพสมัยราชวงศ์หมิง
ลิมชองฆ่าเล็กเคียม ฮูอัน และผู้คุมคุก



เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ

[แก้ไข]
  1. ภาพเพิ่มโดยวิกิซอร์ซ




ตอน ๙ ขึ้น ตอน ๑๑